ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การประชุมวุฒิสภา"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 11: | บรรทัดที่ 11: | ||
==ความหมายของการประชุมวุฒิสภา== | ==ความหมายของการประชุมวุฒิสภา== | ||
''' การประชุมวุฒิสภา''' หมายถึง การประชุมของ[[สมาชิกวุฒิสภา]]เพื่อพิจารณาเรื่องใด ๆ ตามอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา ในการประชุมวุฒิสภานอกจากจะมีสมาชิกวุฒิสภาเป็น[[องค์ประชุม]]แล้ว ยังมี[[รัฐมนตรี]]และผู้ที่[[ประธานวุฒิสภา]]หรือผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมอนุญาตเข้าร่วมประชุมด้วย ทั้งนี้ โดยมี[[ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา]]เป็นเครื่องมือในการดำเนินการประชุม ผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมวุฒิสภา ได้แก่ ประธานวุฒิสภาหรือ[[รองประธานวุฒิสภา]]ผู้ทำหน้าที่แทน | ''' การประชุมวุฒิสภา''' หมายถึง การประชุมของ[[สมาชิกวุฒิสภา]]เพื่อพิจารณาเรื่องใด ๆ ตามอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา ในการประชุมวุฒิสภานอกจากจะมีสมาชิกวุฒิสภาเป็น[[องค์ประชุม]]แล้ว ยังมี[[รัฐมนตรี]]และผู้ที่[[ประธานวุฒิสภา]]หรือผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมอนุญาตเข้าร่วมประชุมด้วย ทั้งนี้ โดยมี[[ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา]]เป็นเครื่องมือในการดำเนินการประชุม ผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมวุฒิสภา ได้แก่ ประธานวุฒิสภาหรือ[[รองประธานวุฒิสภา]]ผู้ทำหน้าที่แทน <ref>คณิน บุญสุวรรณ, ปทานานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, ๒๕๔๘. หน้า ๕๓๕-๕๓๖.</ref> | ||
==ประวัติของการประชุมวุฒิสภา== | ==ประวัติของการประชุมวุฒิสภา== | ||
บรรทัดที่ 18: | บรรทัดที่ 18: | ||
ด้านนิติบัญญัติเร็วเกินไป จนขาดความรอบคอบ จึงถือได้ว่า “วุฒิสภา” หรือสภาที่ทำหน้าที่กลั่นกรองงานของสภาผู้แทนราษฎรได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในนามของ “พฤฒสภา” | ด้านนิติบัญญัติเร็วเกินไป จนขาดความรอบคอบ จึงถือได้ว่า “วุฒิสภา” หรือสภาที่ทำหน้าที่กลั่นกรองงานของสภาผู้แทนราษฎรได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในนามของ “พฤฒสภา” | ||
[[การประชุมพฤฒสภา]]จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันอังคารที่ ๔ มิถุนายน ๒๔๘๙ ณ [[พระที่นั่งอภิเศกดุสิต]] ซึ่งใช้เป็นที่ทำการ[[สำนักงานเลขาธิการพฤฒสภา]]ด้วย โดยในวันดังกล่าวที่ประชุมพฤฒสภาได้ลงมติเลือก | [[การประชุมพฤฒสภา]]จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันอังคารที่ ๔ มิถุนายน ๒๔๘๙<ref>รายงานการประชุมพฤฒสภา ครั้งที่ ๑/๒๔๘๙ สมัยวิสามัญ ชุดที่ ๑ วันอังคารที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙. </ref> ณ [[พระที่นั่งอภิเศกดุสิต]] ซึ่งใช้เป็นที่ทำการ[[สำนักงานเลขาธิการพฤฒสภา]]ด้วย โดยในวันดังกล่าวที่ประชุมพฤฒสภาได้ลงมติเลือก | ||
[[พันตรีวิลาศ โอสถานนท์]] เป็น[[ประธานพฤฒสภา]] และ[[นายไต๋ ปาณิกบุตร]] เป็นรองประธานพฤฒสภา ต่อมาใน[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๔๙๐]] ได้เปลี่ยนชื่อที่ใช้เรียก “พฤฒสภา” เป็น “วุฒิสภา” มีหน้าที่[[กลั่นกรองร่างกฎหมาย]]และ[[ควบคุมราชการแผ่นดิน]] มีการประชุมซึ่งเรียกว่า “การประชุมวุฒิสภา” จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ณ [[พระที่นั่งอนันตสมาคม]] โดยที่ประชุมได้[[ลงมติ]] เลือก [[เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ]] เป็นประธานวุฒิสภา [[พระยาอภิบาลราชไมตรี]] เป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่ ๑ และ[[พลโท พระยาสีหราชเดโชไชย]] เป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่ ๒ หลังจากนั้น ในปี พ.ศ.๒๕๑๔ ได้มีการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ซึ่งแล้วเสร็จในปี พ.ศ.๒๕๑๗ | [[พันตรีวิลาศ โอสถานนท์]] เป็น[[ประธานพฤฒสภา]] และ[[นายไต๋ ปาณิกบุตร]] เป็นรองประธานพฤฒสภา<ref> “ประกาศตั้งประธานและรองประธานพฤฒสภา,” ราชกิจจานุเบกษา ๖๓, ๔๐ (๑๑ มิถุนายน ๒๔๘๙), หน้า ๓๙๘.