พระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน
พระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน
ผู้เรียบเรียง : กิรณา กิตติอนุกูล
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง
นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ประเทศไทย ได้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามระบบรัฐสภาอันเป็นระบบการเมืองการปกครองที่มีการแบ่งแยกอำนาจ ซึ่งได้แก่อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ โดยองค์กรที่จัดให้เป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ คือ รัฐสภามีอำนาจหน้าที่ในการออกพระราชบัญญัติอันเป็นกฎหมายที่มีลำดับศักดิ์รองลงมาจากรัฐธรรมนูญและเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนู
ความหมาย
พระราชบัญญัติ คือ กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภาซึ่งเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติมีอำนาจในการออกพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ หรือพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายต่างๆ เพื่อให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย
ร่างพระราชบัญญัติมี 2 ประเภท คือ
(1) ร่างพระราชบัญญัติทั่วไป คือ ร่างพระราชบัญญัติอื่นนอกจากร่างพระราชบัญญัติ เกี่ยวด้วยการเงิน
(2) ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน
ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน (Money Bill) หมายถึง ร่างพระราชบัญญัติที่มีลักษณะหรือสาระสำคัญเกี่ยวข้องกับเรื่อง เงิน ภาษีอากร เงินตรา หรืองบประมาณแผ่นดินอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งต้องใช้กระบวนการในการเสนอและการพิจารณารวมทั้งเงื่อนเวลาในการยกขั้นพิจารณาใหม่เมื่อถูกยับยั้ง แตกต่าง ไปจากร่างพระราชบัญญัติทั่วไปหรือร่างพระราชบัญญัติที่ไม่เกี่ยวด้วยการเงิน [1]
การตราพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน
ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหลายฉบับตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน โดยแนวความคิดเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 (รัฐธรรมนูญอันดับ 3 ในการปกครองประเทศ) มาตรา 53 บัญญัติว่า “ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินนั้น จะเสนอได้โดยคณะรัฐมนตรี หรือสมาชิกสภาผู้แทน ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีรับรอง
ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินนั้น หมายความถึง ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อความต่อไปนี้ทั้งหมด หรือแต่ข้อใดข้อหนึ่ง กล่าวคือ การตั้งขึ้นหรือยกเลิก หรือลด หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือผ่อน หรือวางระเบียบการบังคับอันเกี่ยวกับภาษีหรืออากร หรือว่าด้วยเงินตรา การจัดสรรรับ รักษา หรือจ่ายเงินแผ่นดิน หรือการกู้เงิน หรือการประกัน หรือการใช้เงินกู้
ในกรณีเป็นที่สงสัย ให้เป็นอำนาจของประธานแห่งสภาผู้แทนที่จะวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติใดเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินหรือไม่”
ข้อความเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีลักษณะใกล้เคียงอย่างยิ่งกับข้อความที่บัญญัติในพระราชบัญญัติรัฐสภา คริสต์ศักราช 1911 (Parliament Act. 1911) ของประเทศอังกฤษ เนื่องจากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ประกอบด้วยบุคคลซึ่งสำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษ [2]
จากรายงานการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อปี 2491 ได้มีการอภิปรายโดยพระยาอรรถการีย์นิพนธ์ (กรรมาธิการ) ว่า “หลักสำคัญเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินนั้นอยู่ที่ว่ารัฐบาล เป็นผู้คุมกระเป๋าเงินของประเทศ จึงจำเป็นอยู่เองที่จะทราบว่ากำลังของรัฐบาลในเรื่องการเงินที่จะบริหารราชการแผ่นดิน ฉะนั้น กฎหมายใดที่เกี่ยวกับการเงินนั้นแล้ว รัฐบาลจะต้องรู้เสียก่อน และถ้ากฎหมายผ่านไปแล้วว่ารัฐบาลมีกำลังเงินพอหรือไม่ที่จะบริหารราชการให้เป็นไปตามกฎหมายนั้นได้ โดยเหตุนั้นรัฐธรรมนูญ จึงพยายามที่ว่าจะเสนอได้ก็เฉพาะแต่รัฐบาลเท่านั้นสมาชิกเสนอไม่ได้” [3] จากเจตนารมณ์ดังกล่าว ทำให้รัฐบาลเป็นผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินเพียงผู้เดียว สมาชิกสภาผู้แทนจะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีนายกรัฐมนตรีรับรอง
อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้บัญญัติเรื่องการเสนอร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินไว้ในมาตรา 142 “ภายใต้บังคับมาตรา 139 ร่างพระราชบัญญัติจะเสนอได้ก็แต่โดย
