คนเท่ากัน เดินหน้าเลือกตั้ง ร่วมกันปฏิรูป
ผู้เรียบเรียง ฐิติกร สังข์แก้ว และดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ ศาสตราจารย์ นรนิติ เศรษฐบุตร
ความหมาย
“คนเท่ากัน เดินหน้าเลือกตั้ง ร่วมกันปฏิรูป” เป็นวลีที่กลุ่มสมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.) อันประกอบด้วยนักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางสังคม และสื่อมวลชนหลากหลายสาขาใช้ในการรณรงค์ทางการเมืองภายหลังจากที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจยุบสภาและกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 [1] โดยมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ทางการเมืองอย่างคึกคัก มีประชาชน กลุ่มนักวิชาการ นักศึกษาและภาคประชาสังคมเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก สำหรับความหมายของวลีนี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อยืนยันสิทธิที่เท่าเทียมกันของประชาชนในอันที่จะกำหนดตัดสินการเมืองไทยผ่านการเลือกตั้ง ขณะเดียวกันก็เป็นการตอบโต้การรณรงค์ของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ซึ่งใช้ยุทธศาสตร์การเดินขบวนชุมนุมประท้วงกดดันให้รัฐบาลลาออกจากตำแหน่งรักษาการเพื่อให้มีการปฏิรูปประเทศทั้งระบบก่อนที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น แต่สำหรับ สปป. แล้ว การปฏิรูปประเทศนั้นสามารถเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการเลือกตั้งได้
กำเนิดและจุดยืนของกลุ่ม สปป.
การเกิดขึ้นของกลุ่ม สปป. ซึ่งได้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองภายหลังการยุบสภาของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนั้นประกอบด้วยบุคคลจากหลากหลายกลุ่มอาชีพจากภาคส่วนต่างๆ เช่น ศาสตราจารย์ ดร.เกษียร เตชะพีระ ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ และอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รองศาสตรจารย์ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ดร.ปิยะบุตร แสงกนกกุล สมาชิกกลุ่มนิติราษฎร์และอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ รองศาสตราจารย์ ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปราบดา หยุ่น และวาด รวี นักคิดนักเขียนชื่อดัง เป็นต้น ในการเคลื่อนไหวและการรณรงค์ทางการเมืองของกลุ่ม สปป. ภายใต้วลี “คนเท่ากัน เดินหน้าเลือกตั้ง ร่วมกันปฏิรูป” นั้น จัดเป็นข้อเสนอทางการเมืองที่ผุดขึ้นมาเป็นขั้วตรงข้ามกับข้อเสนอของกลุ่ม กปปส. ซึ่งต้องการให้มีการปฏิรูปการเมืองก่อนการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม สำหรับหัวใจหลักของการณรงค์ทางการเมืองของกลุ่ม สปป. คือ การเดินหน้าสู่การเลือกตั้งเพื่อเป็นทางออกสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองอย่างสันติและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย โดยเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556 ได้มีการจัดกิจกรมเปิดตัวกลุ่ม สปป. และออกแถลงการณ์สมัชชาปกป้องประชาธิปไตยเพื่อแสดงความเห็นต่อสถานการณ์ทางการเมืองโดยครอบคลุมตั้งแต่ประเด็นคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณีแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจนถึงข้อเสนอของกลุ่ม กปปส. สรุปได้ดังนี้ [2]