</ref> ต่อมาใน[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๔๙๐]] ได้เปลี่ยนชื่อที่ใช้เรียก “พฤฒสภา” เป็น “วุฒิสภา” มีหน้าที่[[กลั่นกรองร่างกฎหมาย]]และ[[ควบคุมราชการแผ่นดิน]] มีการประชุมซึ่งเรียกว่า “การประชุมวุฒิสภา” จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ณ [[พระที่นั่งอนันตสมาคม]]<ref> “พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมวุฒิสภา พ.ศ. ๒๔๙๐,” ราชกิจจานุเบกษา ฉะบับพิเศษ ตอนที่ ๕๖ เล่มที่ ๖๔ (๒๒ พฤศจิกายน ๒๔๙๐), หน้า ๘.</ref> โดยที่ประชุมได้[[ลงมติ]] เลือก [[เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ]] เป็นประธานวุฒิสภา [[พระยาอภิบาลราชไมตรี]] เป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่ ๑ และ[[พลโท พระยาสีหราชเดโชไชย]] เป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่ ๒<ref>รายงานการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ ๒/๒๔๙๐ (สามัญ) วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๙๐</ref> หลังจากนั้น ในปี พ.ศ.๒๕๑๔ ได้มีการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ซึ่งแล้วเสร็จในปี พ.ศ.๒๕๑๗ <ref>ประเสริฐ ปัทมสุคนธ์, รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี ๒๔๗๕-๒๕๑๗. กรุงเทพฯ : ช.ชุมนุมช่าง, ๒๕๑๗. หน้า ๑๐๓๗.</ref> จึงได้เปลี่ยนมาทำการประชุมสภา ณ อาคารรัฐสภาใหม่ ถนนอู่ทองใน และได้ใช้ห้องประชุมของอาคารรัฐสภาแห่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน ส่วนพระที่นั่ง | ||
อนันตสมาคมแม้ไม่ได้ใช้เป็นสถานที่ประชุมสภาแล้ว แต่ยังคงใช้เป็นสถานที่สำหรับประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาจนกระทั่งปัจจุบัน | อนันตสมาคมแม้ไม่ได้ใช้เป็นสถานที่ประชุมสภาแล้ว แต่ยังคงใช้เป็นสถานที่สำหรับประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาจนกระทั่งปัจจุบัน | ||
บรรทัดที่ 82: | บรรทัดที่ 82: | ||
==ลักษณะของการประชุมวุฒิสภา== | ==ลักษณะของการประชุมวุฒิสภา== | ||
[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐]] บัญญัติให้ การประชุมสภาผู้แทนราษฎร การประชุมวุฒิสภา และการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ย่อมเป็นการเปิดเผยตามลักษณะที่กำหนดไว้ใน[[ข้อบังคับการประชุม]]แต่ละสภา แต่ถ้า[[คณะรัฐมนตรี]] หรือสมาชิกของแต่ละสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกัน มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา หรือจำนวนสมาชิกของทั้งสองสภาเท่าที่มีอยู่รวมกัน แล้วแต่กรณี ร้องขอให้[[ประชุมลับ]] ก็ให้ประชุมลับ (มาตรา ๑๓๓) นอกจากนี้ ดังนั้น จึงสามารถแบ่งการประชุมวุฒิสภาออกได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ | [[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐]] บัญญัติให้ การประชุมสภาผู้แทนราษฎร การประชุมวุฒิสภา และการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ย่อมเป็นการเปิดเผยตามลักษณะที่กำหนดไว้ใน[[ข้อบังคับการประชุม]]แต่ละสภา แต่ถ้า[[คณะรัฐมนตรี]] หรือสมาชิกของแต่ละสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกัน มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา หรือจำนวนสมาชิกของทั้งสองสภาเท่าที่มีอยู่รวมกัน แล้วแต่กรณี ร้องขอให้[[ประชุมลับ]] ก็ให้ประชุมลับ (มาตรา ๑๓๓) นอกจากนี้ ดังนั้น จึงสามารถแบ่งการประชุมวุฒิสภาออกได้เป็น ๒ ลักษณะ<ref>ชัยอนันต์ สมุทวาณิช และเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์. กลไกรัฐสภา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พิฆเณศ. ๒๕๑๘. หน้า ๔๓-๔๕.</ref> คือ | ||
1. '''[[การประชุมโดยเปิดเผย]]''' ซึ่งบุคคลภายนอกสามารถเข้าฟังการประชุมได้ตามระเบียบที่ประธานวุฒิสภากำหนด นอกจากนี้ ประธานวุฒิสภายังต้องจัดใหมีการถายทอดการประชุมทางวิทยุกระจายเสียง และหรือวิทยุโทรทัศน รวมทั้ง จัดใหมีการถายทอดการประชุมทางเครื่องขยายเสียงและหรือวิทยุโทรทัศน | 1. '''[[การประชุมโดยเปิดเผย]]''' ซึ่งบุคคลภายนอกสามารถเข้าฟังการประชุมได้ตามระเบียบที่ประธานวุฒิสภากำหนด นอกจากนี้ ประธานวุฒิสภายังต้องจัดใหมีการถายทอดการประชุมทางวิทยุกระจายเสียง และหรือวิทยุโทรทัศน รวมทั้ง จัดใหมีการถายทอดการประชุมทางเครื่องขยายเสียงและหรือวิทยุโทรทัศน | ||
