สภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550
ผู้เรียบเรียง : เอกวีร์ มีสุข
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร. นิยม รัฐอมฤต
สภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550
การนำเสนอเนื้อหาสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 แบ่งเนื้อหาออกเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วย หนึ่ง เหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2549 และการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 สอง การตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เพื่อร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พุทธศักราช 2550) สาม การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ
เหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2549 และการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
การรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 มีสาเหตุจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองไทยภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2548 ที่พรรคไทยรักไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ทักษิณ_ชินวัตร ที่ได้คะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ในช่วงเวลาดังกล่าวเกิดปัญหาจากกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลการทำงานรัฐสภาและปัญหาการทำงานขององค์กรอิสระเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล รวมถึงการต่อต้านจากพรรคการเมืองฝ่ายค้านต่อรัฐบาลในขณะนั้นอย่างหนัก
ขณะเดียวกันเกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อต้านการทำงานของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยจากการวิพากษ์วิจารณ์โดยนักวิชาการ สื่อมวลชน และข้าราชการ ในประเด็นการทุจริตของรัฐบาล การดำเนินนโญบายประชานิยม และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ รวมถึงเกิดขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกสภาอย่างขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ได้เคลื่อนไหวโดยมีข้อเสนอให้นายกรัฐมนตรีลาออกและเรียกร้องการปฏิรูปการเมืองโดยการร้องขอนายกรัฐมนตรีพระราชทานเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมือง และการเรียกร้องให้ทหารเข้ามามีบทบาทแทรกแซงทางการเมือง ขณะเดียวกันก็เกิดขบวนการสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่ได้รับเสียงสนับสนุนจากการเลือกตั้งจำนวนมากจากประชาชนคู่ขนานกัน จากความตึงเครียดทางการเมืองดังกล่าวทำให้นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ตัดสินใจประกาศยุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ใน วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 แต่เนื่องจากกระแสต่อต้านการเลือกตั้งจากพรรคฝ่ายค้านที่ปฏิเสธไม่ส่งคนลงรับเลือกตั้ง คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน แม้พรรคไทยรักไทยสามารถชนะการเลือกตั้ง แต่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาได้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยความชอบรัฐธรรมนูญในการจัดการเลือกตั้งครั้งนั้น โดยศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้การเลือกตั้งดังกล่าวมิชอบด้วยกฎหมายและให้จัดการเลือกตั้งใหม่
ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความตึงเครียดทางการเมืองดังกล่าว ประกอบกับกระแสการเรียกร้องให้ทหารเข้ามามีบทบาทแทรกแซงทางการเมือง พล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้นได้ทำรัฐประหารใน วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยใช้ชื่อคณะทหารว่าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)[1] ขณะที่นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร กำลังเดินทางเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาและได้ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 โดย คปค. ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_(ฉบับชั่วคราว)_พุทธศักราช_2549 มาใช้เป็นการชั่วคราว โดยมีคำปรารภระบุสาเหตุของการรัฐประหารและการยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ไว้ว่า
