หลวงประดิษฐ์มนูธรรม
ผู้เรียบเรียง : ผศ.ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต
“ในสมัยที่ประเทศของเราดำเนินการตามระบอบรัฐธรรมนูญเช่นนี้แล้ว
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมหาวิทยาลัยสำหรับพลเมือง
ที่จะใช้เสรีภาพในการศึกษาให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติสืบไป”
หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์)[1]
หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์)
“การปฏิวัติสยาม_พ.ศ._2475” มีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศครั้งใหญ่ และก่อกำเนิดระบอบการปกครองที่เรียกกันในสมัยนั้นว่า “ระบอบรัฐธรรมนูญ” ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่ให้สิทธิและเสรีภาพกับราษฎร ตามชื่อกลุ่มผู้ก่อการที่เรียกตัวเองว่า “คณะราษฎร” อันประกอบด้วยบุคคลสำคัญหลายท่าน แต่บุคคลที่มีความสำคัญ และได้รับการยกย่องว่าเป็น “มันสมอง” ของคณะราษฎร นั่นคือ “หลวงประดิษฐ์มนูธรรม” หรือนายปรีดี พนมยงค์ อาจารย์ประจำโรงเรียนสอนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม หลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 ผ่านพ้นไป หลักการ_6_ประการของคณะราษฎรได้นำมาสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการผลักดันของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) อาทิ การจัดทำร่างเค้าโครงเศรษฐกิจ การก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มธก.) นอกจากนี้บทบาทของหลวงประดิษฐ์มนูธรรมมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่_2 นั่นคือ ภารกิจของกลุ่ม “เสรีไทย” ในการต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งมีความสำคัญในการรักษาเอกราชของชาติภายหลังสงคราม แต่ภายหลังการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 8_พฤศจิกายน_พ.ศ._2490 ส่งผลให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ต้องหนีออกนอกประเทศ และไม่มีโอกาสได้กลับมาเยือนประเทศอีกเลย
ประวัติการศึกษาและชีวิตครอบครัว
หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือนายปรีดี พนมยงค์ เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 ณ บ้านหน้าวัดพนมยงค์ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรคนที่ 2 จากจำนวนบุตรทั้งหมด 6 คน ของนายเสียง พนมยงค์ และนางลูกจันทร์ พนมยงค์[2] แม้ว่าเชื้อสายตระกูลของท่านเป็นคหบดี แต่เนื่องจากบิดาของท่านรักการผจญภัย และการทำนา จึงประกอบอาชีพเป็นชาวนา ฐานะในวัยเด็กจึงไม่ได้ร่ำรวยมากนัก[3]
หลวงประดิษฐ์มนูธรรมเริ่มเข้ารับการศึกษาที่บ้านครูแสง ตำบลท่าวาสุกรี ในระดับปฐมวัย ก่อนจะย้ายไปศึกษาต่อที่บ้านหลวงปราณี (เปี่ยม) อำเภอท่าเรือ ก่อนจะเข้ารับการศึกษาในระดับประถมศึกษา ณ โรงเรียนวัดรวก อำเภอท่าเรือ ก่อนจะย้ายไปศึกษาหลักสูตรใหม่ที่โรงเรียนศาลาปูน อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา[4] ต่อมาได้ย้ายไปศึกษาในระดับมัธยมศึกษา ณ โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร แล้วย้ายมาศึกษาต่อ ณ โรงเรียนตัวอย่างมณฑลกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ใน พ.ศ. 2457 หลังจากนั้นได้เข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาศึกษาต่อในโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย แต่ศึกษาได้เพียง 6 เดือน ได้ลาออกเพื่อไปช่วยบิดาทำนาที่บ้านเกิด[5] ต่อมาใน ปี พ.ศ. 2460 ได้เข้าศึกษาต่อ ณ โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม จนสามารถสอบไล่ได้ในระดับเนติบัณฑิต เมื่อ ปี พ.ศ. 2462 และได้สอบชิงทุนไปศึกษาต่อ ณ ประเทศฝรั่งเศส โดยสอบไล่ได้เป็นดุษฎีบัณฑิตวิชานิติศาสตร์ และประกาศนียบัตรเศรษฐศาสตร์ชั้นสูงของมหาวิทยาลัยปารีส ใน ปี พ.ศ. 2469 นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตทางด้านกฎหมาย (Docteur en droit)[6]
หลวงประดิษฐ์มนูธรรม สมรสกับนางสาวพูนศุข ณ ป้อมเพชร์ ธิดาของพระยาชัยวิชิตวิศิษฐ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์) กับคุณหญิงเพ็ง ณ ป้อมเพชร์ มีบุตรธิดาด้วยกัน 6 คน ประกอบด้วย นางสาวลลิตา พนมยงค์ นายปาล พนมยงค์ นางสาวสุดา พนมยงค์ นายศุขปรีดา พนมยงค์ นางดุษฎี พนมยงค์ และนางวาณี พนมยงค์[7]
