ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ"
หน้าที่ถูกสร้างด้วย ''''ผู้เรียบเรียง :''' สุเทพ ลีรพงษ์กุล '''ผู้ทรงคุณวุฒ...' |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 5: | บรรทัดที่ 5: | ||
---- | ---- | ||
[[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ]]เป็น[[กฎหมาย]]ประเภทหนึ่งที่เริ่มนำมาใช้ใน[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐]] เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับกฎเกณฑ์การปกครองประเทศแยกออกจากรัฐธรรมนูญโดยจะมีรายละเอียดวิธีการปฏิบัติไว้ เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ไม่สมควรกำหนดรายละเอียดไว้ให้เยิ่นเย้อ และทำให้รัฐธรรมนูญที่แก้ไขได้ยากจดจำได้ง่ายขึ้น<ref>สมคิด เลิศไพฑูรย์, พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ, (กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, ๒๕๓๘) ,หน้า ๖.</ref> อนึ่ง [[การตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ]]สมควรตราได้ยากกว่าพระราชบัญญัติทั่วไป | |||
บรรทัดที่ 13: | บรรทัดที่ 13: | ||
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (Organic Law) คือพระราชบัญญัติประเภทหนึ่ง | พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (Organic Law) คือพระราชบัญญัติประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษมี[[ลำดับศักดิ์ทางกฎหมาย]] (Hierachy of Law) สูงกว่าพระราชบัญญัติทั่วไป แต่มีศักดิ์ทางกฎหมายต่ำกว่า[[รัฐธรรมนูญ]] โดยมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับองค์การ หรือการดำเนินงานขององค์การต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญจึงสมควรแก้ไขได้ยากกว่าพระราชบัญญัติทั่วไปด้วย เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ผู้มีอำนาจในแวดวง[[รัฐสภา]]หรือ[[คณะรัฐมนตรี]]และผู้มี[[อิทธิพลทางการเมือง]]ดำเนินการแก้ไข[[กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ]]ไปในทางที่เป็น[[ประโยชน์แก่ตนเองหรือพวกพ้อง]] ทำให้ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ตามรัฐธรรมนูญ | ||
บรรทัดที่ 19: | บรรทัดที่ 19: | ||
== พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ == | == พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ == | ||
ตาม[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐]] ส่วนที่ ๖ การตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๓๘ บัญญัติว่า “ให้มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังต่อไปนี้ | |||
(๑) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา | (๑) [[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา]] | ||
(๒) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการเลือกตั้ง | (๒) [[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการเลือกตั้ง]] | ||
(๓) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง | (๓) [[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง]] | ||
(๔) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ | (๔) [[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ]] | ||
(๕) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ | (๕) [[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ]] | ||
(๖) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง | (๖) [[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง]] | ||
(๗) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน | (๗) [[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน]] | ||
(๘) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต | (๘) [[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต]] | ||
(๙) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน” | (๙) [[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน”]] | ||
บรรทัดที่ 45: | บรรทัดที่ 45: | ||
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๓๙ บัญญัติว่า “ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญจะเสนอได้ก็แต่โดย | รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๓๙ บัญญัติว่า “ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญจะเสนอได้ก็แต่โดย | ||
(๑) คณะรัฐมนตรี | (๑) [[คณะรัฐมนตรี]] | ||
(๒) | (๒) [[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของ[[สภาผู้แทนราษฎร]]หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและ[[สมาชิกวุฒิสภา]] มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือ | ||
(๓) ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา | (๓) [[ศาลรัฐธรรมนูญ]] [[ศาลฎีกา]] หรือ[[องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ]]ซึ่งประธานศาลและประธานองค์กรนั้นเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้น | ||
ดังนั้น ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ | ดังนั้น ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ไม่ได้ให้ประชาชน[[ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง]] เสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และ | ||
บรรทัดที่ 59: | บรรทัดที่ 59: | ||