ประการแรก กรณีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเสนอญัตติ “ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ...” ในประเด็นที่มาของสมาชิกวุฒิสภาโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเพื่อไทย โดยศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในประเด็นดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญและเนื้อความอันเป็นสาระสำคัญขัดแย้งต่อหลักการพื้นฐานและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550[3] ต่อกรณีดังกล่าวนี้ กลุ่ม สปป. มีความเห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่มีฐานอำนาจตามรัฐธรรมนูญรองรับและขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ดังนั้น จึงส่งผลให้คำวินิจฉัยดังกล่าวเสียเปล่าและไม่มีผลทางกฎหมายผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และองค์กรอื่นของรัฐ
ประการที่สอง กรณีข้อเสนอของกลุ่ม กปปส. เกี่ยวกับการจัดตั้งสภาประชาชนโดยกลุ่ม กปปส. เห็นว่าภายหลังการสิ้นสุดลงของรัฐบาลและรัฐสภา ประชาชนสามารถใช้อำนาจอธิปไตยได้โดยตรงเพื่อสถาปนาสภาประชาชน ต่อกรณีดังกล่าวนั้น ทางกลุ่ม สปป. เห็นว่าภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เมื่อรัฐบาลและรัฐสภาสิ้นสุดลง ประชาชนผู้ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยสามารถใช้อำนาจนั้นโดยตรงผ่านการออกเสียงประชามติ การออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ตลอดจนการใช้อำนาจผ่านองค์กรของรัฐซึ่งมีจุดเชื่อมโยงกับประชาชน ทั้งนี้ หากต้องการให้มีการจัดตั้งสภาประชาชนขึ้น มีเพียงวิธีการเดียวเท่านั้น คือ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อกำหนดให้มีสภาประชาชนขึ้น ดังนั้น ในความเห็นของกลุ่ม สปป. ข้อเสนอให้มีการจัดตั้งสภาประชาชนของกลุ่ม กปปส. จึงเป็นข้อเสนอที่ปราศจากบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญให้การรองรับไว้
ประการสุดท้าย กรณีข้อเสนอให้มีนายกรัฐมนตรีคนกลางโดยกลุ่ม กปปส. เห็นว่าสถานการณ์ในห้วงเวลาดังกล่าวเผชิญกับสุญญากาศทางการเมืองจึงมีความจำเป็นต้องบังคับใช้มาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2550 เพื่อเปิดทางให้มีนายกรัฐมนตรีคนกลางหรือที่คุ้นชินกันในนามของนายกรัฐมนตรีพระราชทานนั่นเอง แต่ในขณะเดียวกัน กลุ่ม สปป. มีความเห็นต่อข้อเสนอดังกล่าวว่าสถานการณ์ทางการเมืองไม่ได้เกิดสภาวะสุญญากาศตามที่กลุ่ม กปปส. กล่าวอ้าง หากแต่เป็นการตีความรัฐธรรมนูญแบบประหลาดและไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยประกอบกับข้อเสนอดังกล่าวเป็นข้อเรียกร้องให้พระมหากษัตริย์กระทำการในสิ่งที่พระองค์ไม่มีพระราชอำนาจอีกด้วย กล่าวคือ ด้วยสภาพข้อเท็จจริงตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2550 ภายหลังการสิ้นสุดลงของรัฐบาลและรัฐสภาแล้วจำเป็นต้องให้คณะรัฐมนตรีชุดดังกล่าวรักษาการไปพลางก่อนจนกว่าสามารถสรรหาคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาชุดใหม่ผ่านกระบวนการเลือกตั้งเพียงเท่านั้น
ตามสรุปแถลงการณ์ฯ ข้างต้นนั้นประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองในห้วงเวลาดังกล่าว กลุ่ม สปป. จึงเห็นว่าทางออกที่ดีที่สุดและเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายการคืนอำนาจให้ประชาชนเพื่อแสดงเจตจำนงทางการเมืองของตนผ่านกลไกการเลือกตั้ง และในภายหลังมีจัดการตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้วให้มีการดำเนินการปฏิรูปการเมืองการปกครองต่อไป
กิจกรรมและการเคลื่อนไหวของกลุ่ม สปป.
