แช่เข็งประเทศไทย
ผู้เรียบเรียง : ฐิติกร สังข์แก้ว และ ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศ.นรนิติ เศรษฐบุตร
ความหมาย
แช่แข็งประเทศไทย เป็นคำที่สื่อมวลชนและภาคประชาชนขนานนามการเคลื่อนไหวขององค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ซึ่งมีพลเอก บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธ.อ้าย เป็นประธาน วัตถุประสงค์มุ่งหมายขับไล่รัฐบาลที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีเนื่องจากปล่อยให้มีการจาบจ้วงก้าวล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งยังเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และการบริหารราชการแผ่นดินผิดพลาดจนปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้น[1] โดยจัดชุมชนใหญ่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2555 ณ ราชตฤณมัยสมาคม (สนามม้านางเลิ้ง) ประเมินกันว่ามีผู้เข้าร่วมลงชื่อชุมนุมกว่า 20,000 คน[2]
“แช่แข็งประเทศไทย” มาจากข้อเรียกร้องขององค์การพิทักษ์สยามที่เสนอให้งดเว้นจากกระบวนทางการเมืองทั้งหมดที่มีนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นเวลา 5 ปี แล้วแต่งตั้งคณะบุคคลขึ้นทำหน้าที่แทนเพื่อสร้างระบบการเมืองที่มีเสถียรภาพและสามารถเดินหน้าต่อไปได้ กล่าวโดยย่อ ก็คือ "...หยุดและให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้"
สาระสำคัญของข้อเสนอ “แช่แข็งประเทศไทย”
องค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Protect Siam Organization เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2555 โดย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานมูลนิธิโรงเรียนเตรียมทหาร เป็นประธานจัดทำบุญประเทศครั้งใหญ่ ภายใต้ชื่อ "รวมพลังพิทักษ์สยาม" ที่ท้องสนามหลวง[3] จัดชุมนุมใหญ่ครั้งแรกภายใต้ชื่อ “รวมพลังหยุดวิกฤติและหายนะชาติ” เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2555 ณ ราชตฤณมัยสมาคม (สนามม้านางเลิ้ง) โดยกลุ่มถือกำเนิดขึ้นด้วยความไม่พอใจการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ
1. รัฐบาลปล่อยให้มีการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันฯ โดยไม่มีการป้องกัน แต่ดูเหมือนว่าจะมีการส่งเสริมมากกว่า
2. รัฐบาลเป็นหุ่นเชิดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อีกทั้งไม่มีประสิทธิภาพในการบริหาร และขาดธรรมาภิบาล
3.รัฐบาลปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้น
ดังนั้นข้อเสนอของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม จึงได้แก่การงดเว้นกระบวนการทางการเมืองทั้งหมดที่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นเวลา 5 ปี และตั้งคณะบุคคลอันประกอบด้วยตัวแทนวิชาชีพต่างๆ ซึ่งมาจากการเลือกกันเองภายในวิชาชีพตน ทำหน้าที่ ประการแรก แก้ไขรัฐธรรมนูญให้สั้นกระชับแต่สามารถดูแลประชาชนได้ทั่วถึงที่สุด ประการที่สอง ให้การศึกษาแก่ประชาชนโดยเน้นไปที่คุณธรรม จริยธรรม การรู้จักผิดชอบชั่วดีโดยเฉพาะนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งในปัจจุบันอาศัยการใช้เงินเพื่อให้เข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง และคอร์รัปชันถอนทุนเพื่อใช้หาเสียงเลือกตั้งครั้งแต่ไป ประการที่สาม อบรมบ่มเพาะให้เกิดความรู้ความเข้าใจสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้นและควรแก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 (ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์) ให้มีความรุนแรงมากขึ้น ประการที่สี่ นำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกลับประเทศไทยเพื่อรับโทษตามกฎหมาย[4]
