นคราภิบาล

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

เรียบเรียงโดย : นายปิยวัฒน์ สีแตงสุก

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต


ความหมายของนคราภิบาล

          ในธรรมนูญลักษณะปกครองคณะนคราภิบาล (ดุสิตธานี) พุทธศักราช 2461 ในหมวดที่ 2 บทวิเคราะห์ศัพท์ มาตรา 6 ระบุว่า “คำว่านคราภิบาลนั้น ท่านให้เข้าใจว่าผู้ที่ซึ่งราษฎรในจังหวัดดุสิตธานี ผู้มีสิทธิตามธรรมนูญนี้จะได้เลือกพร้อมใจกันเลือกตั้งขึ้นเป็นผู้ปกครองชั่วปีหนึ่งๆ โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุมัติ”[1] โดยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ตีความหมายของมาตรา 6 ไว้ว่า “ผู้ที่ราษฎรในจังหวัดดุสิตธานีที่มีสิทธิตามธรรมนูญนี้พร้อมใจกันเลือกตั้งขึ้นเป็นผู้ปกครองภายใน 1 ปี”[2] ส่วนความหมายของนคราภิบาลในอีกนัยยะหนึ่งจะตรงกับภาษาอังกฤษคือคำว่า “Municipality”[3] ซึ่งแปลว่า การปกครองแบบเทศบาล และจะอธิบายรายละเอียดว่าแท้จริงแล้ว “นคราภิบาล” มีลักษณะการปกครองเป็นอย่างไร

นคราภิบาลสมัยรัชกาลที่_5

          คำว่า “นคราภิบาล” ปรากฏขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ใน “ร่างพระราชบัญญัติจัดการนคราภิบาล”[4] ใน พ.ศ. 2438 โดยร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มีรากฐานมาจากแนวความคิดการปกครองแบบ “เทศบาล”[5] (Municipality) กล่าวคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและกลุ่มชนชั้นนำในสมัยนั้นได้นำแนวคิดสากลนิยมแบบตะวันตกเข้ามา โดย Municipality เป็นการปกครองที่ให้คนในเขตท้องที่ที่กำหนด ได้ร่วมกันจัดการดูแลท้องที่นั้นๆ ให้เรียบร้อยงดงามและสร้างสาธารณประโยชน์ให้เกิดมีขึ้นในท้องที่[6]

          ใน พ.ศ. 2436 เจ้าพระยาอภัยราชา ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงเสียงตำหนิของชาวต่างประเทศว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่สกปรก ไม่มีถนนหนทางสำหรับประชาชนใช้สัญจรไปมา สมควรจะจัด Municipality สำหรับกรุงเทพฯ ขึ้น เช่นเดียวกับที่ทำในประเทศยุโรป[7]พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเรียกประชุมเสนาบดีเพื่อหาข้อสรุปในเรื่องนี้และได้ข้อสรุปว่า ข้อเสนอของเจ้าพระยาอภัยราชายังเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกับชาวสยามจึงไม่ควรนำมาใช้ในขณะนั้น

          แต่ใน พ.ศ. 2438 รัฐมนตรีสภาได้แต่งตั้งคณะกรรมการร่วม “ร่างพระราชบัญญัติจัดการนคราภิบาล” สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวคือ การตั้งกระทรวงนคราภิบาลและตั้งกรมขึ้นมา 4 กรม ได้แก่ กรมกองตระเวน กรมรักษาความสะอาด กรมพระสุรัศวดี และกรมรักษานักโทษ[8] และมีร่างพระราชบัญญัติอีกฉบับหนึ่งคือ “ร่างพระราชบัญญัติลักษณนครบาลสำหรับบังคับแลรักษามณฑลแลในจังหวัดกรุงเทพฯ” จะเห็นได้ว่ารัฐบาลมีความพยายามจะวางระบบในการจัดการปัญหาความเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยอาศัยกลไกราชการที่มีอยู่ในการดำเนินการ แต่ผ่านไปหนึ่งปีร่างพระราชบัญญัติจัดการนคราภิบาลดังกล่าวก็ไม่คืบหน้าเท่าใดนัก ท้ายที่สุดก็ไม่ปรากฏว่า “ร่างพระราชบัญญัติจัดการนคราภิบาล” และ “ร่างพระราชบัญญัติลักษณนครบาลสำหรับบังคับแลรักษามณฑลแลในจังหวัดกรุงเทพฯ” มีการประกาศใช้แต่อย่างใด[9] ดังนั้น การปรากฏของคำว่า “นคราภิบาล” ในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้

