การลงมติ

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง : สุรัสดา บุญบางเก็ง

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง


รัฐสภาเป็นองค์กรที่มีความสำคัญในฐานะสถาบันนิติบัญญัติ โดยอำนาจหน้าที่หลัก[1] คือ อำนาจในการตรากฎหมาย อำนาจหน้าที่การให้ความเห็นชอบเรื่องสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศ อำนาจหน้าที่ในการสรรหา และถอดถอนบุคคลในองค์กรต่าง ๆ ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ รวมทั้งอำนาจหน้าที่ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีหรือฝ่ายบริหารด้วยวิธีการที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้คือ การให้สมาชิกรัฐสภาร่วมประชุมเพื่อแสดงความคิดเห็น ซึ่งรูปแบบอาจเป็นการตั้งกระทู้ถาม การขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน

การดำเนินงานของรัฐสภาที่มีสมาชิกรัฐสภาเป็นองค์ประกอบนั้น ต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ข้อบังคับการประชุมสภา กฎหมายและระเบียบต่างๆ โดยมีข้อบังคับเป็นกติกาสำหรับการประชุมนั้น การดำเนินงานประชุมสภาในแต่ละครั้ง จะต้องมีทั้งการเตรียมการก่อนประชุม การดำเนินการประชุม และการดำเนินการภายหลังการประชุมเนื่องจากการประชุมสภามีลักษณะพิเศษต่างจากการประชุมโดยทั่วไป ทั้งในเรื่องลักษณะการประชุม ผู้เข้าร่วมประชุม หัวข้อเรื่องในการประชุมและการอภิปรายเป็นต้น องค์ประกอบหนึ่งในการประชุมสภาที่มีความสำคัญภายหลังการอภิปรายสิ้นสุดลงคือ การลงมติ เป็นการหาข้อยุติหรือข้อพิจารณาในปัญหาใดปัญหาหนึ่งหรือญัตติใดญัตติหนึ่งในการประชุมสภานั้นๆ ซึ่งโดยปกติการลงมติแต่ละครั้งให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นมติของสภา ทั้งนี้เว้นแต่รัฐธรรมนูญจะได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

ความหมาย

มติ[2] แปลว่า ความเห็น , ความคิดเห็น ในภาษาไทยมักใช้ความหมายว่า ข้อวินิจฉัยที่เห็นพ้องต้องกันแล้ว เช่น ที่ประชุมมีมติให้ดำเนินการตามที่ประธานเสนอ นอกจากนั้นมีการให้คำอธิบายของคำว่าลงมติที่คล้ายคลึงกัน ดังนี้

การลงมติ คือ การออกเสียงลงคะแนนตามความคิดความเห็น เช่น เห็นชอบด้วย ไม่เห็นชอบด้วย รับหลักการ ไม่รับหลักการ เป็นต้น

การลงมติ คือ การหาข้อยุติในปัญหาใดปัญหาหนึ่ง หรือญัตติใดญัตติหนึ่ง หรืออีกนัยหนึ่งเป็นการถามความเห็นของที่ประชุมสภาต่อปัญหาใดปัญหาหนึ่ง หรือญัตติใดญัตติหนึ่ง ในที่ประชุมสภานั้นเมื่อจะต้องมีมติของสภา ประธานในที่ประชุมจะขอให้ที่ประชุมลงมติ โดยสมาชิกคนหนึ่งมีสิทธิออกเสียงได้หนึ่งเสียง มติของสภาดังกล่าวต้องเป็นไปตามเสียงข้างมาก

ความสำคัญ

การลงมติ[3] เป็นขั้นตอนการตัดสินใจหรือวินิจฉัยของที่ประชุมสภาในเรื่องประเด็น หรือญัตติที่สภาได้ทำการปรึกษาหรือพิจารณาเรื่องต่างๆ เช่น การพิจารณาญัตติ การเสนอและพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ การเสนอและพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ การพิจารณาให้ความเห็นชอบนายกรัฐมนตรี การพิจารณาในขั้นกรรมาธิการ เป็นต้น อันถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะได้นำไปปฏิบัติหรือดำเนินการต่อไป ตามที่บัญญัติไว้ตามข้อบังคับการประชุมสภา

ทั้งนี้ มติของสภาจะกระทำโดยการออกเสียงลงคะแนน ซึ่งข้อบังคับการประชุมได้กำหนดวิธีการไว้ สมาชิกคนหนึ่งมีสิทธิออกเสียงได้หนึ่งเสียง และมติของสภาให้เป็นไปตามเสียงข้างมาก ในกรณี การลงมติมีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ข้อยุติของปัญหาและเพื่อให้ได้แนวทางที่สภาจะต้องดำเนินการต่อไป

