คณะราษฎร 2563

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร และ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู

 

          คณะราษฎร 2563 คือ กลุ่มบุคคลที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลคณะรัฐประหาร ที่กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีแกนนำเป็นเยาวชนและเริ่มประกาศตัวตนต่อสาธารณชนใน พ.ศ. 2563  

          การปรากฏขึ้นของคณะราษฎร 2563 เกิดจากสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยที่ถูกครอบงำโดยสถาบันทหารอันเนื่องมาจากรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ยกเลิกระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และจัดการปกครองในระบอบทหารเรื่อยมา โดยไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนว่าจะคืนอำนาจให้ประชาชนโดยไม่ชักช้า คณะรัฐประหารหน่วงเหนียวการคืนอำนาจให้ประชาชน โดยใช้เวลาในการยกร่างและประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นานเกือบ 3 ปี[1] และจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ กว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งและประกาศผลการเลือกตั้งใช้เวลานานถึง 2 ปีเศษ[2]

          ประเด็นที่ทำให้ประชาชนโดยทั่วไปไม่พอใจเพิ่มมากขึ้นมาจากความล่าช้าในการคืนอำนาจให้ประชาชนข้างต้น นอกจากนี้ โครงสร้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญใหม่ (พ.ศ. 2560) ยังเปิดทางให้คณะรัฐประหารสืบทอดอำนาจต่อไป โดยเฉพาะการกำหนดให้มีสถาบันวุฒิสภาที่สมาชิกมาจากการแต่งตั้ง 244 คน และโดยตำแหน่ง 6 คน รวม 250 คน (มาตรา 269) และมีอำนาจให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มาจากการเลือกตั้ง จำนวน 500 คน (มาตรา 272)

          ไม่เพียงเท่านั้น รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ยังได้ออกแบบระบบเลือกตั้งที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดทอนความเข้มแข็งของพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่มีอยู่แต่เดิม ส่งเสริมพรรคการเมืองขนาดเล็กให้มีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร (มาตรา 91) เพื่อเปิดทางให้พรรคการเมืองของคณะรัฐประหารที่จัดตั้งขึ้นใหม่ได้ก่อตัวและรวบรวมพรรคขนาดเล็กเข้าร่วมกับพรรคของคณะรัฐประหารจัดตั้งรัฐบาลสืบทอดอำนาจต่อไป 

          ประเด็นสำคัญ คือ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ประกาศแก่ประชาชนในระยะแรก ๆ ของการยึดอำนาจว่าจะคืนอำนาจให้ประชาชนโดยไว โดยเปิดเพลง “คืนความสุขให้ประเทศไทย”[3] เช้าเย็น วันละ 3 เวลา โดยเนื้อเพลงตอนหนึ่งมีความว่า “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงามจะคืนกลับมา” แต่ประชาชนที่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยรอแล้วรออีกก็ไม่ถึงวันนั้นสักที ในขณะที่ คสช. ไม่เร่งร้อนการถ่ายโอนอำนาจให้ประชาชน ผัดผ่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ผัดผ่อนการเลือกตั้งไปเรื่อย ๆ

          แรงกระตุ้นที่ขับเคลื่อนการชุมนุมประท้วงข้างต้นยังมีที่มาจากความไม่พอใจ และไม่เห็นด้วยต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ที่ตัดสินให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ ตัดสิทธิ์การเป็น ส.ส. และสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปี ในคดีพรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินหัวหน้าพรรค จำนวน 191.2 ล้านบาท มาทำกิจกรรมในช่วงเลือกตั้ง[4] โดยศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าเป็นการละเมิดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 66 ที่ห้ามบุคคลบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดให้แก่พรรคการเมืองมีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาท ต่อพรรคการเมืองต่อปี มาตรา 72 ห้ามพรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมาตรา 92 (3) กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 72 มาตรา 124 มาตรา 125 และมาตรา 126 ซึ่งมีทั้งโทษจำคุกหรือโทษปรับ และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง[5] ทั้งนี้ เชื่อกันว่าพรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคที่เยาวชนคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่นิยมชมชอบ เลือกและให้การสนับสนุนในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา 

          ในสายตาของเยาวชนคนรุ่นใหม่ พวกเขามองว่าพรรคการเมืองพรรคนี้ถูกรัฐบาลกลั่นแกล้งหาเหตุขัดขวางตลอดมา เนื่องจากเป็นพรรคคู่แข่งที่น่าเกรงขามและโจมตีคณะรัฐประหารอย่างรุนแรง การกลั่นแกล้งเริ่มตั้งแต่ในช่วงหาเสียง เรื่อยมาจนถึงช่วงหลังประกาศผลเลือกตั้ง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง_(กกต.) สอบสวนฟ้องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญอย่างรวดเร็ว และถูกคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. อย่างกะทันหันในวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ในข้อหาว่าถือหุ้นสื่อ บริษัท วี-ลัคมีเดี่ย จำกัด ก่อนวันพิธีเปิดประชุมรัฐสภาเพียง 1 วัน ทำให้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่มีโอกาสเข้าร่วมประชุมรัฐสภาในฐานะ ส.ส.[6]

