การทรงสร้างวังไกลกังวลกับการพัฒนาหัวหิน

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง : ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์


ไกลกังวล หวังผ่อนคลาย บำรุงท้องถิ่น

วังไกลกังวล หัวหิน เป็นวังส่วนพระองค์ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นโดยเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๙ ปีที่สองของรัชกาล เพื่อเป็นสถานที่ทรงพักผ่อนพระอิริยาบถและพระราชทานสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปประทับอยู่เนืองๆ ตามโอกาสต่างๆ โดยมิได้ทรงละทิ้งราชการงานเมือง อีกทั้งเป็นการบังเอิญว่า เมื่อมีการก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ และเหตุการณ์ “กบฏบวรเดช” ในเดือนตุลาคมปีถัดมา ทั้งสองพระองค์กำลังประทับแปรพระราชฐานอยู่ที่นั่น วังนี้ ซึ่งเป็นวังเดียวที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในรัชกาล จึงเป็นที่รู้จักกันในหมู่ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์การเมือง

แต่สิ่งที่ทราบกันน้อยกว่าก็คือ วังนี้มีความเกี่ยวข้องกับพระบรมราโชบายที่มีมาก่อนหน้าในอันที่จะทรงปรับเปลี่ยนระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในส่วนจากเบื้องล่าง คือระดับของท้องถิ่นให้ประชาชนได้เรียนรู้การปกครองตนเองผ่านการมีส่วนร่วมในกิจการของเทศบาล ดังจะเห็นได้จากการที่ปีเดียวกันกับที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการศึกษาเพื่อดำเนินการเรื่องนี้ และกับการเริ่มสร้างวังไกลกังวล ได้มีการตราพระราชบัญญัติสภาจัดบำรุงสถานที่ชายทะเลทิศตะวันตก พ.ศ. ๒๔๖๙ ให้สภาฯ นี้มีภารกิจครอบคลุมตั้งแต่หัวหินถึงชะอำ เป็นโครงการนำร่องการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่นในรูปแบบเทศบาล

ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงสร้างวังไกลกังวลไว้เพื่อประทับทรงพักผ่อนพระอิริยาบถแต่ประการเดียว หากแต่เพื่อที่จะได้ทรงสนับสนุนและทรงติดตามความคืบหน้าของการทดลองการปกครองท้องถิ่นแบบเทศบาลในการบริหารจัดการพื้นที่พักผ่อนตากอากาศแห่งนี้ไปด้วย

การพักผ่อนตากอากาศที่หัวหินในระยะแรก

การไปพักผ่อนตากอากาศรับโอโซน (ozone) ชายทะเลเริ่มขึ้นในสยามตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ ซึ่งได้จัดอ่างศิลาในจังหวัดชลบุรีปัจจุบันเป็นสถานที่ตามคำเรียกร้องของชาวตะวันตกซึ่งเชื่อกันอย่างแพร่หลายว่าการได้รับอากาศบริสุทธิ์ที่ชายทะเลเป็นประโยชน์ต่อการรักษาโรคและบำรุงสุขภาพ และในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีการสร้างพระราชนิเวศน์สำหรับทรงตากอากาศที่เกาะสีชัง และเพชรบุรี[1]

การพัฒนาหัวหินและชะอำเป็นสถานที่ตากอากาศมีความเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อทางรถไฟสายใต้สร้างเสร็จถึงทั้งสองแห่งนั้น ในพ.ศ. ๒๔๕๔ และเสร็จถึงสุไหงโกลก ในพ.ศ. ๒๔๖๔ ซึ่งทำให้การเดินทางทั้งจากกรุงเทพฯ และของชาวต่างประเทศจากแหลมมลายูสะดวกขึ้นมาก ดังนั้น ในพ.ศ. ๒๔๖๔ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสร้างพระราชนิเวศน์มฤคทายวันขึ้นที่ชายหาดชะอำ และที่บ้านชะอำได้มีสมาชิกพระราชวงศ์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไปปลูกบ้านพักอาศัยส่วนพระองค์และส่วนตัวที่นั่น[2]

ส่วนที่หัวหินนั้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน (ต้นราชสกุล ฉัตรไชย) ผู้บัญชาการรถไฟหลวง ได้ทรงชักชวนสมาชิกพระราชวงศ์ ข้าราชการ พ่อค้าคหบดี ให้สนพระทัยและสนใจชายทะเลหัวหินซึ่งขณะนั้นเป็นหมู่บ้านชาวประมง เรียกว่า บ้านสมอเรียง หรือบ้านแหลมหิน มีสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวง และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ (ต้นราชสกุลกฤดากร) เป็นต้น ที่ทรงปลูกพระตำหนัก ส่วนกรมพระกำแพงเพชรฯ ได้ทรงให้กรมรถไฟหลวงสร้างบังกะโลจำนวนหนึ่งไว้ให้บริการแก่ผู้โดยสารรถไฟ ตัดถนนจากสถานีรถไฟถึงชายทะเล และในพ.ศ. ๒๔๖๕ ก่อสร้างโรงแรมรถไฟหัวหินขึ้นเป็นอาคารตึก ๒ ชั้น ใช้ชื่อว่า Hua Hin Hotel, Siam ที่หรูหราทันสมัยที่สุดในภูมิภาคนี้ในขณะนั้น อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสนามกอล์ฟขึ้นใกล้กับสถานีรถไฟ เป็นสนามขนาด ๙ หลุม พิธีเปิดทั้งสองอย่างพร้อมกันเมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๕ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาหัวหินเป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศสำหรับทั้งคนไทยชั้นสูงและชาวต่างประเทศ[3]

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ กับการพัฒนาหัวหิน

สำหรับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนนั้น มิได้ทรงสร้างที่ประทับที่หัวหิน แต่ได้เสด็จพร้อมด้วยหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี พระชายา ไปประทับที่พระตำหนักสุขเวศน์ของเสด็จในกรมพระนเรศวร์ฯ อยู่บ้าง แต่ในช่วงที่มีการสร้างโรงแรมนั้น ทั้งสองพระองค์ไม่เสด็จอยู่ในประเทศเนื่องด้วยได้เสด็จไปทรงรักษาพระโรคและทรงศึกษาวิชาทหารต่อที่ประเทศฝรั่งเศสระหว่าง พ.ศ. ๒๔๖๓-๒๔๖๗

ครั้นเมื่อได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติในปีถัดมาแล้ว ก็ได้ทรงประสบด้วยพระองค์เองว่า หัวหินมีปัญหาความขาดแคลนน้ำจืดมากขึ้น มีผู้ไปพักผ่อนมากขึ้น จึงได้ทรงปรึกษากับเสด็จในกรมพระกำแพงเพชรฯ ยังผลให้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติสภาจัดบำรุงสถานที่ชายทะเลทิศตะวันตก พุทธศักราช ๒๔๖๙ ขึ้น เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ สำหรับท้องที่ตั้งแต่บ้านชะอำถึงตำบลหัวหิน โดยทรงพระราชดำริ “จะจัดทำอย่าง Syndicat d’ Initiative ฤา Municipality ตามหลักที่ว่าผู้อยู่ในบริเวณนั้นต้องเสียค่าบำรุงการอย่างอื่นที่สำคัญกว่า เมื่อเจริญขึ้นแล้วจะทำให้ชาวต่างประเทศเข้ามามากขึ้น อันเป็นประโยชน์แก่ประเทศ”[4] เท่ากับว่าต้องพระราชประสงค์จะทรงทดลองการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่นในรูปแบบ “ประชาภิบาล” หรือ”เทศบาล” (municipality) ที่หัวหิน เพราะเป็นที่ซึ่งน่าจะหารายได้ และส่งเสริมการท่องเที่ยวไปด้วยได้