นคราภิบาลสมัยรัชกาลที่_6

          คำว่า “นคราภิบาล” ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ใน “ธรรมนูญลักษณะปกครองคณะนคราภิบาล_(ดุสิตธานี)_พุทธศักราช_2461” ก่อนที่จะทำความเข้าใจเนื้อหาธรรมนูญฉบับนี้ ต้องทราบที่มาที่ไปของธรรมนูญฉบับนี้ก่อน โดยพระยาสุนทรพิพิธ (เชย_มัฆวิบูลย์) ได้เล่าเรื่องราวของเมืองดุสิตธานีในสมัยก่อนเสวยราชสมบัติไว้ดังต่อไปนี้[10]

          เมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ_เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ยังทรงดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมาร เมื่อสำเร็จการศึกษาที่ประเทศอังกฤษแล้ว ก็ได้เสด็จนิวัติคืนสู่กรุงเทพมหานคร และในเบื้องต้นได้เสด็จประทับ ณ พระตำหนักสวนอัมพวา ขณะประทับ ณ ที่นี่ ประมาณกลาง พ.ศ. 2446 ก็ทรงให้ทดลองสร้าง “เมืองมัง”[11] ขึ้น ซึ่งเป็นเมืองขนาดเล็ก มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เมืองตุ๊กตา” ซึ่งเป็นเมืองที่มีแบบแผนในการทำและมีระเบียบในการจัดเมือง ครั้นถึง พ.ศ. 2447 พระองค์ก็เสด็จทรงผนวชเป็นพระภิกษุ เมืองมังจึงได้ยุติลงในปีนี้

          ใน พ.ศ. 2450 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ดังนั้นในปีนี้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธจึงไม่มีพระราชวโรกาสออกนอกพระนครได้ ซึ่งต่างจากในปีก่อนๆ ที่พระองค์ทรงเสด็จประพาสตามหัวเมืองต่างๆ มาโดยตลอด การทดลองวิธีการปกครองบ้านเมืองจึงได้เริ่มขึ้นอีก โดยสร้างเป็นเรือนแถวขึ้นตลอดแนวกำแพงที่กั้นระหว่างพระตำหนักจิตรลดากับวังปารุสกวันเก่า[12] โดยในลักษณะการปกครองมีตำแหน่งนคราภิบาลและเชษฐบุรุษซึ่งมาจากการเลือกตั้งเกิดขึ้น

          เริ่มดำเนินการโปรดเกล้าฯ ให้พวกมหาดเล็กเด็กๆ ที่สมมติว่าเป็นราษฎร และพวกมหาดเล็กผู้ใหญ่ซึ่งเป็นข้าราชการในพระองค์ ได้ประชุมพร้อมกัน และทรงอธิบายให้ทราบวิธีการและวัตถุประสงค์โดยสังเขป จากนั้นก็มีการโหวตเลือกนคราภิบาล เชษฐบุรุษ และการเลือกสรรแต่งตั้งเลขาธิการ นายแพทย์สุขาภิบาล (แพทย์ประจำพระองค์)[13] ซึ่งถือว่าการทดลองการปกครองครั้งนี้ได้เป็นรากฐานนำไปสู่ การสร้างเมืองจำลองที่เรียกว่า “ดุสิตธานี

          ใน พ.ศ. 2461 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริที่จะทดลองการปกครองแบบ Municipality โดยทรงตั้ง “เมืองดุสิตธานี” ซึ่งเป็นเมืองจำลองตั้งอยู่ในบริเวณวังพญาไท โดยองค์ประกอบของเมืองมีบ้านเรือนราษฎร โรงพยาบาล โรงเรียน วัด สวนสาธารณะ ธนาคาร และสถานที่ราชการ จัดแบ่งการปกครองเป็นอำเภอและตำบล[14]