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔๐ บัญญัติว่า “การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาให้กระทำเป็นสามวาระ คือ | ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔๐ บัญญัติว่า “การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาให้กระทำเป็นสามวาระ คือ | ||
(๑) | (๑) [[การออกเสียงลงคะแนน]]ในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการ และในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ให้ถือ'''เสียงข้างมากของแต่ละสภา''' | ||
(๒) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สาม | (๒) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สาม ต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ออกใช้เป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญมากกว่า'''กึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา”''' | ||
ทั้งใน (๑) และ (๒) นี้ใช้บังคับทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา อนึ่ง คำว่า “เสียงข้างมากของแต่ละสภา” หมายความว่า สมาชิกที่ได้เข้าประชุม ตัวอย่างเช่น จำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีในสภาผู้แทนราษฎร ๕๐๐ คน | ทั้งใน (๑) และ (๒) นี้ใช้บังคับทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา อนึ่ง คำว่า '''“เสียงข้างมากของแต่ละสภา”''' หมายความว่า สมาชิกที่ได้เข้าประชุม ตัวอย่างเช่น จำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีในสภาผู้แทนราษฎร ๕๐๐ คน ตาม[[ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๑]] ข้อ ๑๘ กำหนด[[องค์ประชุม]]ไว้ต้องมีสมาชิกลงชื่อมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ จึงจะเป็นองค์ประชุม เมื่อมีสมาชิกเข้าร่วมประชุมครบองค์ประชุม จำนวน ๒๕๐ คน เมื่อเปิดประชุมและมีการออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการแล้ว ต้องนับจำนวนได้ไม่น้อยกว่า ๑๗๕ คน ถือเป็นเสียงข้างมากแล้ว หากเปรียบเทียบกับจำนวนสมาชิกทั้งหมดในสภาผู้แทนราษฎรจะไม่ถึงครึ่งคือ ๒๕๐ คน และ | ||
คำว่า “คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา” จำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ตัวอย่างเช่น จำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีในสภาผู้แทนราษฎร ๕๐๐ คน มี ส.ส. ตายเพราะชราภาพแล้ว ๕ คน และได้รับอุบัติเหตุเสียชีวิต ๑๐ คน และยังไม่ได้มีการเลือกตั้งใหม่ทดแทน จึงมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น ๔๘๕ คน เมื่อมีสมาชิกเข้าร่วมประชุมครบองค์ประชุม จำนวน ๒๔๓ คน เมื่อเปิดประชุมและมีการออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สาม ต้องนับจำนวนได้ไม่น้อยกว่า ๒๔๓ คน จึงถือว่าเป็นคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่นั่นเอง ไม่ได้คำนวณจากจำนวน ส.ส. ที่ได้รับเลือกตั้งทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ ๕๐๐ คนหรือจากจำนวนสมาชิกเข้าร่วมประชุม กรณีสัดส่วนคำนวณได้ผลลัพธ์เป็นทศนิยมต้องปัดเศษขึ้นทุกกรณี | คำว่า '''“คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา”''' จำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ตัวอย่างเช่น จำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีในสภาผู้แทนราษฎร ๕๐๐ คน มี ส.ส. ตายเพราะชราภาพแล้ว ๕ คน และได้รับอุบัติเหตุเสียชีวิต ๑๐ คน และยังไม่ได้มีการเลือกตั้งใหม่ทดแทน จึงมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น ๔๘๕ คน เมื่อมีสมาชิกเข้าร่วมประชุมครบองค์ประชุม จำนวน ๒๔๓ คน เมื่อเปิดประชุมและมีการออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สาม ต้องนับจำนวนได้ไม่น้อยกว่า ๒๔๓ คน จึงถือว่าเป็นคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่นั่นเอง ไม่ได้คำนวณจากจำนวน ส.ส. ที่ได้รับเลือกตั้งทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ ๕๐๐ คนหรือจากจำนวนสมาชิกเข้าร่วมประชุม กรณีสัดส่วนคำนวณได้ผลลัพธ์เป็นทศนิยมต้องปัดเศษขึ้นทุกกรณี | ||
อนึ่ง ทางปฏิบัติเมื่อครบองค์ประชุมและมีการประชุมแล้ว | อนึ่ง ทางปฏิบัติเมื่อครบองค์ประชุมและมีการประชุมแล้ว เมื่อมีการออกเสียงลงคะแนนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ปฏิบัติภาระหน้าที่อยู่ใน[[คณะกรรมาธิการ]]ต่าง ๆ จะเข้ามาในที่ประชุมเพื่อออกเสียงลงคะแนนอีกด้วย | ||
นอกจากนี้ บทบัญญัติการตราพระราชบัญญัติทั่วไปก็ต้องนำมาบังคับใช้โดยอนุโลม คือ | นอกจากนี้ บทบัญญัติการตราพระราชบัญญัติทั่วไปก็ต้องนำมาบังคับใช้โดยอนุโลม คือ | ||
๑. | ๑. หากเป็น[[ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวด้วยการเงิน]]จะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีคำรับรองของนายกรัฐมนตรี | ||
๒. ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญต้องเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน | ๒. ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญต้องเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน | ||
บรรทัดที่ 78: | บรรทัดที่ 78: | ||
๔. ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เสนอต่อรัฐสภาต้องเปิดเผยให้ประชาชนทราบและให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลรายละเอียดของร่างพระราชบัญญัตินั้นได้โดยสะดวก | ๔. ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เสนอต่อรัฐสภาต้องเปิดเผยให้ประชาชนทราบและให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลรายละเอียดของร่างพระราชบัญญัตินั้นได้โดยสะดวก | ||