“...เหตุที่ทำการยึดอำนาจและประกาศให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเสียนั้น ก็โดยปรารถนาจะแก้ไขความเสื่อมศรัทธาในการบริหารราชการแผ่นดิน ความไร้ประสิทธิภาพในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ทำให้เกิดการทุจริตและประพฤติมิชอบขึ้นอย่างกว้างขวาง โดยไม่อาจหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ อันเป็นวิกฤติการณ์ร้ายแรงทางการเมืองการปกครอง และปัญหาความขัดแย้งในมวลหมู่ประชาชนที่ถูกปลุกปั่นให้แบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่ายจนเสื่อมสลายความรู้รักสามัคคีของชนในชาติ อันเป็นวิกฤติการณ์รุนแรงทางสังคม แม้หลายภาคส่วนจะได้ใช้ความพยายามแก้ไขวิกฤติการณ์ดังกล่าวแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล กลับมีแนวโน้มว่า จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จนถึงขั้นใช้กำลังเข้าปะทะกัน ซึ่งอาจมีการสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อได้ นับว่า เป็นภยันตรายใหญ่หลวงต่อระบอบการปกครอง ระบบเศรษฐกิจ และความสงบเรียบร้อยของประเทศ จำเป็นต้องกำหนดกลไกทางปกครองที่เหมาะสมแก่สถานการณ์เพื่อใช้ไปพลางก่อน...”[2]
การตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เพื่อร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พุทธศักราช 2550)
จากคำปรารถของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 กำหนดให้ “...เร่งดำเนินการให้มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ด้วยการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางจากประชาชนในทุกขั้นตอน เพื่อให้การเป็นไปตามที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้นำความกราบบังคมทูล...”[3] โดยให้ตั้งสมัชชาแห่งชาติจำนวนไม่เกิน 2,000 คน เพื่อให้สมาชิกสมัชชาแห่งชาติคัดเลือกสมาชิกด้วยกันเองเพื่อเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 200 คน โดยสมัชชาแห่งชาติจะนำเสนอบัญชีรายชื่อที่ได้รับการคัดเลือกให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) คัดเลือกบุคคลตามบัญชีรายชื่อ จำนวน 100 คน เพื่อแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ประกอบด้วยสมาชิก จำนวน 100 คน โดยมีประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 1 คน และรองประธานสภารัฐธรรมนูญจำนวนไม่เกิน 2 คน ที่มาจากการลงมติของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ โดยศาสตราจารย์พิเศษนรนิติ_เศรษฐบุตร ได้รับเลือกเป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ นายเสรี สุวรรณภานนท์ เป็นรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ คนที่ 1 และนายเดโช สวนานนท์ เป็นรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ คนที่ 2[4] สภาร่างรัฐธรรมนูญได้ตั้งคณะกรรมาธิการชุดต่าง ๆ เพื่อทำงานด้านต่าง ๆ
1. คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน เพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จโดยมีนาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นศิริเป็นประธาน โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้ตั้งคณะอนุกรรมาธิการเพื่อพิจารณาศึกษาในประเด็นต่าง ๆ จำนวน 6 คณะ คือ
1) คณะอนุกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญกรอบที่ 1 ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพ การมีส่วนร่วมของประชาชน และการกระจายอำนาจ
2) คณะอนุกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญกรอบที่ 2 ว่าด้วยสถาบันการเมือง
3) คณะอนุกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญกรอบที่ 3 ว่าด้วยองค์กรตรวจสอบอิสระและศาล
4) คณะอนุกรรมาธิการติดตามผลและประสานการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชน
5) คณะอนุกรรมาธิการจัดทำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และ
6) คณะอนุกรรมาธิการจัดทำข้อเสนอแนะในการตราหรือแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ
2. คณะกรรมาธิการวิสามัญประสานการมีส่วนร่วมและการประชามติ เพื่อทำหน้าที่
1) พิจารณากำหนดกรอบและแนวทางในการดำเนินงานรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ
2) จัดทำข้อสรุปความคิดเห็นของประชาชนในประเด็นที่สำคัญ ๆ ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ
3) ประสานงานในการรับฟังความคิดเห็นกับคณะกรรมการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม และภาควิชาการ และ
4) ดำเนินการศึกษา สำรวจความคิดเห็นของประชาชนในประเด็นสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ
โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้ตั้งคณะอนุกรรมาธิการเพื่อศึกษาเรื่องต่าง ๆ จำนวน 7 คณะ ดังนี้
