การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง : สุเทพ ลีรพงษ์กุล

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง


พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายประเภทหนึ่งที่เริ่มนำมาใช้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับกฎเกณฑ์การปกครองประเทศแยกออกจากรัฐธรรมนูญโดยจะมีรายละเอียดวิธีการปฏิบัติไว้ เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ไม่สมควรกำหนดรายละเอียดไว้ให้เยิ่นเย้อ และทำให้รัฐธรรมนูญที่แก้ไขได้ยากจดจำได้ง่ายขึ้น[1] อนึ่ง การตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญสมควรตราได้ยากกว่าพระราชบัญญัติทั่วไป



ความหมาย

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (Organic Law) คือพระราชบัญญัติประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษมีลำดับศักดิ์ทางกฎหมาย (Hierachy of Law) สูงกว่าพระราชบัญญัติทั่วไป แต่มีศักดิ์ทางกฎหมายต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับองค์การ หรือการดำเนินงานขององค์การต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญจึงสมควรแก้ไขได้ยากกว่าพระราชบัญญัติทั่วไปด้วย เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ผู้มีอำนาจในแวดวงรัฐสภาหรือคณะรัฐมนตรีและผู้มีอิทธิพลทางการเมืองดำเนินการแก้ไขกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญไปในทางที่เป็นประโยชน์แก่ตนเองหรือพวกพ้อง ทำให้ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ตามรัฐธรรมนูญ

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ส่วนที่ ๖ การตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๓๘ บัญญัติว่า “ให้มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังต่อไปนี้

(๑) [[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา]]

(๒) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการเลือกตั้ง

(๓) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง

(๔) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ

(๕) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

(๖) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

(๗) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน

(๘) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

(๙) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน”


การริเริ่มการเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๓๙ บัญญัติว่า “ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญจะเสนอได้ก็แต่โดย

(๑) คณะรัฐมนตรี

(๒) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือ

(๓) ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา หรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญซึ่งประธานศาลและประธานองค์กรนั้นเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้น

ดังนั้น ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ไม่ได้ให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และ


การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔๐ บัญญัติว่า “การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาให้กระทำเป็นสามวาระ คือ

(๑) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการ และในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ให้ถือเสียงข้างมากของแต่ละสภา

(๒) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สาม ต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ออกใช้เป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา”

ทั้งใน (๑) และ (๒) นี้ใช้บังคับทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา อนึ่ง คำว่า “เสียงข้างมากของแต่ละสภา” หมายความว่า สมาชิกที่ได้เข้าประชุม ตัวอย่างเช่น จำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีในสภาผู้แทนราษฎร ๕๐๐ คน ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๑ ข้อ ๑๘ กำหนดองค์ประชุมไว้ต้องมีสมาชิกลงชื่อมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ จึงจะเป็นองค์ประชุม เมื่อมีสมาชิกเข้าร่วมประชุมครบองค์ประชุม จำนวน ๒๕๐ คน เมื่อเปิดประชุมและมีการออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการแล้ว ต้องนับจำนวนได้ไม่น้อยกว่า ๑๗๕ คน ถือเป็นเสียงข้างมากแล้ว หากเปรียบเทียบกับจำนวนสมาชิกทั้งหมดในสภาผู้แทนราษฎรจะไม่ถึงครึ่งคือ ๒๕๐ คน และ

คำว่า “คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา” จำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ตัวอย่างเช่น จำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีในสภาผู้แทนราษฎร ๕๐๐ คน มี ส.ส. ตายเพราะชราภาพแล้ว ๕ คน และได้รับอุบัติเหตุเสียชีวิต ๑๐ คน และยังไม่ได้มีการเลือกตั้งใหม่ทดแทน จึงมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น ๔๘๕ คน เมื่อมีสมาชิกเข้าร่วมประชุมครบองค์ประชุม จำนวน ๒๔๓ คน เมื่อเปิดประชุมและมีการออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สาม ต้องนับจำนวนได้ไม่น้อยกว่า ๒๔๓ คน จึงถือว่าเป็นคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่นั่นเอง ไม่ได้คำนวณจากจำนวน ส.ส. ที่ได้รับเลือกตั้งทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ ๕๐๐ คนหรือจากจำนวนสมาชิกเข้าร่วมประชุม กรณีสัดส่วนคำนวณได้ผลลัพธ์เป็นทศนิยมต้องปัดเศษขึ้นทุกกรณี

อนึ่ง ทางปฏิบัติเมื่อครบองค์ประชุมและมีการประชุมแล้ว เมื่อมีการออกเสียงลงคะแนนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ปฏิบัติภาระหน้าที่อยู่ในคณะกรรมาธิการต่าง ๆ จะเข้ามาในที่ประชุมเพื่อออกเสียงลงคะแนนอีกด้วย