เกี่ยวกับการออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามนั้นในแต่ละสภาให้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา เป็นแนวเดียวกับระบบกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศฝรั่งเศส สเปน และโปรตุเกส | เกี่ยวกับการออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามนั้นในแต่ละสภาให้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา เป็นแนวเดียวกับระบบกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศฝรั่งเศส สเปน<ref> เรื่องเดียวกัน, หน้า ๘.</ref> และโปรตุเกส | ||
บรรทัดที่ 84: | บรรทัดที่ 84: | ||
[[การตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ]]ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ สามารถแบ่งได้ ๒ วิธี คือ | |||
๑. วิธีการตรวจสอบก่อนประกาศใช้เป็นกฎหมาย (A Priori Control) | ๑. วิธีการตรวจสอบก่อนประกาศใช้เป็นกฎหมาย (A Priori Control) | ||
การตรวจสอบว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ | การตรวจสอบว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ สามารถดำเนินการได้เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญแล้วก่อนนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรง[[ลงพระปรมาภิไธย]]ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องกระทำให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔๑ บัญญัติว่า | ||
“เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญแล้ว ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญซึ่งต้องกระทำให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง | “เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญแล้ว ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญซึ่งต้องกระทำให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง | ||
บรรทัดที่ 104: | บรรทัดที่ 104: | ||
๓) ถ้าวินิจฉัยว่า บทบัญญัติที่ไม่เป็นสาระสำคัญ ขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญ เฉพาะข้อความที่ขัดหรือแย้งตกไป ให้รัฐสภาดำเนินการแก้ไขข้อความที่ขัดหรือแย้ง แล้วให้นายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูล | ๓) ถ้าวินิจฉัยว่า บทบัญญัติที่ไม่เป็นสาระสำคัญ ขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญ เฉพาะข้อความที่ขัดหรือแย้งตกไป ให้รัฐสภาดำเนินการแก้ไขข้อความที่ขัดหรือแย้ง แล้วให้นายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูล | ||
ในกรณีที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ได้วินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ให้ข้อความที่ขัดหรือแย้งนั้นเป็นอันตกไป ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นกลับคืนสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อพิจารณาตามลำดับ ในกรณีเช่นว่านี้ให้สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ โดยมติในการแก้ไขเพิ่มเติมให้ใช้คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยต่อไป | ในกรณีที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ได้วินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ให้ข้อความที่ขัดหรือแย้งนั้นเป็นอันตกไป ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นกลับคืนสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อพิจารณาตามลำดับ ในกรณีเช่นว่านี้ให้สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ โดยมติในการแก้ไขเพิ่มเติมให้ใช้คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยต่อไป<ref>วัชราพร ยอดมิ่ง, กระบวนการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐, วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขานิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : กทม., ๒๕๕๑, หน้า ๒๓๑.</ref> | ||
๒. วิธีการตรวจสอบหลักประกาศใช้เป็นกฎหมาย (A Posteriori Control) | ๒. วิธีการตรวจสอบหลักประกาศใช้เป็นกฎหมาย (A Posteriori Control) | ||
บรรทัดที่ 110: | บรรทัดที่ 110: | ||
ได้กำหนดไว้ ๓ แนวทาง คือ | ได้กำหนดไว้ ๓ แนวทาง คือ | ||
๒.๑) | ๒.๑) ในกรณีที่ศาลเห็นเองหรือ[[คู่ความ]]โต้แย้ง ตามมาตรา ๒๑๑ บัญญัติว่า “ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติ แห่งกฎหมายนั้น ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา ๖ และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัยในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้ แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ | ||
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าคำโต้แย้งของคู่ความตามวรรคหนึ่งไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาก็ได้ | ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าคำโต้แย้งของคู่ความตามวรรคหนึ่งไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาก็ได้ | ||
บรรทัดที่ 126: | บรรทัดที่ 126: | ||
(๔) คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวงแต่ไม่กระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว | (๔) คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวงแต่ไม่กระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว | ||