วิธีการลงมติ

การลงมติของสภา[4] สามารถกระทำโดยการออกเสียงลงคะแนน การออกเสียงลงคะแนนแบ่งเป็น 2 กรณี คือการออกเสียงลงคะแนนเปิดเผยและการออกเสียงลงคะแนนลับ โดยทั่วไปการออกเสียงลงคะแนนมักจะเป็นการออกเสียงลงคะแนนโดยเปิดเผย เว้นแต่รัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมจะได้กำหนดให้ลงคะแนนลับ

1) การออกเสียงลงคะแนนโดยเปิดเผย มีวิธีการปฏิบัติ ดังนี้

1.1) ใช้เครื่องออกเสียงลงคะแนนตามที่ประธานกำหนด หากเครื่องออกเสียงลงคะแนนขัดข้อง ให้เปลี่ยนเป็นวิธีการที่ประธานกำหนด

1.2) เรียกชื่อสมาชิกตามหมายเลขประจำตัวสมาชิกให้ออกเสียงลงคะแนนเป็นรายคนตามวิธีที่ประธานกำหนด การออกเสียงลงคะแนนตามวิธีนี้ ประธานจะเชิญสมาชิกไม่น้อยกว่า 6 คน เป็นผู้ตรวจนับคะแนน

1.3) วิธีอื่นใดที่ประชุมเห็นสมควรเฉพาะกรณี

การออกเสียงลงคะแนนโดยทั่วไปให้ใช้วิธีตามข้อ 1.1 จะใช้วิธีตามข้อ 1.2 หรือ 1.3 ได้ต่อเมื่อสมาชิกเสนอญัตติและที่ประชุมอนุมัติ หรือเมื่อมีการนับคะแนนเสียงใหม่

การออกเสียงลงคะแนนโดยเปิดเผยมักจะมีวิธีปฏิบัติที่ใกล้เคียงกันตามข้อบังคับการประชุมสภา นอกจากวิธีต่างๆ ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมของสภาดังกล่าวแล้ว ในอดีตยังมีวิธีปฏิบัติอื่น อาทิ ยกมือขึ้นพ้นศีรษะ ยืนขึ้น การแบ่งพวก (พวกเห็นด้วยให้อยู่ทางขวามือของประธาน พวกไม่เห็นด้วยให้อยู่ทางซ้ายมือของประธาน และพวกไม่ออกเสียงให้อยู่ตรงหน้าของประธาน) กดปุ่มลงคะแนน (สัญญาณไฟจะปรากฏบนแผงแสดงตำแหน่งที่นั่ง) เป็นต้น

2) การออกเสียงลงคะแนนลับ จะกระทำได้ในกรณีที่สมาชิกเสนอญัตติ โดยมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่าจำนวนตามที่ข้อบังคับการประชุมสภาได้กำหนดไว้ ซึ่งการออกเสียงลงคะแนนลับมีวิธีปฏิบัติดังต่อไปนี้

2.1) เขียนเครื่องหมายบนแผ่นกระดาษใส่ซองที่เจ้าหน้าที่จัดให้ ผู้เห็นด้วยให้เขียนเครื่องหมายถูก (√) ผู้ไม่เห็นด้วยให้เขียนเครื่องหมายกากบาท (X) ส่วนผู้ไม่ออกเสียงให้เขียนเครื่องหมายวงกลม (O)

2.2) วิธีอื่นใดซึ่งที่ประชุมเห็นสมควรเฉพาะกรณี

การออกเสียงลงคะแนนลับก็เช่นเดียวกับการออกเสียงลงคะแนนโดยเปิดเผยที่มักจะมีวิธีปฏิบัติที่ใกล้เคียงกันตามข้อบังคับการประชุมสภา นอกจากวิธีต่างๆ ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมของสภาดังกล่าวแล้ว ในอดีตยังมีวิธีปฏิบัติอื่น อาทิ ลงเบี้ยในตู้ทึบ (โดยส่วนใหญ่เบี้ยจะมีสามสีคือ สีน้ำเงิน สีแดง และสีขาว การลงเบี้ยจะเรียกชื่อสมาชิกออกมาลงเบี้ยในหีบต่อหน้าประธานหรือกรรมการ สีของเบี้ยที่ใช้ขึ้นอยู่กับข้อบังคับการประชุมนั้นๆ จะกำหนดให้ใช้สีใดที่แสดงถึงผู้เห็นด้วย ผู้ไม่เห็นด้วย และผู้ไม่ออกเสียง) กดปุ่มลงคะแนน (สัญญาณไฟไม่ปรากฏบนแผงแสดงตำแหน่งที่นั่ง)