พระบรมราโชบายเรื่องที่จะจัดการประชาภิบาลนี้มีมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ สามเดือนก่อนหน้า และเป็นส่วนของพระบรมราโชบายที่จะเกื้อหนุนการฝึกหัดประชาธิปไตยจากเบื้องล่าง คือในระดับท้องถิ่น ให้ประชาชนได้มีความคุ้นเคยกับการมีตัวแทนเข้ามาบริหารกิจการของท้องถิ่น ก่อนที่จะได้มีสิทธิ์เช่นนั้นในระดับชาติ[5] ซึ่งการดำเนินการศึกษาเรื่องนี้จนกระทั่งได้ร่างพระราชบัญญัติเทศบาลอย่างละเอียดขึ้นสำเร็จในกลาง พ.ศ. ๒๔๗๓ หากแต่ได้ไปคั่งค้างอยู่ในขั้นตอนการตรวจของกรมร่างกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม จนได้เกิดการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ขึ้นเสียก่อน จึงยังไม่ได้ประกาศใช้ในขณะที่ยังทรงเป็นหัวหน้ารัฐบาล แต่แสดงให้เห็นว่านโยบายเรื่องเทศบาลกับเรื่องสภาจัดบำรุงฯ ที่หัวหินมีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด

สำหรับสภาจัดบำรุงฯ ในระยะเริ่มแรก ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะกรรมการสภาฯ ชุดแรก ๓ ท่าน ประกอบด้วยองค์ผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวงเป็นนายก อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงมหาดไทย และผู้ทำการแทนอธิบดีกรมศุลกากร กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เป็นกรรมการ และมีเซอร์ เอ็ดเวิร์ด คุก (Sir Edward Cook) ที่ปรึกษากระทรวงพระคลังฯ เป็นที่ปรึกษา[6] ซึ่งหากพิจารณาจากร่างพระราชบัญญัติเทศบาลดังกล่าวแล้ว สภาฯ นี้จะเปลี่ยนผ่านเป็นสภาเทศบาลจากการเลือกตั้งเมื่อมีความพร้อม

สภาฯ นี้ มีพื้นที่รับผิดชอบ ตั้งแต่หัวหินถึงชะอำในการจัดบำรุงท้องที่ ให้มีและแก้ไขบำรุงการคมนาคม ประปา ไฟฟ้า วางผังเมือง ทำงานปลูกสร้างและงานโยธาต่างๆ มีฐานะเป็นนิติบุคคล มีอำนาจถือกรรมสิทธิ์เช่าถือและจำหน่ายโอนทรัพย์สินต่างๆ ได้ เบื้องแรกสภาฯ นี้มีรายได้จากค่าธรรมเนียมพิเศษที่จัดเก็บควบคู่ไปกับค่าโดยสารรถไฟ ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นเก็บ “จังกอบ” หรือภาษีบำรุงท้องที่จากราษฎรในท้องถิ่น ถือประเภทที่ดินเป็นเกณฑ์ในการคิดอัตราภาษี เพื่อเร่งเร้าให้พัฒนาที่ดินของตนเอง ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงเสียภาษีนี้สำหรับที่ดินวังไกลกังวลเช่นเดียวกับผู้อื่น[7]

สำหรับผลงานของสภาบำรุงฯ มีการก่อสร้างถนนสายแรกในพ.ศ. ๒๔๗๐ จากสถานีรถไฟหัวหินไปถึงวังไกลกังวล แต่โดยที่ยังไม่มีรายได้จากภาษี จึงได้รับพระราชทานยืมเงินโดยไม่เสียดอกเบี้ยจากพระคลังข้างที่ ซึ่งถือเป็นพระราชทรัพย์ของผู้ที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ เป็นต่างหากไปจากเงินแผ่นดิน[8] ต่อมาในพ.ศ. ๒๔๗๓ ได้สร้างถนนต่อไปจนถึงบ้านชะอำ สร้างถนนซอยต่างๆ สู่ชายหาดเป็นระยะๆ ที่ไม่ไกลจากกัน ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน นับเป็นการวางผังเมืองไว้สำหรับอนาคต ก่อสร้างตลาด “ฉัตรไชย” ที่ทันสมัย ถูกหลักสุขอนามัย มีหลังคา ๗ โค้ง ให้หมายถึงรัชกาลที่ ๗ จัดตั้งสถานพยาบาลและการสาธารณสุข และจัดการเดินรถโดยสารในฤดูตากอากาศ นอกจากนั้น ยังได้จัดการสำรวจเพื่อวางแผนการชลประทาน จัดหาน้ำสำหรับการเพาะปลูกและการประปา รวมทั้งการผลิตกระแสไฟฟ้า แต่ทว่ายังไม่ได้ดำเนินการก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ขึ้นเสียก่อน หลังจากนั้น เมื่อได้มีการตราพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. ๒๔๗๖ แล้ว สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเห็นว่าการดำเนินงานของสภาจัดบำรุงฯ คล้ายคลึงกับของเทศบาล จึงได้ออกพระราชบัญญัติยกเลิกและโอนกิจการของสภาจัดบำรุงฯ ให้แก่เทศบาล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ และออกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเทศบาลตำบลหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ตามมาใน พ.ศ. ๒๔๘๐ กำหนดให้ราษฎรชาวหัวหิน ๒๐๐ คน เลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลได้ ๑ คน[9][10]

ไกลกังวลริมฝั่งคลื่น

๕ เดือนก่อนการประกาศใช้พระราชบัญญัติสภาจัดบำรุงฯ คือเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาจากวังศุโขทัยถวายสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ (พระยศขณะนั้น) อุปนายกราชบัณฑิตยสภา โปรดเกล้าฯ ให้หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร ผู้อำนวยการศิลปากรสถานแห่งราชบัณฑิตยสภา “ไปกะการสร้างวังใหม่ที่ตำบลหัวหิน”[11] วังใหม่นี้ต่อมาได้โปรดเกล้าฯ ให้ขานนามอย่างง่ายๆ ว่า “สวนไกลกังวล หัวหิน” ชื่อนี้น่าจะมีต้นเค้ามาจากการที่เมื่อทรงศึกษาอยู่ที่อังกฤษและเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในรัชกาลปัจจุบันที่เยอรมัน ทรงติดพระทัยวัง ซองซุซี (Sansouci) ที่เมืองปอตสดัม (Potsdam) ซึ่งมีความหมายว่า “without cares” หรือ “ไกลกังวล” นั่นเอง[12]

การจัดหาที่ดินสำหรับสร้างวังไม่ง่ายนัก ดังจะเห็นได้ว่าที่ตั้งของวังซึ่งอยู่ถัดไปทางทิศเหนือของโฮเต็ลหัวหินนั้นไม่ได้อยู่ติดกับชายหาดที่ดีที่สุด คือไม่กว้างและมีโขดหินปะปนอยู่ไม่น้อย เดิมที่มีพื้นที่ ๓๘ ไร่เศษจากการน้อมเกล้าฯ ถวายและทรงซื้อด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จากพระคลังข้างที่ และได้จัดหาเพิ่มเติมอีกจนเป็น ๑๐๖ ไร่ ในปลายรัชสมัย[13]

การก่อสร้างเริ่มต้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ หลังจากที่เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพื้นที่ในระหว่างเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม วัสดุก่อสร้างส่วนหนึ่งได้มาจากการรื้อพระตำหนักและเรือน ๓ หลัง ของสมเด็จพระพันปีหลวงที่หัวหิน โรงเรือนที่พระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม และกระเบื้องที่ยังไม่ได้ใช้จากพระราชวังบ้านปืนหรือพระรามราชนิเวศน์ที่จังหวัดเพชรบุรีมาใช้มุงหลังคาพระตำหนัก แสดงว่าโปรดเกล้าฯ ให้ประหยัดทุกทาง แต่การขนย้ายวัสดุก่อสร้างเข้ามาทั้งจากกรุงเทพฯ และที่อื่นๆ นี้มีความยากลำบากไม่น้อยทั้งทางเรือและทางรถไฟ เมื่อการจัดหาน้ำสะอาดใช้เงินมาก ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้ขุดสระไว้แล้วทำน้ำประปาไว้ใช้เองและแจกจ่ายแก่ราษฎร สระนี้เรียกว่า “ทะเลน้อย”[14] ในช่วงเวลาการก่อสร้าง มีปัญหาหลายประการที่หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ ผู้อำนวยการและออกแบบการก่อสร้าง ต้องทรงแก้เช่น โจรผู้ร้ายชุกชุม เข้าประทุษร้ายคนงานและขโมยของ โรคติดต่อ การโก่งราคาวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ส่งผลกระทบต่อระยะเวลาการก่อสร้างและการควบคุมงบประมาณ แต่หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ก็ได้ทรงมุ่งมั่นกวดขัน หมายจะทำถวายให้ดีที่สุด แม้ว่าการนี้จะได้ทำให้ทรงมีปัญหาความสัมพันธ์กับผู้คนอยู่บ้าง[15]

