สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ผู้เรียบเรียง : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือเรียกโดยย่อว่า “สส.” ในบริบทของประเทศไทย หมายถึงผู้แทนปวงชนชาวไทย เข้าสู่ตำแหน่งโดยการเลือกตั้งของประชาชน มีหน้าที่ด้านนิติบัญญัติ ซึ่งได้แก่ การตรากฎหมายและการควบคุมการบริหารประเทศ ทั้งนี้ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มีโครงสร้างการปกครองระบบรัฐสภา สส. ที่นายกรัฐมนตรีมาจากการให้ความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร สส. ยังมีหน้าที่ให้ความเห็นชอบในตัวบุคคลที่สมควรได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกด้วย ซึ่งโดยธรรมเนียมปฏิบัติแล้วจะเลือกจากบรรดาสมาชิกด้วยกันเอง หรือตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด (ปัจจุบัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 กำหนดให้เลือกจากบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ โดยต้องเป็นบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่สมาชิกได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า ร้อยละ 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
ตำแหน่ง สส. โดยบทบาทแล้วมีภารกิจ 2 ด้าน คือ
1. ด้านเป็นตัวแทนประชาชนเฉพาะพื้นที่ ดูแลทุกข์สุขคลุกคลีอยู่กับประชาชนในเขตพื้นที่เลือกตั้ง ซึ่งตามแนวคิดของนักปรัชญาจีนโบราณ เมิ่งจื่อ ซึ่งยังพอประยุกต์ใช้ได้กับชุมชนรากหญ้าของไทยในปัจจุบัน กล่าวไว้ว่าจะต้องปกครองด้วยหลัก “เมตตาธรรม” โดยเฉพาะกับ “ชาวบ้านชาวช่องจะต้องดูแลมิให้อดอยาก ผู้สูงอายุมีคนดูแล ผู้เยาว์มีสถานที่เรียน เป็นสังคมพอเพียงที่ทุกคนอยู่ดีมีสุข” ส่วนการสูญเสียอำนาจเกิดจากการสูญเสียแรงสนับสนุนและจิตใจของประชาชน ทางที่จะให้ได้มาซึ่งอำนาจจึงต้องให้ได้มาซึ่งการสนับสนุนและได้ใจของประชาชน การจะบรรลุเป้าหมายทั้ง 2 ผู้ปกครองจะต้องทำเรื่องที่มีคุณประโยชน์ต่อประชาชน ไม่ทำเรื่องที่ประชาชนรังเกียจ”
ในฐานะตัวแทนประชาชนในเขตพื้นที่เลือกตั้ง สส. มีพันธะหน้าที่จะต้องลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชน รับฟังปัญหาและความคิดเห็นของประชาชนและของเจ้าหน้าที่รัฐ ดูแลทุกข์สุขของประชาชนในเขตเลือกตั้ง ใครเดือดร้อน ไม่มีงานทำ ลูกหลานหาที่เรียนไม่ได้ ญาติโยมถูกตำรวจจับ ถนนในชุมชนเป็นหลุมเป็นบ่อ น้ำประปาไม่ไหล บ้างครั้งก็ตกเป็นภาระของ สส. ที่จะต้องช่วยแก้ไขหรือบอกกล่าวแก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้แก้ไข ประชาชนในพื้นที่จัดงานมงคลงานหรืองานอัปมงคล เช่น งานบวช งานแต่ง งานศพ หรือชุมชนมีกิจกรรมสังสรรค์ ส่งเสริมความสามัคคี หรือพัฒนาชุมชน เช่น ทำบุญตลาด ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า บูรณะวัด โรงเรียนจัดงานแข่งขันกีฬา สส. ก็ต้องส่งเงินส่งสิ่งของไปร่วม รวมถึงต้องไปปรากฏตัวหากเป็นไปได้เพื่อเป็นเกียรติ์แก่เจ้าของงาน ถ้ามีธุระติดขัดก็ต้องส่งตัวแทนไปร่วม มิฉะนั้น เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งก็อาจไม่ได้รับเสียงสนับสนุน เนื่องจากประชาชนในเขตเลือกตั้งเห็นว่าทำหน้าที่ตัวแทนได้ไม่ดีพอ
2. ด้านเป็นตัวแทนปวงชนชาวไทยหรือประชาชนทั้งประเทศ สส. มีหน้าที่จะต้องทำคืองานด้านนิติบัญญัติ ซึ่งจะต้องอาศัยสภาผู้แทนราษฎรเป็นสถานที่หลักในการประกอบภารกิจ ในประเด็นนี้ จอห์น ล๊อก นักปรัชญาชาวอังกฤษยุคใหม่หัวเสรีนิยม มีความเห็นว่า เป้าหมายของการจัดให้มีรัฐบาลก็เพื่อทำให้มีหลักประกัน ให้มีกลไกทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สินของประชาชน ยิ่งกว่านี้ ในโลกยุคปัจจุบันที่แนวคิดประชานิยมกำลังแพร่หลายไปทั่ว การดูแลทุกข์ของประชาชนในวงกว้าง สส. และพรรคการเมืองต่าง ๆ มีการนำเสนอสวัสดิการและหลักประกันแก่ประชาชนอย่างมากมาย บางนโยบายต้องใช้งบประมาณแผ่นดินเกินกว่าที่สถานะทางเศรษฐกิจและการคลังของประเทศจะรองรับไหว เช่น แรงงานขั้นต่ำที่สูงมาก (600 บาทต่อวัน) แจกเงินดิจิตัล 10,000 บาท แก่ประชาชนทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป แจกเงินคนชราในอัตราทวีคูณ 5-6 เท่าของอัตราที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (อายุ 60 ปีขึ้นไป 3,000 บาท 70 ปีขึ้นไป 4,000 บาท 80 ปีขึ้นไป 5,000 บาท) แต่เนื่องจากระบอบการเมืองที่ต้องเอาใจปวงชนเป็นฐานในการรักษาอำนาจ สส. และพรรคการเมืองทั้งหลายจึงต้องพยายามนำเสนอในสิ่งที่จะทำให้ได้คะแนนนิยม เพื่อความอยู่รอดของ สส. เอง ส่วนอะไรทำได้ทำไม่ได้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจและสำนึกชั่วดีของประชาชนเป็นเกณฑ์ตัดสิน