1) คณะอนุกรรมาธิการประมวลความคิดเห็นประชาชนสู่รัฐธรรมนูญ กรอบที่ 3 องค์กรอิสระและศาล
2) คณะอนุกรรมาธิการประมวลความคิดเห็นประชาชนสู่รัฐธรรมนูญ กรอบที่ 2 สถาบันการเมือง
3) คณะอนุกรรมาธิการประมวลความคิดเห็นประชาชนสู่รัฐธรรมนูญ กรอบที่ 1 สิทธิเสรีภาพของประชาชน
4) คณะอนุกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นองค์กรเครือข่ายภาคประชาชน
5) คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาและสำรวจความคิดเห็นของประชาชน
6) คณะอนุกรรมาธิการประสานการมีส่วนร่วมของประชาชน 4 ภาค และ
7) คณะอนุกรรมาธิการประมวลประเด็นความเห็นและข้อเสนอแนะต่อร่างรัฐธรรมนูญ
3. คณะกรรมาธิการยกร่างหลักเกณฑ์วิธีการออกเสียงประชามติ และการออกเสียงประชามติ เพื่อดำเนินการ
1) พิจารณากำหนด รูปแบบ แนวทางและวิธีการในการยกร่างหลักเกณฑ์ วิธีการออกเสียงประชามติ และการจัดให้มีการออกเสียงประชามติ
2) พิจารณาดำเนินการในการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการในการออกเสียงประชามติเพื่อบังคับใช้ในการออกเสียงประชามติอย่างถูกต้อง เหมาะสม และ
3) ดำเนินการและควบคุมการจัดให้มีการออกเสียงประชามติโดยประสานงานกับคณะกรรมการการเลือกตั้งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การออกเสียงประชามติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
4. คณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อให้ข้อเสนอแนะ ประสาน ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนแก่คณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อให้ข้อเสนอแนะ ประสานให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนแก่คณะกรรมการการเลือกตั้งรวมทั้งติดตามให้มีการปฏิบัติตามประกาศสภาร่างรัฐธรรมนูญ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญ และการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2550[5]
รูปภาพที่ 2 : สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550
![]() |
![]() |
ศาสตราจารย์พิเศษนรนิติ เศรษฐบุตร ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) |
นาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นศิริ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ |
คณะกรรมาธิการได้พิจารณากำหนดกรอบแนวทางหลักในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเป็น 3 กรอบ คือ กรอบที่ 1 ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพ การมีส่วนร่วมของประชาชน และการกระจายอำนาจ กรอบที่ 2 ว่าด้วยสถาบันการเมือง และกรอบที่ 3 ว่าด้วยองค์กรตรวจสอบอิสระและศาล[6]
การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ
ส่วนการเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญได้จัดให้มีการออกเสียงประชามติ โดยให้ประชาชนออกเสียงให้ความเห็นขอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 มาตรา 29 กำหนดว่าเมื่อสภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วต้องเผยแพร่ให้ประชาชนทราบและจัดให้มีการออกเสียงประชามติ เพื่อให้ประชาชนให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับและให้จัดการออกเสียงประชามติภายในวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร
สภาร่างรัฐธรรมนูญจึงได้ออกประกาศสภาร่างรัฐธรรมนูญ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญและการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2550 มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดให้สภาร่างรัฐธรรมนูญตั้งคณะกรรมาธิการทำหน้าที่เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญและจัดทำเอกสารชี้แจงประชาชนทราบถึงสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ และชี้ถึงความแตกต่างกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 โดยให้คณะกรรมาธิการพิจารณารูปแบบ แนวทาง และวิธีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กับสื่อประชาสัมพันธ์ของภาครัฐและเอกชนอย่างกว้างขวางและทั่วถึง
2. กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่กระบวนการและขั้นตอนการออกเสียงประชามติให้ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึง
3. กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ดำเนินการจัดและควบคุมการออกเสียงประชามติให้เป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรมตามที่สภาร่างรัฐธรรมนูญมอบหมาย โดยให้คณะกรรมการการเลือกตั้งทำหน้าที่ออกประกาศและระเบียบที่จำเป็นในการดำเนินการ