โดยที่การก่อสร้างเริ่มด้วยการปรับพื้นที่เตรียมความพร้อมและการสร้างเขื่อนที่ริมหาด ดังนั้นการก่อสร้างพระตำหนักและโรงเรือนจึงไม่ได้เริ่มต้นจนกระทั่งเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ โดยก่อสร้างพระตำหนักปลุกเกษม ตำหนักเอิบเปรม ตำหนักเอมปรีดิ์ก่อน ตามด้วยพระตำหนักที่ประทับ และพระตำหนักน้อย

ในวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๐ ได้มีพระราชพิธีก่อพระฤกษ์พระตำหนักที่ประทับ โดยสั่งเดิมให้เขียนศิลาจารึกชื่อว่า “ตำหนักชื่นสุข” แต่ต่อมาพระราชทานชื่อใหม่ว่า “พระตำหนักเปี่ยมสุข” คล้องจองเข้าชุดกันกับชื่อของหลังอื่นๆ เป็นเปี่ยมสุข ปลุกเกษม เอิบเปรม เอมปรีดิ์[16] ส่วนพระตำหนักน้อยนั้นตั้งอยู่ห่างออกไปจากหมู่ดังกล่าว และไม่ได้มีชื่อที่คล้องจองด้วย

ในเดือนเดียวกัน พระตำหนักปลุกเกษม และตำหนักเอิบเปรมและเอมปรีดิ์ก่อสร้างเสร็จ ต่อมา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีได้เสด็จฯ ประทับแรมที่สวนไกลกังวลเป็นครั้งแรก ณ พระตำหนักปลุกเกษม ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๑ ทั้งๆ ที่ยังมีบรรยากาศของการก่อสร้างอยู่ใกล้ๆ ก็มิได้ทรงพระกังวล และไม่นานหลังจากนั้นคือ เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ถึงวันที่ ๑๕ กันยายน ปีเดียวกัน ได้เสด็จฯ ประทับอีกครั้งหนึ่ง มีผู้โดยเสด็จฯ จำนวนประมาณ ๓๐๐ คน ในครั้งนี้ จึงต้องมีการออก “ระเบียบการภายในสวนไกลกังวล” กำหนดข้อปฏิบัติเพื่อป้องกันความติดขัดในการก่อสร้าง คราวนี้ “ศาลาเริง” ศาลาเอนกประสงค์ใกล้กับสถานที่ก่อสร้างพระตำหนักเปี่ยมสุข สร้างเสร็จพอที่จะประทับเสวยพระกระยาหารที่นั่นได้[17]

สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมวังไกลกังวล

ในขณะที่หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ ผู้ทรงสำเร็จการศึกษาวิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์จากเลโคล นาซิอองนาล เดส์ โบซารต์ สถาบันศิลปะชั้นสูงของประเทศฝรั่งเศส กำลังทรงออกแบบอาคารต่างๆ ในวังไกลกังวลอยู่นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชปรารภว่า “ตาโป๊ะจะสร้างปราสาทฝรั่งให้ฉันอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ พวกโบซารต์นี่จุกจิก ถามมากไม่ได้เสียด้วย”[18] ชะรอยว่าจะทรง “ดักคอ” โดยทางอ้อม พระราชกระแสนี้หม่อมเจ้าหญิงสุรีประภา ชายา “ท่านโป๊ะ” ทรงทราบ จึงปรากฏว่ารูปแบบสถาปัตยกรรมที่ทรงออกแบบนั้น แม้ว่าจะเป็นแบบสเปน หรือฝรั่งเศสตอนใต้ “แต่ก็ได้ดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นของไทย และมีขนาดไม่ใหญ่โตนัก และเหมาะสมกับการเป็นที่ประทับตากอากาศ รูปแบบคล้ายไปทาง “บ้าน” ขนาดใหญ่มากกว่าพระราชวังที่ต้องการความมีระเบียบและระบบที่ขึงขัง ไม่มีการแยกเป็นฝ่ายหน้า ฝ่ายใน ตามแบบแผนของพระราชวังที่เคยมีมาในโบราณราชประเพณีอีกต่อไป”[19]

พระตำหนักและตำหนักทุกองค์ที่กล่าวมาแล้วหันหน้าเข้าหาทะเลทิศตะวันออกหันหลังให้ภูเขาทางทิศตะวันตก จึงรับลมทะเลในเวลากลางวัน และลมภูเขาในเวลากลางคืน และมีเพดานสูงกว่าบ้านแบบสเปน จึงนับว่าเหมาะแก่ภูมิอากาศ ทุกองค์เรียงกันเป็นแถวแต่เยื้องกันเล็กน้อย

พระตำหนักเปี่ยมสุข

องค์ประธาน “เป็นอาคารคอนกรีตสูงสองชั้นบนฐานสูงทำให้ดูเป็นสามชั้นในบางด้าน...มีหลังคามุมชันมุงด้วยกระเบื้องดินเผาเคลือบสีน้ำตาลเข้ม ส่วนฐาน ผนังทั่วไปประกบด้วยหินก้อนใหญ่สีน้ำตาล...ส่วนอื่นของอาคารเป็นผนังฉาบปูนเรียบ มีลวดลายเล็กน้อยตามช่องหน้าต่างและประตู”[20] “มีการใช้โค้งประกอบทั้งส่วนของช่องเปิดตามที่ต่างๆ ตอบรับกับรูปโค้งของหลังคาบางส่วน นอกจากนั้น ยังมีรายละเอียดที่น่าสนใจในองค์ประกอบสถาปัตยกรรมตามที่ต่างๆ เช่น จันทัน ฝ้าเพดาน ทับหลัง บัวน้ำตก ฯลฯ อีกเป็นจำนวนมาก ที่เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับงานสถาปัตยกรรมในรัชกาลนี้”[21] ด้านที่ใกล้กับศาลาเริง มีหอคอยสี่เหลี่ยมเหนือแนวหลังคาขึ้นไปเล็กน้อย ซึ่งสามารถขึ้นไปเพื่อชมวิวข้างนอกได้ด้วย ปลูกเถาวัลย์เลื้อยปกคลุม ช่วยลดความกระด้างลงและทำให้ดูเก่าแก่ มีบันไดหินนอกอาคารลงจากชั้นสองทางด้านนี้ด้วย อัจฉริยภาพในการทรงออกแบบของท่านโป๊ะอีกอย่างหนึ่งคือนอกชานของห้องทรงพระสำราญด้านภูเขาอยู่ในระดับสูงมองจากพื้นดินเข้าไปไม่เห็นทั้งยังมีซุ้มโค้งบังตาอยู่ เอื้อต่อความเป็นส่วนพระองค์[22]

ศิลปกรรมที่โดดเด่นของพระตำหนักนี้คือกระจกสีสเตนด์กลาส (stained glass) บานใหญ่ที่พระแกล (หน้าต่าง) ของอัฒจันทร์ (บันได) ขึ้นชั้นบนในส่วนหอคอย เป็นรูปปลาว่ายเวียนอยู่ในน้ำสีฟ้าใส ตรงกลางมีตราเดี่ยวซึ่งประกอบสัญลักษณ์ประจำพระองค์ของทั้งสองพระองค์เข้าด้วยกัน คือ “พระแสงศร” จากสร้อยพระนาม “ศักดิเดชน์” โดย เดชน์แปลว่าศร กับ “เมฆรัศมี” (ลำแสงอาทิตย์ส่องผ่านก้อนเมฆ) แทนพระนาม “รำไพพรรณี” กระจกสีนี้เป็นผลงานของ Edgar Brandt หรือ Paul Kiss ซึ่งเมื่อส่งเข้ามาจากต่างประเทศ หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ ทรงเห็นว่าคุณภาพด้อยกว่าที่คาดหวัง เช่นปลาตัวหนึ่งมีหางโผล่ออกมาจากจมูกของมันเอง เป็นต้น[23] อย่างไรก็ตาม สำหรับคนสมัยปัจจุบันผู้มีโอกาสได้ชมย่อมเห็นว่าศิลปกรรมอาร์ต เดโค (art deco) ชิ้นนี้โดดเด่นตรึงตามากทีเดียว อนึ่ง มีเรื่องเล่าของข้าราชบริพารเก่าแก่ผู้อยู่ประจำที่วังไกลกังวลมาอย่างน้อยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ ว่า หลังจากที่ทรงสละราชสมบัติแล้ว มีการเอา “ยางมะตอย” ไปปิดทับตราสัญลักษณ์นี้ ราวกับว่าจะลบทั้งสองพระองค์ออกจากความทรงจำของผู้คนได้ด้วยการทำเช่นนั้น แต่ปัจจุบันได้แกะออกแล้ว ความสวยงามปรากฏดังเดิม[24]