- การที่เราต้องมาพบกันวันนี้เพราะวิกฤตทางการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเลวร้ายลง โดยชัดแล้วว่าคนกลุ่มหนึ่งพยายามฉีกรัฐธรรมนูญและเขียนใหม่ขึ้น โดยโอนอำนาจให้คนกลุ่มหนึ่ง…โดยเฉพาะเมื่อมีการแต่งตั้ง กปปส. มีนักวิชาการที่มีชื่อเสียงมาร่วมแสดงความชอบธรรมในการยึดอำนาจของประชาชน เขาสามารถที่จะประกาศได้อย่างไม่ต้องปกปิดและไม่อายอีกต่อไปว่า ประชาชนคนไทยไม่เท่ากัน เสียงคนมีการศึกษา ฐานะร่ำรวย เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าคนชนบท คนที่ด้อยการศึกษา…
พวงทอง ภวัครพันธุ์
- ท่ามกลางสังคมไทยที่กลายเป็นสังคมที่มีคนตื่นตัวทางการเมืองจำนวนมาก การปฏิรูปเป็นสิ่งพึงกระทำในกระบวนการประชาธิปไตยเท่านั้น ไม่สามารถประชุมนักปราชญ์หรือผู้รู้จำนวนน้อยเพื่อตัดสินใจว่าจะปฏิรูปอะไร อย่างไร แล้วยัดเยียดให้คนส่วนใหญ่ยอมรับ เพราะการปฏิรูปทุกอย่างมีคนได้และเสียเสมอ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีกระบวนการต่อรอง ถกเถียง แสดงเหตุผล จนกว่าจะเห็นพ้องต้องกันพอสมควรว่าจะต้องปฏิรูปอะไร เดินไปทางไหน จึงไม่มีเหตุผลที่จะแยกการปฏิรูปและการเลือกตั้งออกจากกัน อันที่จริงการเลือกตั้งคือการประชุมประชาชนทั้งประเทศในการช่วยกันคิดว่าจะเลือกพรรคไหนที่เสนอแนวทางปฏิรูปที่ประชาชนเห็นชอบมากที่สุด ทั้งสองเรื่องนี้จึงไม่ควรแยกออกจากกัน เพราะแท้ที่จริงมันคือกระบวนการอันเดียวกัน…
นิธิ เอียวศรีวงศ์ [4]
ถ้อยแถลงข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมของกลุ่ม สปป. ซึ่งได้มีการจัดขึ้นในรูปแบบของรายการทอล์คโชว์ภายใต้ชื่อ “คนเท่ากัน เดินหน้าเลือกตั้ง ร่วมกันปฏิรูป” ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556 ซึ่งมีประชาชนผู้สนใจ นิสิต นักศึกษา สื่อมวลชนและภาคประชาสังคมเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ในตอนท้ายของกิจกรรมกลุ่ม สปป. ได้มีการอ่านคำประกาศเจตนารมณ์ “คนเท่ากัน” โดยสาระสำคัญของคำประกาศเจตนารมณ์ดังกล่าวได้เน้นย้ำต่อหลักการประชาธิปไตยว่าจักต้องเริ่มต้นที่คนต้องเสมอภาคเท่าเทียมกันทางการเมือง ในความหมายนี้แปลว่า จะต้องยอมรับว่าคนอื่นที่คิดต่างจากเราสามารถคิดเองเป็นและสามารถจะคัดค้านปฏิเสธความเห็นต่างเหล่านั้นต่อกันได้ภายใต้กติกาของประชาธิปไตย ด้วยความจำเป็นที่ว่านี้ ประเทศไทยจึงมีความจำเป็นต้องเร่งสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่แข็งแรงผ่านกระบวนการเลือกตั้งซึ่งถือเป็นเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำเพื่อรองรับต่อความหลากหลายและความแตกต่างทางความคิดของกลุ่มคนต่างๆ ในสังคม
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556 กลุ่ม สปป. ได้มีการจัดเวทีกิจกรรมในส่วนภูมิภาค ณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภายใต้หัวข้อ “การเมืองภาคประชาชน การเลือกตั้ง และการทำให้เป็นประชาธิปไตย” โดยมีนักวิชาการจากกลุ่ม สปป. 2 ท่านเข้าร่วมในเวทีดังกล่าว คือ ดร. ปิยบุตร แสงกนกกุล และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ ความโดดเด่นของเหตุการณ์ในครั้งนี้คือมีกลุ่มประชาชนที่เข้าร่วมงานได้ประกาศจัดตั้ง “สมัชชาปกป้องประชาธิปไตยล้านนา” หรือ สปป. ล้านนา เพื่อสนับสนุนเจตนารมณ์และแนวทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่ม สปป. โดยจุดประสงค์หลักในระยะสั้นของกลุ่ม สปป. ล้านนา คือ การรณรงค์ให้มีการจัดการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