นอกจากนี้ บทบัญญัติการตราพระราชบัญญัติทั่วไปก็ต้องนำมาบังคับใช้โดยอนุโลม คือ

๑. หากเป็นร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวด้วยการเงินจะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีคำรับรองของนายกรัฐมนตรี

๒. ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญต้องเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน

๓. การเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญต้องมีบันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเสนอมาพร้อมกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญอีกด้วย

๔. ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เสนอต่อรัฐสภาต้องเปิดเผยให้ประชาชนทราบและให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลรายละเอียดของร่างพระราชบัญญัตินั้นได้โดยสะดวก เกี่ยวกับการออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามนั้นในแต่ละสภาให้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา เป็นแนวเดียวกับระบบกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศฝรั่งเศส สเปน[2] และโปรตุเกส


การตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

การตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ สามารถแบ่งได้ ๒ วิธี คือ

๑. วิธีการตรวจสอบก่อนประกาศใช้เป็นกฎหมาย (A Priori Control)

การตรวจสอบว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ สามารถดำเนินการได้เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญแล้วก่อนนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องกระทำให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔๑ บัญญัติว่า

“เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญแล้ว ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญซึ่งต้องกระทำให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญใดมีข้อขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ให้ข้อความที่ขัดหรือแย้งนั้นเป็นอันตกไป ในกรณีที่วินิจฉัยว่าข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป

ในกรณีที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลทำให้ข้อความที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญเป็นอัน ตกไปตามวรรคสอง ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นกลับคืนสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อพิจารณาตามลำดับ ในกรณีเช่นว่านี้ ให้สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้ โดยมติในการแก้ไขเพิ่มเติมให้ใช้คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา แล้วให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการตามมาตรา ๙๐ มาตรา ๑๕๐ หรือมาตรา ๑๕๑ แล้วแต่กรณีต่อไป”

ผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

๑) ถ้าวินิจฉัยว่า กระบวนการตราไม่ถูกต้อง ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตกไปทั้งฉบับ

๒) ถ้าวินิจฉัยว่า บทบัญญัติที่เป็นสาระสำคัญ ขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตกไปทั้งฉบับ

๓) ถ้าวินิจฉัยว่า บทบัญญัติที่ไม่เป็นสาระสำคัญ ขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญ เฉพาะข้อความที่ขัดหรือแย้งตกไป ให้รัฐสภาดำเนินการแก้ไขข้อความที่ขัดหรือแย้ง แล้วให้นายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูล

ในกรณีที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ได้วินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ให้ข้อความที่ขัดหรือแย้งนั้นเป็นอันตกไป ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นกลับคืนสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อพิจารณาตามลำดับ ในกรณีเช่นว่านี้ให้สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ โดยมติในการแก้ไขเพิ่มเติมให้ใช้คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยต่อไป[3]

๒. วิธีการตรวจสอบหลักประกาศใช้เป็นกฎหมาย (A Posteriori Control)

ได้กำหนดไว้ ๓ แนวทาง คือ

๒.๑) ในกรณีที่ศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้ง ตามมาตรา ๒๑๑ บัญญัติว่า “ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติ แห่งกฎหมายนั้น ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา ๖ และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัยในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้ แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าคำโต้แย้งของคู่ความตามวรรคหนึ่งไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาก็ได้

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวงแต่ไม่กระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว”

ขั้นตอนการดำเนินการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญภายหลังประกาศใช้เป็นกฎหมาย ดังนี้

(๑) ศาลเห็นเองในคดี หรือคู่ความโต้แย้ง

(๒) ศาลสามารถดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปได้ แต่ต้องรอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราวและส่งบทบัญญัตินั้นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

(๓) หากไม่เป็นสาระสำคัญอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญก็จะไม่รับเรื่องไว้พิจารณา

(๔) คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวงแต่ไม่กระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว

๒.๒) ในกรณีของผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามมาตรา ๒๔๕ บัญญัติว่า “ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้ เมื่อเห็นว่ามีกรณีดังต่อไปนี้

(๑) บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

(๒) กฎ คำสั่งหรือการกระทำอื่นใดของบุคคลใดตามมาตรา ๒๔๔ (๑) (ก) มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง และให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจาณาคดีปกครอง

กระบวนการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญโดยผ่านทางผู้ตรวจการแผ่นดิน หากผู้ตรวจการแผ่นดิน เห็นว่ามีกฎหมายใดและประมวลกฎหมายมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ต้องส่งคำร้องพร้อมความเห็นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญใช้คำว่า “กฎหมายใด” ซึ่งไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าหมายถึงกฎหมายใดโดยเฉพาะ จึงต้องหมายถึง กฎหมายทุกประเภทที่มีลำดับศักดิ์ที่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ ได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด และกฎหมายลำดับรอง

๒.๓) ในกรณีของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เห็นว่ามีกฎหมายใดกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติต้องส่งคำร้องพร้อมความเห็นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๕๗ บัญญัติว่า

“คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(๑) ตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี และเสนอมาตรการการแก้ไขที่เหมาะสมต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่กระทำหรือละเลยการกระทำดังกล่าวเพื่อดำเนินการ ในกรณีที่ปรากฏว่าไม่มีการดำเนินการตามที่เสนอ ให้รายงานต่อรัฐสภาเพื่อดำเนินการต่อไป

(๒) เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่เห็นชอบตามที่มีผู้ร้องเรียนว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

(๓) เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง ในกรณีที่เห็นชอบตามที่มีผู้ร้องเรียนว่า กฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดในทางปกครองกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง

(๔) ฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหาย เมื่อได้รับการร้องขอจากผู้เสียหายและเป็นกรณีที่เห็นสมควรเพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นส่วนรวม ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ

(๕) เสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ ต่อรัฐสภาหรือคณะรัฐมนตรีเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน” ในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญใช้คำว่า “กฎหมายใด” ซึ่งไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าหมายถึงกฎหมายใดโดยเฉพาะ จึงต้องหมายถึง กฎหมายทุกประเภทที่มีลำดับศักดิ์ที่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ ได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด และกฎหมายลำดับรอง[4]


การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗

สำหรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๑ ตอนที่ ๕๕ ก หน้า ๑ ลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ มาตรา ๖ บัญญัติให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สภาเดี่ยว) ประกอบด้วยสมาชิกจำนวนไม่เกินสองร้อยยี่สิบคน ทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา ผู้ที่จะริเริ่มเสนอกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔ บัญญัติให้กระทำโดยคณะรัฐมนตรีหรือผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นคือเฉพาะ ๙ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่ได้ตราไว้ก่อนแล้วตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๓๘ ดังที่กล่าวมาข้างต้น องค์ประชุมสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม คืออย่างน้อย ๑๑๐ คน สำหรับการลงคะแนนในวาระที่หนึ่งและวาระที่สามไม่มีบัญญัติไว้

ในมาตรา ๕ บัญญัติว่า “เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ประเพณีการปกครองดังกล่าวต้องไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้” และ

มาตรา ๑๓ บัญญัติว่า “การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม

สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีอำนาจตราข้อบังคับเกี่ยวกับการเลือกและปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา รองประธานสภา และกรรมาธิการ วิธีการประชุม การเสนอและการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติและร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ การเสนอญัตติ การอภิปราย การลงมติ การตั้งกระทู้ถามการรักษาระเบียบและความเรียบร้อย และกิจการอื่นเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่”

ดังนั้น กรณีการลงคะแนนเสียงวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการและวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ให้ถือเสียงข้างมากของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และวาระที่สามนั้นต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ


อ้างอิง

  1. สมคิด เลิศไพฑูรย์, พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ, (กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, ๒๕๓๘) ,หน้า ๖.
  2. เรื่องเดียวกัน, หน้า ๘.
  3. วัชราพร ยอดมิ่ง, กระบวนการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐, วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขานิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : กทม., ๒๕๕๑, หน้า ๒๓๑.
  4. เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๓๔ – ๒๓๕.

บรรณานุกรม

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๔ ตอนที่ ๔๗ก ลงวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๐.

ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช ๒๕๕๑ ราชกิจจานุเบกษา ฉบับประกาศและงานทั่วไป เล่ม ๑๒๕ ตอนพิเศษ ๗๙ ง ลงวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๑ ตอนที่ ๕๕ ก ลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗.

สมคิด เลิศไพฑูรย์, พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) : กทม., ๒๕๓๘.

นันทวัฒน์ บรมานันท์, กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ, สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) : กทม., ๒๕๔๔.

นันทวัฒน์ บรมานันท์, กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส, สถาบันนโยบายการศึกษา : กทม., ๒๕๔๑.

วัชราพร ยอดมิ่ง, กระบวนการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐, วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขานิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : กทม., ๒๕๕๑.

หลักกฎหมายปกครองวันละเรื่อง, https://th-th.facebook.com/DroitAdministrative/posts/758814340801145 ค้นเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๗.