ตราเมฆรัศมีนั้นยังมีปรากฏอยู่อีกหลายแห่ง เช่นที่เหล็กดัดพระทวารกระจกพระตำหนัก และประกอบลายปูนปั้นที่หน้าบันทั้งสองด้านของซุ้มลอดสองซุ้มระหว่างเขตพระราชฐานชั้นในกับชั้นกลางแสดงความไม่เคร่งครัดนักในพระราชประเพณี และที่บนหอน้ำประปา ส่วนที่หน้าบันเหนือพระแกลห้องพระบรรทมด้านทะเล ประดิษฐานพระราชลัญจกรพระแสงศร ๓ องค์ เบื้องบนมีรูปจักรและตรีอยู่ภายใต้พระมหาเศวตฉัตร บ่งบอกว่าเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๗ แห่งพระราชวงศ์จักรี ส่วนตรา “ปปร” (ปรมินทรมหาประชาธิปกฯ) นั้นดูเหมือนจะปรากฏอยู่ที่เดียว คือที่กระจกตะเกียงไฟข้างบันไดทางลงจากเขื่อนสู่ชายหาดใกล้ๆ กับเสาสองเสาทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ซึ่งสื่อถึงพระนามทรงกรม “สุโขทัยธรรมราชา” มียอดแหลมสูงขึ้นไป ใช้เป็นเสาธงประดับธงชาติกับธงประจำพระองค์[25]

สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมที่สำคัญปรากฏอยู่อีกแห่งหนึ่ง คือที่ ศาลพระภูมิ ริมเขื่อนห่างออกไปจากพระตำหนักเปี่ยมสุขทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตัวศาลก่อสร้างขึ้นในช่วงเตรียมการพิธีก่อพระฤกษ์พระตำหนักในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๗๐ ตั้งอยู่บนเนินกลมประดับด้วยหินก้อนใหญ่ มีบันไดเวียนขวาแบบก้นหอยขึ้นไป กลมกลืนกับบรรยากาศชายทะเล แต่ในระยะแรกน่าจะยังไม่มีองค์พระภูมิ ครั้นมีขึ้นปรากฏว่าเป็นรูปสตรี ชะรอยจะเป็นเพราะสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงเป็นเจ้าของวังนี้ อีกทั้งมีตำนานเล่าขานว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงพระสุบิน (ฝัน) ว่ามีหญิงผู้หนึ่งชื่อทับทิมเป็นเจ้าที่วังไกลกังวลมาทูลว่าจะปกป้องคุ้มครองทั้งสองพระองค์ เป็นที่มาของการเรียกศาลพระภูมินี้ว่าศาลเจ้าแม่ทับทิม บางครั้งก็เรียกว่า ศาลพระนางสุรัสวดี เทพเจ้าแห่งทะเลด้วย แต่กรรณิการ์ ตันประเสริฐ ได้สืบค้นเอกสารพบหลักฐานว่า สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ทรงออกแบบเป็นรูปพระธรณีเพื่อนำไปแกะสลักบนหินอ่อนสีขาวที่อิตาลี และส่งเข้ามาในราวเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ เป็นรูปเทพีทรงยืนบนฐานช้าง ๓ เศียร มี ๔ กร กรหนึ่งถือดอกบัว อีก ๓ กร ถือภาชนะซึ่งน่าจะหมายถึงบาตร ซึ่งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศฯ ทรงไว้ว่า “ถือบาตรใส่อะไรต่ออะไรอันเป็นทรัพย์ในดิน สังเกตด้วยว่าบาตรดูจะเป็นภาชนะอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นอะไรก็ได้” มีอักษรขอมโบราณจารึกอยู่เบื้องล่าง ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า “ภูมมเทวาเป็นนางฟ้าผู้มั่นคง ไม่หมุนไปตามความปรารถนา (โลภ) ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ตั้งไว้อย่างสม่ำเสมอแล้วซึ่งความเมตตาในพระราชาและพระเทวี” องค์ประกอบของรูปภูมมเทวานี้สอดคล้องโดยมากกับคติภูเทวี เทพีแห่งปฐพีในศาสนาฮินดู รวมความว่ารูปพระภูมิที่ศาลพระภูมิวังไกลกังวลนั้นเป็นรูป “ภูมมเทวี” หรือ “พระธรณี” ไม่น่าจะใช่อื่นใด[26]

ในด้านภูมิสถาปัตย์ สวนหน้าพระตำหนักเปี่ยมสุขจัดเป็นสวนเรขาคณิตหลากสี และที่ริมทางระหว่างพระตำหนักนี้กับพระตำหนักน้อยมีงานประติมากรรมต่างๆ เช่น ตุ๊กตาหินยักษ์สไตล์บาหลีซึ่งคงจะทรงได้มาจากที่นั่นครั้งที่เสด็จประพาสในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ อุปกรณ์การเดินเรือ และนาฬิกาแดดเป็นต้น อีกทั้งมีซุ้มหลังคาไม้เลื้อย ซึ่งให้บรรยากาศเป็นธรรมชาติ[27][28]

แบบสถาปัตยกรรมพระตำหนัก ตำหนัก และเรือนอื่นๆ เป็นในแนวเดียวกันกับของพระตำหนักเปี่ยมสุขโดยตำหนักเอิบเปรมและเอมปรีดิ์ ซึ่งเป็นอาคารชั้นเดียว แลดูคล้ายบังกะโลแต่ก็มีหน้าต่างโค้งปรากฏอยู่บ้าง พระตำหนักน้อยมีลักษณะเด่นตรงที่มีซุ้มทางเข้าประดับด้วยหินขนาดใหญ่เช่นกัน และเป็นรุปรูกุญแจ พระตำหนักปลุกเกษมเด่นตรงลายลูกกรงรวงผึ้งของระเบียงชั้นบน ศาลาเริงแม้ว่าจะมีหลังคาหน้าจั่ว แต่ก็มีหน้าต่างทรงโค้งใหญ่และป้อมสองข้างก็มีช่องทรงโค้งเช่นกัน[29] ทั้งหมดนับว่าสอดรับเป็น “ครอบครัว” เดียวกัน ส่วนรูปลักษณ์ที่เป็นประสาทฝรั่งเห็นจะมีอยู่เพียงแห่งเดียว คือที่ป้อมประตูด้านหน้าวัง ซึ่งเป็นอาคารขนาดเล็กทรงกลมยอดแหลม บนยอดป้อมประตูประดับด้วยเครื่องหมายงูพันลูกศร แสดงถึงปีพระบรมราชสมภพ คือปีมะเส็ง

สำหรับหม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์นั้น ได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลาเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๒ ในการพระราชพิธีคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข และในพ.ศ. ๒๔๗๒ ได้ทรงลดบทบาทที่เกี่ยวเนื่องกับวังไกลกังวลลงไป โดยหม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร ผู้ทรงเป็นเจ้าน้องและทรงสำเร็จการศึกษาจากสถาบันเดียวกันที่ฝรั่งเศสทรงรับช่วงต่อ[30] หม่อมเจ้าสมัยเฉลิมนี้ต่อมาได้ทรงออกแบบก่อสร้างและตกแต่งศาลาเฉลิมกรุง โรงภาพยนตร์ที่ทันสมัยซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่ชาวกรุงเนื่องในวโรกาสฉลองพระนครครอบ ๑๕๐ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ การก่อสร้างและตกแต่งเรือนบริวารในสวนไกลกังวลยังคงดำเนินต่อไป และเข้าใจว่ากว่าจะเสร็จสิ้นก็หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปประพาสยุโรปเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๖ แล้ว และมิได้เสด็จฯ กลับมาอีกเลย

