การประชุมวุฒิสภา

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:56, 9 มิถุนายน 2557 โดย Suksan (คุย | ส่วนร่วม)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

เรียบเรียงโดย : นางสาวเรณุมาศ รักษาแก้ว

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง


บทนำ

[[ รัฐสภา]] ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ดังนั้น วุฒิสภา จึงเป็นสภาตัวแทนของประชาชนอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่ต่างจากสภาผู้แทนราษฎร โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ได้กำหนดบทบาทอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภาไว้หลายประการ การปฏิบัติงานของวุฒิสภาจึงต้องมีขั้นตอนและวิธีดำเนินงานที่ชัดเจน โดยเป็นไปในลักษณะของการประชุมหารือและลงมติในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งการประชุมดังกล่าว ถือว่าเป็นการประชุมที่มีลักษณะพิเศษกว่าการประชุมปกติ เรียกว่า “การประชุมวุฒิสภา”

ความหมายของการประชุมวุฒิสภา

การประชุมวุฒิสภา หมายถึง การประชุมของสมาชิกวุฒิสภาเพื่อพิจารณาเรื่องใด ๆ ตามอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา ในการประชุมวุฒิสภานอกจากจะมีสมาชิกวุฒิสภาเป็นองค์ประชุมแล้ว ยังมีรัฐมนตรีและผู้ที่ประธานวุฒิสภาหรือผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมอนุญาตเข้าร่วมประชุมด้วย ทั้งนี้ โดยมีข้อบังคับการประชุมวุฒิสภาเป็นเครื่องมือในการดำเนินการประชุม ผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมวุฒิสภา ได้แก่ ประธานวุฒิสภาหรือรองประธานวุฒิสภาผู้ทำหน้าที่แทน [1]

ประวัติของการประชุมวุฒิสภา

ภายหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ รัฐธรรมนูญ ๒ ฉบับแรก ได้แก่ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ กำหนดให้รัฐสภาเป็นระบบสภาเดียว คือ สภาผู้แทนราษฎร ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์บ้านเมือง โดยเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐสภามาเป็น “ระบบสภาคู่” หรือ “ระบบสองสภา” คือ สภาผู้แทนและพฤฒสภา ซึ่งพฤฒสภามีขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นสภายับยั้ง หรือสภากลั่นกรองงาน คอยเหนี่ยวรั้งมิให้สภาผู้แทนทำงาน ด้านนิติบัญญัติเร็วเกินไป จนขาดความรอบคอบ จึงถือได้ว่า “วุฒิสภา” หรือสภาที่ทำหน้าที่กลั่นกรองงานของสภาผู้แทนราษฎรได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในนามของ “พฤฒสภา”

การประชุมพฤฒสภาจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันอังคารที่ ๔ มิถุนายน ๒๔๘๙[2]พระที่นั่งอภิเศกดุสิต ซึ่งใช้เป็นที่ทำการสำนักงานเลขาธิการพฤฒสภาด้วย โดยในวันดังกล่าวที่ประชุมพฤฒสภาได้ลงมติเลือก พันตรีวิลาศ โอสถานนท์ เป็นประธานพฤฒสภา และนายไต๋ ปาณิกบุตร เป็นรองประธานพฤฒสภา[3] ต่อมาในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๔๙๐ ได้เปลี่ยนชื่อที่ใช้เรียก “พฤฒสภา” เป็น “วุฒิสภา” มีหน้าที่กลั่นกรองร่างกฎหมายและควบคุมราชการแผ่นดิน มีการประชุมซึ่งเรียกว่า “การประชุมวุฒิสภา” จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม[4] โดยที่ประชุมได้ลงมติ เลือก เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ เป็นประธานวุฒิสภา พระยาอภิบาลราชไมตรี เป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่ ๑ และพลโท พระยาสีหราชเดโชไชย เป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่ ๒[5] หลังจากนั้น ในปี พ.ศ.๒๕๑๔ ได้มีการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ซึ่งแล้วเสร็จในปี พ.ศ.๒๕๑๗ [6] จึงได้เปลี่ยนมาทำการประชุมสภา ณ อาคารรัฐสภาใหม่ ถนนอู่ทองใน และได้ใช้ห้องประชุมของอาคารรัฐสภาแห่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน ส่วนพระที่นั่ง อนันตสมาคมแม้ไม่ได้ใช้เป็นสถานที่ประชุมสภาแล้ว แต่ยังคงใช้เป็นสถานที่สำหรับประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาจนกระทั่งปัจจุบัน

วุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐

วุฒิสภา ประกอบด้วยสมาชิกจำนวนรวม ๑๕๐ คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ ๑ คน และมาจากการสรรหาเท่ากับจำนวนรวมข้างต้นหักด้วยจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ปัจจุบันจึงมีสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งได้ทั้งสิ้น ๗๗ คน และสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาอีก ๗๓ คน (มาตรา ๑๑๑)

วัตถุประสงค์ของการประชุมวุฒิสภา

การประชุมวุฒิสภาเป็นการทำหน้าที่ตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น

- หน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว

- หน้าที่ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินโดยการตั้งกระทู้ถามและการเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ

- หน้าที่ในการพิจารณาเลือก แต่งตั้ง ให้คำแนะนำ หรือให้ความเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่งในองค์กรต่าง ๆ ได้แก่

กรรมการการเลือกตั้ง (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๓๑)

ผู้ตรวจการแผ่นดิน (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๔๓)

กรรมการสิทธิมนุษยชน (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๕๖)

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๐๖)

• กรรมการตุลาการศาลยุติธรรมในสัดส่วนของวุฒิสภา (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๒๑)

• ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๒๔)

• กรรมการตุลาการศาลปกครองในสัดส่วนของวุฒิสภา (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๒๖)

กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๔๖)

• เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๕๑)

กรรมการตรวจเงินแผ่นดินและผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๕๒)

- หน้าที่พิจารณาถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๗๐ ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้พิพากษาหรือตุลาการ พนักงานอัยการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

ช่วงเวลาที่สามารถประชุมวุฒิสภาได้

การประชุมวุฒิสภาสามารถกระทำได้ภายในสมัยประชุมของรัฐสภา แต่มีเงื่อนไขว่า ในระหว่างที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ จะมีการประชุมวุฒิสภามิได้ เว้นแต่ เป็นกรณีตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๓๒ ดังต่อไปนี้

(๑) การประชุมที่ให้วุฒิสภาทำหน้าที่รัฐสภา ได้แก่

- การให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๙)

- การทำหน้าที่รัฐสภาเพื่อให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๑)

- การรับทราบการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๒)

- การรับทราบหรือให้ความเห็นชอบในการสืบราชสมบัติ (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๓)

- การให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๘๙)

(๒) การประชุมที่ให้วุฒิสภาทำหน้าที่พิจารณาให้บุคคลดำรงตำแหน่งใดตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

(๓) การประชุมที่ให้วุฒิสภาทำหน้าที่พิจารณาและมีมติให้ถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง

โดยการประชุมวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๓๒ ดังกล่าว ต้องมีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๒๘ และมาตรา ๑๘๗ ด้วย

ลักษณะของการประชุมวุฒิสภา

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ บัญญัติให้ การประชุมสภาผู้แทนราษฎร การประชุมวุฒิสภา และการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ย่อมเป็นการเปิดเผยตามลักษณะที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมแต่ละสภา แต่ถ้าคณะรัฐมนตรี หรือสมาชิกของแต่ละสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกัน มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา หรือจำนวนสมาชิกของทั้งสองสภาเท่าที่มีอยู่รวมกัน แล้วแต่กรณี ร้องขอให้ประชุมลับ ก็ให้ประชุมลับ (มาตรา ๑๓๓) นอกจากนี้ ดังนั้น จึงสามารถแบ่งการประชุมวุฒิสภาออกได้เป็น ๒ ลักษณะ[7] คือ

1. การประชุมโดยเปิดเผย ซึ่งบุคคลภายนอกสามารถเข้าฟังการประชุมได้ตามระเบียบที่ประธานวุฒิสภากำหนด นอกจากนี้ ประธานวุฒิสภายังต้องจัดใหมีการถายทอดการประชุมทางวิทยุกระจายเสียง และหรือวิทยุโทรทัศน รวมทั้ง จัดใหมีการถายทอดการประชุมทางเครื่องขยายเสียงและหรือวิทยุโทรทัศน วงจรปดภายในบริเวณของรัฐสภา และลามภาษามือ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถรับรู้ได้อย่างทั่วถึง สะท้อนให้เห็นถึงความเปิดเผย โปร่งใส สุจริต และตรวจสอบได้ และเป็นหลักประกันว่าการประชุมทุกครั้งจะดำเนินไปโดยยึดถือเอาประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง

