รัฐบาล

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


รัฐบาล

                   รัฐบาล มีความหมายอย่างน้อย 2 ประการ คือ ประการหนึ่ง ความหมายอย่างกว้าง หมายถึงบุคคลหรือคณะบุคคลผู้ใช้อำนาจในนามของประเทศ เช่น รัฐบาลไทยทำสนธิสัญญากับต่างประเทศ รัฐบาลไทยสมัครเป็นภาคีอนุสนธิสัญญาต่อต้านการทุจริตแห่งองค์การสหประชาชาติ และอีกประการหนึ่ง ความหมายอย่างแคบ หมายถึงฝ่ายบริหารหรือคณะรัฐมนตรีที่เป็นองค์กรแยกออกจากฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ เช่น รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล จะเห็นได้ว่าในความหมายประการแรก รัฐบาลย่อมหมายถึงผู้กระทำการในนามของประเทศในความหมายอย่างกว้าง ความหมายประการที่สอง ย่อมหมายถึงเฉพาะฝ่ายบริหารหรือคณะรัฐมนตรีเท่านั้น

                   หากพิจารณาระบอบการปกครองตามวิธีการจำแนกของ อริสโตเติล (Aristotle) นักปรัชญาชาวกรีกโบราณ ที่ถือเป้าหมายที่รัฐดำเนินการและชนิดของผู้ใช้อำนาจปกครองเป็นเกณฑ์ โดยเกณฑ์เป้าหมายของการปกครองแบ่งเป็นเพื่อส่วนรวมอย่างหนึ่ง และเพื่อส่วนตนหรือพวกพ้องอีกอย่างหนึ่ง ส่วนชนิดของใช้อำนาจปกครองแบ่งเป็น 3  ชนิด ได้แก่ คนเดียว (one-man) จำนวนน้อย (the few) และจำนวนมาก (the many) เมื่อนำเกณฑ์เป้าหมายมาจับคู่กับจำนวนผู้ใช้อำนาจปกครองจะแบ่งย่อยได้เป็น 6 ระบอบ ดังนี้

                   1) ราชาธิปไตย (Monarchy) อำนาจอยู่ที่บุคคลคนเดียว เป้าหมายเพื่อส่วนรวม

                   2) ทุชนาธิปไตย (Tyranny) อำนาจอยู่ที่บุคคลคนเดียว เป้าหมายเพื่อส่วนตนหรือพวกพ้อง

                   3) อภิชนาธิปไตย (Aristocracy) อำนาจอยู่ท่คนจำนวนน้อยหรือคณะบุคคล เป้าหมายเพื่อส่วนรวม

                   4) คณาธิปไตย (Oligarchy) อำนาจอยู่ที่คนจำนวนน้อยหรือคณะบุคคล เป้าหมายเพื่อส่วนตนหรือพวกพ้อง

                   5) ประชาธิปไตยชนชั้นกลาง (Polity) อำนาจอยู่ที่คนจำนวนมาก วัตถุประสงค์เพื่อส่วนรวม และ

                   6) ประชาธิปไตย (Democracy) อำนาจอยู่ที่คนจำนวนมาก เป้าหมายเพื่อส่วนตนหรือพวกพ้อง

                   จากรูปแบบระบอบการปกครองข้างต้น รัฐบาล ย่อมหมายถึงบุคคลหรือคณะบุคคลซึ่งใช้อำนาจหรือได้รับมอบอำนาจให้บริหารประเทศ มีอำนาจหน้าที่บริหารกิจการของรัฐหรือราชการแผ่นดิน กำหนดนโยบายและวางแนวทางในการปกครองประเทศ ส่วนรัฐบาลจะประกอบด้วยใครบ้าง โดยทั่วไปจะกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศ ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามระบอบการปกครองของแต่ละประเทศ

                   อนึ่ง มีข้อน่าสังเกตในที่นี้ด้วยว่า ระบอบการปกครองที่ดีหรือไม่ดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้มีอำนาจปกครอง แต่ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ในประเทศไทยเรามักเหมารวมว่า การปกครองโดยคนจำนวนมากเท่านั้นจึงจะเป็นระบอบการปกครองที่ดี ความจริงแล้ว อาจไม่ดีก็ได้ ดังที่เราได้พบเห็นมาแล้วหลายครา ในทางปฏิบัติ อริสโตเติลแนะนำให้ใช้ระบอบผสมประชาธิปไตยชนชั้นกลางกับอภิชนาธิปไตย

