การเลือกตั้ง ส.ส. และการแต่งตั้ง ส.ว. ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง ชาย ไชยชิต และ รองศาสตราจารย์ ดร. นครินทร์ เมฆไตรรัตน์


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต



ความเป็นมา

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นโดย “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” ซึ่งตั้งขึ้นโดยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๔๙๐ แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ ๒ สภาร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยวุฒิสมาชิก ๑๐ คน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๑๐ คน และจากผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญอีก ๔ ประเภท ประเภทละ ๕ คน รวมทั้งสิ้น ๔๐ คน มีเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ เป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ และมีกำหนดเวลาในการร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน ๑๘๐ วัน สภาร่างรัฐธรรมนูญได้นำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๒ และในวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ คณะอภิรัฐมนตรีซึ่งทำหน้าที่คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ลงนามประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๙๒


รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีบทบัญญัติทั้งสิ้น ๑๘๙ มาตรา มีลักษณะสำคัญแตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้านั้น คือ มีการกำหนดหลักประกันสิทธิเสรีภาพของบุคคล และป้องกันการใช้อำนาจรัฐอันเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ในหลายมาตรา รัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้รัฐสภามีระบบสองสภา ประกอบด้วย วุฒิสภา และสภาผู้แทน วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งจำนวน ๑๐๐ คน มีอายุไม่ต่ำกว่า ๔๐ ปีบริบูรณ์ สมาชิกภาพมีกำหนดคราวละ ๖ ปี แต่ในวาระเริ่มแรกให้มีการจับสลากออกจากตำแหน่งจำนวนกึ่งหนึ่ง


สภาผู้แทนประกอบด้วยสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงและใช้วิธีรวมเขตจังหวัด โดยถือเอาจังหวัดหนึ่งเป็นเขตเลือกตั้งหนึ่ง จำนวนผู้แทนในแต่ละเขตจังหวัดถือเอาจำนวนราษฎร ๑๕๐,๐๐๐คนต่อผู้แทน ๑ คน วาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีกำหนดคราวละ ๔ ปี รัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้ประธานวุฒิสภา เป็นประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นรองประธานสภา ส่วนฝ่ายบริหารนั้น คณะรัฐมนตรีประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอื่นอีกไม่น้อยกว่า ๑๕ คน และไม่เกิน ๒๕ คน โดยมีประธานสภาผู้แทนราษฎรลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีจะเข้าบริหารราชการแผ่นดินได้ ต้องแถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎรและต่อวุฒิสภา และขอความไว้วางใจจากสภาผู้แทนหลังจากที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว



การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๒

การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติมตามจำนวนพลเมืองตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นการเลือกตั้งทางตรง โดยวิธีรวมเขตเรียงเบอร์ โดยถือเอาจังหวัดหนึ่งเป็นเขตการเลือกตั้งหนึ่ง จำนวนผู้แทนราษฎรในแต่ละจังหวัดคิดคำนวณโดยถือจำนวนประชาชน ๑๕๐,๐๐๐ คนต่อผู้แทนราษฎร ๑ คน เนื่องจากการเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติม จึงมีการจัดการเลือกตั้งเฉพาะใน ๑๙ จังหวัด ทำให้ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นมาอีก ๒๑ คน จากที่มีอยู่เดิม ๙๙ คน ผลการเลือกตั้งพบว่า จากจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั้งหมด ๓,๕๑๘,๒๗๖ คน มีผู้มาใช้สิทธิทั้งสิ้น ๘๗๐,๒๐๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๔.๒๗ จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุดคือ จังหวัดสกลนคร คิดเป็นร้อยละ ๔๕.๑๒ และจังหวัดอุดรธานีมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งน้อยที่สุดคือร้อยละ ๑๒.๐๒


ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้งในวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๒ จำนวน ๒๑ คน จาก ๑๙ จังหวัด ประกอบด้วย

