20 มิถุนายน พ.ศ. 2511
ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 เป็นวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 8 ของประเทศไทย
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ใช้เวลาร่างนานที่สุดตั้งแต่เคยร่างรัฐธรรมนูญกันมาในประเทศไทย เพราะสภาร่างรัฐธรรมนูญได้เป็นตัวเป็นคนขึ้นมาตั้งแต่ พ.ศ. 2502 นับเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญสภาที่ 2 และเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญที่ทำหน้าที่สภานิติบัญญัติอยู่ด้วย การร่างรัฐธรรมนูญจึงเป็นไปอย่างล่าช้า
ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญนั้นก็คือ พลเอกหลวงสุทธิสารรณกร แต่ตอนที่มาเร่งกันร่างและเสร็จเรียบร้อยนั้นได้รองประธานที่มาทำหน้าที่เร่งร่างรัฐธรรมนูญก็คือ นายทวี บุณยเกตุ
ย้อนหลังไปเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และคณะทหาร ได้ทำการยึดอำนาจล้มรัฐบาล ล้มรัฐธรรมนูญ และประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502 ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองในประเทศไทย
ดังนั้นรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 จึงสร้างความหวังให้ผู้คนในสังคมไทยที่จะได้เห็นการพัฒนาประชาธิปไตยอีกครั้ง
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ยืนยันให้เมืองไทยมีรูปแบบการปกครองในระบบรัฐสภา ที่มี 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยสภาผู้แทนฯ จะเป็นผู้กำหนดรัฐบาล ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เคยปรากฏมาแล้วในรัฐธรรมนูญฉบับอื่นบางฉบับที่มาก่อนหน้านั้น แต่ก็มีความแตกต่างสำคัญอื่นดังที่ปรากฏคำอธิบายอยู่ในคำปรารภว่า “เมื่อรัฐสภามีอำนาจในทางนิติบัญญัติและควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินดังกล่าวแล้ว สภาร่างรัฐธรรมนูญเห็นว่า เพื่อดุลแห่งอำนาจอันจะยังระบอบรัฐธรรมนูญให้ตั้งอยู่ในเสถียรภาพ สมควรที่อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารจะแยกจากกันให้มากยิ่งขึ้น จึงได้ลงมติในหลักการสำคัญว่า นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีอื่นซึ่งเป็นฝ่ายบริหารจะเป็นสมาชิกแห่งรัฐสภาในขณะเดียวกันมิได้”
จึงนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่ยืนยันการปกครองในระบบรัฐสภา แต่ได้แยกอำนาจนิติบัญญัติและบริหารออกจากกันดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 139 ว่า
“รัฐมนตรีจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือสมาชิกสภาผู้แทนฯ ในขณะเดียวกันมิได้”
มีผู้คนเข้าใจว่าการแยกฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารออกจากกันอย่างนี้ป็นการเดินตามแนวความคิดในรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสที่ประกาศใช้ใน พ.ศ. 2501 ที่ห้ามรัฐมนตรีเป็นสมาชิกรัฐสภาในเวลาเดียวกัน
แต่ก็มีผู้ที่มีความเห็นว่าเป็นเรื่องที่คณะทหารต้องการจะเป็นรัฐบาลต่ออีก ต้องการให้นักการเมืองที่ลงเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรเท่านั้น ต้องเลือกเอาว่าจะเป็นรัฐมนตรีหรือจะเป็นผู้แทนราษฎร
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 นั้นมิได้ให้ดำเนินการตามระบบประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ เพราะยังให้อำนาจวุฒิสภาไว้มาก และจำนวนสมาชิกวุฒิสภานั้นก็มีถึง 3 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งยังมีอำนาจสำคัญบางอย่างเท่ากับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อำนาจในการเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 129 ที่ว่า
“...มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายตัวหรือทั้งคณะ”
อย่างไรก็ตามการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 ก็ทำให้การเมืองกลับมาคึกคัก นักการเมืองต่างจับกลุ่มกันเพื่อตั้งพรรคการเมืองในตอนนั้น ใครก็ตามสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้สมัครอิสระได้โดยไม่ต้องสังกัดพรรค ขอให้มีคุณสมบัติอื่น ๆ ครบถ้วน
จอมพลถนอม กิตติขจร ผู้เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ารัฐบาลจึงได้หาข้าราชการและนักการเมืองที่จะส่งลงเลือกตั้งและจัดตั้งพรรคการเมืองชื่อ พรรคสหประชาไทย พร้อมที่จะเล่นการเมืองในสนามเลือกตั้ง
ส่วนพรรคการเมืองเก่าคือ พรรคประชาธิปัตย์ที่เงียบหายไปตอนทหารเรืองอำนาจก็กลับฟื้นขึ้นมา และมีนักการเมืองรุ่นหนุ่มหน้าใหม่อย่าง นายชวน หลีกภัย และนายอุทัย พิมพ์ใจชน เข้ามาเป็นสมาชิกและลงเลือกตั้ง ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2512
หลังการเลือกตั้ง พ.ศ. 2512 คณะทหารกับพรรคสหประชาไทยก็มีเสียงข้างมากตั้งรัฐบาลได้ มีจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี และพรรคฝ่ายค้านที่สำคัญก็คือ พรรคประชาธิปัตย์
แต่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 ที่ร่างกันนานมาก ก็ใช้ได้ถึงวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 เท่านั้น เพราะเกิดการขัดแย้งภายในพรรครัฐบาล คือพรรคสหประชาไทย จอมพล ถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีจึงเป็นหัวหน้าคณะยึดอำนาจล้มทั้งรัฐธรรมนูญและรัฐบาล
ที่จริงการยึดอำนาจ การล้มรัฐธรรมนูญนั้น ความผิดไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญที่หลายคนช่วยกันเขียนนั้นก็อาจผิดพลาดหรือบกพร่องได้ และเมื่อรู้ก็แก้ไขได้ รัฐธรรมนูญจึงไม่ใช่ปัญหา ผู้คนด้วยกันนี่เองที่เป็นตัวปัญหา
การที่มักแต่เริ่มต้นใหม่กันอยู่ร่ำไปจึงไม่ดี เดินหน้าและช่วยกันแก้ไขน่าจะดีกว่า