หลวงประดิษฐ์มนูธรรมถึงแก่อสัญกรรม ด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 ณ บ้านพักอองโตนี ชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สิริอายุ 83 ปี[8]
หน้าที่การงานและตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ
ในช่วงเวลาที่ศึกษาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสนั้น หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ได้รวมกลุ่มนักเรียนไทยในประเทศฝรั่งเศสและประเทศอื่น ๆ ภายใต้ชื่อ “สามัคยานุเคราะห์สมาคม” โดยหลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้รับเลือกเป็นเลขาธิการสมาคมคนแรก[9] ต่อมาเมื่อเริ่มเข้ารับราชการในกระทรวงยุติธรรม เมื่อปี พ.ศ. 2470 ในตำแหน่งผู้พิพากษาประจำกระทรวงยุติธรรม และผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย ขณะเดียวกันได้เป็นอาจารย์สอนกฎหมาย ในโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมด้วย โดยได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็นรองอำมาตย์เอก หลวงประดิษฐ์มนูธรรม และต่อมาได้รับการเลื่อนยศเป็นอำมาตย์ตรี[10]
ภายหลังมีการปฏิวัติสยาม วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดย “คณะราษฎร” ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มทหารบก ทหารเรือ และพลเรือน โดยหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ได้รับการยกย่องว่าเป็น “มันสมอง” ของคณะราษฎร เนื่องจากเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญในการประสานงาน และวางโครงสร้างของสถาบันการเมืองภายหลังการปฏิวัติ[11] หลังจากมีการประกาศรัฐธรรมนูญฉบับแรก เมื่อวันที่ 27_มิถุนายน_พ.ศ._2475 ก่อให้เกิดโครงสร้างสถาบันการเมืองใหม่ ๆ ขึ้นมา ซึ่งหลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในสภาผู้แทนราษฎรชุดแรกของประเทศไทย ซึ่งมีการแต่งตั้ง วันที่ 28_มิถุนายน_พ.ศ._2475 และเป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนแรกของประเทศไทยด้วย[12] เมื่อมีการแต่งตั้งคณะกรรมการราษฎร เพื่อทำหน้าที่บริหารประเทศนั้น หลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้ดำรงตำแหน่งกรรมการราษฎรอีกหนึ่งตำแหน่งด้วย[13]
เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ประกาศใช้ในวันที่ 10_ธันวาคม_พ.ศ._2475 “คณะกรรมการราษฎร” ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “คณะรัฐมนตรี” ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ในช่วงนี้หลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีลอย ในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ด้วย ต่อมาเมื่อเกิดปัญหาเกี่ยวกับเค้าโครงเศรษฐกิจ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีได้ออกกฎหมายว่าด้วยคอมมิวนิสต์ขึ้นมา และได้บีบบังคับให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรมเดินทางออกนอกประเทศ ในวันที่ 12_เมษายน_พ.ศ._2476[14] ต่อมาในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2476 พระยาพหลพลพยุหเสนา แกนนำคณะราษฎร สายทหารบก ได้ยึดอำนาจจากพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน หลังจากนั้นได้เรียกตัวหลวงประดิษฐ์มนูธรรมกลับมา และได้แต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 2 ใน พ.ศ. 2476 และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในช่วง พ.ศ. 2477 – 2478[15] และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในช่วง พ.ศ. 2479 – 2481 เมื่อหลวงพิบูลสงคราม ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ใน พ.ศ. 2481 หลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้ร่วมคณะรัฐมนตรีด้วย โดยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จนกระทั่ง พ.ศ. 2484 มีความขัดแย้งกับนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรมถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรี และดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์[16]
