พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:50, 18 พฤศจิกายน 2558 โดย Suksan (คุย | ส่วนร่วม)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง : แดนชัย ไชวิเศษ

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง



ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในระบบรัฐสภา โดยมีการแบ่งแยกผู้ใช้อำนาจออกเป็นสามฝ่าย ได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ โดยมีการถ่วงดุลการใช้อำนาจระหว่างผู้ใช้อำนาจทั้งสามฝ่าย ซึ่งการยุบสภาผู้แทนราษฎรถือว่าเป็นกลไกการถ่วงดุลการใช้อำนาจระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ การยุบสภาผู้แทนราษฎรอาจเกิดจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร เช่นการกดดันให้มีการปรับรัฐมนตรี การคัดค้านร่างพระราชบัญญัติที่ฝ่ายบริหารเสนอให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณา หรือเกิดจากความขัดแย้งของฝ่ายบริหารด้วยกันเอง เช่นการกดดันโดยการลาออกจากความเป็นรัฐมนตรี หรือเกิดจากความขัดแย้งของฝ่ายนิติบัญญัติด้วยกันเอง หรือเกิดจากปัญหาความแตกแยกภายในพรรคการเมืองของฝ่ายบริหาร หรือเป็นการชิงความได้เปรียบทางการเมือง กล่าวคือถ้าฝ่ายบริหารในขณะนั้น เห็นว่าฝ่ายบริหารอาจจะได้รับความนิยมจากประชาชนที่จะส่งผลต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของฝ่ายบริหารเพิ่มมากขึ้นหรือเพื่อให้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนเท่าเดิม

การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ โดยคำแนะนำของฝ่ายบริหารให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร เป็นการคืนอำนาจอธิปไตยหรืออำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เพื่อมาปฏิบัติหน้าที่ทางด้านการเมืองการปกครองต่อไป


ความหมาย

พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 187 บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการตราพระราชกฤษฎีกาโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย” และมาตรา 108 บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน”

กฎหมายที่ให้อำนาจตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร

กฎหมายที่ให้อำนาจตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร จะบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นการเฉพาะ ที่มอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารตรากฎหมายลำดับรองโดยอาศัยอำนาจตามความของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในการตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งแตกต่างกับการตราพระราชกฤษฎีกาทั่วไปที่อาศัยอำนาจตามความพระราชบัญญัติหรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ

รูปแบบการจัดทำร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร[1]

1. ชื่อพระราชกฤษฎีกา เช่น “พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556”

2. คำปรารภ เช่น “โดยที่นายกรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูล ฯ ว่า ตามที่รัฐบาลได้เข้ารับหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๔ รัฐบาลได้มีความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความเท่าเทียมกันของประชาชนทั้งประเทศ นอกจากนั้น รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ตามที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ซึ่งครอบคลุมทั้งภาคการเกษตร ภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรม รวมไปถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็ง อย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค เพื่อรองรับสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว เร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ

รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการปฏิรูปการเมืองโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างกว้างขวางแต่เนื่องจากปัจจุบันได้เกิดปัญหาความขัดแย้งและความแตกแยกของชนในชาติ ส่งผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ตลอดจนชื่อเสียงของประเทศชาติ ทั้งนี้ รัฐบาลได้พยายามคลี่คลายปัญหาด้วยสันติวิธีและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและวิถีทางของรัฐธรรมนูญแล้วก็ตาม แต่ไม่อาจยุติปัญหาดังกล่าวได้ จึงเห็นสมควรยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อคืนอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองให้แก่ประชาชนทั้งประเทศและให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง”

3. การอ้างบทอาศัยอำนาจในการตราพระราชกฤษฎีกา เช่น “อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 108 และมาตรา 187 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้”

4. ชื่อพระราชกฤษฎีกา เช่น “มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556””

5. วันใช้บังคับ เช่น “มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป”

6. เนื้อหาของพระราชกฤษฎีกา เช่น

- “มาตรา 3 ให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่” เป็นบทบัญญัติให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร

- “มาตรา 4 ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557” เป็นบทบัญญัติการกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป

7. ผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกา เช่น “มาตรา 5 ให้นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการการเลือกตั้งรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้”

8. ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ เช่น “ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี”


ผู้มีอำนาจพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีการยุบสภาผู้แทนราษฎร

ผู้มีอำนาจพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร คือคณะรัฐมนตรี

ผู้มีอำนาจเสนอร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร

ผู้มีอำนาจเสนอร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร คือนายกรัฐมนตรี

ผู้มีอำนาจตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร

ผู้มีอำนาจตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร คือ พระมหากษัตริย์ กล่าวคือพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการตราพระราชกฤษฎีกาโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย โดยให้พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ และการยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

รัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับพระราชอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 – 2550[2]

นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบันมีบทบัญญัติเรื่องการยุบสภาสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 10 ฉบับ ยกเว้น พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2515 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ส่วนรัฐธรรมนูญที่มีบทบัญญัติการยุบสภาผู้แทนราษฎรมีจำนวน 10 ฉบับ ดังต่อไปนี้

1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ตามมาตรา 35

2. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ตามมาตรา 32

3. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉะบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ตามมาตรา 40

4. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ตามมาตรา 97

5. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 ตามมาตรา 93

6. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 ตามมาตรา 122

7. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 ตามมาตรา 101

8. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 ตามมาตรา 112

9. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ตามมาตรา 116

10. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ตามมาตรา 108

พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ พ.ศ. 2481 – 9 ธันวาคม 2556

มีจำนวน 13 ฉบับดังนี้[3]

1. พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2481

2. พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2488

3. พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2519

4. พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2526

5. พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2529

6. พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2531

7. พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2535

8. พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2538

9. พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2539

10. พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2543

11. พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2549

12. พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2554

13. พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556

ผลการยุบสภาผู้แทนราษฎร

1. ผลการยุบสภาผู้แทนราษฎรต่อคณะรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

- คณะรัฐมนตรี ทำให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ เพราะไม่มีสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินแล้ว แต่คณะรัฐมนตรียังคงปฏิบัติหน้าที่ได้ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามมาตรา 180 (2) และมาตรา 181 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี ตามมาตรา 181 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กำหนดให้ คณะรัฐมนตรีต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ โดยคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะปฏิบัติหน้าที่ได้เท่าที่จำเป็น ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ดังต่อไปนี้

1) ไม่กระทำการอันเป็นการใช้อำนาจแต่งตั้งหรือโยกย้ายข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือ เงินเดือนประจำ หรือพนักงานของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่หรือพ้นจากตำแหน่งหรือให้ผู้อื่นมาปฏิบัติหน้าที่แทน เว้นแต่ จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน

2) ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน

3) ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป

4) ไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้ง และไม่กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามระเบียบที่คณะกรรมการเลือกตั้งกำหนด

- ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำให้การดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎรต้องพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ เป็นกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร จึงให้ประธานวุฒิสภาทำหน้าที่ประธานรัฐสภาแทนตามมาตรา 89 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงทันที และจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้ ส่วนสมาชิกวุฒิสภายังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะครบวาระ

2. ผลการยุบสภาผู้แทนราษฎรต่อการประชุมวุฒิสภา กล่าวคือในระหว่างที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ จะมีการประชุมวุฒิสภามิได้ เว้นแต่เป็นกรณีดังต่อไปนี้ตามมาตรา 132 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 คือ

(1) การประชุมที่ให้วุฒิสภาทำหน้าที่รัฐสภาตามมาตรา 19 มาตรา 21 มาตรา 22 มาตรา 23 และมาตรา 189 โดยถือคะแนนเสียงจากจำนวนสมาชิกของวุฒิสภา คือ

- ให้ความเห็นชอบผู้ซึ่งสมควรดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามมาตรา 19

- ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ตามมาตรา 21

- รับทราบการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 ตามมาตรา 22

- การให้ความเห็นชอบการประกาศสงครามตามมาตรา 189

(2) การประชุมที่ให้วุฒิสภาทำหน้าที่พิจารณาให้บุคคลดำรงตำแหน่งใดตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

(3) การประชุมที่ให้วุฒิสภาทำหน้าที่พิจารณาและมีมติให้ถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง

3. ผลการยุบสภาผู้แทนราษฎรต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ กล่าวคือ การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักรและการยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกันตามมาตรา 108 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

4. ผลการยุบสภาผู้แทนราษฎรต่อด้านการตรากฎหมาย ทำให้ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมหรือบรรดาร่างพระราชบัญญัติที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยหรือเมื่อพ้นเก้าสิบวันแล้วมิได้พระราชทานคืนมาให้เป็นอันตกไป กล่าวคือ ในระหว่างที่มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรมีผลทำให้ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมหรือบรรดาร่างพระราชบัญญัติที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วย หรือเมื่อพ้นเก้าสิบวันแล้วมิได้พระราชทานคืนมาให้เป็นอันตกไป

ในกรณีที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไป รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาแล้วแต่กรณี จะพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม หรือร่างพระราชบัญญัติที่รัฐสภายังมิได้ให้ความเห็นชอบต่อไปได้ ถ้าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปร้องขอภายในหกสิบวันนับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกหลังการเลือกตั้งทั่วไป และรัฐสภามีมติเห็นชอบด้วย แต่ถ้าคณะรัฐมนตรีมิได้ร้องขอภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมหรือร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไปตามมาตรา 153 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550


อ้างอิง

  1. พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556. เล่ม 130 ตอนที่ 115 ก ราชกิจจานุเบกษา ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2556
  2. แดนชัย ไชวิเศษ. “การยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย” http://library2.parliament.go.th/ebook/content-ebbas/2557-danchai.pdf.(หน้า 2-4.)
  3. แดนชัย ไชวิเศษ. “การยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย” http://library2.parliament.go.th/ebook/content-ebbas/2557-danchai.pdf. (หน้า 39.)

บรรณานุกรม

ราชกิจจาจุเบกษา. “พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556”. เล่ม 130 ตอนที่ 115 ก ราชกิจจานุเบกษา ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2556 (หน้า 1- 2)

แดนชัย ไชวิเศษ. “การยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย”. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จากhttp://library2.parliament.go.th/ebook/content-ebbas/2557-danchai.pdf.(หน้า 2-4.)


หนังสือ / เอกสารอ่านเพิ่มเติม

ชงคชาญ สุวรณมณี . “พระราชกฤษฎีกา”. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จากhttps://www.google.co.th/?gws_rd=ssl#q=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%2B%E0%B8%8A%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8D

ตวงรัตน์ เลาหัตถพงษ์ภูริ. “การยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย”. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก http://library2.parliament.go.th/ebook/content-ebbas/tuangrat-spa1.pdf

ตวงรัตน์ เลาหัตถพงษ์ภูริ. “บทวิเคราะห์เกี่ยวกับปัญหาทางกฎหมายที่เกิดจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร”. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก http://library2.parliament.go.th/ebook/content-ebbas/tuangrat-spa2.pdf

ธรรมนิตย์ สุมันตกุล. “การจัดทำกฎหมายลำดับรองของฝ่ายปกครอง”. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก www.lawreform.go.th/lawreform/images/th/content/th/8/7669.doc