พลตรี ขุนปลดปรปักษ์ (พระนคร) นายประพัฒน์ วรรธนะสาร (พระนคร) ร้อยโท จารุบุตรี เรืองสุวรรณ (ขอนแก่น) นายทอง พงศ์อนันต์ (ชัยภูมิ)
นายทองย้อย กลิ่นทอง (เชียงใหม่) นายสานนท์ สายสว่าง (นครปฐม) นายเปี่ยม บุณยโชติ ( นครศรีธรรมราช) นายนารถ เงินทาบ (มหาสารคาม)
นายสุวัฒน์ พูนลาภ (ร้อยเอ็ด) นายเตียง ศิริขันธ์ (สกลนคร) นายทิม จันสร (อุดรธานี) หลวงนรกิจบริหาร (ฉะเชิงเทรา)
นายบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ (เชียงราย) นายเพทาย โชตินุชิต (ธนบุรี) นายอนันต์ ขันธะชวนะ (นครราชสีมา) นายเผด็จ จิราภรณ์ (พิจิตร)
นายโกศล สินธุเศก (ราชบุรี) นายประเทือง ธรรมสาลี (ศรีสะเกษ) นายยืน สืบนุการณ์ (สุรินทร์) นางอรพิน ไชยกาล (อุบลราชธานี)
นายทองพูน อาจธะขันธ์ (อุบลราชธานี)


การเลือกตั้งในครั้งนี้ เป็นผลให้พรรคประชาธิปัตย์มีเสียงในสภามากที่สุด คือ ประมาณ ๔๐ ที่นั่ง รองลงมาคือ พรรคประชาชนของนายเลียง ไชยกาล มี ๓๑ ที่นั่ง นอกนั้นเป็นพรรคอิสระ ๑๔ ที่นั่ง พรรคธรรมาธิปัตย์ ๑๒ ที่นั่ง และไม่สังกัดพรรคอีก ๒๔ ที่นั่ง ซึ่งการมีเสียงข้างมาในสภาผู้แทนราษฎรมีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลค่อนข้างมาก เนื่องจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๔๙๒ กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการลงมติแสดงความไว้วางใจต่อรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว โดยที่วุฒิสภาไม่มีอำนาจลงมติแต่อย่างใด


ด้วยเหตุนี้ การจัดตั้งรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายหลังการเลือกตั้ง จึงมีการเคลื่อนไหวเพื่อรวมกลุ่มของพรรคการเมืองที่สนับสนุนจอมพล ป. พิบูลสงคราม และการพยายามดึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคอื่น ๆ ให้เข้ามาสนับสนุนรัฐบาล โดยเฉพาะการจัดสรรโควต้าตำแหน่งรัฐมนตรีให้กับพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่ให้การสนับสนุนตน การระดมพลังสนับสนุนจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่สนับสนุนจอมพล ป. พิบูลสงครามเข้าด้วยกันนี้ ก่อให้เกิดการแนวร่วมพรรคการเมืองที่ชื่อว่า “สหพรรค” ขึ้นในสภาผู้แทนราษฎร ความพยายามดังกล่าวส่งผลให้การจัดตั้งรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับความไว้วางใจด้วยคะแนนเสียง ๖๓ ต่อ ๓๑ เสียง หลังจากที่ใช้เวลาในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเป็นเวลาถึง ๑๑ วัน ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่คัดค้านรัฐบาลก็คือฝ่ายสมาชิกที่สังกัดพรรคประชาธิปัตย์เป็นหลัก


การเปลี่ยนสมาชิกวุฒิสภากึ่งหนึ่งโดยวิธีจับสลาก วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๓