๒.๒) ในกรณีของผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามมาตรา ๒๔๕ บัญญัติว่า | ๒.๒) ในกรณีของผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามมาตรา ๒๔๕ บัญญัติว่า “[[ผู้ตรวจการแผ่นดิน]]อาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้ เมื่อเห็นว่ามีกรณีดังต่อไปนี้ | ||
(๑) | (๑) บทบัญญัติแห่ง'''กฎหมายใด'''มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ | ||
(๒) กฎ คำสั่งหรือการกระทำอื่นใดของบุคคลใดตามมาตรา ๒๔๔ (๑) (ก) มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง และให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ | (๒) กฎ คำสั่งหรือการกระทำอื่นใดของบุคคลใดตามมาตรา ๒๔๔ (๑) (ก) มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง และให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ตาม[[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจาณาคดีปกครอง]]” | ||
กระบวนการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญโดยผ่านทางผู้ตรวจการแผ่นดิน หากผู้ตรวจการแผ่นดิน เห็นว่ามีกฎหมายใดและประมวลกฎหมายมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ต้องส่งคำร้องพร้อมความเห็นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญใช้คำว่า “กฎหมายใด” ซึ่งไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าหมายถึงกฎหมายใดโดยเฉพาะ จึงต้องหมายถึง กฎหมายทุกประเภทที่มีลำดับศักดิ์ที่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ ได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด และกฎหมายลำดับรอง | กระบวนการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญโดยผ่านทางผู้ตรวจการแผ่นดิน หากผู้ตรวจการแผ่นดิน เห็นว่ามีกฎหมายใดและประมวลกฎหมายมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ต้องส่งคำร้องพร้อมความเห็นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญใช้คำว่า “กฎหมายใด” ซึ่งไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าหมายถึงกฎหมายใดโดยเฉพาะ จึงต้องหมายถึง กฎหมายทุกประเภทที่มีลำดับศักดิ์ที่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ ได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ [[พระราชกำหนด]] และกฎหมายลำดับรอง | ||
๒.๓) | ๒.๓) ในกรณีของ[[คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ]] หากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เห็นว่ามีกฎหมายใดกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาเกี่ยวกับ[[ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ]] คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติต้องส่งคำร้องพร้อมความเห็นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๕๗ บัญญัติว่า | ||
“คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ | “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ | ||
บรรทัดที่ 140: | บรรทัดที่ 140: | ||
(๑) ตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี และเสนอมาตรการการแก้ไขที่เหมาะสมต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่กระทำหรือละเลยการกระทำดังกล่าวเพื่อดำเนินการ ในกรณีที่ปรากฏว่าไม่มีการดำเนินการตามที่เสนอ ให้รายงานต่อรัฐสภาเพื่อดำเนินการต่อไป | (๑) ตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี และเสนอมาตรการการแก้ไขที่เหมาะสมต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่กระทำหรือละเลยการกระทำดังกล่าวเพื่อดำเนินการ ในกรณีที่ปรากฏว่าไม่มีการดำเนินการตามที่เสนอ ให้รายงานต่อรัฐสภาเพื่อดำเนินการต่อไป | ||
(๒) เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ | (๒) เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่เห็นชอบตามที่มีผู้ร้องเรียนว่าบทบัญญัติแห่ง'''กฎหมายใด'''กระทบต่อสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ | ||
(๓) เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง ในกรณีที่เห็นชอบตามที่มีผู้ร้องเรียนว่า กฎ คำสั่ง | (๓) เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง ในกรณีที่เห็นชอบตามที่มีผู้ร้องเรียนว่า กฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดในทางปกครองกระทบต่อ[[สิทธิมนุษยชน]]และมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง | ||
(๔) | (๔) ฟ้องคดีต่อ[[ศาลยุติธรรม]]แทนผู้เสียหาย เมื่อได้รับการร้องขอจากผู้เสียหายและเป็นกรณีที่เห็นสมควรเพื่อแก้ไขปัญหา[[การละเมิดสิทธิมนุษยชน]]เป็นส่วนรวม ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ | ||
(๕) เสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ ต่อรัฐสภาหรือคณะรัฐมนตรีเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน” | (๕) เสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ ต่อรัฐสภาหรือคณะรัฐมนตรีเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน” | ||
ในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญใช้คำว่า “กฎหมายใด” ซึ่งไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าหมายถึงกฎหมายใดโดยเฉพาะ จึงต้องหมายถึง กฎหมายทุกประเภทที่มีลำดับศักดิ์ที่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ ได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด และกฎหมายลำดับรอง | ในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญใช้คำว่า “กฎหมายใด” ซึ่งไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าหมายถึงกฎหมายใดโดยเฉพาะ จึงต้องหมายถึง กฎหมายทุกประเภทที่มีลำดับศักดิ์ที่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ ได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด และกฎหมายลำดับรอง<ref>เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๓๔ – ๒๓๕.</ref> | ||
== การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ == | == การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ == | ||
สำหรับ[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗]] ประกาศใน[[ราชกิจจานุเบกษา]] เล่ม ๑๓๑ ตอนที่ ๕๕ ก หน้า ๑ ลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ มาตรา ๖ บัญญัติให้มี[[สภานิติบัญญัติแห่งชาติ]] ([[สภาเดี่ยว]]) ประกอบด้วยสมาชิกจำนวนไม่เกินสองร้อยยี่สิบคน ทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา ผู้ที่จะริเริ่มเสนอกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔ บัญญัติให้กระทำโดยคณะรัฐมนตรีหรือผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นคือเฉพาะ ๙ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่ได้ตราไว้ก่อนแล้วตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๓๘ ดังที่กล่าวมาข้างต้น องค์ประชุมสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม คืออย่างน้อย ๑๑๐ คน สำหรับการลงคะแนนในวาระที่หนึ่งและวาระที่สามไม่มีบัญญัติไว้ | |||
ในมาตรา ๕ บัญญัติว่า “เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด | ในมาตรา ๕ บัญญัติว่า “เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตาม[[ประเพณีการปกครอง]]ประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ประเพณีการปกครองดังกล่าวต้องไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้” และ | ||
มาตรา ๑๓ บัญญัติว่า “การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม | มาตรา ๑๓ บัญญัติว่า “การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม | ||
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีอำนาจตราข้อบังคับเกี่ยวกับการเลือกและปฏิบัติหน้าที่ของ[[ประธานสภา]] [[รองประธานสภา]] และ[[กรรมาธิการ]] [[วิธีการประชุม]] [[การเสนอและการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติและร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ]] [[การเสนอญัตติ]] [[การอภิปราย]] [[การลงมติ]] [[การตั้งกระทู้ถาม]][[การรักษาระเบียบและความเรียบร้อย]] และกิจการอื่นเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่” | |||
ดังนั้น กรณีการลงคะแนนเสียงวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการและวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา | ดังนั้น กรณีการลงคะแนนเสียงวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการและวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ให้ถือ[[เสียงข้างมาก]]ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และวาระที่สามนั้นต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | ||
== อ้างอิง == | == อ้างอิง == | ||
<references/> | |||
== บรรณานุกรม == | == บรรณานุกรม == |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 09:06, 27 พฤศจิกายน 2558
ผู้เรียบเรียง : สุเทพ ลีรพงษ์กุล
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายประเภทหนึ่งที่เริ่มนำมาใช้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับกฎเกณฑ์การปกครองประเทศแยกออกจากรัฐธรรมนูญโดยจะมีรายละเอียดวิธีการปฏิบัติไว้ เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ไม่สมควรกำหนดรายละเอียดไว้ให้เยิ่นเย้อ และทำให้รัฐธรรมนูญที่แก้ไขได้ยากจดจำได้ง่ายขึ้น[1] อนึ่ง การตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญสมควรตราได้ยากกว่าพระราชบัญญัติทั่วไป
ความหมาย
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (Organic Law) คือพระราชบัญญัติประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษมีลำดับศักดิ์ทางกฎหมาย (Hierachy of Law) สูงกว่าพระราชบัญญัติทั่วไป แต่มีศักดิ์ทางกฎหมายต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับองค์การ หรือการดำเนินงานขององค์การต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญจึงสมควรแก้ไขได้ยากกว่าพระราชบัญญัติทั่วไปด้วย เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ผู้มีอำนาจในแวดวงรัฐสภาหรือคณะรัฐมนตรีและผู้มีอิทธิพลทางการเมืองดำเนินการแก้ไขกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญไปในทางที่เป็นประโยชน์แก่ตนเองหรือพวกพ้อง ทำให้ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ตามรัฐธรรมนูญ
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ส่วนที่ ๖ การตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๓๘ บัญญัติว่า “ให้มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังต่อไปนี้
(๑) [[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา]]
(๒) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการเลือกตั้ง
(๓) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