ต่อมาเมื่อประกาศนัดชุมนุมใหญ่ครั้งที่ 2 ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 กลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม หรือม็อบแช่งแข็งประเทศไทย ถูกกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์และล้อเลียนอย่างกว้างขวางในเครือข่ายสังคมออนไลน์ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ "บก.ลายจุด" นักกิจกรรมทางสังคมและการเมือง รณรงค์จัดกิจกรรม “เทศกาลแช่แข็งประเทศไทย” ขึ้นในวันที่18 พฤศจิกายน 2555 เพื่อเคลื่อนไหวล้อเลียนข้อเสนอขององค์การพิทักษ์สยาม โดยรูปแบบกิจกรรมให้ประชาชนสวมเสื้อกันหนาวเพื่อแสดงว่า "แช่แข็งประเทศไทย" เป็นเรื่องตลก[5] ยิ่งไปกว่านั้นจากผลสำรวจของสำนักเอแบคโพลจากประชากร 17 จังหวัดของประเทศ ยังพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ หรือ ร้อยละ 94.5 ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามที่จะนำประเทศไปสู่การปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย[6] นักวิชาการและสื่อมวลชนจำนวนหนึ่งจึงกังวลว่าจะเป็นการสร้างเงื่อนไขเพื่อนำไปสู่การหนุนเนื่องให้ทหารกลับเข้ามามีบทบาทนำในการเมืองไทยอีกครั้งภายหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549[7]
นอกจากนั้น กลุ่มการเมืองยังวิพากษ์วิจารณ์ว่าการเคลื่อนไหว “แช่แข็งประเทศไทย” อาจเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550[8] นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นายหนึ่งดิน วิมุตตินันท์ และนายสิงห์ทอง บัวชุม ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ว่า การเคลื่อนไหวของ พลเอก บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์และคณะ เข้าข่ายการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พล.อบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ "ไม่ได้มีการกล่าวเกี่ยวกับแนวคิดปิดประเทศหรือแช่แข็งประเทศ แต่กล่าวว่า เป็นการแช่แข็งนักการเมืองเลว นักการเมืองชั่ว ไว้สักระยะเวลา 5 ปี เพื่อป้องกันมิให้เข้ามากอบโกยหาผลประโยชน์" ขณะเดียวกันการชุมนุมใหญ่ครั้งที่ 2 ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 ไม่ได้แสดงให้เห็นเจตนาที่จะได้มาซึ่งอำนาจรัฐโดยมิชอบ แต่เป็นการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลและหากไม่สำเร็จก็จะยุติการชุมนุม จึงไม่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68[9]
คณะกรรมการขององค์การพิทักษ์สยามและเครือข่ายภาคี
คณะกรรมการขององค์การพิทักษ์สยาม ประกอบด้วยสมาชิก
พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธาน
สมพจน์ ปิยะอุย รองประธาน
พล.ร.อ.เอกชัย สุวรรณภาพ รองประธาน
พล.อ.ณัฐชัย เพิ่มทรัพย์ รองประธาน
ศ.ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ กรรมการกิตติมศักดิ์
ไพศาล พืชมงคล กรรมการกิตติมศักดิ์
นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง กรรมการกิตติมศักดิ์
นายประสิทธิ์ ไชยทองพันธ์ กรรมการกิตติมศักดิ์
วรินทร์ เทียมจรัส กรรมการ
นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ กรรมการ
วิรัตน์ รัตนชาติ กรรมการ
สุภนิจ รัตนกาญจน์ กรรมการ
ปิยะนุช นาคคง กรรมการ
น.ส.ขนิษฐา กิจเชวง กรรมการ
เกรียงศักดิ์ เหล็กกล้า กรรมการและผู้ประสานงาน
นันทิวัฒน์ สามารถ กรรมการและเลขานุการ
สุนิสา โสรัยยะ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี โฆษกองค์การพิทักษ์สยาม
เครือข่ายภาคี ประกอบด้วย
เครือข่ายภาคีซึ่งร่วมเคลื่อนไหวกับองค์การพิทักษ์สยาม อาทิเช่น น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นของชาติ (ภตช.), พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ประธานองค์กรอุณาโลม, ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ แกนนำกองทัพธรรม, วิรัตน์ รัตนชาติ แกนนำองค์การพิทักษ์ปกป้องมาตุภูมิแห่งประเทศไทย, นายนิพนธ์ วงษ์ตระหง่าน อดีตนายกสมาคมโรงสีข้าวไทย, ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน และ รศ.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตนายทหารคนสนิทของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีเเละรัฐบุรุษ เป็นต้น
นัยสำคัญต่อระบบการเมืองการปกครอง