บรรทัดที่ 145: | บรรทัดที่ 145: | ||
- '''[[เอกสิทธิ์ของสมาชิกวุฒิสภา]]''' | - '''[[เอกสิทธิ์ของสมาชิกวุฒิสภา]]''' | ||
เอกสิทธิ์ หมายถึง สิทธิเด็ดขาดของสมาชิกรัฐสภาที่จะกล่าวแถลงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น ออกเสียงลงคะแนน หรือการกระทำอย่างอื่นในที่ประชุมสภา โดยมิให้บุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง จะไปฟ้องร้องว่ากล่าวในทางใด ๆ ไม่ได้ และไม่อาจนำเรื่องนั้นไปฟ้องร้องได้อีก ไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยไปนานเท่าใดก็ตาม | เอกสิทธิ์ หมายถึง สิทธิเด็ดขาดของสมาชิกรัฐสภาที่จะกล่าวแถลงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น ออกเสียงลงคะแนน หรือการกระทำอย่างอื่นในที่ประชุมสภา โดยมิให้บุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง จะไปฟ้องร้องว่ากล่าวในทางใด ๆ ไม่ได้ และไม่อาจนำเรื่องนั้นไปฟ้องร้องได้อีก ไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยไปนานเท่าใดก็ตาม <ref>มานิตย์ จุมปา. สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.๒๕๔๐) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่อง ๙. เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา. ๒๕๔๔. หน้า ๒.</ref> | ||
ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่โดยมิต้องกังวลว่าจะผิดกฎหมาย | ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่โดยมิต้องกังวลว่าจะผิดกฎหมาย | ||
บรรทัดที่ 154: | บรรทัดที่ 154: | ||
- '''[[ความคุ้มกันของสมาชิกวุฒิสภา]]''' | - '''[[ความคุ้มกันของสมาชิกวุฒิสภา]]''' | ||
ความคุ้มกัน หมายถึง ความคุ้มกันที่รัฐธรรมนูญให้แก่สมาชิกรัฐสภาเพื่อที่จะมาประชุมสภาตามหน้าที่ โดยไม่อาจถูกจับกุม คุมขัง หรือดำเนินคดีใด ๆ ในลักษณะที่จะขัดขวางต่อการไปประชุมดังกล่าวในช่วงเวลาหนึ่ง และเมื่อพ้นช่วงเวลาดังกล่าวแล้วความคุ้มกันจะหมดไป และอาจดำเนินคดีต่อไปได้ | ความคุ้มกัน หมายถึง ความคุ้มกันที่รัฐธรรมนูญให้แก่สมาชิกรัฐสภาเพื่อที่จะมาประชุมสภาตามหน้าที่ โดยไม่อาจถูกจับกุม คุมขัง หรือดำเนินคดีใด ๆ ในลักษณะที่จะขัดขวางต่อการไปประชุมดังกล่าวในช่วงเวลาหนึ่ง และเมื่อพ้นช่วงเวลาดังกล่าวแล้วความคุ้มกันจะหมดไป และอาจดำเนินคดีต่อไปได้ <ref> มานิตย์ จุมปา. สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.๒๕๔๐) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่อง ๙. เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา. ๒๕๔๔. หน้า ๓.</ref> | ||
รัฐธรรมนูญฯ ได้บัญญัติถึงความคุ้มกันของสมาชิกวุฒิสภาไว้ ๓ กรณีด้วยกัน ดังนี้ | รัฐธรรมนูญฯ ได้บัญญัติถึงความคุ้มกันของสมาชิกวุฒิสภาไว้ ๓ กรณีด้วยกัน ดังนี้ |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 11:56, 9 มิถุนายน 2557
เรียบเรียงโดย : นางสาวเรณุมาศ รักษาแก้ว
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง
บทนำ
[[ รัฐสภา]] ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ดังนั้น วุฒิสภา จึงเป็นสภาตัวแทนของประชาชนอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่ต่างจากสภาผู้แทนราษฎร โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ได้กำหนดบทบาทอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภาไว้หลายประการ การปฏิบัติงานของวุฒิสภาจึงต้องมีขั้นตอนและวิธีดำเนินงานที่ชัดเจน โดยเป็นไปในลักษณะของการประชุมหารือและลงมติในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งการประชุมดังกล่าว ถือว่าเป็นการประชุมที่มีลักษณะพิเศษกว่าการประชุมปกติ เรียกว่า “การประชุมวุฒิสภา”
ความหมายของการประชุมวุฒิสภา
การประชุมวุฒิสภา หมายถึง การประชุมของสมาชิกวุฒิสภาเพื่อพิจารณาเรื่องใด ๆ ตามอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา ในการประชุมวุฒิสภานอกจากจะมีสมาชิกวุฒิสภาเป็นองค์ประชุมแล้ว ยังมีรัฐมนตรีและผู้ที่ประธานวุฒิสภาหรือผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมอนุญาตเข้าร่วมประชุมด้วย ทั้งนี้ โดยมีข้อบังคับการประชุมวุฒิสภาเป็นเครื่องมือในการดำเนินการประชุม ผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมวุฒิสภา ได้แก่ ประธานวุฒิสภาหรือรองประธานวุฒิสภาผู้ทำหน้าที่แทน [1]