'ว่าด้วยธรรมนูญลักษณะปกครองคณะนคราภิบาล (ดุสิตธานี) พุทธศักราช '2461

          วันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2461 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานธรรมนูญลักษณะปกครองคณะนคราภิบาล (ดุสิตธานี) พุทธศักราช 2461 เพื่อเป็นแนวทางในการทดลองจัดการ Municipality ทั้งนี้ ตัวบทของธรรมนูญลักษณะปกครองคณะนคราภิบาล (ดุสิตธานี) นั้น ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาบุรีนวราษฐ (ชวน สิงหเสนี) แปลจากธรรมนูญการปกครอง Municipality ของอังกฤษ โดยสาระสำคัญของธรรมนูญมีดังนี้

  1. ทวยนาคร   ประชาชนในจังหวัดดุสิต
  2. นคราภิบาล มาจากการเลือกตั้งของบรรดาทวยนาคร ทำหน้าที่บริหาราชการทั่วไปในเขตพื้นที่
  3. เชษฐบุรุษ    มาจากการเลือกตั้ง โดยเป็นผู้แทนของทวยนาครในเขตอำเภอ เข้าไปนั่งในสภากรรมการนคราภิบาล หน้าที่ของเชษฐบุรุษเป็นกรรมการที่ปรึกษาในสภานคราภิบาลและนคราภิบาล และเป็นหัวหน้าทวยนาครในเขตอำเภอ[15]  

ธรรมนูญนี้จะมีทั้งหมด 10 หมวด 51 มาตรา ในหมวดแรกจะกล่าวถึงเรื่องว่าด้วยนามและการใช้รัฐธรรมนูญ ในหมวดที่ 2 กล่าวถึงบทวิเคราะห์ศัพท์ความหมายของคำว่าบ้าน เจ้าบ้าน นคราภิบาล เป็นต้น แต่เนื้อหาสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับที่มาและบทบาทหน้าที่ต่างๆ ของคณะนคราภิบาลจะอยู่ในหมวดที่ 3-10 ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

          หมวดที่ 3 ว่าด้วยกำหนดและการเลือกตั้งนคราภิบาล (มาตรา 8-20) ระบุไว้ว่า โดยผู้ที่เป็นนคราภิบาลกำหนดให้เป็นได้ 1 ปี เมื่อถึงกำหนดจะสิ้นปี ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ทุกปี ผู้ที่เป็นนคราภิบาลมา 1 ปี แล้ว จะรับเลือกให้เป็นนคราภิบาลอีก 1 ปีติด ๆ กันไม่ได้ และต้องอยู่ทำหน้าที่จนกว่าจะมีการเลือกตั้งนคราภิบาลคนใหม่เสร็จสิ้นโดยเรียบร้อย โดยในการเลือกตั้งนั้นเริ่มจาก ให้ราษฎรทั้งชายหญิงซึ่งตั้งบ้านเรือนหรือจอดเรือแพประจำอยู่ในดุสิตธานีประชุมเลือกเจ้าบ้านผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งเป็นที่นับถือขึ้นเป็นนคราภิบาล