ข้อเสนอ “แช่แข็งประเทศไทย” ส่งผลสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มคนจำนวนหนึ่งในสังคมการเมืองไทยไม่เชื่อถือระบบการเมืองที่ขับเคลื่อนโดยบุคลากรทางการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง จนกระทั่งมองปัญหาการเมืองทั้งหมดว่ามีเงื่อนปมอยู่ที่พรรคการเมืองและนักการเมืองแป็นสำคัญ ทัศนะแนวนี้สัมพันธ์โดยตรงกับความเข้าใจ “การเมือง” (politics) ในความหมายดั้งเดิมซึ่งอ้างอิงถึงกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับรัฐ (what concerns the state) อันมุ่งเน้นไปที่คณะรัฐมนตรี ฝ่ายนิติบัญญัติ และหน่วยงานของรัฐบาล “การเมือง” จึงถูกจำกัดทั้งในแง่บุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงและขอบข่ายความสัมพันธ์ของผู้มีส่วนได้เสีย ในแง่นี้จึงมีแต่เพียง “นักการเมืองอาชีพ” เท่านั้นที่ “เล่นการเมือง” (โดยกีดกันข้าราชการทหาร-พลเรือน และศาลสถิตยุติธรรมออกไปจากความเข้าใจเกี่ยวกับการเมือง) การเมืองในความหมายนี้ถูกให้ภาพเชิงลบเพราะเกี่ยวพันกับพรรคการเมืองและนักการเมืองเท่านั้น กอปรกับสื่อมวลชนที่มักตีแผ่พฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมืองจึงมีส่วนช่วยหนุนเสริมให้เกิดปรากฏการณ์ “ต่อต้านการเมือง” (anti-politics) ขึ้นในสังคมวงกว้าง[10]
ด้วยศักยภาพการจัดการความขัดแย้งภายในระบบรัฐสภาไทยที่ถูกจำกัดด้วยระบบพรรคการเมืองและความจำเป็นที่นักการเมืองต้องปฏิบัติตามวินัยพรรคอย่างเคร่งครัดเพื่อให้มีโอกาสได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง วิถีปฏิบัติของระบบรัฐสภาไทยจึงมุ่งแต่เพียงกระบวนการขึ้นสู่อำนาจผ่านการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคเสียงข้างมากในสภา แต่มิได้อาศัยกลไกระบบรัฐสภาจัดการความขัดแย้งทางการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ ในทัศนะของภาคประชาสังคมและนักการเมืองจำนวนหนึ่งแล้วจึงมีวิธีการอื่นที่ทรงประสิทธิภาพมากกว่าอาศัยกระบวนการทางรัฐสภาตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 (มาตรา 158, 159) ที่กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้[11]ด้วยปัญหาภายในระบบจึงมีส่วนผลักรุนให้กลุ่มที่ไม่พอใจใช้วิธีการทางการเมืองนอกรัฐสภา กล่าวคือ อาศัยการชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล ด้วยคาดหวังว่ากลุ่มตนจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวาง
“แช่แข็งประเทศไทย” สามารถเป็นปรากฏการณ์ขึ้นได้ในสังคมการเมืองไทย ก็ด้วยเงื่อนไขที่พลังต่อต้านประชาธิปไตยสามารถส่งอิทธิพลและผลลัพธ์ต่อนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตย นั่นหมายความว่าประชาธิปไตยเป็นเพียงภาคหนึ่งในระบอบการเมืองทั้งหมดเท่านั้นที่จะเป็นหนทางในการปกครองประเทศ จนอาจกล่าวตามสำนวนฝรั่งที่ว่าประชาธิปไตยไม่ได้เป็น “เกมการเมืองหนึ่งเดียว” ในการเมืองไทย (the only game in town)[12] อันสะท้อนให้เห็นในคำกล่าวของพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ที่ว่า "ผมไม่เคยเห็นว่าระบบประชาธิปไตยจะดีตรงไหนมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เช่น ถ้าคุณเป็นคนดีของจังหวัด แต่ไม่มีเงินลงสมัคร ส.ส. ก็ไม่ได้รับเลือก แล้วมันจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร ลองอธิบายหน่อย พอรูปแบบมันเป็นอย่างนี้ก็คิดฉ้อฉลเอาเงินงบประมาณไปใช้กันอย่างไม่โปร่งใส ออกนโยบายเพื่อประโยชน์เพื่อคนชอบ แต่ว่าบ้านเมืองเสียหายเท่าไหร่ไม่รู้ ไม่สน ขอให้ตัวเองชนะ" [13]
อ้างอิง
- ↑ "เสธ.อ้ายนัดชุมนุมใหญ่ต้านรบ.สุดทน“ปู”บริหารประเทศ," ผู้จัดการรายวัน, (22 ตุลาคม 2555).
- ↑ "ม็อบเสธ.อ้ายลั่น ชุมนุมใหญ่อีกทีเดือนหน้า-ฉุนโพลสำรวจ ท้าให้ถามม็อบมั่ง," ข่าวสดออนไลน์, (28 ตุลาคม 2555), เข้าถึงจาก<http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU1UUXdNamMy TUE9PQ>. สืบค้นเมื่อ 20 มีนาคม 2558.
- ↑ "พล.อ.บุญเลิศ' นำกลุ่มองค์กรพิทักษ์สยาม จัดงานทำบุญประเทศ ครั้งยิ่งใหญ่ ที่ท้องสนามหลวง เนื่องในโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหายจากพระอาการประชวร," เดลินิวส์, (16 มิถุนายน 2555), เข้าถึงจาก <http://www.dailynews.co.th/Content/politics/109609>. สืบค้นเมื่อ 18 มีนาคม 2558.
- ↑ "เปิดโมเดล “เสธ.อ้าย” เสนอแช่แข็งประเทศ 5 ปี ตั้งรัฐบาลจากภาค ปชช.," ผู้จัดการออนไลน์, (29 ตุลาคม 2555), เข้าถึงจาก <http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9550000131810>. สืบค้นเมื่อ 20 มีนาคม 2558.