ประวัติของการประชุมวุฒิสภา
ภายหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ รัฐธรรมนูญ ๒ ฉบับแรก ได้แก่ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ กำหนดให้รัฐสภาเป็นระบบสภาเดียว คือ สภาผู้แทนราษฎร ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์บ้านเมือง โดยเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐสภามาเป็น “ระบบสภาคู่” หรือ “ระบบสองสภา” คือ สภาผู้แทนและพฤฒสภา ซึ่งพฤฒสภามีขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นสภายับยั้ง หรือสภากลั่นกรองงาน คอยเหนี่ยวรั้งมิให้สภาผู้แทนทำงาน ด้านนิติบัญญัติเร็วเกินไป จนขาดความรอบคอบ จึงถือได้ว่า “วุฒิสภา” หรือสภาที่ทำหน้าที่กลั่นกรองงานของสภาผู้แทนราษฎรได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในนามของ “พฤฒสภา”
การประชุมพฤฒสภาจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันอังคารที่ ๔ มิถุนายน ๒๔๘๙[2] ณ พระที่นั่งอภิเศกดุสิต ซึ่งใช้เป็นที่ทำการสำนักงานเลขาธิการพฤฒสภาด้วย โดยในวันดังกล่าวที่ประชุมพฤฒสภาได้ลงมติเลือก พันตรีวิลาศ โอสถานนท์ เป็นประธานพฤฒสภา และนายไต๋ ปาณิกบุตร เป็นรองประธานพฤฒสภา[3] ต่อมาในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๔๙๐ ได้เปลี่ยนชื่อที่ใช้เรียก “พฤฒสภา” เป็น “วุฒิสภา” มีหน้าที่กลั่นกรองร่างกฎหมายและควบคุมราชการแผ่นดิน มีการประชุมซึ่งเรียกว่า “การประชุมวุฒิสภา” จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม[4] โดยที่ประชุมได้ลงมติ เลือก เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ เป็นประธานวุฒิสภา พระยาอภิบาลราชไมตรี เป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่ ๑ และพลโท พระยาสีหราชเดโชไชย เป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่ ๒[5] หลังจากนั้น ในปี พ.ศ.๒๕๑๔ ได้มีการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ซึ่งแล้วเสร็จในปี พ.ศ.๒๕๑๗ [6] จึงได้เปลี่ยนมาทำการประชุมสภา ณ อาคารรัฐสภาใหม่ ถนนอู่ทองใน และได้ใช้ห้องประชุมของอาคารรัฐสภาแห่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน ส่วนพระที่นั่ง อนันตสมาคมแม้ไม่ได้ใช้เป็นสถานที่ประชุมสภาแล้ว แต่ยังคงใช้เป็นสถานที่สำหรับประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาจนกระทั่งปัจจุบัน
วุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
วุฒิสภา ประกอบด้วยสมาชิกจำนวนรวม ๑๕๐ คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ ๑ คน และมาจากการสรรหาเท่ากับจำนวนรวมข้างต้นหักด้วยจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ปัจจุบันจึงมีสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งได้ทั้งสิ้น ๗๗ คน และสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาอีก ๗๓ คน (มาตรา ๑๑๑)
วัตถุประสงค์ของการประชุมวุฒิสภา
การประชุมวุฒิสภาเป็นการทำหน้าที่ตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น
- หน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว
- หน้าที่ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินโดยการตั้งกระทู้ถามและการเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ
- หน้าที่ในการพิจารณาเลือก แต่งตั้ง ให้คำแนะนำ หรือให้ความเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่งในองค์กรต่าง ๆ ได้แก่
• กรรมการการเลือกตั้ง (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๓๑)
• ผู้ตรวจการแผ่นดิน (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๔๓)
• กรรมการสิทธิมนุษยชน (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๕๖)
• ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๐๖)
• กรรมการตุลาการศาลยุติธรรมในสัดส่วนของวุฒิสภา (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๒๑)
• ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๒๔)
• กรรมการตุลาการศาลปกครองในสัดส่วนของวุฒิสภา (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๒๖)
• กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๔๖)
• เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๕๑)
• กรรมการตรวจเงินแผ่นดินและผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๕๒)
- หน้าที่พิจารณาถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๗๐ ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้พิพากษาหรือตุลาการ พนักงานอัยการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ช่วงเวลาที่สามารถประชุมวุฒิสภาได้
การประชุมวุฒิสภาสามารถกระทำได้ภายในสมัยประชุมของรัฐสภา แต่มีเงื่อนไขว่า ในระหว่างที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ จะมีการประชุมวุฒิสภามิได้ เว้นแต่ เป็นกรณีตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๓๒ ดังต่อไปนี้
(๑) การประชุมที่ให้วุฒิสภาทำหน้าที่รัฐสภา ได้แก่
- การให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๙)
- การทำหน้าที่รัฐสภาเพื่อให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๑)
- การรับทราบการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๒)
- การรับทราบหรือให้ความเห็นชอบในการสืบราชสมบัติ (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๓)
- การให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๘๙)
(๒) การประชุมที่ให้วุฒิสภาทำหน้าที่พิจารณาให้บุคคลดำรงตำแหน่งใดตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้
(๓) การประชุมที่ให้วุฒิสภาทำหน้าที่พิจารณาและมีมติให้ถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง
โดยการประชุมวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๓๒ ดังกล่าว ต้องมีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๒๘ และมาตรา ๑๘๗ ด้วย
ลักษณะของการประชุมวุฒิสภา
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ บัญญัติให้ การประชุมสภาผู้แทนราษฎร การประชุมวุฒิสภา และการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ย่อมเป็นการเปิดเผยตามลักษณะที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมแต่ละสภา แต่ถ้าคณะรัฐมนตรี หรือสมาชิกของแต่ละสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกัน มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา หรือจำนวนสมาชิกของทั้งสองสภาเท่าที่มีอยู่รวมกัน แล้วแต่กรณี ร้องขอให้ประชุมลับ ก็ให้ประชุมลับ (มาตรา ๑๓๓) นอกจากนี้ ดังนั้น จึงสามารถแบ่งการประชุมวุฒิสภาออกได้เป็น ๒ ลักษณะ[7] คือ
1. การประชุมโดยเปิดเผย ซึ่งบุคคลภายนอกสามารถเข้าฟังการประชุมได้ตามระเบียบที่ประธานวุฒิสภากำหนด นอกจากนี้ ประธานวุฒิสภายังต้องจัดใหมีการถายทอดการประชุมทางวิทยุกระจายเสียง และหรือวิทยุโทรทัศน รวมทั้ง จัดใหมีการถายทอดการประชุมทางเครื่องขยายเสียงและหรือวิทยุโทรทัศน วงจรปดภายในบริเวณของรัฐสภา และลามภาษามือ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถรับรู้ได้อย่างทั่วถึง สะท้อนให้เห็นถึงความเปิดเผย โปร่งใส สุจริต และตรวจสอบได้ และเป็นหลักประกันว่าการประชุมทุกครั้งจะดำเนินไปโดยยึดถือเอาประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
2. การประชุมลับ เป็นการประชุมซึ่งจำกัดบุคคลที่จะอยู่ในที่ประชุมหรือ ณ ที่ใดในระยะที่จะฟงการประชุมได ไว้แต่เฉพาะสมาชิกวุฒิสภา รัฐมนตรี และผูที่ไดรับอนุญาตจากประธานของที่ประชุม นอกจากนี้ ยังหามใชเครื่องบันทึกเสียง หรือเครื่องมือสื่อสารใด ๆ ยกเวน การบันทึกของวุฒิสภาเท่านั้น
กระบวนการในการประชุมวุฒิสภา
การประชุมวุฒิสภานั้น ต้องดำเนินการไปตามที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๓๔ บัญญัติให้ “วุฒิสภามีอำนาจตราข้อบังคับการประชุมเกี่ยวกับการเลือกและการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา รองประธานสภา เรื่องหรือกิจการอันเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการสามัญแต่ละชุด การปฏิบัติหน้าที่และองค์ประชุมของคณะกรรมาธิการ วิธีการประชุมการเสนอและพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติ การเสนอญัตติการปรึกษา การอภิปราย การลงมติ การบันทึกการลงมติ การเปิดเผยการลงมติ การตั้งกระทู้ถาม การเปิดอภิปรายทั่วไป การรักษาระเบียบและความเรียบร้อย และการอื่นที่เกี่ยวข้อง” โดยข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ.๒๕๕๑ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการในการประชุมวุฒิสภา ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