ในด้านเป็นตัวแทนปวงชนนี้ สส. มีหน้าที่ต้องดูแลผลประโยชน์ของประชาชนทั้งประเทศ โดยผ่านการทำหน้าที่ในฐานะเป็นสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎร โดยทั่วไป สภาผู้แทนราษฎรจะทำหน้าที่หรือแสดงบทบาทได้โดยการประชุมสมาชิก เพื่อพิจารณาเรื่องราวต่าง ๆ ที่บรรจุเข้าสู่วาระการประชุมของสภา เพื่อตัดสิน ให้ความเห็นชอบ หรือรับทราบ ในกรณีมีรายละเอียดมาก ก็จะมีการตั้งคณะกรรมาธิการชุดต่าง ๆ ขึ้นมาพิจารณาเรื่องราวนั้น ๆ เป็นกรณี ๆ ไป แล้วนำเสนอสภาเพื่อพิจารณาตัดสินต่อไป หรือกรณีมีข้อมูลไม่เพียงพอ จำเป็นต้องตั้งคณะอนุกรรมาธิการไปทำการสอบสวน หรือศึกษาเพิ่มเติม ก็อาจตั้งคณะอนุกรรมาธิการขึ้นมาทำหน้าที่สอบสวนหรือศึกษากรณีนั้นเป็นการเฉพาะก็ได้ แล้วเสนอต่อคณะกรรมาธิการเพื่อดำเนินการพิจารณาตัดสินต่อไป
การทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติของ สส. ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 อาจแยกได้เป็น 6 ประเภท ได้แก่
1. การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ
2. การพิจารณาพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
3. การอนุมัติพระราชกำหนด
4. การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน
5. การตั้งคณะกรรมาธิการ และ
6. การให้ความเห็นชอบแต่งตั้งบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี
1. การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน มีสิทธิเสนอร่างพระราชบัญญัติ และการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ มีกระบวนการและวิธีปฏิบัติแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
1) ขั้นรับหลักการ เป็นขั้นแรกในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่าจะรับไว้พิจารณาเพื่อตราเป็นพระราชบัญญัติต่อไปหรือไม่
2) ขั้นพิจารณารายมาตรา เป็นขั้นตอนที่ 2 เมื่อร่างพระราชบัญญัติผ่านขั้นรับหลักการไปแล้ว จะเป็นขั้นตอนพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเป็นมาตรา ๆ ที่ละมาตรา ทั้งในแง่ของเนื้อหาสาระ ถ้อยคำ และความถูกต้องในทางอักขระวิธี
3) ขั้นลงมติ เมื่อร่างพระราชบัญญัติผ่านขั้นตอนที่ 2 เรียบร้อยแล้ว เป็นขั้นที่ที่ประชุมสภาจะลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณารายมาตราเรียบร้อยแล้ว
2. การพิจารณาพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กำหนดให้งบประมาณรายจ่ายของแผ่นดินให้ทำเป็นพระราชบัญญัติ และในการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ต้องแสดงแหล่งที่มาและประมาณการรายได้ ผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการจ่ายเงินและความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และแผนพัฒนาต่าง ๆ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ
ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย เป็นร่างพระราชบัญญัติที่เสนอโดยรัฐบาล ส่วน สส. ทั้งหมดในนามของสภาผู้แทนราษฎร มีหน้าที่ต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 105 วัน นับแต่วันที่ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมาถึงสภาผู้แทนราษฎร ถ้าสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา ให้ถือว่าสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัตินั้นและให้เสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณา (วุฒิสภาจะต้องให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบภายใน 20 วัน นับแต่วันที่ร่างพระราชบัญญัตินั้นมาถึงวุฒิสภา โดยจะแก้ไขเพิ่มเติมใด ๆ มิได้ ถ้าพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าวุฒิสภาเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัตินั้น)
3. การอนุมัติพระราชกำหนด
พระราชกำหนด คือ กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นให้ใช้บังคับเช่นเดียวกับพระราชบัญญัติ โดยคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี ซึ่งต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ พระราชกำหนดแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1) พระราชกำหนดทั่วไป ตราขึ้นได้เฉพาะเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ
2) พระราชกำหนดเกี่ยวด้วยภาษีอากรและเงินตรา ตราขึ้นในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นว่ามีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตราซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับเพื่อรักษาประโยชน์ของแผ่นดิน