          ก่อนถึงกำหนดวันเลือกนคราภิบาลใหม่ให้ผู้อำนวยการเลือกตั้งนคราภิบาล ป่าวร้องให้ทวยนาคร ทราบถึงวันประชุมเลือกตั้งนคราภิบาลว่าเป็นที่ใด วันใด แล้วให้ผู้อำนวยการเลือกตั้งเขียนชื่อผู้ที่ได้รับการเสนอให้เป็นนคราภิบาล โฆษณาไว้ ณ ที่ทำการเพื่อให้ประชาชนทราบ ถ้ามีผู้ได้รับการเสนอชื่อเพียงรายเดียวก็ให้ถือว่าผู้นั้นได้รับการเลือกเป็นนคราภิบาล แต่ถ้ามีผู้ได้รับการเสนอตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไป ก็ให้เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจไต่ถามความเห็นของทวยนาครว่าจะเลือกผู้ใด โดยอาจเลือกโดยเปิดเผยหรือลับก็ได้ ถ้าเลือกโดยเปิดเผย ก็ให้ผู้อำนวยการถามราษฎรว่าจะเลือกผู้ใด เมื่อได้รับคำตอบแล้วก็ให้ผู้เห็นชอบด้วยยกมือขึ้นนับคะแนนเรียงตัวไป ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นชอบก็ให้นั่งลง แต่ถ้าเป็นการเลือกตั้ง โดยคะแนนลับ ให้ผู้อำนวยการเรียกมาถามทีละคน โดยเงียบ ๆ ว่าจะเลือกใคร แล้วจดชื่อผู้ที่ราษฎรเลือกนั้นไว้ หรือจะให้ราษฎรเขียนชื่อผู้ที่จะเลือกนั้นมาส่งคนละฉบับก็ได้ตามแต่จะเห็นสมควร โดยผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดให้ถือว่าผู้นั้นได้รับการเลือกเป็นนคราภิบาล ในกรณีผู้ที่ได้รับเลือกเป็นนคราภิบาลแล้ว จะไม่รับตำแหน่งก็ได้แต่ต้องถูกปรับเป็นเงิน 50 บาท

          หมวดที่ 4 ว่าด้วยอำนาจหน้าที่ของนคราภิบาล (มาตรา 21-31) ระบุไว้ว่า เมื่อผู้ใดได้เป็นนคราภิบาลแล้ว ผู้นั้นมีอำนาจตามพระธรรมนูญนี้ทันทีในการที่จะเลือกตั้งคณะนคราภิบาล ได้แก่ เจ้าหน้าที่ต่างๆ เช่น เจ้าพนักงานการคลัง เจ้าพนักงานโยธา นายแพทย์สุขาภิบาล ผู้รักษาความสะดวกของมหาชนและกล่าวถึงอำนาจหน้าที่ของรัฐบาล ได้แก่ การดูแลรักษาความผาสุกของราษฎรทั่วไป และป้องกันภัยของประชาชนในเขตตน การดูแลการคมนาคม การดับเพลิง และการรักษาสวนสำหรับนครให้เป็นที่หย่อนกายสบายใจ การจัดการเรื่องโรงพยาบาล สุสาน และโรงฆ่าสัตว์ การดูแลระเบียบการโรงเรียนราษฎร์ เป็นต้น

          นคราภิบาลมีอำนาจกำหนดพิกัดภาษีอากร โดยจะต้องเรียกประชุมราษฎรเพื่อทำการตกลงในเรื่องนี้ และเมื่อมีการเปลี่ยนพิกัดภาษีใหม่ก็ต้องเรียกประชุมทุกครั้ง และประกาศให้ทราบทั่วกัน นคราภิบาลมีอำนาจออกใบอนุญาต และเก็บเงินค่าใบอนุญาตสำหรับยานพาหนะ ร้านจำหน่ายสุรา โรงละคร โรงหนัง สถานเริงรมย์ เก็บเงินจากประชาชนคนดูทั้งหมด และหน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ รัฐบาลมีหน้าที่จะทำบัญชีสำมะโนครัวราษฎรในปกครองของตนและคอยแก้ไขบัญชีให้ถูกต้องตามที่เป็นจริงอยู่เสมอ ฯลฯ

          หมวดที่ 5 ว่าด้วยการบำรุงรักษาความสะอาดและป้องกันโรคภัย (มาตรา 32'–34)' มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสะอาดบ้านเรือน และการดูแลบ้านไม่ให้ชำรุดรุงรัง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดอัคคีภัยหรือโรคร้ายจนเป็นอันตรายแก่เพื่อนบ้าน

          หมวดที่ 6 ว่าด้วยการสับเปลี่ยนและตั้งนคราภิบาล (มาตรา 35-37) เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนตัวนคราภิบาลใหม่ประจำปี นคราภิบาลคนเก่าต้องแสดงบัญชีรายรับรายจ่ายยื่นต่อที่ประชุมราษฎร และส่งเสียการงาน ยอดบัญชีสำมะโนครัวแก่คณะนคราภิบาลใหม่จนหมดสิ้น