- การประชุมวุฒิสภาครั้งแรก
เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญทั่วไป หรือสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติแล้ว ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา ขอ ๑๔ กำหนดใหมีการประชุมวุฒิสภาครั้งแรกภายใน ๑๐ วัน นับแตวันเปดสมัยประชุมสามัญหรือวิสามัญของรัฐสภา เวนแตประธานวุฒิสภาเห็นวาไมมีวาระที่จะพิจารณา ซึ่งประธานวุฒิสภาจะต้องแจงใหสมาชิกทราบลวงหนา ส่วนการประชุมครั้งตอไปใหเปนไปตามมติที่ประชุม
กำหนดใหทําเปนหนังสือส่งให้สมาชิกทราบล่วงหน้าไมนอยกวา ๓ วันก่อนการประชุม พร้อมแจ้งระเบียบวาระการประชุมและเอกสารที่เกี่ยวข้องด้วย โดยอาจดําเนินการทางโทรสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอื่นเมื่อประธานวุฒิสภาเห็นสมควร เว้นแต่ในกรณีที่บอกนัดในที่ประชุม ให้ทำหนังสือนัดเฉพาะสมาชิกที่ไม่ได้มาประชุม ในกรณีมีเรื่องด่วน ประธานวุฒิสภาจะนัดประชุมโดยแจ้งให้สมาชิกทราบน้อยกว่า ๓ วันก็ได้ (ข้อบังคับฯ ข้อ ๑๕, ๑๖,๑๗)
การประชุมวุฒิสภาต้องมีสมาชิกลงชื่อมาประชุมไมนอยกวากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเทาที่มีอยูจึงจะเปนองคประชุม เวนแต่ ในกรณีพิจารณาระเบียบวาระกระทูถาม ถามีสมาชิกลงชื่อมาประชุมไมนอยกวาหนึ่งในสามของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเทาที่มีอยูก็ใหถือวาเปนองคประชุมพิจารณาได้ โดยสมาชิกผูมาประชุมจะต้องลงชื่อในสมุดที่จัดไวกอนเขาประชุมทุกครั้ง และเขานั่งในที่ที่จัดไว้เมื่อมีสัญญาณใหเขาประชุม หากมีสมาชิกเข้าประชุมครบองค์ประชุมแล้ว ประธานจะดำเนินการประชุมต่อไป (ข้อบังคับฯ ข้อ ๑๙)
เมื่อพนกําหนดเวลาประชุมไปสามสิบนาทีแลว จํานวนสมาชิกยังไมครบองคประชุม ประธานของที่ประชุมอาจสั่งใหเลื่อนการประชุมไปก็ได้ (ข้อบังคับฯ ขอ ๒๐)
- การงดการประชุม ประธานวุฒิสภาอาจสั่งงดการประชุมครั้งใดก็ไดเมื่อเห็นวาไมมีเรื่องที่สมควรจะบรรจุเขาระเบียบวาระการประชุม แตตองแจงใหสมาชิกทราบลวงหนา (ข้อบังคับฯ ข้อ ๑๔)
- การเรียกประชุมเป็นพิเศษ ในกรณีที่ประธานวุฒิสภาเห็นสมควรหรือสมาชิกจํานวนไมนอยกวาหนึ่งในสี่ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเทาที่มีอยูของวุฒิสภาเขาชื่อรองขอตอประธานวุฒิสภาใหเรียกประชุมเปนพิเศษก็ใหเรียกประชุมได (ข้อบังคับฯ ข้อ ๑๔ วรรคสาม)
- การจัดระเบียบวาระการประชุม หมายถึง การลำดับเรื่องราวที่จะต้องพิจารณากันในที่ประชุมสภาซึ่งข้อบังคับการประชุมวุฒิสภาฯ ขอ ๑๘ กำหนดใหจัดลำดับ ดังตอไปนี้
(๑) เรื่องที่ประธานจะแจงตอที่ประชุม
(๒) รับรองรายงานการประชุม
(๓) กระทูถาม
(๔) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแลว
(๕) เรื่องที่คางพิจารณา
(๖) เรื่องที่เสนอใหม
(๗) เรื่องอื่น ๆ
แต่ในกรณีที่ประธานวุฒิสภาเห็นวาเรื่องใดเปนเรื่องดวน จะจัดไวในลําดับใดของระเบียบวาระการประชุมก็ได
เป็นการหยุดการดำเนินการประชุมชั่วคราว เมื่อประธานของที่ประชุมเห็นสมควร เช่น การพักการประชุมเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน หรือพักการประชุมหลังจากที่ประธานเห็นว่าประชุมมานานหลายชั่วโมงแล้ว เป็นต้น (ข้อบังคับฯ ข้อ ๒๖)
เป็นการยุติการประชุมตามคำสั่งของประธานของที่ประชุม ซึ่งจะสั่งให้เลิกประชุมเมื่อหมดระเบียบวาระของวันนั้นหรือสั่งเลิกประชุมตามที่เห็นสมควรก็ได้ นอกจากนี้ การที่ประธานวุฒิสภาลงจากบัลลังกโดยมิไดมอบหมายใหรองประธานวุฒิสภาปฏิบัติหนาที่แทน ก็ถือว่าเป็นการ ใหเลิกการประชุม เช่นกัน (ข้อบังคับฯ ข้อ ๒๖)
เมื่อวุฒิสภาได้มีมติเรื่องใดในที่ประชุมแล้ว เลขาธิการวุฒิสภาจะดำเนินการยืนยันมติของวุฒิสภาดังกล่าวไปยังผูที่เกี่ยวของต่อไป ตามข้อบังคับฯ ขอ ๑๒(๕)