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หลวงประดิษฐ์มนูธรรมมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นผู้ช่วยให้ประเทศรอดพ้นสภาวะประเทศที่แพ้สงคราม ส่งผลให้ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2489 หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จนกระทั่งเกิดกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ทำให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรมต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ แต่ก็ยังคงบทบาททางการเมืองอยู่ จนกระทั่งเกิดการยึดอำนาจของคณะทหารนำโดยพลโท ผิน ชุณหะวัณ ส่งผลให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรมหมดบทบาททางการเมืองโดยสิ้นเชิง[17]
ผลงานที่สำคัญในทางการเมือง
ผลงานที่สำคัญในทางการเมืองของหลวงประดิษฐ์มนูธรรมมีอยู่หลายด้าน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น ผลงานในคณะราษฎร ผลงานในด้านนิติบัญญัติ ผลงานในด้านการคลัง ผลงานในด้านการระหว่างประเทศ ผลงานด้านการศึกษา และผลงานในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
“ผลงานในคณะราษฎร” หลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็น 1 ใน 7 คณะผู้ก่อการเริ่มต้นของคณะราษฎร ที่มีการประชุมกัน ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2470 ประกอบด้วย หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) หลวงพิบูลสงคราม (ร้อยโท แปลก ขีตตะสังคะ) หลวงทัศนัยนิยมศึก (ร้อยตรี ทัศนัย มิตรภักดี) หลวงสิริราชไมตรี (นายจรูญ สิงหเสนี) ร้อยโท ประยูร ภมรมนตรี นายตั้ว ลพานุกรม และนายแนบ พหลโยธิน[18] จนกระทั่งมีการขยายวงไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือการปฏิวัติสยาม ใน พ.ศ. 2475 โดยหลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นผู้คิดชื่อ “คณะราษฎร” เพื่อบ่งบอกว่าอำนาจการปกครองจะเป็นของราษฎร โดยราษฎร และเพื่อราษฎร[19] นอกจากนี้ยังได้กำหนด หลัก 6 ประการ ของคณะราษฎร ได้แก่ เอกราช ความปลอดภัย เศรษฐกิจ เสมอภาค เสรีภาพ และการศึกษา[20] จึงได้รับการขนานนามว่า “มันสมองของคณะราษฎร”
“ผลงานในด้านนิติบัญญัติ” หลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้เป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนแรก และเป็นสมาชิกสมาผู้แทนราษฎรในชุดแรก และชุดต่อ ๆ มา ส่งผลให้มีส่วนสำคัญในการร่างกฎหมายที่สำคัญหลายฉบับ อาทิ กฎหมายปรับปรุงกระทรวง_ทบวง_กรม_พ.ศ._2476 กฎหมายเทศบาล_พ.ศ._2476[21] นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 3 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว_พ.ศ._2475 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พ.ศ._2489[22] ซึ่งมีส่วนสร้าง “ประชาธิปไตย” ให้กับสังคมไทย
“ผลงานในด้านการคลัง” ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้น หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ได้ริเริ่มครั้งแรกโดยเสนอเป็น “เค้าโครงเศรษฐกิจ” หรือที่เรียกว่า “สมุดปกเหลือง” ซึ่งมีเนื้อหาสำคัญสอดรับกับหลักเรื่องเศรษฐกิจ ในหลัก 6 ประการ แต่ได้รับการกล่าวหาว่าเข้าข่ายพฤติกรรมอันเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งข้อเสนอในเค้าโครงเศรษฐกิจ ได้เกิดขึ้นจริงภายหลังหลายประการ เช่น ธนาคารแห่งชาติ สวัสดิการสังคม เป็นต้น[23] นอกจากนี้หลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้ปรับปรุงระบบภาษี โดยยกเลิกภาษีรัชชูปการ และใช้ระบบ “ประมวลรัษฎากร” ขึ้นเป็นครั้งแรก[24]
“ผลงานในด้านการระหว่างประเทศ” ในช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หลวงประดิษฐ์มนูธรรมมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้มีการเจรจาแก้ไข “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” ส่งผลให้ประเทศไทยมีเอกราช และอำนาจอธิปไตยที่สมบูรณ์ ซึ่งสอดรับกับหลักเรื่องเอกราช ในหลัก 6 ประการ นอกจากนี้หลวงประดิษฐ์มนูธรรมมีส่วนสำคัญในการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาต่าง ๆ ที่ประเทศไทยเสียเปรียบต่างชาติ ให้มีความเสมอภาคมากขึ้น และยังเจรจาเรื่องดินแดนที่เคยสูญเสียให้ประเทศอังกฤษ กลับมาเป็นของประเทศไทยอีกด้วย[25]