          หมวดที่ 7 ว่าด้วยหน้าที่สภาเลขาธิการ (มาตรา 38) เมื่อคณะนคราภิบาลได้เลือกตั้งสภาเลขาธิการแล้ว ให้สภาเลขาธิการมีอำนาจและหน้าที่ ดังต่อไปนี้ บังคับบัญชาการแผนกหนังสือ และรายงานกิจการทั้งปวงของคณะนคราภิบาล เป็นที่ปรึกษาคณะนคราภิบาลในทางระเบียบกฎหมาย เป็นทนายแถลงคดีแทนคณะนคราภิบาลต่อศาล มีสิทธิจะนั่งในที่ประชุมคณะนคราภิบาลและในที่ประชุมใหญ่ได้ทุกเมื่อ และถ้าสภาเลขาธิการเป็นคหบดีเจ้าบ้านอยู่แล้ว เมื่ออยู่ในที่ประชุมใหญ่ก็มีสิทธิลงคะแนนความเห็นได้

          หมวดที่ 8 ว่าด้วยทุนและการเงินทองของคณะนคราภิบาล (มาตรา 39-42) การให้คณะนคราภิบาลมีอำนาจออกใบกู้เงินเพื่อเป็นทุนใช้จ่ายในการปกครองตามพระธรรมนูญนี้ แต่ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลกลางเสียก่อน โดยเฉพาะเรื่องเป็นคราวๆ ไป

          หมวดที่ 9 ว่าด้วยกำหนดโทษผู้กระทำผิด (มาตรา 43–46) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการลงโทษผู้ที่ไม่กระทำตามคำสั่งของนคราภิบาลอันชอบด้วยกฎหมายและธรรมนูญ ก็จะถูกปรับเงินไม่เกินครั้งละ 10 บาท อันเป็นโทษอย่างเดียวกับที่ใช้ลงโทษราษฎรที่ไม่ไปประชุมเจ้าบ้านเพื่อกำหนดภาษีอากร โดยไม่ตั้งตัวแทนไปทำหน้าที่ประชุมแทนเช่นกัน ถ้าเป็นกรณีขัดขืนคำสั่งของนคราภิบาลทางด้านระเบียบสุขาภิบาล ก็จะถูกลงโทษปรับเงินครั้งละไม่เกิน 5 บาท เป็นต้น

          หมวดที่ 10 ว่าด้วยการรักษาธรรมนูญ (มาตรา 47-51) เมื่อราษฎรไม่พอใจคำสั่งในกฎข้อบังคับใดๆ ของคณะนคราภิบาล ก็ให้ราษฎรมีอำนาจร้องเรียนต่อรัฐบาลกลางได้ และถ้าเจ้าหน้าที่ผู้ใดในคณะนคราภิบาลทำการเกินอำนาจที่มีอยู่ในธรรมนูญหรือผิดกฎหมายจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ก็มีสิทธิฟ้องร้องไปยังศาลหลวงได้[16]

          ครั้นถึงวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2461 หลังจากพระราชทานธรรมนูญปกครองฯ แล้วเพียง 40 วัน ก็มีประกาศให้ทวยนาครดุสิตธานีมาร่วมประชุมเพื่อทำการเลือกตั้ง โดยนคราภิบาลคนแรกที่ได้รับการเลือกตั้งคือ พระยาอนิรุทธเทวา และในวันเดียวกันนี้ ก็ได้ออกพระราชกำหนดเพิ่มเติมและแก้ไขธรรมนูญลักษณะปกครองคณะนคราภิบาลดุสิตธานี โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่า ธรรมนูญลักษณะปกครองฯ ฉบับแรกมีข้อบกพร่อง จึงต้องมีการเพิ่มเติมให้สมบูรณ์และแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น โดยใช้ชื่อว่า “พระราชกำหนดเพิ่มเติมและแก้ไขรัฐธรรมนูญลักษณะปกครองนคราภิบาลดุสิตธานี” มีทั้งหมด 4 หมวด 22 มาตรา ซึ่งมีเนื้อหาเพิ่มเติมในเรื่องของตำแหน่งเชษฐบุรุษ ซึ่งบทบาทหน้าที่ก็ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น และในวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2462 ก็ได้แก้ไขธรรมนูญลักษณะปกครองอีกครั้งฯ เนื่องจากการตั้งเชษฐบุรุษประจำอำเภอละคนนั้นยังไม่เหมาะสม โดยใช้ชื่อว่า “พระราชกำหนดแก้ไขรัฐธรรมนูญลักษณะปกครองนคราภิบาล_พระพุทธศักราช_2462[17]