เอกสิทธิ์ หมายถึง สิทธิเด็ดขาดของสมาชิกรัฐสภาที่จะกล่าวแถลงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น ออกเสียงลงคะแนน หรือการกระทำอย่างอื่นในที่ประชุมสภา โดยมิให้บุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง จะไปฟ้องร้องว่ากล่าวในทางใด ๆ ไม่ได้ และไม่อาจนำเรื่องนั้นไปฟ้องร้องได้อีก ไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยไปนานเท่าใดก็ตาม [8] ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่โดยมิต้องกังวลว่าจะผิดกฎหมาย
รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๓๐ ได้บัญญัติเกี่ยวกับเอกสิทธิ์ของสมาชิกวุฒิสภาไว้ว่า ในที่ประชุมวุฒิสภาสมาชิกผู้ใดจะกล่าวถ้อยคำใดในทางแถลงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น หรือออกเสียงลงคะแนน ย่อมเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด ผู้ใดจะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวสมาชิกผู้นั้นในทางใดมิได้ โดยเอกสิทธิ์ดังกล่าวคุ้มครองไปถึงผู้พิมพ์และผู้โฆษณารายงานการประชุมตามข้อบังคับของวุฒิสภา และคุ้มครองไปถึงบุคคลซึ่งประธานในที่ประชุมอนุญาตให้แถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม ตลอดจนผู้ดำเนินการถ่ายทอดการประชุมสภาทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์ที่ได้รับอนุญาตจากประธานวุฒิสภาด้วยโดยอนุโลม
อย่างไรก็ตาม เอกสิทธ์จะไม่คุ้มครองถึงกรณีที่สมาชิกวุฒิสภากล่าวถ้อยคำในการประชุมที่มีการถ่ายทอดทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์ หากถ้อยคำที่กล่าวในที่ประชุมไปปรากฏนอกบริเวณรัฐสภา และการกล่าวถ้อยคำนั้นมีลักษณะเป็นความผิดทางอาญาหรือละเมิดสิทธิในทางแพ่งต่อบุคคลอื่นซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือสมาชิกแห่งสภานั้น
ความคุ้มกัน หมายถึง ความคุ้มกันที่รัฐธรรมนูญให้แก่สมาชิกรัฐสภาเพื่อที่จะมาประชุมสภาตามหน้าที่ โดยไม่อาจถูกจับกุม คุมขัง หรือดำเนินคดีใด ๆ ในลักษณะที่จะขัดขวางต่อการไปประชุมดังกล่าวในช่วงเวลาหนึ่ง และเมื่อพ้นช่วงเวลาดังกล่าวแล้วความคุ้มกันจะหมดไป และอาจดำเนินคดีต่อไปได้ [9]
รัฐธรรมนูญฯ ได้บัญญัติถึงความคุ้มกันของสมาชิกวุฒิสภาไว้ ๓ กรณีด้วยกัน ดังนี้
(๑) ความคุ้มกันที่จะไม่ถูกจับหรือคุมขังในคดีอาญาในระหว่างสมัยประชุม
รัฐธรรมนูญฯ กำหนดไว้ในมาตรา ๑๓๑ ว่า ในระหว่างสมัยประชุม ห้ามมิให้จับ คุมขัง หรือหมายเรียกตัวสมาชิกวุฒิสภา ไปทำการสอบสวนในฐานะที่สมาชิกผู้นั้นเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา เว้นแต่ในกรณีที่ได้รับอนุญาตจากวุฒิสภา หรือในกรณีที่จับในขณะกระทำความผิด และในกรณีที่มีการจับสมาชิกวุฒิสภาในขณะกระทำความผิด เจ้าพนักงานผู้จับกุมจะต้องรายงานไปยังประธานวุฒิสภาโดยพลัน และประธานวุฒิสภาอาจสั่งให้ปล่อยผู้ถูกจับได้
(๒) ความคุ้มกันที่จะไม่ถูกพิจารณาคดีอาญาในระหว่างสมัยประชุม
รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๓๑ วรรคสาม กำหนดว่า ในกรณีที่มีการฟ้องสมาชิกวุฒิสภาในคดีอาญา ไม่ว่าจะได้ฟ้องนอกหรือในสมัยประชุม ศาลจะพิจารณาคดีนั้นในระหว่างสมัยประชุมมิได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากวุฒิสภา หรือเป็นคดีอันเกี่ยวกับ[[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา]] พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง แต่การพิจารณาคดีต้องไม่เป็นการขัดขวางต่อการที่สมาชิกผู้นั้นจะมาประชุมสภา
(๓) ความคุ้มกันที่จะถูกปล่อยจากการถูกคุมขังเมื่อถึงสมัยประชุม
รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๓๑ วรรคห้าและหก กำหนดว่า ถ้าสมาชิกวุฒิสภาถูกคุมขังในระหว่างสอบสวนหรือพิจารณาอยู่ก่อนสมัยประชุม เมื่อถึงสมัยประชุม พนักงานสอบสวนหรือศาล แล้วแต่กรณี ต้องสั่งปล่อยทันทีถ้าประธานวุฒิสภาได้ร้องขอ โดยคำสั่งปล่อยให้มีผลบังคับตั้งแต่วันสั่งปล่อยจนถึงวันสุดท้ายแห่งสมัยประชุม
บทสรุปปิดท้าย
จากบทความข้างต้น การประชุมวุฒิสภาจึงมีความสำคัญต่อการปกครองในระบบรัฐสภา เพราะเป็นกลไกการทำงานของสมาชิกวุฒิสภา ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ อันจะก่อให้เกิดผลสัมฤทธิในการปฏิบัติงาน ทั้งด้านนิติบัญญัติ ด้านการควบคุมการทำงานของฝ่ายบริหาร รวมถึงการทำงานในด้านอื่นๆ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
อ้างอิง
- ↑ คณิน บุญสุวรรณ, ปทานานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, ๒๕๔๘. หน้า ๕๓๕-๕๓๖.