1. คณะรัฐมนตรี
2. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่ายี่สิบคน
3. ศาลหรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดองค์กรและกฎหมาย ที่ประธานศาลและประธานองค์กรนั้นเป็นผู้รักษาการ หรือ
4. ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคนเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามมาตรา 163
ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติซึ่งมีผู้เสนอตาม (2) (3) หรือ (4) เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินจะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีคำรับรองของนายกรัฐมนตรี
ในกรณีที่ประชาชนได้เสนอร่างพระราชบัญญัติใดตาม (๔) แล้ว หากบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติที่มีหลักการเดียวกับร่างพระราชบัญญัตินั้นอีก ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๖๓ วรรคสี่ มาใช้บังคับกับการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นด้วย
ร่างพระราชบัญญัติให้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน
ในการเสนอร่างพระราชบัญญัติตามวรรคหนึ่งต้องมีบันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญของ ร่างพระราชบัญญัติเสนอมาพร้อมกับร่างพระราชบัญญัติด้วย
ร่างพระราชบัญญัติที่เสนอต่อรัฐสภาต้องเปิดเผยให้ประชาชนทราบและให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลรายละเอียดของร่างพระราชบัญญัตินั้นได้โดยสะดวก”
รัฐธรรมนูญดังกล่าวให้สิทธิศาลหรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการเสนอร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน ทั้งนี้ ยังคงหลักการเดิม คือ จะเสนอได้ต่อเมื่อ มีคำรับรองของนายกรัฐมนตรีเสียก่อน
ต่อมา เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มาตรา 14 ได้กำหนดให้คณะรัฐมนตรีเท่านั้นเป็นผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน
“มาตรา 14 พระมหากษัตริย์ทรงตราพระราชบัญญัติโดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ร่างพระราชบัญญัติจะเสนอได้ก็แต่โดยสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติร่วมกันจำนวนไม่น้อยกว่ายี่สิบห้าคน หรือคณะรัฐมนตรี หรือสภาปฏิรูปแห่งชาติตามมาตรา 31 วรรคสอง แต่ร่างพระราชบัญญัติ เกี่ยวด้วยการเงินจะเสนอได้ก็แต่โดยคณะรัฐมนตรี
ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินตามวรรคสอง หมายความถึงร่างพระราชบัญญัติ ที่เกี่ยวกับการตั้งขึ้น ยกเลิก ลด เปลี่ยนแปลง แก้ไข ผ่อน หรือวางระเบียบการบังคับอันเกี่ยวกับภาษีหรืออากร การจัดสรร รับ รักษา หรือจ่ายเงินแผ่นดิน หรือการโอนงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน การกู้เงิน การค้ำประกัน หรือการใช้เงินกู้ หรือการดำเนินการที่ผูกพันทรัพย์สินของรัฐ หรือเงินตรา
ในกรณีเป็นที่สงสัยว่าร่างพระราชบัญญัติที่เสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินหรือไม่ ให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นผู้วินิจฉัย
ร่างพระราชบัญญัติที่เสนอโดยสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือสภาปฏิรูปแห่งชาตินั้น คณะรัฐมนตรีอาจขอรับไปพิจารณาก่อนสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะรับหลักการก็ได้
การตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญให้กระทำได้โดยวิธีการที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้ แต่การเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ให้กระทำโดยคณะรัฐมนตรีหรือผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้น”
เนื่องจากพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน เป็นกฎหมายที่ก่อให้เกิดภาระทางงบประมาณ ของรัฐ จึงต้องกำหนดหลักเกณฑ์ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 143 บัญญัติว่า “ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน หมายความถึงร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) การตั้งขึ้น ยกเลิก ลด เปลี่ยนแปลง แก้ไข ผ่อน หรือวางระเบียบการบังคับอันเกี่ยวกับภาษีหรืออากร
(2) การจัดสรร รับ รักษา หรือจ่ายเงินแผ่นดิน หรือการโอนงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน
(3) การกู้เงิน การค้ำประกัน การใช้เงินกู้ หรือการดำเนินการที่ผูกพันทรัพย์สินของรัฐ
(4) เงินตรา
ในกรณีที่เป็นที่สงสัยว่าร่างพระราชบัญญัติใดเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน ที่จะต้องมีคำรับรองของนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ให้เป็นอำนาจของที่ประชุมร่วมกันของประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานคณะกรรมาธิการสามัญของสภาผู้แทนราษฎรทุกคณะ เป็นผู้วินิจฉัย
ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรจัดให้มีการประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณากรณีตามวรรคสอง ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่มีกรณีดังกล่าว
มติของที่ประชุมร่วมกันตามวรรคสอง ให้ใช้เสียงข้างมากเป็นประมาณ ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด”
หลักการดังกล่าวคงเดิมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และ ได้ถูกบัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 อย่างไรตาม มีหลักบางประการที่แตกต่างออกไป กล่าวคือ การเสนอร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินกระทำได้โดยคณะรัฐมนตรีเท่านั้น เมื่อมีกรณีเป็นที่สงสัยเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินหรือไม่ ให้ประธาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นผู้วินิจฉัย
กระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร 2551 กำหนดว่าการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินกระทำเช่นเดียวการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทั่วไปโดยต้องเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน พิจารณาเป็น 3 วาระตามลำดับ ดังนี้
วาระที่ 1 สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาและลงมติว่าจะรับหลักการหรือไม่รับหลักการ แห่งร่างพระราชบัญญัตินั้น เพื่อประโยชน์แก่การพิจาณาร่างพระราชบัญญัติและลงมติดังกล่าว สภาจะให้คณะกรรมาธิการพิจารณาก่อนรับหลักการก็ได้ ทั้งนี้ ต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่สภามีมติ
ร่างพระราชบัญญัติใดที่ตอนเสนอและในขั้นรับหลักการไม่เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน แต่คณะกรรมาธิการหรือสภาผู้แทนราษฎรได้แก้ไขเพิ่มเติม และประธานสภาเห็นว่าการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินให้ประธานสภาสั่งระงับการพิจารณาไว้ก่อน และส่งให้ที่ประชุมร่วมกัน ของประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานคณะกรรมาธิการสามัญของสภาผู้แทนราษฎรทุกคณะวินิจฉัยภายใน 15 วันนับแต่ที่มีกรณีดังกล่าว ถ้าที่ประชุมร่วมกันวินิจฉัยว่าการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นทำให้ ร่างพระราชบัญญัตินั้นมีลักษณะเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นไปให้นายกรัฐมนตรีรับรอง ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่ให้คำรับรอง ให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการแก้ไขเพื่อมิให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน
ในกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติ ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาในลำดับต่อไปเป็นวาระที่ 2 แต่ถ้าสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่รับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติใด ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไป
วาระที่ 2 เป็นการพิจารณาในรายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติ โดยคณะกรรมาธิการที่สภาตั้งหรือคณะกรรมาธิการเต็มสภา ตามปกติให้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติโดยคณะกรรมาธิการที่สภาตั้ง ส่วนการพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการเต็มสภาจะกระทำได้ต่อเมื่อคณะรัฐมนตรีร้องขอหรือเมื่อสมาชิกเสนอญัตติ โดยมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 20 คน และที่ประชุมเห็นชอบ
การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว ให้สภาพิจารณาเริ่มต้นด้วยชื่อร่าง คำปรารภ แล้วพิจารณาเรียงลำดับมาตรา และให้อภิปรายได้เฉพาะถ้อยคำหรือข้อความที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม หรือที่ผู้แปรญัตติสงวนคำแปรญัตติหรือที่กรรมาธิการสงวนความเห็นไว้ ทั้งนี้ เว้นแต่ที่ประชุม จะลงมติเป็นอย่างอื่น
วาระที่ 3 ที่ประชุมลงมติว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ โดยไม่มีการอภิปราย ในกรณีที่ สภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่ให้ความเห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไป ในกรณีที่สภามีมติ ให้ความเห็นชอบ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรดำเนินการเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อวุฒิสภาต่อไป