                   ในโลกยุคปัจจุบัน เมื่อกล่าวถึงรัฐบาล เรามักนึกถึงคณะบุคคลที่เข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งอาจเข้ามาโดยวิถีทางประชาธิปไตยที่ผ่านช่องทางการเลือกตั้ง หรืออาจเข้ามาจากวิถีทางทางการเมืองแบบอื่น เช่น การทำรัฐประหารจัดตั้งบุคคลหรือคณะบุคคลเข้าบริหารประเทศ

                   ในแง่สถาบันทางการเมือง รัฐบาลนับเป็นกลไกที่มีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของประเทศ ความปลอดภัย และความมั่นคงในการดำเนินชีวิตของประชาชน โดยรัฐบาลต้องบริหารประเทศให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกฎหมาย เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและความมั่นคงของประเทศโดยรวม 

                   รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย มีรากฐานแนวคิดมาจากการยินยอมของคนในสังคมที่สละอำนาจของตนเองเพื่อให้มีคณะบุคคลที่ประชาชนเลือกเข้ามาทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของพวกตน โดยมีข้อตกลงเป็นสัญญาประชาคมต่อกัน ความยินยอมนี้เป็นรากฐานสำคัญของการสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้แก่รัฐบาล แต่หากคณะบุคคลดังกล่าวไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนโดยส่วนรวมแล้ว ก็เป็นสิทธิของประชาชนที่จะถอนความยินยอมนั้นเสีย เมื่อครบวาระการดำรงตำแหน่งหรือการถอดถอนออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ความยินยอมของประชาชนและความชอบธรรมทางการเมืองของผู้ปกครองจึงเป็นสิ่งสำคัญในระบอบประชาธิปไตย

                   พิจารณาในแง่รูปแบบโครงสร้างรัฐบาลหรือโครงสร้างการปกครอง เราอาจแบ่งได้เป็น 3 แบบ ได้แก่ แบบรัฐสภา แบบประธานาธิบดี และแบบผสมประธานาธิบดีกับรัฐสภา

                   แบบรัฐสภา อังกฤษเป็นต้นแบบ เป็นแบบอำนาจฝ่ายต่าง ๆ เชื่อมโยงกัน ตรวจสอบและถ่วงดุลกัน ประชาชนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สภาผู้แทนราษฎรเลือกรัฐบาลหรืออำนาจฝ่ายบริหาร ประมุขแห่งรัฐแต่งตั้งรัฐบาลตามที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติเลือก รัฐบาลบริหารประเทศโดยอยู่ในเงื่อนไขว่าต้องได้รับ “ความไว้วางใจ” ของสภาผู้แทนราษฎร ในทางกลับกันรัฐบาลมีอำนาจถ่วงดุลกับฝ่ายสภาผู้แทนราษฎรได้ หากเห็นว่าสภาผู้แทนใช้อำนาจโดยมิชอบ สามารถออกกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรได้ เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ ความเชื่อมโยงระหว่างอำนาจนิติบัญญัติกับรัฐบาลยังมีในรูปที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามารถมีตำแหน่งในในรัฐบาลได้ คือเป็นทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและรัฐมนตรีในขณะเดียวกัน ส่วนศาลมีอำนาจตัดสินคดีให้เป็นไปตามกฎหมายที่รัฐสภามีมติและประมุขลงนามให้ความเห็นชอบ

                   แบบประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกาเป็นต้นแบบ เป็นระบบแบ่งแยกอำนาจเด็ดขาด ทั้งตำแหน่งและตัวบุคคลแยกออกจากกัน จะครองตำแหน่งในขณะเดียวกัน 2 ฝ่ายไม่ได้ รัฐบาลและฝ่ายนิติบัญญัติอันได้แก่สภาผู้แทนราษฎรและหรือวุฒิสภา มาจากการเลือกตั้งของประชาชน รัฐบาลมีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐและเป็นหัวหน้ารัฐบาลในบุคคลคนเดียว รัฐบาลยุบสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาไม่ได้ ในทางกลับกัน ฝ่ายนิติบัญญัติก็ไม่อาจเปิดอภิปรายลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล ต่างฝ่ายต่างปฏิบัติหน้าที่ของตน หากมีความจำเป็นต้องปลดหัวหน้ารัฐบาล กระทำได้โดยการให้ออกจากตำแหน่ง (Impeachment) เท่านั้น ซึ่งเป็นกรณีที่หัวหน้ารัฐบาลกระทำความผิดตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ เช่น รับสินบน ทรยศต่อประเทศชาติ ซึ่งจะต้องมีการฟ้องร้อง ไต่สวน และพิสูจน์ความผิดกันด้วยพยานหลักฐาน มิใช่เพียงการลงมติในสภาเท่านั้น