“ผลงานในด้านการศึกษา” หลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้จัดตั้ง “มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง” ขึ้นใน พ.ศ. 2477 โดยมีลักษณะเป็นตลาดวิชา เพื่อให้สอดรับกับหลักเรื่องการศึกษา เสมอภาค และเสรีภาพ ตามหลัก 6 ประการ โดยหลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้ดำรงตำแหน่ง “ผู้ประศาสน์การ” จนกระทั่ง พ.ศ. 2490 โดยเจตจำนงของการก่อตั้งมหาวิทยาลัยนั้น หลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยย่อมอุปมาประดุจบ่อน้ำ บำบัดความกระหายของราษฎร”[26]
“ผลงานในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2” ในช่วงเวลาที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น รัฐบาลไทยได้เข้าร่วมกับฝ่ายญี่ปุ่น แต่หลวงประดิษฐ์มนูธรรมดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้มีการจัดตั้งกลุ่มต่อต้านญี่ปุ่นที่เรียกว่า “ขบวนการเสรีไทย” โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งฝ่ายขวา กลุ่มเชื้อพระวงศ์ และฝ่ายซ้าย กลุ่ม ส.ส. อีสาน[27] โดยหลวงประดิษฐ์มนูธรรมใช้นามแฝงว่า “รูธ”[28] นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่เข้าร่วมในต่างประเทศอีกมากมาย จนสามารถจัดตั้งเป็นเสรีไทยในประเทศอังกฤษ และสหรัฐอเมริกาขึ้นมาได้ โดยได้รับการสนับสนุนให้ร่วมฝึกในหน่วย OSS ของอังกฤษ[29] จนกระทั่งหลังสิ้นสุดสงคราม ประเทศญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ แต่ด้วยบทบาทของขบวนการเสรีไทย ส่งผลให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม โดยหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ออก “ประกาศสันติภาพ” ให้คำประกาศสงครามเป็นโมฆะ ในวันที่ 16_สิงหาคม_พ.ศ._2488 ส่งผลให้วันที่ 16 สิงหาคม ของทุกปีเป็นวัน “สันติภาพไทย”
ภายหลังจากการยึดอำนาจใน พ.ศ. 2490 หลวงประดิษฐ์มนูธรรมต้องลี้ภัยทางการเมืองไปยังประเทศจีน 21 ปี โดยใช้เวลาไปกับการอ่านงานของนักคิดต่าง ๆ และเขียนหนังสือ นอกจากนี้ยามว่างจะใช้เวลาไปกับการปรุงอาหารรับประทานกับมิตรสหาย[30] ต่อมาได้ย้ายไปพำนัก ณ ประเทศฝรั่งเศส ใน พ.ศ. 2513 และอาศัยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรม
ข้อครหาและคำยกย่องเชิดชูเกียรติ
แม้ว่าหลวงประดิษฐ์มนูธรรม โดนข้อครหาต่าง ๆ นานา อาทิ การเป็นคอมมิวนิสต์ รวมถึงการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ หลังจากกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 แต่ข้อครหาดังกล่าวได้รับการพิสูจน์ในเวลาต่อมา พบว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด[31] แม้ว่ามีความพยายามของกลุ่มเครือข่ายของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม รวมถึงนายทหารเรือที่จะนำหลวงประดิษฐ์มนูธรรมหวนคืนสู่การเมืองไทยอีกครั้ง ในเหตุการณ์ “กบฏวังหลวง” และ “กบฏเสนาธิการ” แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
กระนั้นหลวงประดิษฐ์มนูธรรม เป็นที่ยกย่องในวงกว้าง ช่วง พ.ศ. 2488 ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง หลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็น “รัฐบุรุษอาวุโส” มีหน้าที่ให้คำปรึกษาในการบริหารราชการแผ่นดิน[32] ก่อนที่ภาพลักษณ์ของหลวงประดิษฐ์มนูธรรมจะเปลี่ยนแปลงไป พร้อมกับอำนาจทางการเมืองที่เลือนหาย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2543 หลังจากหลวงประดิษฐ์มนูธรรมถึงแก่อสัญกรรมไปแล้ว 17 ปี UNESCO ได้ยกย่องให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรม เป็นบุคคลสำคัญของโลก ประจำปี พ.ศ. 2543 เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี ชาตกาล หลวงประดิษฐ์มนูธรรม
นอกจากนี้ ชื่อของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ได้นำมาใช้ตั้งเป็นชื่อสายพันธุ์ของสัตว์ชนิดใหม่ ๆ ที่มีการค้นพบ โดยมีอยู่ 2 ชนิด คือ “นกปรีดี” ค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2471 ที่จังหวัดเชียงใหม่[33] และ “ปลาทองปล้องปรีดี” ค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2546 โดยทั้ง 2 สายพันธุ์ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ “รัฐบุรุษอาวุโส” ผู้ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทย
บรรณานุกรม
คณะกรรมการจัดทำคู่มือนำชมห้องอนุสรณสถาน, อนุสรณสถาน ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2539).