กระแสสังคมต่อกลุ่ม สปป. และเครือข่าย
เป็นที่ทราบกันดีว่าการเกิดขึ้นของกลุ่ม สปป. ซึ่งมีการรณรงค์ให้มีการขับเคลื่อนการเมืองไทยไปสู่การเลือกตั้งท่ามกลางวิกฤตการณ์ทางการเมืองในห้วงเวลาดังกล่าวนั้นเป็นข้อเสนอที่สวนทางและเปรียบประหนึ่งเป็นขั้นตรงกันข้ามกับกลุ่ม กปปส. ซึ่งต้องการให้มีการปฏิรูปการเมืองก่อนการเลือกตั้ง และในภายหลังการจัดตั้ง สปป. ล้านนา กระแสสังคมที่มีต่อแนวทางของกลุ่ม สปป. ได้มีแรงกระเพื่อมมากขึ้นในสังคมวงกว้าง กล่าวคือ เกิดการตีความว่า สปป. ล้านนา หมายถึง สาธารณรัฐประชาธิปไตยล้านนา และมีชื่อพ้องกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ สปป. ลาว ทั้งนี้ ประกอบกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่จังหวัดพะเยาซึ่งได้มีการติดป้ายที่สะพานลอยโดยปรากฏว่า “ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กูขอแยกประเทศ” เหตุการณ์ทั้งหมดจึงประจวบเหมาะไปสู่ความพยายามที่จะเชื่อมโยงกับกรณีการแบ่งแยกประเทศ [5]
ต่อมาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2557 กองทัพได้มีปฏิกริยาตอบโต้ต่อกรณีดังกล่าว โดยพันเอกวินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบกได้ให้สัมภาษณ์ว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่ม สปป. ล้านนา ในเขตพื้นที่ภาคเหนือนั้นอาจเข้าข่ายความผิดทางกฎหมาย โดยทางพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกได้สั่งการให้พลโทปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 3 เข้าแจ้งความตามกฎหมายในลักษณะฐานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ทั้งนี้ ได้สั่งการให้มีการปลดป้ายผ้าทั้งหมดที่มีข้อความที่สุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงภายใน[6] ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ได้ให้ความเห็นต่อกระแสของกลุ่ม สปป. ล้านนา เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557 ว่าฝ่ายความมั่นคงควรเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงเพราะเท่าที่ผ่านมาแกนนำคนเสื้อแดงมีการพูดถึงประเด็นดังกล่าวบนเวทีอย่างชัดเจน หรือแม้แต่อดีต สส. พรรคเพื่อไทยก็ได้ให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ในขณะเดียวกัน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกลับเพิกเฉยที่จะดำเนินการตรวจสอบ [7]
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557 ทางกลุ่ม สปป. ได้มีการชี้แจงกรณีการจัดตั้ง สปป. ล้านนาว่าไม่ได้มีเจตนารมณ์เพื่อแบ่งแยกดินแดนแต่ประการใด ทั้งยังเห็นว่าข้อเสนอดังกล่าวกลับไม่ได้ช่วยแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมืองใดๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่ในขณะเดียวกันกลุ่ม สปป. ล้านนาได้สนับสนุนแนวทางของกลุ่ม สปป. ซึ่งต้องการให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นตามระบอบประชาธิปไตยเพียงเท่านั้น [8]
บรรณานุกรม
“ข้อเท็จจริงว่าด้วยสปป.ลานนากับกระแสแยกประเทศ.” ผู้จัดการรายวัน. (3 มีนาคม 2557), 11.