                   แบบผสมประธานาธิบดีกับรัฐสภา ฝรั่งเศสเป็นตัวแบบ เป็นระบบฝ่ายบริหารคู่ คือมีทั้งประมุขแห่งรัฐ (ประธานาธิบดี) และหัวหน้ารัฐบาล (นายกรัฐมนตรี) ทั้ง 2 ตำแหน่งต่างมีอำนาจบริหารด้วยกันทั้งคู่ คือ ประธานาธิบดี มีอำนาจด้านการต่างประเทศ การทหาร และทำหน้าที่เป็นคนกลางไกล่เกลี่ยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งกรณีมีความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายนิติบัญญัติเกิดขึ้น ประธานาธิบดีเข้าสู่ตำแหน่งโดยการเลือกตั้งของประชาชน ส่วนนายกรัฐมนตรีเข้าสู่ตำแหน่งโดยขึ้นกับความไว้วางใจของสภาผู้แทนราษฎร และบริหารประเทศโดยต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎร กล่าวคือ ในการบริหารประเทศ โดยทั่วไปเป็นไปตามรูปแบบรัฐสภา แต่ในกรณีเกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับสภาผู้แทนราษฎร เพื่อลดทอนอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติให้อยู่ในเหตุและผลมากขึ้น รัฐธรรมนูญให้ประธานาธิบดีมีอำนาจ ตัดสินใจที่จะปลดหัวหน้ารัฐบาลให้พ้นจากตำแหน่งหรือมีคำสั่งยุบสภาผู้แทนราษฎรโดยไม่ต้องมีรัฐมนตรีคนใดลงนามกำกับ อันเป็นการเสริมความเข้มแข็งให้กับระบอบการปกครองมีเสถียรภาพมากขึ้น

                   กล่าวสำหรับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแบบประเทศไทย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารโดยผ่านสถาบันรัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้งทางอ้อม (ประชาชนเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเลือกนายกรัฐมนตรีและพิจารณาเห็นชอบรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล) เข้ามาทำหน้าที่ในการบริหารประเทศตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา โดยรัฐบาลต้องรับผิดชอบในการบริหารประเทศต่อรัฐสภา ซึ่งหมายถึงกรณีที่มีการออกเสียงลงมติในสภาผู้แทนราษฎร เช่น การตรากฎหมาย การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล) หากรัฐบาลได้เสียงสนับสนุนไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเสียงในสภาขึ้นไป รัฐบาลย่อมสูญเสียความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศต่อไป ด้วยเหตุดังกล่าว การมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรจึงมีความจำเป็นต่อการอยู่ในตำแหน่งของรัฐบาล

                   ในส่วนของรัฐบาล รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 158 วรรค 1 กำหนดให้ “พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกิน 35 คน ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน” และ มาตรา 158 วรรค 3 กำหนด “ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี”


บรรณานุกรม

นิยม รัฐอมฤต. การปกครองระบอบประชาธิปไตยเปรียบเทียบ. กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2552.

ปธาน สุวรรณมงคล. “รัฐบาลไทย”. ใน นรนิติ เศรษฐบุตร (บรรณาธิการ). การเมืองการปกครองในรอบ 60 ปี แห่งการครองสิริราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่าง พ.ศ. 2489 ถึง พ.ศ. 2549. นนทบุรี 2549. หน้า 189-190

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560.

ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมศัพท์รัฐศาสตร์. (พิมพ์ครั้งที่ 2). หน้า 128

Ernest Barker (ed.and trans.), The Politics of Aristotle (London: Oxford University Press, 1075), Book III. pp. 92-153. index.php?title=หมวดหมู่:การบริหารราชการแผ่นดิน index.php?title=หมวดหมู่:สถาบันบริหาร index.php?title=หมวดหมู่:สารานุกรม คำศัพท์ต่าง ๆ