หากร่างพระราชบัญญัติที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่เห็นชอบเป็นร่างพระราชบัญญัติ ที่คณะรัฐมนตรีระบุไว้ในนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาว่าจำเป็นต่อการบริหารราชการแผ่นดินและคะแนน ที่ไม่ให้ความเห็นชอบไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ คณะรัฐมนตรี อาจขอให้รัฐสภาประชุมร่วมกันเพื่อมีมติอีกครั้ง หากรัฐสภามีมติเห็นชอบให้ตั้งบุคคลซึ่งเป็นหรือมิได้ เป็นสมาชิกของแต่ละสภามีจำนวนเท่ากันตามที่คณะรัฐมนตรีเสนอประกอบกันเป็นคณะกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้น และให้คณะกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภารายงานและ เสนอร่างพระราชบัญญัติที่ได้พิจารณาแล้วต่อรัฐสภา หากรัฐสภามีมติเห็นชอบให้นายกรัฐมนตรี นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยต่อไปแต่ถ้ารัฐสภามีมติไม่ให้ความเห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไป[4]
ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินที่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแล้วให้เสนอต่อวุฒิสภา ซึ่งประธานสภาต้องแจ้งไปด้วยว่าเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน ถ้าไม่แจ้งให้ถือว่าไม่เป็น ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน โดยวุฒิสภาต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วัน ถ้าไม่เสร็จถือว่าวุฒิสภาให้ความเห็นชอบ การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของวุฒิสภาจะพิจารณาเป็น 3 วาระ เช่นเดียวกับ การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎร
ในการนี้ ร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่วุฒิสภามีมติยับยั้งไว้ ถ้าเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน สภาผู้แทนราษฎรอาจยกขึ้นพิจารณาใหม่ได้ทันที[5]
อนึ่ง เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกระทำโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และจะเสนอได้ก็แต่โดยสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติร่วมกันจำนวนไม่น้อยกว่า 25 คน หรือคณะรัฐมนตรี หรือสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งร่างพระราชบัญญัติ ที่เสนอโดยสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือสภาปฏิรูปแห่งชาติ คณะรัฐมนตรีอาจขอรับไปพิจารณาก่อนสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะรับหลักการก็ได้ ส่วนร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินจะเสนอได้ก็แต่โดยคณะรัฐมนตรี ในกรณีเป็นที่สงสัยว่าร่างพระราชบัญญัติใดเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินหรือไม่ ให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นผู้วินิจฉัย [6]
อ้างอิง
- ↑ คณิน บุญสุวรรณ. 2556. ภาษาสภา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ:บริษัท เอมี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด. หน้า 51.
- ↑ กมล สุปรียสุนทร. 2534. ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน. วิทยานิพนธ์ปริญญา นิติศาสตรมหาบัณฑิต, ภาควิชานิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 18.
- ↑ รายงานการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 61/2491 วันที่ 29 พฤศจิกายน 2491
- ↑ เอกสารเผยแพร่ จัดทำโดยกลุ่มงานสารนิเทศ สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
- ↑ คณิน บุญสุวรรณ. 2556. ภาษาสภา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ:บริษัท เอมี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด. หน้า 52.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มาตรา 14
บรรณานุกรม
กมล สุปรียสุนทร. 2534. ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน. วิทยานิพนธ์ปริญญานิติศาสตรมหาบัณฑิต,
ภาควิชานิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551
คณิน บุญสุวรรณ. ภาษาสภา. กรุงเทพฯ. บริษัท เอมี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด: ครั้งที่ 2, 2556. เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. สำนักกรรมาธิการ 3 สำนักงานเลขาธิการ
สภาผู้แทนราษฎร
หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ
เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
ดร. อรพิน ผลสุวรรณ์ สบายรูป. ระบบการเสนอและการพิจารณากฎหมายการเงิน. 2538 นรนิติ เศรษฐบุตร, (2549) “กระบวนการนิติบัญญัติของรัฐสภาไทย.” พิมพ์ครั้งที่ 2
กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, (2551) “คู่มือแบบการร่างกฎหมาย”.กรุงเทพฯ:สำนักงานคณะกรรมการ
กฤษฎีกา. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, (2551) “อำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร
ไทย พุทธศักราช 2550.” กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.