4. การออกเสียงประชามติให้ใช้วิธีการออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ ให้กระทำภายในวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร โดยให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตออกเสียง ในแต่ละจังหวัดให้กำหนดหน่วยออกเสียงที่คำนึงถึงจำนวนของผู้มีสิทธิออกเสียงโดยถือเกณฑ์จำนวนผู้มีสิทธิแต่ละหน่วยจำนวน 800 คน เป็นประมาณ และความสะดวกในการเดินทางไปใช้สิทธิลงประชามติของประชาชน
5. กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิออกเสียงต้องมีสัญชาติไทย (แต่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติไทยต้องได้สัญชาติไทยมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี) มีอายุไม่ต่ากว่า 18 ปีบริบูรณ์ ในวันที่ 1 มกราคมของปีที่มีการออกเสียง และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตออกเสียงมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 30 วัน นับถึงวันออกเสียงประชามติ และไม่เป็นบุคคลต้องห้ามตามที่ประกาศกำหนด
6. กำหนดให้มีหีบบัตรออกเสียงและบัตรออกเสียงประชามติที่เหมาะสมและอำนวยความสะดวกแก่ผู้มีสิทธิออกเสียง
7. กำหนดระยะเวลาในการออกเสียงประชามติ ระหว่างเวลา 08.00 - 16.00 น.[7]
รูปภาพที่ 2 : ตัวอย่างบัตรออกเสียงประชามติ


ที่มา : สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ประกาศสภาร่างรัฐธรรมนูญ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญ และการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2550, ใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอนที่ 30 ง, (ราชกิจจานุเบกษา, 16 มีนาคม 2550).
นอกจากนี้ ภายหลังจากการร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ ได้มีการเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับลงประชามติให้กับประชาชนทุกครัวเรือนทั่วประเทศ ในช่วงรณรงค์ก่อนการออกเสียงประชามติมีทั้งฝ่ายสนับสนุนที่มองว่าร่างรัฐธรรมนูญได้แก้ไขจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และช่วยให้ประเทศไทยกลับสู่ระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตยอีกครั้ง แต่ฝ่ายคัดค้านมองว่าควรนำรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 กลับมาใช้อีกครั้ง มองว่าเป็นร่างรัฐธรรมนูญที่มีกระบวนการได้มาที่ไม่ชอบธรรมจากการรัฐประหาร และควรให้มีกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเสรีและทั่วถึงมากขึ้น โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยสามารถแสดงความคิดได้อย่างเสรี[8] ขณะที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประสานการดำเนินงานกับหน่วยงานจำนวนมากเพื่อจัดประชามติ เช่น กรมการปกครอง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ รวมถึงจัดอาสาสมัครเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนมาออกเสียงประชามติผ่านอาสาสมัครในการลงพื้นที่ต่าง ๆ และการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อและการโฆษณา[9]
การลงประชามติรัฐธรรมนูญจัดขึ้นใน วันที่ 19 สิงหาคม 2550 ถือเป็นการจัดประชามติเพื่อรับร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรกของประเทศไทยที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางตรง มีประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญ ร้อยละ 57.81 และไม่รับร่าง ร้อยละ 42.19[10] ภายหลังการจัดทำประชามติจึงนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงลงพระปรมาภิไธยทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อบังคับใช้ใน วันที่ 24 สิงหาคม 2550 เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พุทธศักราช 2550)
ตารางที่ 1 : ผลการออกเสียงประชามติ วันที่ 19 สิงหาคม 2550
การใช้สิทธิออกเสียงประชามติ รวมทั้งประเทศ |
|
จำนวนผู้มีสิทธิออกเสียง |
45,092,955 คน |
จำนวนผู้มาใช้สิทธิออกเสียง |
25,978,954 คน (57.61%) |
จำนวนบัตรที่นับเป็นคะแนน |
25,474,747 บัตร (98.06%) |
จำนวนบัตรที่ไม่นับเป็นคะแนน |
504,207 บัตร (1.94%) |
ผลการออกเสียงประชามติ รวมทั้งประเทศ |
|
เห็นชอบ |
14,727,306 เสียง (57.81%) |
ไม่เห็นชอบ |
10,747,441 เสียง (42.19%) |
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, ข้อมูลสถิติการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2550 (กรุงเทพมหานคร: วิสม่า เอเชีย, 2559), 1.