สรุปนคราภิบาล

          ในการทดลองแบบการใช้รัฐธรรมนูญลักษณะปกครองนคราภิบาล (ดุสิตธานี) เป็นการจำลอง Municipality ที่ใช้กันในประเทศยุโรป ทั้งนี้บทบาทหน้าที่ของนคราภิบาลไม่แตกต่างจากที่มีอยู่ในสุขาภิบาล กรุงเทพฯ มากนัก แต่บทบาทของธรรมนูญที่สำคัญดังกล่าวคือ บทบาทในส่วนที่เป็นการเมืองคือ การให้มีการเลือกตั้งตรวจสอบ[18] ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนในสมัยนั้น

          ความตั้งใจของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในการจัดการทดลองดุสิตธานีนี้ เริ่มจากทดลองในเมืองเล็กๆ ก่อน แล้วค่อยขยายออกไปใช้ในระดับประเทศ แต่ท้ายที่สุด ดุสิตธานีก็ถูกลดความสำคัญลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก ผู้ที่เข้าร่วมโครงการส่วนใหญ่ล้วนเป็นข้าราชบริพารที่องค์ธีรราชเจ้าทรงไว้วางพระราชหฤทัย ซึ่งลักษณะดังกล่าวไม่สอดคล้องกับการจัดการปกครองในสภาพที่เป็นจริง ซึ่งในสังคมการเมืองย่อมประกอบด้วยกลุ่มคนที่มีความแตกต่างหลากหลาย หรือกล่าวโดยรวมว่า โครงการ “ดุสิตธานี” ยังขาดแบบแผนและความชัดเจนเพียงพอแก่การนำไปปฏิบัติใช้ได้จริง[19] และแม้ว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงสนับสนุนให้จัดการตั้งMunicipality กรุงเทพฯขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีการจัดการอย่างใดจวบจนสิ้นรัชกาล[20] ดังนั้น คำว่า “นคราภิบาล” ก็ไม่ปรากฏว่ามีการกล่าวถึงอีกเช่นกัน

บรรณานุกรม

จมื่นอมรดรุณารักษ์.  (2513).  ดุสิตธานี เมืองประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว.  พิมพ์ครั้งที่ 1.  กรุงเทพฯ: หอสมุดแห่งชาติ.

ชัยอนันต์ สมุทวณิช; และ ขัตติยา กรรณสูต.  2518.  เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2417-2477.  พิมพ์ครั้งที่ 1.  กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช.

นรนิติ เศรษฐบุตร.  (2550).  ดุสิตธานี:การทดลองจัดการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เมื่อ พ.ศ. 2461. สืบค้นเมื่อ 6 พฤศจิกายน 2559, จาก wiki.kpi.ac.th/index.php?title=ดุสิตธานี...เมื่อ_พ.ศ._2461.

เมธีพัชญ์ จงวโรทัย.  (2549).  สุขาภิบาล: การปกครองท้องถิ่นสยาม พ.ศ. 2440-2476.  วิทยานิพนธ์          ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์.  กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.  ถ่ายเอกสาร.

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.  (2554).  ดุสิตธานี : ศูนย์การเรียนรู้ประชาธิปไตยแห่งแรกของไทย.    พิมพ์ครั้งที่ 1.  กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.

อ้างอิง

       [1]จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช).  2513.  ดุสิตธานี เมืองประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว.  หน้า 58.

       [2]สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.  2554.  ดุสิตธานี : ศูนย์การเรียนรู้ประชาธิปไตยแห่งแรกของไทย.  หน้า 32.