สรรพราชกิจ ณ สวนไกลกังวล และหัวหิน

ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จฯ โดยเรือพระที่นั่งมหาจักรียังหัวหิน ประทับ ณ สวนไกลกังวลเป็นครั้งแรกระหว่างวันที่ ๑๖-๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๑ โดยประทับที่พระตำหนักปลุกเกษมซึ่งสร้างเสร็จก่อน ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่า “พระตำหนัก” แทนที่จะเป็น “ตำหนัก” เฉยๆ

พระราชกิจในครั้งนั้นมีทั้งการทรงบาตรทำบุญพระตำหนัก การทรงกอล์ฟที่สนามกอล์ฟหลวงหัวหินบ่อยครั้ง ทอดพระเนตรภาพยนตร์ ทรงม้า ประพาสตามชายหาด โดยทรงแวะเยี่ยมเจ้านายบางพระองค์ซึ่งประทับอยู่ ณ หัวหินในขณะนั้น สรงน้ำทะเล ทรงเรือยนต์ประพาสชายฝั่ง[31] ครั้นเมื่อเสด็จฯ อีกครั้งระหว่างวันที่ ๑๑ สิงหาคม ถึงวันที่ ๑๕ กันยายน และวันที่ ๒๓ กันยายนถึงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ปีเดียวกันประทับที่พระตำหนักน้อย คราวนี้ทรงสั่งหนังสือราชการประจำวันซึ่งส่งไปจากกรุงเทพฯ เหมือนอย่างเช่นเวลาประทับอยู่ในพระนคร และเสด็จลงที่ศาลาเริงประทับทรงเป็นประธานในการประชุมอภิรัฐมนตรีสภาและเสนาบดีสภาบ่อยครั้งด้วย นอกจากนั้น มีพระราชกิจเพิ่มเติมจากครั้งก่อนเช่น ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลการอภิเษกสมรสครบ ๑๐ ปี พระราชทานเลี้ยงเจ้านายชั้นสูง เช่นกรมหลวงกำแพงเพ็ชรฯ นายกสภาจัดบำรุงชายทะเลฯ และกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ นายกสภากรรมการองคมนตรี ซึ่งคงจะได้ถวายรายงานเกี่ยวกับองค์กรทั้งสอง พระราชทานสมรส เสด็จออกให้พ่อค้าจีนตำบลตลาดหัวหินถวายของในวันสารถจีน การจัดงานวันประสูติพระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาตที่ชายหาด มีลูกเสือโรงเรียนประชาบาลหัวหินเล่นกีฬาถวายทอดพระเนตร ทอดพระเนตรการก่อสร้างพระตำหนัก ทรงเทนนิส ทรงถ่ายภาพนิ่งและภาพยนตร์ในบริเวณสวนไกลกังวล ชายหาดและที่สนามกอล์ฟ ทอดพระเนตรการถ่ายภาพยนตร์ของบริษัท เอเชียติกเอกซปลอเรชั่น ณ สนามกอล์ฟและเขาตะเกียบ เป็นต้น[32]

แสดงให้เห็นถึงความใส่พระราชหฤทัยในทั้งราชการแผ่นดินระดับชาติและการทดลองการปกครองท้องถิ่นในรูปแบบเทศบาล และในการทรงผูกสัมพันธ์กับผู้คนในและที่เข้ามาในท้องถิ่น โดยมิได้ทรงละเลยการทรงดูแลทุกข์สุขของเจ้านายในพระราชวงศ์ รวมทั้งทรงประกอบกิจทางศาสนา ทั้งหมดเป็นพระราชภารกิจของพระมหากษัตริย์ในสมัยนั้น ซึ่งได้ทรงปฏิบัติแม้ในขณะที่กำลังทรงพักผ่อนพระอิริยาบถด้วยการทรงประกอบพระราชกิจที่เป็นพระราชนิยมส่วนพระองค์

ครั้นระหว่างวันที่ ๗ เมษายน ถึง ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ ได้เสด็จฯ ประทับ ณ สวนไกลกังวลอีกครั้งหนึ่ง แรกทีเดียวที่พระตำหนักน้อยก่อนที่จะทรงประกอบพระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุขในวันที่ ๑๐-๑๑ เมษายน ตามโบราณราชประเพณี เย็นวันแรกมีพิธีสงฆ์ในห้องพระราชพิธีพระตำหนัก พระราชทานเลี้ยงอาหารแก่เจ้านายข้าราชการแล้วเสด็จสู่ที่สรงและเสด็จขึ้นเถลิงพระแท่นบรรทมตามพระฤกษ์เวลา ๒๐.๒๒ น. ถึง ๒๑.๑๘ น. เสวยแล้วเสด็จลงทอดพระเนตรละครรำ เช้าวันรุ่งขึ้นเสด็จออกห้องพระราชพิธี พระสงฆ์รับพระราชทานฉัน พระสงฆ์ประน้ำมนต์บนพระตำหนักและบริเวณวัง พราหมณ์เบิกแว่นเวียนเทียนสมโภช พระราชทานเลี้ยงอาหาร ตกค่ำเวลา ๒๒.๐๐ น. ทรงพระเนตรงิ้วที่ริมถนนหน้าประตูวัง[33] จากนั้น ทั้งสองพระองค์ประทับร่วมกันที่พระตำหนักเปี่ยมสุข ไม่ใช่ว่าสมเด็จฯ ประทับที่พระตำหนักน้อยดังที่มีบางคนเข้าใจกันในปัจจุบัน

วันรุ่งขึ้นที่ ๑๒ เมษายน พระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำที่ศาลาเริง บัตรรายการอาหาร (เมนู) ซึ่งเป็นการ์ดกลมๆ รูปลูกกอล์ฟ ปกประดับตรา “เมฆรัศมี” มีข้อความว่า “วังไกลกังวล” ประกอบชื่ออาหารเป็นภาษาฝรั่งเศสตามประเพณีของตะวันตก บางจานตั้งชื่อสอดคล้องกับวาระพิเศษนี้ เช่นไก่ตอนไกลกังวล สลัดเปี่ยมสุข และไอสกรีมศุโขทัย เป็นต้น เสร็จแล้วพระประยูรญาติและข้าราชบริพารในพระองค์จัดการแสดง “รีวิวไกลกังวล” เริ่มต้นด้วยวงดนตรี “Door Mat” (เช็ดเท้าก่อนเข้าบ้าน) บรรเลงเพลงไทยเดิมยืนพื้น มีเครื่องดนตรีแปลกใหม่ด้วยบางชิ้น เช่นซอครกและระฆังราว นักดนตรีมีทั้งเจ้านายและข้าราชการกองมหรสพ มีเบาะที่ประทับรูปช้างยืนปรากฏในภาพถ่ายแต่ไม่มีพระองค์ ด้วยโบราณราชประเพณีไม่นิยม นอกจากนั้นมีวังบางขุนพรหม ซึ่งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตและพระธิดาร่วมทรงอยู่เป็นสำคัญ และวงดนตรีสากลไกลกังวลรีวิววงเล็กเล่นประจำฉากฝรั่งเป็นวงคล้ายวงแจสของข้าในพระองค์รุ่นหนุ่ม แต่มีสตรีเป็นผู้ขับร้อง[34]

การแสดงสั้นๆ หลายฉาก ฉากแรกเป็นเพลงมอญดูดาว ผู้แสดงชายนุ่งผ้าโจงกระเบนสีน้ำเงิน สวมเสื้อราชปะแตนกระดุม ๕ เม็ด ผู้แสดงหญิงแต่งกระโปรงค่อนข้างสั้น สวมเสื้อยาวคลุมสะโพก สีเขียวและชมพูสลับกัน (สีเขียวของวันพุธ สีชมพูวันอังคาร วันพระบรมราชสมภพและพระราชสมภพตามลำดับ) ลีลาการเต้นแบบฝรั่ง แต่ใช้เพลงไทยประกอบผู้แสดงร้องเอง คำร้องเริ่มต้นด้วยท่อนที่ว่า

“พวกเราเย็นแมน แสนเฮฮา อิ่มอุรา เห็นหรู จะฟู่ใหญ่ เพื่อให้ท่าน ที่รับเชิญ เจริญใจ ในวันขึ้น ตำหนักใหญ่ ไกลกังวล...”