- ↑ รายงานการประชุมพฤฒสภา ครั้งที่ ๑/๒๔๘๙ สมัยวิสามัญ ชุดที่ ๑ วันอังคารที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙.
- ↑ “ประกาศตั้งประธานและรองประธานพฤฒสภา,” ราชกิจจานุเบกษา ๖๓, ๔๐ (๑๑ มิถุนายน ๒๔๘๙), หน้า ๓๙๘.
- ↑ “พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมวุฒิสภา พ.ศ. ๒๔๙๐,” ราชกิจจานุเบกษา ฉะบับพิเศษ ตอนที่ ๕๖ เล่มที่ ๖๔ (๒๒ พฤศจิกายน ๒๔๙๐), หน้า ๘.
- ↑ รายงานการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ ๒/๒๔๙๐ (สามัญ) วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๙๐
- ↑ ประเสริฐ ปัทมสุคนธ์, รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี ๒๔๗๕-๒๕๑๗. กรุงเทพฯ : ช.ชุมนุมช่าง, ๒๕๑๗. หน้า ๑๐๓๗.
- ↑ ชัยอนันต์ สมุทวาณิช และเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์. กลไกรัฐสภา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พิฆเณศ. ๒๕๑๘. หน้า ๔๓-๔๕.
- ↑ มานิตย์ จุมปา. สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.๒๕๔๐) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่อง ๙. เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา. ๒๕๔๔. หน้า ๒.
- ↑ มานิตย์ จุมปา. สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.๒๕๔๐) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่อง ๙. เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา. ๒๕๔๔. หน้า ๓.
หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ
คณิน บุญสุวรรณ. ปทานานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, ๒๕๔๘. รายงานการประชุมพฤฒสภา ครั้งที่ ๑/๒๔๘๙ สมัยวิสามัญ ชุดที่ ๑ วันอังคารที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙
คณะกรรมการจัดทำรายงานผลการพิจารณาร่างกฎหมายของวุฒิสภา. วุฒิสภากับงานกลั่นกรองกฎหมาย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เดือนตุลา, ๒๕๕๔.
ชัยอนันต์ สมุทวาณิช และเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์. กลไกรัฐสภา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พิฆเณศ, ๒๕๑๘. ประเสริฐ ปัทมสุคนธ์. รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี ๒๔๗๕-๒๕๑๗. กรุงเทพฯ : ช.ชุมนุมช่าง, ๒๕๑๗.
มนตรี รูปสุวรรณ. กฎหมายรัฐสภา. พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๙.
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รัฐสภาไทย. กรุงเทพ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ๒๕๔๖.
บรรณานุกรม
คณิน บุญสุวรรณ. ปทานานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, ๒๕๔๘. รายงานการประชุมพฤฒสภา ครั้งที่ ๑/๒๔๘๙ สมัยวิสามัญ ชุดที่ ๑ วันอังคารที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙
คณะกรรมการจัดทำรายงานผลการพิจารณาร่างกฎหมายของวุฒิสภา. วุฒิสภากับงานกลั่นกรองกฎหมาย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เดือนตุลา, ๒๕๕๔.
ชัยอนันต์ สมุทวาณิช และเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์. กลไกรัฐสภา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พิฆเณศ, ๒๕๑๘. ประเสริฐ ปัทมสุคนธ์. รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี ๒๔๗๕-๒๕๑๗. กรุงเทพฯ : ช.ชุมนุมช่าง, ๒๕๑๗.
มนตรี รูปสุวรรณ. กฎหมายรัฐสภา. พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๙.
มานิตย์ จุมปา. สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.๒๕๔๐) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่อง ๙. เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา. ๒๕๔๔.
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รัฐสภาไทย. กรุงเทพ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ๒๕๔๖.