(๔) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
(๕) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
(๖) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
(๗) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน
(๘) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
(๙) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน”
การริเริ่มการเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๓๙ บัญญัติว่า “ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญจะเสนอได้ก็แต่โดย
(๑) คณะรัฐมนตรี
(๒) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือ
(๓) ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา หรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญซึ่งประธานศาลและประธานองค์กรนั้นเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้น
ดังนั้น ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ไม่ได้ให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และ
การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔๐ บัญญัติว่า “การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาให้กระทำเป็นสามวาระ คือ
(๑) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการ และในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ให้ถือเสียงข้างมากของแต่ละสภา
(๒) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สาม ต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ออกใช้เป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา”
ทั้งใน (๑) และ (๒) นี้ใช้บังคับทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา อนึ่ง คำว่า “เสียงข้างมากของแต่ละสภา” หมายความว่า สมาชิกที่ได้เข้าประชุม ตัวอย่างเช่น จำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีในสภาผู้แทนราษฎร ๕๐๐ คน ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๑ ข้อ ๑๘ กำหนดองค์ประชุมไว้ต้องมีสมาชิกลงชื่อมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ จึงจะเป็นองค์ประชุม เมื่อมีสมาชิกเข้าร่วมประชุมครบองค์ประชุม จำนวน ๒๕๐ คน เมื่อเปิดประชุมและมีการออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการแล้ว ต้องนับจำนวนได้ไม่น้อยกว่า ๑๗๕ คน ถือเป็นเสียงข้างมากแล้ว หากเปรียบเทียบกับจำนวนสมาชิกทั้งหมดในสภาผู้แทนราษฎรจะไม่ถึงครึ่งคือ ๒๕๐ คน และ
คำว่า “คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา” จำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ตัวอย่างเช่น จำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีในสภาผู้แทนราษฎร ๕๐๐ คน มี ส.ส. ตายเพราะชราภาพแล้ว ๕ คน และได้รับอุบัติเหตุเสียชีวิต ๑๐ คน และยังไม่ได้มีการเลือกตั้งใหม่ทดแทน จึงมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น ๔๘๕ คน เมื่อมีสมาชิกเข้าร่วมประชุมครบองค์ประชุม จำนวน ๒๔๓ คน เมื่อเปิดประชุมและมีการออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สาม ต้องนับจำนวนได้ไม่น้อยกว่า ๒๔๓ คน จึงถือว่าเป็นคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่นั่นเอง ไม่ได้คำนวณจากจำนวน ส.ส. ที่ได้รับเลือกตั้งทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ ๕๐๐ คนหรือจากจำนวนสมาชิกเข้าร่วมประชุม กรณีสัดส่วนคำนวณได้ผลลัพธ์เป็นทศนิยมต้องปัดเศษขึ้นทุกกรณี
อนึ่ง ทางปฏิบัติเมื่อครบองค์ประชุมและมีการประชุมแล้ว เมื่อมีการออกเสียงลงคะแนนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ปฏิบัติภาระหน้าที่อยู่ในคณะกรรมาธิการต่าง ๆ จะเข้ามาในที่ประชุมเพื่อออกเสียงลงคะแนนอีกด้วย
นอกจากนี้ บทบัญญัติการตราพระราชบัญญัติทั่วไปก็ต้องนำมาบังคับใช้โดยอนุโลม คือ
๑. หากเป็นร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวด้วยการเงินจะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีคำรับรองของนายกรัฐมนตรี
๒. ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญต้องเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน
๓. การเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญต้องมีบันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเสนอมาพร้อมกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญอีกด้วย
๔. ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เสนอต่อรัฐสภาต้องเปิดเผยให้ประชาชนทราบและให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลรายละเอียดของร่างพระราชบัญญัตินั้นได้โดยสะดวก เกี่ยวกับการออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามนั้นในแต่ละสภาให้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา เป็นแนวเดียวกับระบบกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศฝรั่งเศส สเปน[2] และโปรตุเกส
การตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
การตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ สามารถแบ่งได้ ๒ วิธี คือ
๑. วิธีการตรวจสอบก่อนประกาศใช้เป็นกฎหมาย (A Priori Control)
การตรวจสอบว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ สามารถดำเนินการได้เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญแล้วก่อนนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องกระทำให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔๑ บัญญัติว่า
“เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญแล้ว ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญซึ่งต้องกระทำให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญใดมีข้อขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ให้ข้อความที่ขัดหรือแย้งนั้นเป็นอันตกไป ในกรณีที่วินิจฉัยว่าข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป
ในกรณีที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลทำให้ข้อความที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญเป็นอัน ตกไปตามวรรคสอง ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นกลับคืนสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อพิจารณาตามลำดับ ในกรณีเช่นว่านี้ ให้สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้ โดยมติในการแก้ไขเพิ่มเติมให้ใช้คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา แล้วให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการตามมาตรา ๙๐ มาตรา ๑๕๐ หรือมาตรา ๑๕๑ แล้วแต่กรณีต่อไป”
ผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
๑) ถ้าวินิจฉัยว่า กระบวนการตราไม่ถูกต้อง ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตกไปทั้งฉบับ
๒) ถ้าวินิจฉัยว่า บทบัญญัติที่เป็นสาระสำคัญ ขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตกไปทั้งฉบับ
๓) ถ้าวินิจฉัยว่า บทบัญญัติที่ไม่เป็นสาระสำคัญ ขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญ เฉพาะข้อความที่ขัดหรือแย้งตกไป ให้รัฐสภาดำเนินการแก้ไขข้อความที่ขัดหรือแย้ง แล้วให้นายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูล
ในกรณีที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ได้วินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ให้ข้อความที่ขัดหรือแย้งนั้นเป็นอันตกไป ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นกลับคืนสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อพิจารณาตามลำดับ ในกรณีเช่นว่านี้ให้สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ โดยมติในการแก้ไขเพิ่มเติมให้ใช้คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยต่อไป[3]
๒. วิธีการตรวจสอบหลักประกาศใช้เป็นกฎหมาย (A Posteriori Control)
ได้กำหนดไว้ ๓ แนวทาง คือ
๒.๑) ในกรณีที่ศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้ง ตามมาตรา ๒๑๑ บัญญัติว่า “ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติ แห่งกฎหมายนั้น ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา ๖ และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัยในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้ แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าคำโต้แย้งของคู่ความตามวรรคหนึ่งไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาก็ได้
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวงแต่ไม่กระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว”
ขั้นตอนการดำเนินการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญภายหลังประกาศใช้เป็นกฎหมาย ดังนี้
(๑) ศาลเห็นเองในคดี หรือคู่ความโต้แย้ง
(๒) ศาลสามารถดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปได้ แต่ต้องรอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราวและส่งบทบัญญัตินั้นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
(๓) หากไม่เป็นสาระสำคัญอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญก็จะไม่รับเรื่องไว้พิจารณา
(๔) คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวงแต่ไม่กระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว
๒.๒) ในกรณีของผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามมาตรา ๒๔๕ บัญญัติว่า “ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้ เมื่อเห็นว่ามีกรณีดังต่อไปนี้
(๑) บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
(๒) กฎ คำสั่งหรือการกระทำอื่นใดของบุคคลใดตามมาตรา ๒๔๔ (๑) (ก) มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง และให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจาณาคดีปกครอง”
กระบวนการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญโดยผ่านทางผู้ตรวจการแผ่นดิน หากผู้ตรวจการแผ่นดิน เห็นว่ามีกฎหมายใดและประมวลกฎหมายมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ต้องส่งคำร้องพร้อมความเห็นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญใช้คำว่า “กฎหมายใด” ซึ่งไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าหมายถึงกฎหมายใดโดยเฉพาะ จึงต้องหมายถึง กฎหมายทุกประเภทที่มีลำดับศักดิ์ที่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ ได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด และกฎหมายลำดับรอง
๒.๓) ในกรณีของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เห็นว่ามีกฎหมายใดกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติต้องส่งคำร้องพร้อมความเห็นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๕๗ บัญญัติว่า
“คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) ตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี และเสนอมาตรการการแก้ไขที่เหมาะสมต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่กระทำหรือละเลยการกระทำดังกล่าวเพื่อดำเนินการ ในกรณีที่ปรากฏว่าไม่มีการดำเนินการตามที่เสนอ ให้รายงานต่อรัฐสภาเพื่อดำเนินการต่อไป