“เย็นแมน” เป็นศัพท์ในราชสำนัก ใช้เรียกข้าราชบริพารในพระองค์ แปลงมาจากคำว่า gentleman ให้หมายความว่ายังมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนที่จะเรียกได้ว่าเป็นสุภาพบุรุษ ผู้ใดทำตัวเหลวไหล ก็จะถูกเรียกว่าเป็น “เย็นแมน”[35]

ฉากต่อๆ ไปมีชุดล้อเลียนการปฏิบัติราชการของกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัย ตำรวจ ทหารเรือ หมอฟัน รวมทั้งของกระทรวงยุติธรรม แต่เสนาบดีหลายองค์และหลายท่านซึ่งเป็นผู้ชมอยู่ในที่นั้นก็ไม่ได้กริ้วหรือโกรธ นอกจากนั้นมีการแต่งตัวและบอกท่าทางเพื่อให้วงดนตรีทายว่าแต่งเป็นอะไรและบรรเลงเพลงให้สอดคล้อง เหล่านี้เป็นต้น หลังจากนั้น มีงานรื่นเริงตามสบาย[36]

วันรุ่งขึ้นเวลากลางวัน มีการทรงฉายภาพหมู่ร่วมกับผู้แสดงในเครื่องแต่งกายที่ใช้ในการแสดง ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าในราชสำนักของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น มิได้ปราศจากการวิจารณ์กันเองฉันญาติสนิทมิตรสหายแม้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับราชการงานเมือง

ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ นั้น เรือพระที่นั่งมหาจักรีได้ทอดสมอที่หน้าสวนไกลกังวลหนึ่งวันเพื่อเสด็จขึ้นบกไปเสวยพระสุธารสชาและทรงกอล์ฟ ก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะเสด็จฯ ต่อไปในการเสด็จประพาสสิงคโปร์ ชวา และบาหลี และเช่นเดียวกัน เมื่อวันที่ ๗-๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๓ ในระยะทางเสด็จประพาสอินโดจีนของฝรั่งเศสโดยเรือพระที่นั่ง โดยในครั้งนี้ได้ประทับแรมที่สวนไกลกังวล และในวันที่ ๘ ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จฯ ยังสำนักงานสภาจัดบำรุงสถานที่ชายทะเลทิศตะวันตก ที่หลังสถานีรถไฟหัวหิน ทอดพระเนตรแผนที่และกิจการของสภาฯ ก่อนที่จะเสด็จไปทรงกอล์ฟ ต่อมาในวันที่ ๑๐ ได้เสด็จฯ ยังบ้านชะอำ เพื่อทอดพระเนตรทางหลวง ซึ่งสภาจัดบำรุงฯ ได้โรยหินไปได้เพียงถึงมฤคทายวัน ต่อจากนั้นยังเป็นทางดินและทราย[37]

ในปีเดียวกันนั้น (พ.ศ. ๒๔๗๓) ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับที่สวนไกลกังวลเป็นเวลานานเกือบ ๓ เดือน ระหว่างวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ถึงวันที่ ๕ ตุลาคม เว้นในระหว่างวันที่ ๓-๗ กันยายน ซึ่งเสด็จฯ กลับกรุงเทพฯ เพื่อตรวจรักษาพระทนต์ที่โรงพยาบาลศิริราช ในระหว่างประทับที่หัวหิน ทรงสั่งหนังสือราชการประจำวันและทรงเป็นประธานในการประชุมอภิรัฐมนตรีสภา ๓ ครั้ง เสนาบดีสภา ๓ ครั้งที่ศาลาเริง พระราชกิจนอกจากนั้นมีให้เสนาบดีและข้าราชการบางท่านเข้าเฝ้าฯ ถวายรายงาน ทรงพระดำเนินตามชายหาดถึงตลาดหัวหิน ทอดพระเนตรการรุกโป๊ะของชาวประมง ทรงถ่ายภาพยนตร์ เสด็จฯ ยังวัดหัวหิน ทรงบาตรเนื่องในการพระราชกุศลฉลองวันอภิเษกสมรสบรรจบครบรอบ ๑๒ ปี เป็นต้น[38] แสดงให้เห็นถึงความเอาพระราชหฤทัยใส่ในชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรทุกหมู่เหล่า

โดยที่จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันระหว่างวันที่ ๑ มกราคม-๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๓ และวันที่ ๑ เมษายน-๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ ทางราชการยังหาไม่พบ จึงไม่มีหลักฐานที่เป็นทางการของการเสด็จฯ ประทับที่สวนไกลกังวลในช่วงดังกล่าว อีกทั้งระหว่างวันที่ ๒๘ เมษายน ถึงวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๔ ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ดังนั้น การที่สรศัลย์ แพ่งสภา เขียนไว้ว่าเสด็จฯ ประทับที่สวนไกลกังวลในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๔และเสด็จฯ ป่าปากทวาร[39] จึงเป็นไปไม่ได้

หากแต่ว่าสรศัลย์ก็ได้นำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวเนื่องแก่สวนไกลกังวลอยู่สองประการคือ หนึ่ง บางครั้งทั้งสองพระองค์เสด็จฯ ไปเสวยพระสุธารสชาที่โรงแรมรถไฟ ประทับที่ห้องโถงกลาง ให้บุคคลต่างๆ ได้เข้าเฝ้าฯ และเมื่อใดที่เสด็จฯ โดยรถไฟ ก็จะโปรดเกล้าฯ ให้ราษฎรได้เฝ้าที่สถานีรถไฟหัวหินด้วย สอง ในช่วงที่กำลังสร้างวัง ได้มีการสร้างสนามบินบ่อฝ้ายสำหรับใช้ในราชการด่วนของวัง และเป็นสนามบินฉุกเฉินสำหรับกองบินน้อยที่ ๕ ประจวบคีรีขันธ์ เป็นสนามทางวิ่งแบบดินบดอัดธรรมดา ซึ่งปัจจุบันได้พัฒนาขยายเป็นสนามบินที่ได้มาตรฐานสมัยใหม่[40] อีกทั้งสุกัญญา ไชยภาษี เขียนไว้ว่า ตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๗๑ เป็นต้นมาทุกฤดูร้อนมีการจัดพื้นที่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก นำร้านอาหารจากถนนราชวงศ์ในกรุงเทพฯ ไปออกร้านร่วมกับร้านของข้าราชบริพาร ซึ่งคงจะเป็นที่มาของ “ตลาดโต้รุ่ง” บนถนนคนเดินสายหนึ่งในตัวเมืองหัวหินในปัจจุบัน[41]

คลื่นการเมืองกระทบฝั่งไกลกังวล ๒ ระลอก

ครั้น พ.ศ. ๒๔๗๕ วันที่ ๘ มิถุนายน ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จฯ โดยขบวนรถไฟพระที่นั่งไปประทับ ณ วังไกลกังวล[42]

และแล้วในเช้าตรู่วันที่ ๒๔ มิถุนายน ขณะที่ทั้งสองพระองค์กำลังทรงกอล์ฟอยู่ที่สนามกอล์ฟหลวงหัวหิน และขณะกำลังทรงกอล์ฟอยู่ที่หลุมที่ ๘ ได้ทรงทราบโดยทางโทรเลขข่าวการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองที่กรุงเทพฯ จึงได้เสด็จฯ กลับไปยังสวนไกลกังวลเพื่อทรงปรึกษาหารือว่าควรดำเนินการเช่นใดต่อไป ซึ่งท้ายที่สุดได้ทรงอนุโลมตามหนังสือกราบบังคมทูลของคณะราษฎรเชิญทรงเป็นพระมหากษัตริย์ต่อไปแต่ในระบอบรัฐธรรมนูญ ครั้นคืนวันที่ ๒๕ มิถุนายน ได้เสด็จฯ โดยขบวนรถไฟพระที่นั่งถึงสถานีรถไฟหลวงจิตรลดาในเวลาหลังเที่ยงคืนซึ่งนับเป็นเช้าวันที่ ๒๖ มิถุนายน เสด็จฯ ไปประทับที่วังศุโขทัย “บ้าน” ส่วนพระองค์อีกแห่งหนึ่ง

จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันสำหรับช่วงเวลาหลังจากนั้นทางราชการยังหาไม่พบอีกเช่นกัน แต่มีหลักฐานเป็นพระราชหัตถเลขาจากสวนไกลกังวล ลงวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ (พ.ศ ๒๔๗๖ นับตามปฏิทินปัจจุบัน) พระราชทานพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต พระราชบุตรบุญธรรมในต่างประเทศ ทรงเล่าในสัปดาห์ก่อนหน้านั้นพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ประธานคณะกรรมการราษฎร หัวหน้ารัฐบาลได้ไปเฝ้าฯ รบเร้าให้เสด็จฯ กลับกรุงเทพฯ ซึ่งทรงปฏิเสธในภาวะที่เข้าด้ายเข้าเข็มกันหลายฝ่ายในขณะนั้น[43] และต่อมาพระยามโนฯ ได้ดำเนินการให้มีการออกพระราชกฤษฎีกาปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรามีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖ (วันต้นปีในสมัยนั้น) อันได้นำไปสู่การรัฐประหารรัฐบาลของพระยามโนฯ ในวันที่ ๒๐ มิถุนายน และการแต่งตั้งพระยาพหลพลพยุหเสนาให้เป็นหัวหน้ารัฐบาลแทน ตลอดระยะเวลานี้และต่อไปอีกหลายเดือน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ที่สวนไกลกังวล ไม่ใช่ใน พ.ศ. ๒๔๗๔ ดังที่สรศัลย์เขียนไว้[44] และน่าจะเป็นในช่วงนี้ที่เจ้ากาวิละวงศ์ ณ เชียงใหม่ นายช่างใหญ่กรมทางหลวงได้นำเสด็จฯ ทอดพระเนตรป่า ซึ่งมีชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่และได้เข้าเฝ้าฯ บนเส้นทางถนนที่กำลังก่อสร้างจากหัวหินผ่านปากทวาร ทุ่งพลายงาม ไปจรดชายแดนพม่า และเข้าใจว่ามีภาพยนตร์ส่วนพระองค์ที่อนุรักษ์ไว้ได้เป็นพยาน

ครั้นเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกขานในภายหลังว่า “กบฏบวรเดช” ทั้งสองพระองค์ประทับอยู่ที่สวนไกลกังวล และเมื่อปรากฏว่าทหารจากหัวเมืองนำโดยพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชกับทหารฝ่ายรัฐบาลได้รบกันที่ทุ่งดอนเมือง ทรงเศร้าสลดพระราชหฤทัยยิ่ง และได้ทรงสื่อสารให้ทั้งสองฝ่ายไปเฝ้าฯ เพื่อที่จะได้เจรจากันโดยทรงอาสาเป็นคนกลาง หากแต่ไม่มีฝ่ายใดสนองพระราชดำริ จึงในคืนวันที่ ๑๗ ตุลาคม ทั้งสองพระองค์พร้อมด้วยข้าราชบริพารจำนวนน้อยได้เสด็จฯ โดยเรือยนต์พระที่นั่งศรวรุณลำเล็กกลางทะเลลึกมุ่งสู่สงขลา[45] ประทับอยู่ที่สงขลาจนกระทั่งวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้เสด็จฯ กลับกรุงเทพฯ เพื่อทรงประกอบรัฐพิธีเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันรุ่งขึ้น และในวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๖ (พ.ศ. ๒๔๗๗ นับตามปฏิทินปัจจุบัน) ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จฯ ไปเยือนประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป และท้ายที่สุดพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสละราชสมบัติจากที่ประทับในประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ (พ.ศ. ๒๔๗๘ นับตามปฏิทินปัจจุบัน) และได้สวรรคตที่นั่นโดยไม่ได้เสด็จฯ กลับสู่สยามอีกเลย ดังนั้นวันสุดท้ายที่ประทับที่สวนไกลกังวลจึงเป็นวันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๖

ต่อมา ได้มีการออกพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. ๒๔๗๙ พร้อมทั้งจัดตั้งคณะกรรมการอันเกี่ยวเนื่องหลายชุด คณะกรรมการพิจารณาเรื่องทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ได้มีความเห็นว่าวังไกลกังวลนั้น การก่อสร้างใช้จ่ายจากบัญชีพระคลังข้างที่ “ในส่วนที่ตีความว่า เป็นทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์” ซึ่งคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ตกลงเห็นชอบด้วย วังไกลกังวลจึงถือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินมีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้ครอบครองดูแล และรัฐบาลได้จัดถวายให้เป็นที่ประทับแห่งองค์พระมหากษัตริย์สืบต่อมาจนปัจจุบัน[46] ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเชิญเสด็จฯ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ ไปประทับที่พระตำหนักน้อยเป็นครั้งคราว