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ประวัติศาสตร์การเมืองไทย 2475-2500, (กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2544).
วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, บางหน้าในประวัติศาสตร์ไทย อัตชีวประวัติของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แสงดาว, 2549).
นรนิติ เศรษฐบุตร, การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย, (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2554).
สุพจน์ ด่านตระกูล, ชีวิตและงานของดร.ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ : ประจักษ์การพิมพ์, 2514).
อนุสรณ์ ธรรมใจ, ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษผู้อภิวัฒน์, (กรุงเทพฯ : กรุงเทพธุรกิจบิซบุ๊ค, 2552).
อรุณ เวชสุวรรณ, รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์อรุณวิทยา, 2550).
เว็บไซต์
ทำเนียบเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, เข้าถึงจาก <http://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/more_news.php?cid=2104> เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2559.
อ้างอิง
[1] คำกราบบังคมทูลของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) ในฐานะผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มธก.) ต่อผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในวันสถาปนามหาวิทยาลัย วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2477.
[2]อนุสรณ์ ธรรมใจ, ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษผู้อภิวัฒน์, (กรุงเทพฯ : กรุงเทพธุรกิจบิซบุ๊ค, 2552), น. 39.
[3] วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, บางหน้าในประวัติศาสตร์ไทย อัตชีวประวัติของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แสงดาว, 2549), น. 15.
[4] อรุณ เวชสุวรรณ, รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์อรุณวิทยา, 2550), น. 85.
[5] เพิ่งอ้าง, น. 86.
[6] คณะกรรมการจัดทำคู่มือนำชมห้องอนุสรณสถาน, อนุสรณสถาน ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2539), น. 3.
[7] เพิ่งอ้าง, น. 4.
[8] วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, อ้างแล้ว, น. 469.
[9] อรุณ เวชสุวรรณ, อ้างแล้ว, น. 87.
[10] คณะกรรมการจัดทำคู่มือนำชมห้องอนุสรณสถาน, อ้างแล้ว, น. 3.
[11] สุพจน์ ด่านตระกูล, ชีวิตและงานของดร.ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ : ประจักษ์การพิมพ์, 2514), น. 26.
[12] ทำเนียบเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, เข้าถึงจาก http://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/more_news.php?cid=2104 เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2559.
[13] นรนิติ เศรษฐบุตร, การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย, (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2554), น. 11-15.
[14] วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, อ้างแล้ว, น. 106-107.
[15] นรนิติ เศรษฐบุตร, อ้างแล้ว, น. 47-49.
[16] สุพจน์ ด่านตระกูล, อ้างแล้ว, น. 311-324.
[17] วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, อ้างแล้ว, น. 417-426.
[18] เพิ่งอ้าง, น. 48-49.
[19] นรนิติ เศรษฐบุตร, อ้างแล้ว, น. 4-5.
[20] อนุสรณ์ ธรรมใจ, อ้างแล้ว, น. 70.
[21] คณะกรรมการจัดทำคู่มือนำชมห้องอนุสรณสถาน, อ้างแล้ว, น. 22.
[22] เพิ่งอ้าง.
[23] สุพจน์ ด่านตระกูล, อ้างแล้ว, น. 65.
[24] อรุณ เวชสุวรรณ, อ้างแล้ว, น. 105-108.
[25] เพิ่งอ้าง, น. 101-103.
[26] คณะกรรมการจัดทำคู่มือนำชมห้องอนุสรณสถาน, อ้างแล้ว, น. 14.
[27] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ประวัติศาสตร์การเมืองไทย 2475-2500, (กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2544), น. 327-335.
[28] อนุสรณ์ ธรรมใจ, อ้างแล้ว, น. 115-143.
[29] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อ้างแล้ว, น. 331-339.
[30] วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, อ้างแล้ว, น. 453.
[31] สุพจน์ ด่านตระกูล, อ้างแล้ว, น. 467-490.
[32] เพิ่งอ้าง, น. 374-375.
[33] คณะกรรมการจัดทำคู่มือนำชมห้องอนุสรณสถาน, อ้างแล้ว, น. (5).