- ↑ "บก.ลายจุด ปิ๊งไอเดียเทศกาล ‘แช่แข็งประเทศไทย’," ประชาไท, (15 พฤศจิกายน 2555), เข้าถึงจาก<http://www.prachatai.com/journal/2012/11/43670>. สืบค้นเมื่อ 21 มีนาคม 2558.
- ↑ "เอเบคโพลล์ เผยคน 94%ค้าน หากม็อบจะนำพาประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย," ไทยรัฐออนไลน์ (18 พ.ย. 2555), เข้าถึงจาก <http://www.thairath.co.th/content/306959>. สืบค้นเมื่อ 22 มีนาคม 2558.
- ↑ สุชาติ ศรีสุวรรณ, ""แช่แข็งประเทศ"เพื่อใคร," มติชนรายวัน (18 พ.ย.2555).
- ↑ "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550," ราชกิจจานุเบกษา, เล่ม 124 ตอนที่ 47 ก, 24 สิงหาคม 2550, หน้า 19-20.
- ↑ คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ 67-69/2555 เรื่อง คำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555.
- ↑ Andrew Heywood, Politics, (London: Macmillan, 1997), pp. 5-6.
- ↑ "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550," ราชกิจจานุเบกษา, เล่ม 124 ตอนที่ 47 ก, 24 สิงหาคม 2550, หน้า 59-60.
- ↑ Michael H. Nelson, "Political Representation in Thailand: Problems of Institutional Development," Samaggi Sara, Annual Issue (82), (2011), 25.
- ↑ "พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ จาก"กบฏ เสธ.ฉลาด" สู่ปฏิบัติการ"แช่แข็ง"ประชาธิปไตย," มติชนรายวัน, (18 พฤศจิกายน 2555).
บรรณานุกรม
“คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ 67-69/2555 เรื่อง คำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555.
“บก.ลายจุด ปิ๊งไอเดียเทศกาล ‘แช่แข็งประเทศไทย’," ประชาไท, (15 พฤศจิกายน 2555), เข้าถึงจาก<http://www.prachatai.com/journal/2012/11/43670>. สืบค้นเมื่อ 21 มีนาคม 2558.
“เปิดโมเดล “เสธ.อ้าย” เสนอแช่แข็งประเทศ 5 ปี ตั้งรัฐบาลจากภาค ปชช.," ผู้จัดการออนไลน์, (29 ตุลาคม 2555), เข้าถึงจาก <http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9550000131810>. สืบค้นเมื่อ 20 มีนาคม 2558.
“พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ จาก"กบฏ เสธ.ฉลาด" สู่ปฏิบัติการ"แช่แข็ง"ประชาธิปไตย," มติชนรายวัน, (18 พฤศจิกายน 2555).
“'พล.อ.บุญเลิศ' นำกลุ่มองค์กรพิทักษ์สยาม จัดงานทำบุญประเทศ ครั้งยิ่งใหญ่ ที่ท้องสนามหลวง เนื่องในโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหายจากพระอาการประชวร," เดลินิวส์, (16 มิถุนายน 2555), เข้าถึงจาก <http://www.dailynews.co.th/Content/politics/109609>. สืบค้นเมื่อ 18 มีนาคม 2558.
“ม็อบเสธ.อ้ายลั่น ชุมนุมใหญ่อีกทีเดือนหน้า-ฉุนโพลสำรวจ ท้าให้ถามม็อบมั่ง," ข่าวสดออนไลน์, (28 ตุลาคม 2555), เข้าถึงจาก<http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php ?newsid=TVRNMU1UUXdNamMyTUE9PQ>. สืบค้นเมื่อ 20 มีนาคม 2558.
“รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550," ราชกิจจานุเบกษา, เล่ม 124 ตอนที่ 47 ก, 24 สิงหาคม 2550.
สุชาติ ศรีสุวรรณ, ""แช่แข็งประเทศ"เพื่อใคร," มติชนรายวัน (18 พ.ย.2555).
“เสธ.อ้ายนัดชุมนุมใหญ่ต้านรบ.สุดทน“ปู”บริหารประเทศ," ผู้จัดการรายวัน, (22 ตุลาคม 2555).
“เอเบคโพลล์ เผยคน 94%ค้าน หากม็อบจะนำพาประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย," ไทยรัฐออนไลน์ (18 พ.ย. 2555), เข้าถึงจาก <http://www.thairath.co.th/content/306959>. สืบค้นเมื่อ 22 มีนาคม 2558.
Nelson, Michael H. (2011). "Political Representation in Thailand: Problems of Institutional Development." Samaggi Sara, Annual Issue (82), pp. 24-28.
Heywood, Andrew (1997). Politics. London: Macmillan.