2. การประชุมลับ เป็นการประชุมซึ่งจำกัดบุคคลที่จะอยู่ในที่ประชุมหรือ ณ ที่ใดในระยะที่จะฟงการประชุมได ไว้แต่เฉพาะสมาชิกวุฒิสภา รัฐมนตรี และผูที่ไดรับอนุญาตจากประธานของที่ประชุม นอกจากนี้ ยังหามใชเครื่องบันทึกเสียง หรือเครื่องมือสื่อสารใด ๆ ยกเวน การบันทึกของวุฒิสภาเท่านั้น

กระบวนการในการประชุมวุฒิสภา

การประชุมวุฒิสภานั้น ต้องดำเนินการไปตามที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๓๔ บัญญัติให้ “วุฒิสภามีอำนาจตราข้อบังคับการประชุมเกี่ยวกับการเลือกและการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา รองประธานสภา เรื่องหรือกิจการอันเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการสามัญแต่ละชุด การปฏิบัติหน้าที่และองค์ประชุมของคณะกรรมาธิการ วิธีการประชุมการเสนอและพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติ การเสนอญัตติการปรึกษา การอภิปราย การลงมติ การบันทึกการลงมติ การเปิดเผยการลงมติ การตั้งกระทู้ถาม การเปิดอภิปรายทั่วไป การรักษาระเบียบและความเรียบร้อย และการอื่นที่เกี่ยวข้อง” โดยข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ.๒๕๕๑ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการในการประชุมวุฒิสภา ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้

- การประชุมวุฒิสภาครั้งแรก

เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญทั่วไป หรือสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติแล้ว ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา ขอ ๑๔ กำหนดใหมีการประชุมวุฒิสภาครั้งแรกภายใน ๑๐ วัน นับแตวันเปดสมัยประชุมสามัญหรือวิสามัญของรัฐสภา เวนแตประธานวุฒิสภาเห็นวาไมมีวาระที่จะพิจารณา ซึ่งประธานวุฒิสภาจะต้องแจงใหสมาชิกทราบลวงหนา ส่วนการประชุมครั้งตอไปใหเปนไปตามมติที่ประชุม

- การนัดประชุม

กำหนดใหทําเปนหนังสือส่งให้สมาชิกทราบล่วงหน้าไมนอยกวา ๓ วันก่อนการประชุม พร้อมแจ้งระเบียบวาระการประชุมและเอกสารที่เกี่ยวข้องด้วย โดยอาจดําเนินการทางโทรสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอื่นเมื่อประธานวุฒิสภาเห็นสมควร เว้นแต่ในกรณีที่บอกนัดในที่ประชุม ให้ทำหนังสือนัดเฉพาะสมาชิกที่ไม่ได้มาประชุม ในกรณีมีเรื่องด่วน ประธานวุฒิสภาจะนัดประชุมโดยแจ้งให้สมาชิกทราบน้อยกว่า ๓ วันก็ได้ (ข้อบังคับฯ ข้อ ๑๕, ๑๖,๑๗)

- องค์ประชุม

การประชุมวุฒิสภาต้องมีสมาชิกลงชื่อมาประชุมไมนอยกวากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเทาที่มีอยูจึงจะเปนองคประชุม เวนแต่ ในกรณีพิจารณาระเบียบวาระกระทูถาม ถามีสมาชิกลงชื่อมาประชุมไมนอยกวาหนึ่งในสามของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเทาที่มีอยูก็ใหถือวาเปนองคประชุมพิจารณาได้ โดยสมาชิกผูมาประชุมจะต้องลงชื่อในสมุดที่จัดไวกอนเขาประชุมทุกครั้ง และเขานั่งในที่ที่จัดไว้เมื่อมีสัญญาณใหเขาประชุม หากมีสมาชิกเข้าประชุมครบองค์ประชุมแล้ว ประธานจะดำเนินการประชุมต่อไป (ข้อบังคับฯ ข้อ ๑๙)

- การเลื่อนประชุม

เมื่อพนกําหนดเวลาประชุมไปสามสิบนาทีแลว จํานวนสมาชิกยังไมครบองคประชุม ประธานของที่ประชุมอาจสั่งใหเลื่อนการประชุมไปก็ได้ (ข้อบังคับฯ ขอ ๒๐)

