9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490
ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
วันที่ 9 พฤศจิกายนที่จะกล่าวถึงในครั้งนี้ คือ วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 เพียงหนึ่งวันหลังจากที่คณะรัฐประหารยึดอำนาจได้โดยล้มรัฐธรรมนูญและล้มรัฐบาล จึงต้องประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ฉบับนี้ในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ คณะทหารที่ยึดอำนาจตั้งใจเหมือนกันว่าจะให้ใช้เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง จึงเรียกว่า “ฉบับชั่วคราว” โดยเขียนไว้ในวงเล็บ
มีเรื่องเล่ากันว่าคุณหลวงกาจสงครามเป็นผู้ร่างและได้ซ่อนเอาไว้ที่ใต้ตุ่ม จึงมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า “รัฐธรรมนูญฉบับใต้ตุ่ม” เข้าใจกันอีกว่าคุณหลวงกาจฯ ได้ร่างอยู่เพียงคนเดียว ถ้าเป็นจริงก็แสดงว่านายทหารผู้นี้มีความรู้ทางด้านกฎหมายอยู่ด้วย ดังบันทึกของประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ ระบุเอาไว้ว่า
“รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490 ซึ่งหลวงกาจสงครามรับว่าเป็นผู้ร่างและเตรียมซ่อนไว้ใต้ตุ่มน้ำ ได้เป็นผู้นำรัฐธรรมนูญฉบับนั้นขึ้นเสนอผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ลงนามประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน โดยมีกรมขุนชัยนาทนเรนทร ประธานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นผู้ลงนามแต่ผู้เดียว (พระยามานวราชเสวี ไม่ได้ลงนามร่วมด้วย การลงนามของคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น สภาได้มีมติไว้ว่าการลงนามในหนังสือราชการ ผู้สำเร็จราชการจะต้องลงนามทั้ง 2 คน และมีจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ” เมื่อล้มรัฐบาลก็ต้องตั้งรัฐบาลใหม่ และเมื่อล้มสภาที่มาจากการเลือกตั้งไป รัฐธรรมนูญ จึงให้เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่ภายในเวลา 90 วัน ตั้งแต่วันที่ใช้รัฐธรรมนูญ
ส่วนที่ย้อนกลับไปไม่ก้าวหน้าก็คือให้มีสมาชิกสภาสูงที่มาจากการแต่งตั้ง และรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็เรียกสภาสูงเสียใหม่ว่า “วุฒิสภา” แทนพฤฒสภา ชื่อนี้ติดปากและติดตาติดใจผู้ร่างรัฐธรรมนูญต่อมา จึงใช้เรียกสภาที่สองว่าวุฒิสภาเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ ในตอนนั้นเขียนถึงวุฒิสภาเอาไว้ว่า
“วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกตั้งมีจำนวนเท่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”
นอกจากมีจำนวนเท่าผู้แทนราษฎรแล้ว สมาชิกวุฒิสภายังประชุมร่วมกันกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการลงมติไว้วางใจคณะรัฐมนตรีด้วย จึงเท่ากับรัฐบาลมีสมาชิกวุฒิสภาไว้คุ้มครองในการลงมติไม่ไว้วางใจนั่นเอง
ที่น่าสังเกตก็คือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้บัญญัติเรื่อง “อภิรัฐมนตรี” ไว้เป็นหมวดหนึ่งขึ้นมาโดยเฉพาะจำนวน 8 มาตรา มีความสำคัญ ดังนี้
“อภิรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งประจำมีห้านาย เป็นผู้บริหารราชการในพระองค์และถวายคำปรึกษาแด่พระมหากษัตริย์ โดยในมาตรา 74 ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ระบุว่า
“ในการตั้งนายกรัฐมนตรี ประธานคณะอภิรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”
ในวันเดียวกันกับที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ก็ได้ประกาศแต่งตั้งอภิรัฐมนตรี 5 ท่าน ดังนี้
1. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร
2. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต
3. พลโทพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอลงกฏ
พอถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน จึงได้ตั้งสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 100 คนให้มาทำหน้าที่ของรัฐสภาไปก่อน เพราะต้องรอการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
คำว่าอภิรัฐมนตรีที่ใช้อยู่ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490 นี้ ต่อมาก็ไม่ปรากฏใช้ในรัฐธรรมนูญอีกเลย
แม้ว่าจะบอกว่าเป็นรัฐธรรมนูญชั่วคราว แต่ระหว่างที่ใช้อยู่ประมาณ 2 ปีก็ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับนี้ 2 ครั้ง ในครั้งแรกได้แก้ไขเมื่อสมัยที่นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2490 เป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
สาระที่แก้ไขนั้นก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเลือกตั้ง โดยกำหนดอายุของผู้สมัครเข้ารับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรให้ไม่ต่ำกว่า 35 ปี และไม่ห้ามพระบรมวงศานุวงศ์ลงเลือกตั้งได้
แต่ในเดือนถัดมารัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ถูกแก้ไขอีก คราวนี้เป็นเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญนั่นเอง จึงเป็นการแก้ไขครั้งที่สอง ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาได้ เพราะเดิมไม่ได้บัญญัติให้ทำได้ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญซึ่งถ้าเป็นเพียงคนเดียวก็คงดูได้ไม่รอบคอบ และได้บอกแล้วว่าจะให้ใช้ชั่วคราวตามชื่อ ครั้นได้อำนาจแล้วจึงได้คิดต่อว่าจะทำอย่างไร การแก้ไขครั้งที่สองนับว่าสำคัญเพราะอย่างน้อยที่สุดการร่างรัฐธรรมนูญก็ทำกันในรูปสภาร่างรัฐธรรมนูญ มีผู้คนเข้ามาร่วมคิดร่วมทำมากและแบ่งที่มาเป็นหลายทาง
ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490 นี้ จึงมีนายกรัฐมนตรีเข้ามาตั้งรัฐบาลบริหารประเทศอยู่ 2 คน คือ นายควง อภัยวงศ์ กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ทั้งสองเคยเป็นผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงฯ มาด้วยกัน แต่ก็แยกทางเดินทางการเมืองกันแล้ว ก่อนหน้านั้น