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๔๙๒ กำหนดให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งจำนวน ๑๐๐ คน มีอายุไม่ต่ำกว่า ๔๐ ปีบริบูรณ์ สมาชิกภาพมีกำหนดคราวละ ๖ ปี แต่ในวาระเริ่มแรกให้มีการจับสลากออกจากตำแหน่งจำนวนกึ่งหนึ่ง ดังนั้น เมื่อสมาชิกวุฒิสภาชุดเดิมได้มีวาระครบรอบ ๓ ปี การแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๔๙๒ ในวาระเริ่มแรก จึงได้มีการจับสลากรายชื่อสมาชิกวุฒิสภากึ่งหนึ่งออกจากตำแหน่ง เพื่อแต่งตั้งวุฒิสมาชิกชุดใหม่เข้ามาแทน โดยการจับสลากจัดขึ้นในวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๓ ปรากฏผล ผู้ที่จับสลากออกจากตำแหน่งจำนวน ๕๐ คน ดังต่อไปนี้

(๑) พล.ท. พระยาอภัยสงคราม (๒) พ.ท. หลวงชัยอัศวรักษ์ (๓) พ.อ. หม่อมสนิทวงศ์เสนี (๔) พลโท พระยาสีหราชเดชโชไชย
(๕) นายเชวง เคียงศิริ (๖) พระยาบริรักษ์เวชชการ (๗) พระยาอัชราชทรงสิริ (๘) พลเอก มังกร พรหมโยธี
(๙) พระยาสาริกพงษ์ธรรมพิลาส (๑๐) พลตรี พระสุริยสัตย์ (๑๑) พระยาสาริกพงษ์ธรรมพิลาส (๑๒) พระยาศรีราชโกษา
(๑๓) พลเรือตรี พระจักรานุกรกิจ (๑๔) พระยาสุริยานุวงศ์ประวัติ (๑๕) พลตรี พระยาอินทรวิชิต (๑๖) พลตรี สวัสดิ์ สวัสดิ์รณชัย สวัสดิเกียรติ
(๑๗) นายบรรจง ศรีจรูญ (๑๘) พระนิตินัยประสาน (๑๙) หลวงประกอบนิติสาร (๒๐) พระอัพภันตราพาธพิศาล
(๒๑) หลวงชลนุสสร (๒๒) พลโท พระยาสีหราชฤทธิไกร (๒๓) นายสัญญา ยมะสมิต (๒๔) พระยาบำเรอภักดิ์
(๒๕) พระยาจินดารักษ์ (๒๖) นาวาเอก หม่อมเจ้าพรปรีชา ภมลาศน์ (๒๗) พันเอก พระรามณรงค์ (๒๘) พระยากฤตราชทรงสวัสดิ์
(๒๙) หม่อมเจ้าสฤษดิ์เดช ชยางกูร (๓๐) พลเรือตรี พระยาวิจารณ์จักรกิจ (๓๑) หม่อมเจ้าชัชชวลิต เกษมสันต์ (๓๒) พระยาอนุมานราชธน
(๓๓) พระยาโทณวนิกมนตรี (๓๔) พระเพ็ชรคีรี (๓๕) หม่อมเจ้าดิศานุวัติ ดิศกุล (๓๖) พระทิพยเบญญา
(๓๗) พระยาเมธาบดี (๓๘) พลตรีพระยาพิไชยสงคราม (๓๙) พระชัยปัญญา (๔๐) หม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล
(๔๑) พลตรี หม่อมเจ้าปรีดิเทพย์พงษ์ เทวกุล (๔๒) พลตรี พระอุดมโยธาธิยุต (๔๓) นาวาเอก หลวงสำรวจวิธีสมุทร (๔๔) ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม
(๔๕) นายจรินทร์ กฤษณะภักดี (๔๖) พลโท พระยาศรีสรราชภักดี (๔๗) พระมนูภาณวิมลศาสตร์ (๔๘) พระตีรณสารวิศวกรรม
(๔๙) พระยาอมาตยพงษ์ธรรมพิศาล (๕๐) พระยาทรงสุรรัชฏ์


ในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาเพื่อให้ครบจำนวน ดังนี้


(๑) พลโท พระยาอภัยสงคราม (๒) พันโท หลวงชัยอัศวรักษ์ (๓) พลตรี หม่อมสนิทวงศ์เสนี (๔) พระยาบริรักษ์เวชชการ
(๕) พระยาอัชราทรงศิริ (๖) พลเอก มังกร พรหมโยธี (๗) พระยาสาริกพงษ์ธรรมพิลาส (๘) คุณหญิงเลขา อภัยวงศ์
(๙) พระยาสุริยานุวงศ์ประวัติ (๑๐) พลตรี พระยาอินทรวิชิต (๑๑) นายบรรจง ศรีจรูญ (๑๒) พระนิตินัยประสาน
(๑๓) หลวงประกอบนิติสาร (๑๔) พระอัพภันตราพาธพิศาล (๑๕) หลวงชลานุสสร (๑๖) พลโท พระยาศรีสรราชภักดี
(๑๗) นาวาเอก ม.จ. พรปรีชา กมลาศน์ (๑๘) พระยากฤตราชทรงสวัสดิ์ (๑๙) ม.จ. สฤษดิ์เดช ชยางกูร (๒๐) ม.จ. ชัชชวลิต เกษมสันต์
(๒๑) พระเพ็ชรคีรี (๒๒) พระยาอนุมานราชธน (๒๓) ม.จ. ดิศานุวัติ ดิศกุล (๒๔) พระยาเมธาบดี
(๒๕) พลตรี พระยาพิไชยสงคราม (๒๖) พระชัยปัญญา (๒๗) ม.จ. อุปลีสาณ ชุมพล (๒๘) พลตรี ม.จ. ปรีดีเทพยพงศ์ เทวกุล
(๒๙) พลตรี พระอุดมโยธาธิยุต (๓๐) นาวาเอก หลวงสำเร็จวิถีสมุทร (๓๑) ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม (๓๒) นายจรินทร์ กฤษณะภักดี
(๓๓) พันเอก พระรามรณรงค์ (๓๔) พระมนูภาณวิมลศาสตร์ (๓๕) พระตีรณสารวิศวกรรม (๓๖) นาวาเอก พระศราภัยพิพัฒน์
(๓๗) พันโท พระอาสาสงคราม (๓๘) พันตรี หลวงสรสิทธยานุการ (๓๙) พระยาสัจจาภิรมย์ (๔๐) นายจุลิน ล่ำซำ
(๔๑) นาวาโท หลวงชำนิกลการ (๔๒) พลเรือตรี เล็ก สุมิตร (๔๓) พระช่วงเกษตรศิลปการ (๔๔) พระยาประกิตกลศาสตร์
(๔๕) พลตรี บัญญัติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา (๔๖) พระสุขุมวินิจฉัย (๔๗) พลตรี น้อม เกตุนุติ (๔๘) พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
(๔๙) พระยาบริหารนิติธรรม (๕๐) นายจุล วัจนคุปต์

โดยมีเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ เป็นประธานวุฒิสภา และพระอัชราชทรงสิริ เป็นรองประธานวุฒิสภา


อ้างอิง

ราชกิจจานุเบกษา ตอนที่ ๖๗ เล่มที่ ๖๗ ลงวันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๓

บุญทัน ดอกไธสง, การเปลี่ยนแปลงทางการบริหารและการเมืองไทย, กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๒

ฝ่ายพัฒนาการเมืองและการปกครอง สำนักนโยบายและแผนมหาดไทย, อนุสารการเมือง, มีนาคม ๒๕๒๒

โคทม อารียา, สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่องที่ ๕ ระบบการเลือกตั้ง, กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, ๒๕๔๔

ขจัดภัย บุรุษพัฒน์, กำเนิดพรรคการเมืองในประเทศไทย, วิทยานิพนธ์บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๑๐

สุจิต บุญบงการ, การพัฒนาการเมืองของไทย: ปฏิสัมพันธ์ระหว่างทหาร สถาบันทางการเมือง และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๑

คณิน บุญสุวรรณ, ประวัติรัฐธรรมนูญไทย, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ภูมิปัญญา, ๒๕๔๒


ดูเพิ่มเติม