การพิจารณาพระราชกำหนด เมื่อประกาศใช้บังคับแล้วต้องเสนอต่อรัฐสภา อันหมายถึงสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาตามลำดับ เพื่อพิจารณาอนุมัติให้ใช้บังคับเป็นพระราชบัญญัติต่อไป
1) พระราชกำหนดทั่วไปคณะรัฐมนตรีต้องเสนอพระราชกำหนดทั่วไปต่อรัฐสภาในการประชุมรัฐสภาคราวต่อไปเพื่อพิจารณาโดยไม่ชักช้า ถ้าอยู่นอกสมัยประชุมและการรอการเปิดสมัยประชุมสามัญจะเป็นการชักช้า คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติพระราชกำหนดโดยเร็ว
2) พระราชกำหนดเกี่ยวด้วยภาษีอากรและเงินตราคณะรัฐมนตรีต้องเสนอพระราชกำหนดเกี่ยวด้วยภาษีอากรและเงินตราต่อรัฐสภาในการประชุมรัฐสภาคราวต่อไปเพื่อพิจารณาโดยไม่ชักช้า ถ้าอยู่นอกสมัยประชุมและการรอการเปิดสมัยประชุมสามัญจะเป็นการชักช้า คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติพระราชกำหนดโดยเร็ว แต่ถ้าเป็นการตราขึ้นในระหว่างสมัยประชุมจะต้องนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรภายใน 3 วัน นับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
4. การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน
การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน แบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ คือ 1) การตั้งกระทู้ถาม 2) การเปิดภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ และ 3) การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี
1) การตั้งกระทู้ถาม การตั้งกระทู้ถามคือคำถามที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ตั้งคำถามรัฐมนตรีในเรื่องใดเกี่ยวกับงานในหน้าที่โดยจะถามเป็นหนังสือหรือด้วยวาจาก็ได้ ตามข้อบังคับการประชุมแห่งสภานั้น ๆ ซึ่งอย่างน้อยต้องกำหนดให้มีการตั้งกระทู้ถามด้วยวาจาโดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้าไว้ด้วย ทั้งนี้ รัฐมนตรีย่อมมีสิทธิที่จะไม่ตอบกระทู้เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเรื่องนั้นยังไม่ควรเปิดเผยเพราะเกี่ยวกับความปลอดภัยหรือประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน
2) การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ โดยมติไม่ไว้วางใจต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
3) การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรจะเข้าชื่อกันเพื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี โดยไม่มีการลงมติ
5. การตั้งคณะกรรมาธิการ
สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจเลือกสมาชิกของสภาตั้งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ และมีอำนาจเลือกบุคคลผู้เป็นสมาชิกหรือมิได้เป็นสมาชิกตั้งเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญ หรือคณะกรรมาธิการร่วมกัน เพื่อกระทำกิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องใด ๆ และรายงานให้สภาทราบตามระยะเวลาที่สภากำหนด และกำหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีที่รับผิดชอบในกิจการที่คณะกรรมาธิการสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษา ที่จะต้องสั่งการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดหรือในกำกับให้ข้อเท็จจริง ส่งเอกสารหรือแสดงความเห็นตามที่คณะกรรมาธิการเรียก
6. การให้ความเห็นชอบแต่งตั้งบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี
ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคแจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร และต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
เอกสารอ้างอิง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2564.
นิยม รัฐอมฤต และเฉิน เซ่าปอ. แบบเรียนพื้นฐานปรัชญาจีนโบราณ. กรุงเทพฯ : ธรรมดาเพรส, 2556.
ศูนย์บริการทางวิชาการและกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. รวมกฎหมายรัฐธรรมนูญ (2475-2521). ไม่ปรากฏปีและสถานที่พิมพ์.
ศูนย์บริการเอกสารและค้นคว้า สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. ระบบงานรัฐสภาไทย. กรุงเทพฯ : กองการพิมพ์ สำนักงานเลขารัฐสภา, 2530.
M. Judd Harmon. Political Though t: From Plato to the Present, New York, McGraw-Hill, 1964. index.php?title=หมวดหมู่:สถาบันนิติบัญญัติ index.php?title=หมวดหมู่:สารานุกรม คำศัพท์ต่าง ๆ