บรรณานุกรม
นรนิติ เศรษฐบุตร. รัฐธรรมนูญกับการเมืองไทย. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2550.
เบเคอร์, คริส และ ผาสุก พงษ์ไพจิตร. ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มติชน, 2557.
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549, ใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 123 ตอนที่ 102 ก., 1 ตุลาคม 2549.
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. ประกาศสภาร่างรัฐธรรมนูญ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญ และการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2550, ใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอนที่ 30 ง., 16 มีนาคม 2550.
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. ประกาศแต่งตั้งประธานและรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ, ใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอนพิเศษ 3 ง., 11 มกราคม 2550.
วิรพา อังกูรทัศนียรัตน์. "นับถอยหลัง "รับ-ไม่รับ" ร่างรัฐธรรมนูญ 2550 การเมืองไทยจะไปทางไหน?" สารคดีสิงหาคม 2550.
วิวัฒน์ เอี่ยมไพรวัน และ ชรินทร์ สันประเสริฐ. "รัฐธรรมนูญกับการเมืองการปกครองไทย." ใน เอกสารการสอนชุดวิชาสถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย, ฐปนรรต พรหมอินทร์ (บรรณาธิการ), 1-148. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2561.
วีระ สมความคิด. การติดตามการออกเสียงประชามติ เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร. กรุงเทพมหานคร: สถาบันพระปกเกล้า, 2550.
สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. "รายงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ." สืบค้นเมื่อ 14 กรกฎาคม, 2564. https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_dl_link.php?nid=8267&filename=index.
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง. ข้อมูลสถิติการออกเสียงประชามติพ.ศ.2550. กรุงเทพมหานคร: วิสม่า เอเชีย, 2559.
อ้างอิง
[1] คริส เบเคอร์ และ ผาสุก พงษ์ไพจิตร, ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มติชน, 2557). นรนิติ เศรษฐบุตร, รัฐธรรมนูญกับการเมืองไทย (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2550), 334-39. และวิวัฒน์ เอี่ยมไพรวัน และ ชรินทร์ สันประเสริฐ, "รัฐธรรมนูญกับการเมืองการปกครองไทย," ใน เอกสารการสอนชุดวิชาสถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย, ฐปนรรต พรหมอินทร์ (บรรณานุกรม) (นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2561), 126-32.
[2] สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549, ใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 123 ตอนที่ 102 ก, (ราชกิจจานุเบกษา, 1 ตุลาคม 2549).
[3] อ้างแล้ว.
[4] สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ประกาศแต่งตั้งประธานและรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ, ใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอนพิเศษ 3 ง, (ราชกิจจานุเบกษา, 11 มกราคม 2550).
[5] สรุปจาก วีระ สมความคิด, การติดตามการออกเสียงประชามติ เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กรุงเทพมหานคร: สถาบันพระปกเกล้า, 2550), 23-32.
[6] สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, "รายงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ," สืบค้นเมื่อ 14 กรกฎาคม, 2564. https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_dl_link.php?nid=8267&filename=index.
[7] สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ประกาศสภาร่างรัฐธรรมนูญ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญ และการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2550, ใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอนที่ 30 ง, (ราชกิจจานุเบกษา, 16 มีนาคม 2550). และ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, ข้อมูลสถิติการออกเสียงประชามติพ.ศ.2550 (กรุงเทพมหานคร: วิสม่า เอเชีย, 2559), 3.
[8] วิรพา อังกูรทัศนียรัตน์, "นับถอยหลัง "รับ-ไม่รับ" ร่างรัฐธรรมนูญ 2550 การเมืองไทยจะไปทางไหน?," สารคดี, สิงหาคม 2550.
[9] สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, 4-5.
[10] อ้างแล้ว., 1.