- การงดการประชุม ประธานวุฒิสภาอาจสั่งงดการประชุมครั้งใดก็ไดเมื่อเห็นวาไมมีเรื่องที่สมควรจะบรรจุเขาระเบียบวาระการประชุม แตตองแจงใหสมาชิกทราบลวงหนา (ข้อบังคับฯ ข้อ ๑๔)

- การเรียกประชุมเป็นพิเศษ ในกรณีที่ประธานวุฒิสภาเห็นสมควรหรือสมาชิกจํานวนไมนอยกวาหนึ่งในสี่ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเทาที่มีอยูของวุฒิสภาเขาชื่อรองขอตอประธานวุฒิสภาใหเรียกประชุมเปนพิเศษก็ใหเรียกประชุมได (ข้อบังคับฯ ข้อ ๑๔ วรรคสาม)

- การจัดระเบียบวาระการประชุม หมายถึง การลำดับเรื่องราวที่จะต้องพิจารณากันในที่ประชุมสภาซึ่งข้อบังคับการประชุมวุฒิสภาฯ ขอ ๑๘ กำหนดใหจัดลำดับ ดังตอไปนี้

(๑) เรื่องที่ประธานจะแจงตอที่ประชุม

(๒) รับรองรายงานการประชุม

(๓) กระทูถาม

(๔) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแลว

(๕) เรื่องที่คางพิจารณา

(๖) เรื่องที่เสนอใหม

(๗) เรื่องอื่น ๆ

แต่ในกรณีที่ประธานวุฒิสภาเห็นวาเรื่องใดเปนเรื่องดวน จะจัดไวในลําดับใดของระเบียบวาระการประชุมก็ได

- การพักการประชุม

เป็นการหยุดการดำเนินการประชุมชั่วคราว เมื่อประธานของที่ประชุมเห็นสมควร เช่น การพักการประชุมเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน หรือพักการประชุมหลังจากที่ประธานเห็นว่าประชุมมานานหลายชั่วโมงแล้ว เป็นต้น (ข้อบังคับฯ ข้อ ๒๖)

- การเลิกประชุม

เป็นการยุติการประชุมตามคำสั่งของประธานของที่ประชุม ซึ่งจะสั่งให้เลิกประชุมเมื่อหมดระเบียบวาระของวันนั้นหรือสั่งเลิกประชุมตามที่เห็นสมควรก็ได้ นอกจากนี้ การที่ประธานวุฒิสภาลงจากบัลลังกโดยมิไดมอบหมายใหรองประธานวุฒิสภาปฏิบัติหนาที่แทน ก็ถือว่าเป็นการ ใหเลิกการประชุม เช่นกัน (ข้อบังคับฯ ข้อ ๒๖)

- การดำเนินการหลังการประชุม

เมื่อวุฒิสภาได้มีมติเรื่องใดในที่ประชุมแล้ว เลขาธิการวุฒิสภาจะดำเนินการยืนยันมติของวุฒิสภาดังกล่าวไปยังผูที่เกี่ยวของต่อไป ตามข้อบังคับฯ ขอ ๑๒(๕)

- เอกสิทธิ์ของสมาชิกวุฒิสภา

เอกสิทธิ์ หมายถึง สิทธิเด็ดขาดของสมาชิกรัฐสภาที่จะกล่าวแถลงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น ออกเสียงลงคะแนน หรือการกระทำอย่างอื่นในที่ประชุมสภา โดยมิให้บุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง จะไปฟ้องร้องว่ากล่าวในทางใด ๆ ไม่ได้ และไม่อาจนำเรื่องนั้นไปฟ้องร้องได้อีก ไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยไปนานเท่าใดก็ตาม [8] ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่โดยมิต้องกังวลว่าจะผิดกฎหมาย

รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๓๐ ได้บัญญัติเกี่ยวกับเอกสิทธิ์ของสมาชิกวุฒิสภาไว้ว่า ในที่ประชุมวุฒิสภาสมาชิกผู้ใดจะกล่าวถ้อยคำใดในทางแถลงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น หรือออกเสียงลงคะแนน ย่อมเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด ผู้ใดจะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวสมาชิกผู้นั้นในทางใดมิได้ โดยเอกสิทธิ์ดังกล่าวคุ้มครองไปถึงผู้พิมพ์และผู้โฆษณารายงานการประชุมตามข้อบังคับของวุฒิสภา และคุ้มครองไปถึงบุคคลซึ่งประธานในที่ประชุมอนุญาตให้แถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม ตลอดจนผู้ดำเนินการถ่ายทอดการประชุมสภาทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์ที่ได้รับอนุญาตจากประธานวุฒิสภาด้วยโดยอนุโลม