“ขู่ยื่นยุบ พท.ล้มการปกครอง.” เดลินิวส์. (3 มีนาคม 2557), 14.
“แถลงการณ์สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย.” ประชาไท. (10 ธันวาคม 2556). เข้าถึงจาก <http://www.prachatai.com/journal/2013/12/50321>. เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2558.
“ผ่าแผนแยกประเทศ รัฐไทยใหม่ในฝัน สปป.ล้านนา.” ผู้จัดการออนไลน์. (8 มีนาคม 2557). เข้าถึงจาก <http://www.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9570000026533>. เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2558.
“พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556.” ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 130 ตอนที่ 115 ก. 9 ธันวาคม 2556, หน้า 1-2.
““มทภ.3” ชี้โทษร้ายแรงถึงประหาร.” คมชัดลึก. (3 มีนาคม 2557), 13.
“สปป.ยันชูประชาธิปไตย.” ข่าวสด. (3 มีนาคม 2557), 10.
“สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย คนเท่ากัน เดินหน้าเลือกตั้ง ร่วมกันปฏิรูป.” ประชาไท. (22 ธันวาคม 2556). เข้าถึงจาก <http://www.prachatai.com/journal/2013/12/50593>. เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2558.
“สรุปคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 15-18/2556 เรื่อง คำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68. ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556.” เข้าถึงจาก <http://www.constitutionalcourt.or.th/index.php?option=com_docman&task=cat_view&gid=544&Itemid=211&lang=th>. เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2558.
อ้างอิง
- ↑ “พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556,” ราชกิจจานุเบกษา, เล่มที่ 130 ตอนที่ 115 ก. 9 ธันวาคม 2556, หน้า 1-2.
- ↑ “แถลงการณ์สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย,” ประชาไท, (10 ธันวาคม 2556). เข้าถึงจาก <http://www.prachatai.com/journal/2013/12/50321>. เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2558.
- ↑ http://app04.erc.or.th/eLicense/Licenser/09_DIW/908_DIWRegisterPlantRequestAdd.aspx?RowID=11024&FromWhere=ERC&RowID_EL2_M_Licensee=41776&RowID_EL2_M_PowerPlant=51621&Flag=2&Step=-2
- ↑ “สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย คนเท่ากัน เดินหน้าเลือกตั้ง ร่วมกันปฏิรูป,” ประชาไท, (22 ธันวาคม 2556). เข้าถึงจาก <http://www.prachatai.com/journal/2013/12/50593>. เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2558.
- ↑ ดูการวิเคราะห์และรูปภาพประกอบใน “ข้อเท็จจริงว่าด้วยสปป.ลานนากับกระแสแยกประเทศ,” ผู้จัดการรายวัน, (3 มีนาคม 2557), 11. และ “ผ่าแผนแยกประเทศ รัฐไทยใหม่ในฝัน สปป.ล้านนา,” ผู้จัดการออนไลน์, (8 มีนาคม 2557). เข้าถึงจาก<http://www.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9570000026533>. เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2558.
- ↑ “มทภ.3” ชี้โทษร้ายแรงถึงประหาร,” คมชัดลึก, (3 มีนาคม 2557), 13.
- ↑ “ขู่ยื่นยุบ พท.ล้มการปกครอง,” เดลินิวส์, (3 มีนาคม 2557), 14.
- ↑ “สปป.ยันชูประชาธิปไตย,” ข่าวสด, (3 มีนาคม 2557), 10.