อ้างอิง

  1. บัณฑิต จุลาสัย. ๒๕๓๐. โฮเตลหัวหินแห่งสยามประเทศ. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์หมึกจีน) , หน้า ๗-๑๐.
  2. สรศัลย์ แพ่งสภา. ๒๕๕๒. ชะอำ ฟองคลื่นศักดินา ใน ด้วยรักและระลึกถึง “ฒ.ผู้เฒ่า” สรศัลย์ แพ่งสภา.(อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ณ เมรุวัดมกุฎกษัตริยารามวรวิหาร). (มปท.).
  3. บัณฑิต จุลาสัย. ๒๕๓๐. โฮเตลหัวหินแห่งสยามประเทศ. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์หมึกจีน) , หน้า ๑๕-๔๔.
  4. กรรณิการ์ ตันประเสริฐ. ๒๕๔๖. จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน) , หน้า ๒๕ , ตัวสะกดตามแบบต้นฉบับ.
  5. สนธิ เตชานันท์ (รวบรวม). ๒๕๔๕. แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยตามแนว พระราชดำริพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. พิมพ์ครั้งที่ ๔.(กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า), หน้า ๑๖-๑๙.
  6. กรรณิการ์ ตันประเสริฐ. ๒๕๔๖. จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน) , หน้า ๒๖.
  7. กรรณิการ์ ตันประเสริฐ. ๒๕๔๖. จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน) , หน้า ๒๖-๓๐.
  8. Grossman, Nicholas (ed.). 2011. King Bhumibol Adulyadej: A Life’s Work. (Singapore and Bangkok: Editions Didier Millet.) , p. 285.
  9. กรรณิการ์ ตันประเสริฐ. ๒๕๔๖. จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน) , หน้า ๓๐-๓๒ , ๑๑๘.
  10. บัณฑิต จุลาสัย. ๒๕๓๐. โฮเตลหัวหินแห่งสยามประเทศ. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์หมึกจีน) , หน้า ๕๖-๕๗.
  11. กรรณิการ์ ตันประเสริฐ. ๒๕๔๖. จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน) , หน้า ๗.
  12. กรรณิการ์ ตันประเสริฐ. ๒๕๔๖. จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน) , หน้า ๕๑-๕๔.
  13. กรรณิการ์ ตันประเสริฐ. ๒๕๔๖. จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน) , หน้า ๔๕-๔๘.
  14. กรรณิการ์ ตันประเสริฐ. ๒๕๔๖. จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน) , หน้า ๖๕-๖๙ , ๙๗.
  15. กรรณิการ์ ตันประเสริฐ. ๒๕๔๖. จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน) , หน้า ๙๗-๙๘.
  16. กรรณิการ์ ตันประเสริฐ. ๒๕๔๖. จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน) , หน้า ๑๒๔-๑๒๕.
  17. กรรณิการ์ ตันประเสริฐ. ๒๕๔๖. จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน) , หน้า ๑๐๔-๑๐๘.
  18. (สรศัลย์ ๒๕๓๙: ๑๑๕)
  19. (แน่งน้อย ๒๕๔๒: ๒๗)
  20. บัณฑิต จุลาสัย. ๒๕๓๐. โฮเตลหัวหินแห่งสยามประเทศ. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์หมึกจีน),หน้า ๑๐๖.
  21. แน่งน้อย ศักดิ์ศรี. ม.ร.ว. สถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. เอกสารประกอบการเสวนาเรื่องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับศิลปกรรม จัดโดยสำนักบรรณสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ , หน้า ๒๗.
  22. พฤทธิสาณ ชุมพล. ม.ร.ว. ๒๕๔๓. หัวหินและวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. รายงานกิจการของมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ประจำปี ๒๕๔๒. (กรุงเทพฯ: มูลนิธิ), หน้า ๑๔.
  23. กรรณิการ์ ตันประเสริฐ. ๒๕๔๖. จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน) , หน้า ๑๒๗.
  24. พฤทธิสาณ ชุมพล. ม.ร.ว. ๒๕๔๓. หัวหินและวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. รายงานกิจการของมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ประจำปี ๒๕๔๒. (กรุงเทพฯ: มูลนิธิ), หน้า ๑๔.
  25. พฤทธิสาณ ชุมพล. ม.ร.ว. ๒๕๔๓. หัวหินและวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. รายงานกิจการของมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ประจำปี ๒๕๔๒. (กรุงเทพฯ: มูลนิธิ), หน้า ๕-๖.
  26. กรรณิการ์ ตันประเสริฐ. ๒๕๔๖. จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน) , หน้า ๘๕-๘๘.
  27. กรรณิการ์ ตันประเสริฐ. ๒๕๔๖. จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน) , หน้า ๑๖๑.
  28. พฤทธิสาณ ชุมพล. ม.ร.ว. ๒๕๔๓. หัวหินและวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. รายงานกิจการของมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ประจำปี ๒๕๔๒. (กรุงเทพฯ: มูลนิธิ), หน้า ๑๐)
  29. พฤทธิสาณ ชุมพล. ม.ร.ว. ๒๕๔๓. หัวหินและวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. รายงานกิจการของมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ประจำปี ๒๕๔๒. (กรุงเทพฯ: มูลนิธิ), หน้า ๑๔-๑๗.
  30. กรรณิการ์ ตันประเสริฐ. ๒๕๔๖. จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน) , หน้า ๑๖๒.
  31. บรรเจิด อินทุจันทร์ยง (บรรณาธิการ). ๒๕๓๗. จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยุ่หัว รัชกาลที่ ๗. ภาคต้นและภาคปลาย มปป. (กรุงเทพฯ: วัชรินทร์การพิมพ์), หน้า ๔๑๗-๔๒๐.
  32. บรรเจิด อินทุจันทร์ยง (บรรณาธิการ). ๒๕๓๗. จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยุ่หัว รัชกาลที่ ๗. ภาคต้นและภาคปลาย มปป. (กรุงเทพฯ: วัชรินทร์การพิมพ์), หน้า ๔๒๔-๔๓๐ , ๔๓๒-๔๓๘.
  33. บรรเจิด อินทุจันทร์ยง (บรรณาธิการ). ๒๕๓๗. จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยุ่หัว รัชกาลที่ ๗. ภาคต้นและภาคปลาย มปป. (กรุงเทพฯ: วัชรินทร์การพิมพ์), หน้า ๕๐๔-๕๐๖.
  34. กรรณิการ์ ตันประเสริฐ. ๒๕๔๖. จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน) , หน้า ๑๔๐-๑๔๖.
  35. สีดาดำรวง ชุมพล, หม่อมเจ้าหญิง. ๒๕๓๓. อัตชีวประวัติของหม่อมเจ้าหญิงสีดำดำรวง ชุมพล. ใน ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพหม่อมเจ้าหญิงสีดาดำรวง ชุมพล ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๓. (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพ (๑๙๘๔)) , หน้า ๕๑.
  36. กรรณิการ์ ตันประเสริฐ. ๒๕๔๖. จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน) , หน้า ๑๔๗.
  37. บรรเจิด อินทุจันทร์ยง (บรรณาธิการ). ๒๕๓๗. จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยุ่หัว รัชกาลที่ ๗. ภาคต้นและภาคปลาย มปป. (กรุงเทพฯ: วัชรินทร์การพิมพ์), หน้า ๕๔๒ , ๙๕๖-๙๕๗.
  38. บรรเจิด อินทุจันทร์ยง (บรรณาธิการ). ๒๕๓๗. จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยุ่หัว รัชกาลที่ ๗. ภาคต้นและภาคปลาย มปป. (กรุงเทพฯ: วัชรินทร์การพิมพ์), หน้า ๗๖๙-๗๘๔.
  39. สรศัลย์ แพ่งสภา. ๒๕๓๙. ราตรีประดับดาวที่หัวหิน. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สารคดี) , หน้า ๑๐๘.
  40. สรศัลย์ แพ่งสภา. ๒๕๓๙. ราตรีประดับดาวที่หัวหิน. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สารคดี) , หน้า ๑๐๓ , ๑๐๘.
  41. สุกัญญา ไชยภาษี. ๒๕๕๑. เที่ยวหัวหินถิ่นผู้ดี ๑๐๐ ปี เมืองตากอากาศสยาม. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ดีไรท์ป, หน้า ๒๓๓.
  42. สรศัลย์ แพ่งสภา. ๒๕๓๙. ราตรีประดับดาวที่หัวหิน. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สารคดี) , หน้า ๑๔๖.
  43. เอื้อเอ็นดู ดิศกุล ณ อยุธยา (ผู้จัดทำ). มปป. คุณหญิงมณี สิริวรสาร จัดพิมพ์เนื่องในการพระราชทานเพลิงศพ วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๒ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส. (มปท.), หน้า ๕๔-๕๕.
  44. สรศัลย์ แพ่งสภา. ๒๕๓๙. ราตรีประดับดาวที่หัวหิน. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สารคดี) , หน้า ๑๐๘-๑๐๙.
  45. เกี่ยวกับเรื่องนี้ดู สรศัลย์ แพ่งสภา. ๒๕๓๙. ราตรีประดับดาวที่หัวหิน. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สารคดี) , หน้า ๑๙๑-๒๐๑
  46. กรรณิการ์ ตันประเสริฐ. ๒๕๔๖. จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน) , หน้า ๑๘๑-๑๘๓.

บรรณานุกรม

กรรณิการ์ ตันประเสริฐ. ๒๕๔๖. จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน.

แน่งน้อย ศักดิ์ศรี. ม.ร.ว. สถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. เอกสารประกอบการเสวนาเรื่องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับศิลปกรรม จัดโดยสำนักบรรณสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๒

บัณฑิต จุลาสัย. ๒๕๓๐. โฮเตลหัวหินแห่งสยามประเทศ. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์หมึกจีน.

บรรเจิด อินทุจันทร์ยง (บรรณาธิการ). ๒๕๓๗. จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยุ่หัว รัชกาลที่ ๗. ภาคต้นและภาคปลาย มปป. กรุงเทพฯ: วัชรินทร์การพิมพ์.

พฤทธิสาณ ชุมพล. ม.ร.ว. ๒๕๔๓. หัวหินและวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ ๗. รายงานกิจการของมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ประจำปี ๒๕๔๒. กรุงเทพฯ: มูลนิธิ. หน้า ๒-๒๗

สนธิ เตชานันท์ (รวบรวม). ๒๕๔๕. แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า.

สรศัลย์ แพ่งสภา. ๒๕๓๙. ราตรีประดับดาวที่หัวหิน. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์สารคดี.

สรศัลย์ แพ่งสภา. ๒๕๕๒. ชะอำ ฟองคลื่นศักดินา ใน ด้วยรักและระลึกถึง “ฒ.ผู้เฒ่า” สรศัลย์ แพ่งสภา.(อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ณ เมรุวัดมกุฎกษัตริยารามวรวิหาร). มปท.

สุกัญญา ไชยภาษี. ๒๕๕๑. เที่ยวหัวหินถิ่นผู้ดี ๑๐๐ ปี เมืองตากอากาศสยาม. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ดีไรท์.

เอื้อเอ็นดู ดิศกุล ณ อยุธยา (ผู้จัดทำ). มปป. คุณหญิงมณี สิริวรสาร จัดพิมพ์เนื่องในการพระราชทานเพลิงศพ วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๒ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส. มปท.

Grossman, Nicholas (ed.). 2011. King Bhumibol Adulyadej: A Life’s Work. Singapore and Bangkok: Editions Didier Millet.