เมื่อมีการออกเสียงลงคะแนนแล้ว คะแนนเสียงที่ได้จะเป็นผลการลงมติหรือการตัดสินใจของสมาชิกสภาแต่ละคนที่มีต่อปัญหาหรือมาตรการหรือญัตติใดญัตติหนึ่ง ซึ่งเมื่อรวมคะแนนของสมาชิกแต่ละคนเข้าด้วยกันแล้วก็จะเป็นมติคือผลขั้นสุดท้ายของสภา แต่ถ้ามีการขอให้นับคะแนนใหม่ วิธีการนับคะแนนเสียงใหม่นั้นจะต้องเปลี่ยนวิธีการลงคะแนนในลำดับถัดไปเช่นเดียวกับ การออกเสียงลงคะแนนโดยเปิดเผย ด้วย

ในกรณี สมาชิกสภาเข้ามาในที่ประชุมระหว่างการออกเสียงลงคะแนน อาจออกเสียงลงคะแนนได้ก่อนประธานสั่งปิดการลงคะแนน เมื่อได้มีการนับคะแนนเสียงแล้ว ให้ประธานประกาศมติต่อที่ประชุมทันที ถ้าเรื่องใดที่รัฐธรรมนูญ กฎหมายหรือข้อบังคับนี้กำหนดไว้ว่ามติจะต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงถึงจำนวนเท่าใด ก็ให้ประกาศด้วยว่าคะแนนเสียงข้างมากถึงจำนวนที่กำหนดไว้นั้นหรือไม่ หลังจากนั้นให้เลขาธิการจัดทำบันทึกการออกเสียงลงคะแนนของสมาชิกแต่ละคนปิดประกาศบันทึกดังกล่าวไว้ ณ บริเวณที่ประชาชนเข้าไปตรวจสอบได้ เว้นแต่การออกเสียงลงคะแนนเป็นการลับ

ลำดับการลงมติ

ลำดับการลงมติ หมายถึง การลงมติของสมาชิกในกรณีที่ญัตติมีหลายประเด็น หรือกรณีพิจารณาญัตติที่มีหลายฉบับรวมกันแต่ลงมติทีละฉบับ ลำดับการลงมตินั้นจะต้องให้สมาชิกลงมติในญัตติที่เสนอมาลำดับสุดท้ายก่อน แล้วย้อนเป็นลำดับไปลงมติในญัตติต้น

โดยส่วนใหญ่ข้อบังคับการประชุมสภาที่ผ่านมามักจะกำหนดในเรื่องของลำดับการลงมตินั้น ให้ลงมติในญัตติสุดท้ายก่อนแล้วย้อนเป็นลำดับไปหาญัตติต้น แต่มิให้ถือว่าความผิดพลาดในการเรียงลำดับดังกล่าวมานี้ เป็นเหตุให้มติที่ได้ลงคะแนนและนับคะแนนเสร็จแล้วเป็นอันเสียไป

กรณี ญัตติใดไม่มีผู้คัดค้านให้ประธานถามที่ประชุมว่ามีผู้เห็นเป็นอย่างอื่นหรือไม่ เมื่อไม่มีผู้เห็นเป็นอย่างอื่น ให้ถือว่าที่ประชุมลงมติเห็นชอบด้วยกับญัตตินั้น ๆ

อ้างอิง

  1. สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. ระบบงานรัฐสภา 2555. (กรุงเทพมหานคร : สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา, 2556), หน้า 29.
  2. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. (กรุงเทพมหานคร : นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, 2556), หน้า 878.
  3. คณิน บุญสุวรรณ. ปาทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย. (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2548), หน้า 819.
  4. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 และข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551. (กรุงเทพมหานคร : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2556), หน้า 23.

บรรณานุกรม

คณิน บุญสุวรรณ. ปาทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2548.

ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. กรุงเทพมหานคร : นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, 2556.

สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. ระบบงานรัฐสภา 2555. กรุงเทพมหานคร : สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา, 2556.

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 และข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551. กรุงเทพมหานคร : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2556.

ธนินทร์ พูนศรีสวัสดิ์. การลงมติและลำดับการลงมติ. สืบค้นเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2557 จาก http://www.kpi.ac.th/wiki/index.php/%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B4

จงรักษ์ พรมศิริเดช. เรื่องที่ 1113 ทนายสอนน้อง...เรื่อง การลงมติในที่ประชุม. สืบค้นเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2557 จาก http://www.fpmconsultant.com/htm/advocate_dtl.php?id=1113

สำนักภาษาต่างประเทศ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. คำศัพท์รัฐสภาภาษาอังกฤษ. สืบค้นเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2557 จาก http://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_w3c/ewt_dl_link.php?nid=7593

หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ

สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. ระบบงานรัฐสภา 2555. กรุงเทพมหานคร : สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา, 2556.

จงรักษ์ พรมศิริเดช. เรื่องที่ 1113 ทนายสอนน้อง...เรื่อง การลงมติในที่ประชุม. สืบค้นเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2557 จาก http://www.fpmconsultant.com/htm/advocate_dtl.php?id=1113