       [3]จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช).  2513.  ดุสิตธานี เมืองประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว.  หน้า 24.

       [4]เมธีพัชญ์ จงวโรทัย, “สุขาภิบาล: การปกครองท้องถิ่นสยาม พ.ศ. 2440-2476,” (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2549),หนา 107. อ้างถึงใน “รัฐมนตรีสภาแต่งตั้งกรรมการพิเศษร่างพระราชบัญญัตินคราภิบาล,” ราชกิจจานุเบกษา 12 (15 กันยายน ร.ศ. 114): 216. และสจช. ร.5 น.2/14 พระยาศรีสุนทรโวหารกราบทูลพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนเรศวรฤทธิ์ วันที่ 7 กันยายน ร.ศ. 114.

       [5]เรื่องเดียวกัน.  หน้า 102.

       [6]เมธีพัชญ์ จงวโรทัย, “สุขาภิบาล: การปกครองท้องถิ่นสยาม พ.ศ. 2440-2476,” (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2549),หน้า 103.

       [7]เรื่องเดียวกัน.  หน้า106. อ้างถึงใน สจช.เอกสารพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ภาคที่ 1 ตอน 2 การสุขาภิบาล).

       [8]เรื่องเดียวกัน.  หน้า107. อ้างถึงใน สจช. ร.5 น 5.2/14 เรื่อง พระราชบัญญัตินคราภิบาล ร.ศ. 115.

       [9]เมธีพัชญ์ จงวโรทัย. “สุขาภิบาล: การปกครองท้องถิ่นสยาม พ.ศ. 2440-2476.” (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2549),หน้า 107.

       [10]จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช).  2513.  ดุสิตธานี เมืองประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว.  หน้า 21.

       [11]เรื่องเดียวกัน.  หน้า 22-23.  ระบุไว้ว่า ที่มาของชื่อ “เมืองมัง” ดูเหมือนว่าไม่มีใครรู้ว่ามาจากอะไร รัชกาลที่ 6 มิได้ทรงพระราชทานพระกระแสให้ทราบ หรือพระราชทานให้เฉพาะผู้ใหญ่ๆ บางคนเท่านั้น มีการคาดหมายจากผู้ที่สนใจไว้ว่า คงจะมาจากนามพระตำหนัก คือ อัมพวา แปลว่า มะม่วง ซึ่งภาษาอังกฤษ เรียกว่า แมงโก หรือ มังโก ดังนั้นจึงเชื่อว่า เมืองมัง ก็คือ เมืองมะม่วง

       [12]ชัยอนันต์ สมุทวณิช; และ ขัตติยา กรรณสูต.  2518.  เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2417-2477.  หน้า 24.

       [13]เรื่องเดียวกัน.  หน้า 25.

       [14]เมธีพัชญ์ จงวโรทัย, “สุขาภิบาล: การปกครองท้องถิ่นสยาม พ.ศ. 2440-2476,” (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2549),หน้า 113.

       [15]เรื่องเดียวกัน.  หน้า 114.

       [16]สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ “ธรรมนูญลักษณะปกครองคณะนคราภิบาล (ดุสิตธานี) พุทธศักราช 2461” ได้ใน จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช).  2513.  ดุสิตธานี เมืองประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว.  หน้า 57-65.

       [17]สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ “พระราชกำหนดเพิ่มเติมและแก้ไขรัฐธรรมนูญลักษณะปกครองนคราภิบาลดุสิตธานี” และ “พระราชกำหนดแก้ไขรัฐธรรมนูญลักษณะปกครองนคราภิบาล พระพุทธศักราช 2462” ได้ใน จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช).  2513.  ดุสิตธานี เมืองประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว.  หน้า 65-73.

       [18]เมธีพัชญ์ จงวโรทัย, “สุขาภิบาล: การปกครองท้องถิ่นสยาม พ.ศ. 2440-2476,” (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2549),หน้า 114.

       [19]เรื่องเดียวกัน.  หน้า 116.

       [20]เรื่องเดียวกัน.  หน้า 122.