อย่างไรก็ตาม เอกสิทธ์จะไม่คุ้มครองถึงกรณีที่สมาชิกวุฒิสภากล่าวถ้อยคำในการประชุมที่มีการถ่ายทอดทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์ หากถ้อยคำที่กล่าวในที่ประชุมไปปรากฏนอกบริเวณรัฐสภา และการกล่าวถ้อยคำนั้นมีลักษณะเป็นความผิดทางอาญาหรือละเมิดสิทธิในทางแพ่งต่อบุคคลอื่นซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือสมาชิกแห่งสภานั้น

- ความคุ้มกันของสมาชิกวุฒิสภา

ความคุ้มกัน หมายถึง ความคุ้มกันที่รัฐธรรมนูญให้แก่สมาชิกรัฐสภาเพื่อที่จะมาประชุมสภาตามหน้าที่ โดยไม่อาจถูกจับกุม คุมขัง หรือดำเนินคดีใด ๆ ในลักษณะที่จะขัดขวางต่อการไปประชุมดังกล่าวในช่วงเวลาหนึ่ง และเมื่อพ้นช่วงเวลาดังกล่าวแล้วความคุ้มกันจะหมดไป และอาจดำเนินคดีต่อไปได้ [9]

รัฐธรรมนูญฯ ได้บัญญัติถึงความคุ้มกันของสมาชิกวุฒิสภาไว้ ๓ กรณีด้วยกัน ดังนี้

(๑) ความคุ้มกันที่จะไม่ถูกจับหรือคุมขังในคดีอาญาในระหว่างสมัยประชุม

รัฐธรรมนูญฯ กำหนดไว้ในมาตรา ๑๓๑ ว่า ในระหว่างสมัยประชุม ห้ามมิให้จับ คุมขัง หรือหมายเรียกตัวสมาชิกวุฒิสภา ไปทำการสอบสวนในฐานะที่สมาชิกผู้นั้นเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา เว้นแต่ในกรณีที่ได้รับอนุญาตจากวุฒิสภา หรือในกรณีที่จับในขณะกระทำความผิด และในกรณีที่มีการจับสมาชิกวุฒิสภาในขณะกระทำความผิด เจ้าพนักงานผู้จับกุมจะต้องรายงานไปยังประธานวุฒิสภาโดยพลัน และประธานวุฒิสภาอาจสั่งให้ปล่อยผู้ถูกจับได้

(๒) ความคุ้มกันที่จะไม่ถูกพิจารณาคดีอาญาในระหว่างสมัยประชุม

รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๓๑ วรรคสาม กำหนดว่า ในกรณีที่มีการฟ้องสมาชิกวุฒิสภาในคดีอาญา ไม่ว่าจะได้ฟ้องนอกหรือในสมัยประชุม ศาลจะพิจารณาคดีนั้นในระหว่างสมัยประชุมมิได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากวุฒิสภา หรือเป็นคดีอันเกี่ยวกับ[[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา]] พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง แต่การพิจารณาคดีต้องไม่เป็นการขัดขวางต่อการที่สมาชิกผู้นั้นจะมาประชุมสภา

(๓) ความคุ้มกันที่จะถูกปล่อยจากการถูกคุมขังเมื่อถึงสมัยประชุม

รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๓๑ วรรคห้าและหก กำหนดว่า ถ้าสมาชิกวุฒิสภาถูกคุมขังในระหว่างสอบสวนหรือพิจารณาอยู่ก่อนสมัยประชุม เมื่อถึงสมัยประชุม พนักงานสอบสวนหรือศาล แล้วแต่กรณี ต้องสั่งปล่อยทันทีถ้าประธานวุฒิสภาได้ร้องขอ โดยคำสั่งปล่อยให้มีผลบังคับตั้งแต่วันสั่งปล่อยจนถึงวันสุดท้ายแห่งสมัยประชุม

