เตียง ศิริขันธ์

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้แต่ง : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


เตียง ศิริขันธ์ : เสรีไทยผู้ถูกฆ่าเพราะการเมือง

             เมื่อนายปรีดี พนมยงค์ ตั้งกลุ่มต่อต้านญี่ปุ่น นายเตียง ได้เป็นผู้เข้าร่วมงานต่อต้านญี่ปุ่นเป็นรุ่นแรกๆพร้อมกับนายจำกัด พลางกูร ดังที่กล่าวมาแล้ว ความสำคัญของงานเสรีไทยที่นายเตียงรับมาดำเนินการก็คือจัดตั้งเสรีไทยที่ภาคอีสาน โดยเลือกเอาจังหวัดสกลนคร บ้านเกิดของท่านเป็นแห่งแรก ดังนั้น เมื่อนายปรีดีตกลงส่งนายจำกัด พลางกูร ให้เป็นผู้แทนของขบวนการเสรีไทยไปติดต่อกับจีนที่เมืองจุงกิง นายจำกัด จึงเลือกเดินทางออกจากไทยไปเมืองจีนทางภาคอีสานของไทย โดยได้นายเตียงเป็นผู้อำนวยความสะดวก รอรับนายจำกัดที่จังหวัดขอนแก่น นำไปส่งที่จังหวัดนครพนม เดินทางข้ามแม่น้ำโขงไปฝั่งลาว เพื่อเดินทางผ่านลาว ตัดเข้าเวียดนาม ต่อไปยังประเทศจีน ก่อนแยกทางกัน นายเตียงยังได้รวบรวบสินทรัพย์ มีแหวนและกำไลของภรรยามอบให้นายจำกัดเอาติดตัวไป เผื่อจะได้ใช้ยามขาดแคลน ตอนนั้นนายเตียงอายุได้ 34 ปี แต่ก็ทำงานใหญ่ ฐานเสรีไทยที่ภาคอีสานซึ่งนายเตียงเป็นผู้นำนั้นเป็นฐานใหญ่ มีคนในพื้นที่เข้าร่วมงานด้วยจำนวนมาก ดังที่ วิสุทธิ์ บุษยกุล เขียนไว้ว่า

             “...แต่ในเรื่องการจัดตั้งหน่วยกำลังรบภาคอีสานต่อต้านญี่ปุ่นแล้ว ครูเตียงเป็นหัวหน้าใหญ่ ทุกหน่วยที่นักการเมืองเหล่านี้ จัดตั้งขึ้นล้วนแต่อยู่ภายใต้การควบคุมของคุณครูเตียง ซึ่งจะติดต่อรับทราบนโยบายใหญ่จากท่านปรีดีอีกทีหนึ่ง”

             ในทางการเมืองนั้นพอถึงปี 2487 ฝ่ายตรงกันข้ามกับ จอมพล ป.พิบูลสงคราม รวมตัวกันได้ดีในสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายเตียงและเพื่อนสมาชิกสภาในภาคอีสาน เข้าร่วมกันออกเสียงไม่รับร่างกฎหมายของรัฐบาลติดต่อกันสองฉบับ ทำให้หลวงพิบูลสงครามต้องยอมลาออกจากนายกรัฐมนตรี วิสุทธิ์ บุษยกุล เล่าว่า

            “.. นายเตียงและคณะแสดงตนเป็นฝ่ายตรงข้าง (น่าจะเป็น 'ข้า' มากกว่า) ทางการเมืองกับจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีอย่างเปิดเผย และชัยชนะทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของนักการเมืองสี่คน(อจ.นิยมตั้งข้อสังเกตว่า “ควรมีเชิงอรรถอธิบายว่า 4 คน คือใครบ้าง”) 'นี้ในรัฐสภา ได้แก่การอภิปรายคัดค้านรัฐบาลในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.'2487 เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติสองฉบับของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม คือร่างพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ พุทธศักราช 2487 ฉบับหนึ่ง และร่างพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดสร้างพุทธบุรีมณฑลในบริเวณรอบพระพุทธบาท พุทธศักราช 2487 อีกฉบับหนึ่ง”

             หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชีวิตทางการเมืองของนายเตียง รุ่งเรืองขึ้น เมื่อนายทวี บุณยเกตุ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อรอให้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กลับจากสหรัฐอเมริกา มาเป็นนายกรัฐมนตรี นายเตียงและผู้นำเสรีไทยสายอีสานก็ได้เข้าร่วมรัฐบาล นายเตียงได้เข้าไปเป็นรัฐมนตรี(ลอย)เป็นครั้งแรก รัฐบาลนี้มีอายุดำรงตำแหน่งสั้น แต่นายเตียงก็ได้เป็นรัฐมนตรีสืบต่อมาในรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช จนถึงวันที่ 31 มกราคม ปี 2489 เมื่อรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ เข้ามาแทน แต่นายเตียง ก็ยังเป็นผู้แทนราษฎร เพราะได้ลงเลือกตั้งในเดือนมกราคม ปี 2489 และยังได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร นายเตียงว่างเว้นจากการเป็นรัฐมนตรีทั้งในรัฐบาลนายควง และรัฐบาลนายปรีดี พนมยงค์ ที่สืบต่อมาจากรัฐบาลนายควง จนถึงวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ.2489 หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี นายเตียงจึงได้กลับเข้ามาเป็นรัฐมนตรี (ลอย) อีกครั้งหนึ่ง แต่เป็นอยู่จนถึงวันที่ 10 เมษายน ปี 2490 ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ไปรอง (ไม่รู้ว่าพิมพ์ผิดหรือเปล่า) ตัวแทนในการประนอมระหว่างไทยกับฝรั่งเศส แสดงว่าท่านไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่งรัฐมนตรีเท่าไรนัก เอางานในหน้าที่เป็นสำคัญ การที่เคยเป็นผู้นำเสรีไทยและเป็นนักการเมืองที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี ทำให้ท่านถูกเลือกให้ไปทำหน้าที่ผู้เจรจาที่สำคัญของไทย ดังนั้น ในวันที่มีการยึดอำนาจล้มรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์โดยคณะรัฐประหาร ท่านจึงอยู่นอกรัฐบาล วิสุทธิ์ บุษยกุล ผู้ใกล้ชิดกับนายเตียง บันทึกเอาไว้ว่า

          “หลังจากเกิดรัฐประหารไม่กี่วัน ครูก็ออกจากบ้านราชวิทย์ บอกว่าจะไปตั้งหลักอยู่สกลนคร.....ครูออกป่าไปหลายเดือน แล้วได้กลับมา...”

          การเลือกตั้งทั่วไปที่ตามมาและจัดขึ้นโดยรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ ที่นักการเมืองของรัฐบาลเก่าถูกกีดกันมาก ในวันที่ 29 มกราคม ปี 2491 นายเตียงจึงไม่ได้ลงเลือกตั้งเหมือนกับเพื่อนอีกหลายคน ผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนครในคราวนั้น ชื่อนายเจียม ศิริขันธ์ หลังเหตุการณ์กบฏวังหลวง ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ปี 2492 นายเตียงก็ต้องเก็บตัวเงียบ และต้องคิดหนีก็เมื่อเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถูกยิงทิ้งกลางเมือง ดังที่ วิสุทธิ์ บุษยกุล เขียน

“หลังจากที่สี่รัฐมนตรีถูกฆ่าตายอย่างทารุณ นายเตียงรู้ว่าไว้ใจสถานการณ์การเมืองไม่ได้ ตัดสินใจหนีขึ้นเขา ภูพาน' และสามารถหลีกเลี่ยงการถูกล่าและการจับกุม จนได้ฉายาว่าเป็นขุนพลภูพาน ทั้งที่นายเตียงและลูกน้องเพียงหยิบมือเดียวและมีปืนไม่กี่กระบอก ก็ถูกกล่าวหาว่าส้องสุมผู้คนเป็นกองทัพ เป็นกบฏที่พยายามแบ่งแยกดินแดน”

          ถึงปี 2495 ภายใต้รัฐบาลของนายกฯจอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่ฐานสนับสนุนจากกองทัพ ได้จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้น ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ นายเตียงคงเห็นว่าสถานการณ์การเมืองพอจะไว้ใจได้ จึงกลับเข้าสู่สนามการเมืองอีกครั้งโดยลงสมัครเข้ารับเลือกตั้ง และก็ได้รับเลือก แต่การที่เป็นนักการเมืองหัวแข็ง แม้จะร่วมอยู่ในพรรครัฐบาลคือพรรคเสรีมนังคศิลา นายเตียงและพวกถูกจับตัวไปฆ่าที่กรุงเทพฯและนำศพไปเผาเพื่ออำพรางคดีในวันที่ 12 ธันวาคม ปี 2495 อีกเจ็ดปีต่อมาจึงได้มีการสอบสวนและฟ้องร้องต่อศาล และต่อสู้กันถึงศาลอุทธรณ์ ซึ่งจำเลยได้พ้นข้อหาไป