(๒) เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่เห็นชอบตามที่มีผู้ร้องเรียนว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
(๓) เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง ในกรณีที่เห็นชอบตามที่มีผู้ร้องเรียนว่า กฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดในทางปกครองกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
(๔) ฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหาย เมื่อได้รับการร้องขอจากผู้เสียหายและเป็นกรณีที่เห็นสมควรเพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นส่วนรวม ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
(๕) เสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ ต่อรัฐสภาหรือคณะรัฐมนตรีเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน” ในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญใช้คำว่า “กฎหมายใด” ซึ่งไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าหมายถึงกฎหมายใดโดยเฉพาะ จึงต้องหมายถึง กฎหมายทุกประเภทที่มีลำดับศักดิ์ที่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ ได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด และกฎหมายลำดับรอง[4]
การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗
สำหรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๑ ตอนที่ ๕๕ ก หน้า ๑ ลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ มาตรา ๖ บัญญัติให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สภาเดี่ยว) ประกอบด้วยสมาชิกจำนวนไม่เกินสองร้อยยี่สิบคน ทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา ผู้ที่จะริเริ่มเสนอกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔ บัญญัติให้กระทำโดยคณะรัฐมนตรีหรือผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นคือเฉพาะ ๙ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่ได้ตราไว้ก่อนแล้วตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๓๘ ดังที่กล่าวมาข้างต้น องค์ประชุมสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม คืออย่างน้อย ๑๑๐ คน สำหรับการลงคะแนนในวาระที่หนึ่งและวาระที่สามไม่มีบัญญัติไว้
ในมาตรา ๕ บัญญัติว่า “เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ประเพณีการปกครองดังกล่าวต้องไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้” และ
มาตรา ๑๓ บัญญัติว่า “การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีอำนาจตราข้อบังคับเกี่ยวกับการเลือกและปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา รองประธานสภา และกรรมาธิการ วิธีการประชุม การเสนอและการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติและร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ การเสนอญัตติ การอภิปราย การลงมติ การตั้งกระทู้ถามการรักษาระเบียบและความเรียบร้อย และกิจการอื่นเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่”
ดังนั้น กรณีการลงคะแนนเสียงวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการและวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ให้ถือเสียงข้างมากของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และวาระที่สามนั้นต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
อ้างอิง
- ↑ สมคิด เลิศไพฑูรย์, พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ, (กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, ๒๕๓๘) ,หน้า ๖.
- ↑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๘.
- ↑ วัชราพร ยอดมิ่ง, กระบวนการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐, วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขานิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : กทม., ๒๕๕๑, หน้า ๒๓๑.
- ↑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๓๔ – ๒๓๕.
บรรณานุกรม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๔ ตอนที่ ๔๗ก ลงวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๐.
ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช ๒๕๕๑ ราชกิจจานุเบกษา ฉบับประกาศและงานทั่วไป เล่ม ๑๒๕ ตอนพิเศษ ๗๙ ง ลงวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๑ ตอนที่ ๕๕ ก ลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗.
สมคิด เลิศไพฑูรย์, พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) : กทม., ๒๕๓๘.
นันทวัฒน์ บรมานันท์, กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ, สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) : กทม., ๒๕๔๔.
นันทวัฒน์ บรมานันท์, กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส, สถาบันนโยบายการศึกษา : กทม., ๒๕๔๑.
วัชราพร ยอดมิ่ง, กระบวนการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐, วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขานิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : กทม., ๒๕๕๑.
หลักกฎหมายปกครองวันละเรื่อง, https://th-th.facebook.com/DroitAdministrative/posts/758814340801145 ค้นเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๗.