บทสรุปปิดท้าย

จากบทความข้างต้น การประชุมวุฒิสภาจึงมีความสำคัญต่อการปกครองในระบบรัฐสภา เพราะเป็นกลไกการทำงานของสมาชิกวุฒิสภา ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ อันจะก่อให้เกิดผลสัมฤทธิในการปฏิบัติงาน ทั้งด้านนิติบัญญัติ ด้านการควบคุมการทำงานของฝ่ายบริหาร รวมถึงการทำงานในด้านอื่นๆ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้

อ้างอิง

  1. คณิน บุญสุวรรณ, ปทานานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, ๒๕๔๘. หน้า ๕๓๕-๕๓๖.
  2. รายงานการประชุมพฤฒสภา ครั้งที่ ๑/๒๔๘๙ สมัยวิสามัญ ชุดที่ ๑ วันอังคารที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙.
  3. “ประกาศตั้งประธานและรองประธานพฤฒสภา,” ราชกิจจานุเบกษา ๖๓, ๔๐ (๑๑ มิถุนายน ๒๔๘๙), หน้า ๓๙๘.
  4. “พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมวุฒิสภา พ.ศ. ๒๔๙๐,” ราชกิจจานุเบกษา ฉะบับพิเศษ ตอนที่ ๕๖ เล่มที่ ๖๔ (๒๒ พฤศจิกายน ๒๔๙๐), หน้า ๘.
  5. รายงานการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ ๒/๒๔๙๐ (สามัญ) วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๙๐
  6. ประเสริฐ ปัทมสุคนธ์, รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี ๒๔๗๕-๒๕๑๗. กรุงเทพฯ : ช.ชุมนุมช่าง, ๒๕๑๗. หน้า ๑๐๓๗.
  7. ชัยอนันต์ สมุทวาณิช และเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์. กลไกรัฐสภา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พิฆเณศ. ๒๕๑๘. หน้า ๔๓-๔๕.
  8. มานิตย์ จุมปา. สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.๒๕๔๐) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่อง ๙. เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา. ๒๕๔๔. หน้า ๒.
  9. มานิตย์ จุมปา. สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.๒๕๔๐) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่อง ๙. เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา. ๒๕๔๔. หน้า ๓.

หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ

คณิน บุญสุวรรณ. ปทานานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, ๒๕๔๘. รายงานการประชุมพฤฒสภา ครั้งที่ ๑/๒๔๘๙ สมัยวิสามัญ ชุดที่ ๑ วันอังคารที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙

คณะกรรมการจัดทำรายงานผลการพิจารณาร่างกฎหมายของวุฒิสภา. วุฒิสภากับงานกลั่นกรองกฎหมาย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เดือนตุลา, ๒๕๕๔.

ชัยอนันต์ สมุทวาณิช และเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์. กลไกรัฐสภา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พิฆเณศ, ๒๕๑๘. ประเสริฐ ปัทมสุคนธ์. รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี ๒๔๗๕-๒๕๑๗. กรุงเทพฯ : ช.ชุมนุมช่าง, ๒๕๑๗.

มนตรี รูปสุวรรณ. กฎหมายรัฐสภา. พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๙.

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รัฐสภาไทย. กรุงเทพ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ๒๕๔๖.

บรรณานุกรม

คณิน บุญสุวรรณ. ปทานานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, ๒๕๔๘. รายงานการประชุมพฤฒสภา ครั้งที่ ๑/๒๔๘๙ สมัยวิสามัญ ชุดที่ ๑ วันอังคารที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙

คณะกรรมการจัดทำรายงานผลการพิจารณาร่างกฎหมายของวุฒิสภา. วุฒิสภากับงานกลั่นกรองกฎหมาย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เดือนตุลา, ๒๕๕๔.

ชัยอนันต์ สมุทวาณิช และเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์. กลไกรัฐสภา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พิฆเณศ, ๒๕๑๘. ประเสริฐ ปัทมสุคนธ์. รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี ๒๔๗๕-๒๕๑๗. กรุงเทพฯ : ช.ชุมนุมช่าง, ๒๕๑๗.

มนตรี รูปสุวรรณ. กฎหมายรัฐสภา. พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๙.

มานิตย์ จุมปา. สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.๒๕๔๐) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่อง ๙. เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา. ๒๕๔๔.

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รัฐสภาไทย. กรุงเทพ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ๒๕๔๖.