          ผลของการเลือกตั้งเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 ผู้สมัครของพรรคอนาคตใหม่ได้รับเลือกตั้งมากถึง 80 คน เป็นพรรคใหญ่ อันดับ 3 ในสภาผู้แทนราษฎร และดำรงสถานะเป็นพรรคฝ่ายค้าน ถูกรุกไล่จากพรรคฝ่ายรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง นอกจากหัวหน้าพรรคจะถูกตัดสิทธิการเป็น ส.ส. จากกรณีถือหุ้นสื่อ ส.ส. ลูกพรรคอนาคตใหม่หลายคนถูกพรรคฝ่ายรัฐบาลทาบทามซื้อตัว อีกทั้งยังถูกฝ่ายตรงข้ามแจ้งข้อหาว่าพรรคกู้ยืมเงินจากหัวหน้าพรรคเกินวงเงิน 10 ล้านบาท ตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 กำหนดอีกด้วย

          ท่ามกลางการรุกไล่พรรคอนาคตใหม่ให้อ่อนกำลัง ได้เกิดปรากฏการณ์แฟลชม็อบขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 และเกิดอย่างคึกคักภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 การชุมนุมประท้วงรัฐบาลในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นไปอย่างกว้างขวางทั่วประเทศนานต่อเนื่องกันเกือบ 1 เดือน ระหว่างวันที่ 22 กุมภาพันธ์ - 14 มีนาคม พ.ศ. 2563 โดยมีนักเรียนจากโรงเรียนและนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดรวมกลุ่มชุมนุมประท้วงรัฐบาลมากถึง 60 ครั้งเศษ การชุมนุมประท้วงต้องชะงักไปเพราะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในเดือนมีนาคม และมาปรากฏอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม เมื่อการระบาดของโรคโควิด-19 ลดน้อยลง

          ส่วนความคิดในการจัดตั้ง “คณะราษฎร 2563” กล่าวกันว่ามีรากฐานมาจากการเคลื่อนไหว เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดย เยาวชนปลดแอก และมีการจัดชุมนุมประท้วงเกือบเป็นรายวันในเดือนสิงหาคม กันยายน กระทั่งกลายมาเป็นกระแสที่ได้รับการหนุนเสริมอย่างสูง วันที่ 8 ตุลาคม 2563 ตัวแทนจากกลุ่มองค์กรหลากหลาย เช่น แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม กลุ่มประชาชนปลดแอก เยาวชนปลดแอก นักเรียนเลว ได้ประกาศหลอมรวมเป็น “คณะราษฎร” องค์กรดังกล่าวจะทำหน้าที่เป็นองค์กรนำในการเคลื่อนไหวชุมนุมในวันที่ 14 ตุลาคม 2563 โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ

          1. ให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง 

          2. เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ

          3. ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ อีกทั้งมีการฝังหมุดคณะราษฎรที่สนามหลวงในวันเดียวกันนี้ด้วย

          การใช้ชื่อ “คณะราษฎร” บ่งบอกถึงการมีเป้าหมายอย่างเดียวกันกับ คณะราษฎรที่ประกาศตัวใน พ.ศ. 2475 คือต้องการเรียกร้องให้มีการสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง อันหมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง ทรงเป็นประมุขของประเทศ ไม่ทรงใช้อำนาจทางปกครอง (The king reigns but does not rule.) อำนาจการปกครองเป็นเรื่องของประชาชนที่จะใช้อำนาจผ่านทางสถาบันทั้ง 3 อันได้แก่ สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันบริหาร และสถาบันศาล 

          รายชื่อแกนนำคณะราษฎร 2563 มีใครบ้าง เท่าที่เปิดเผยตัวและถูกจับกุมในระหว่างการชุมนุมกดดันรัฐบาล ช่วงวันที่ 13-15 ตุลาคม 2563 บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและทำเนียบรัฐบาล จำนวน 23 คน ในจำนวนนี้ 4 คน เป็นแกนนำสำคัญได้แก่

          1. นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ (เพนกวิ้น) นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

          2. นายอานนท์ นำภา (ทนายอานนท์) ทนายความสิทธิมนุษยชน[7]

          3. นายประสิทธิ์ ครุธาโรจน์ (เจมส์) นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

          4. นางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนากุล (รุ้ง) นักศึกษาคณะสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[8]         

          โดยที่บุคคลเหล่านี้เป็นเยาวชนยังไม่มีความเจนจัดในทางการเมืองและขาดทรัพยากรทางการเมือง จึงเป็นที่สงสัยว่าใครอยู่เบื้องหลังเยาวชนเหล่านี้ หากวิเคราะห์ตามทฤษฎี By-product and special interest theory[9] แน่นอนที่สุด ย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้นกลุ่มคนที่ทรงพลังมากกว่าและผูกพันอยู่กับเยาวชนเหล่านี้ อันได้แก่มวลคณาจารย์ มวลนักศึกษา กลุ่มการเมือง และมวลประชาชนที่ไม่พอใจและต่อต้านระบอบศักดินา-ทหาร และที่เปิดเผยตัวชัดเจนและสนับสนุนคณะราษฎร 2563 คือ ตัวแทนรัฐบาลต่างประเทศที่ต้องการให้ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบเสรีประชาธิปไตย โดยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

 

อ้างอิง

[1] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560

[2]จัดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 ประกาศผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งในวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 และแบบบัญชีรายชื่อ วันที่ 8 พฤษภาคม 2562

[3] เนื้อร้องเพลงคืนความสุขให้ประเทศไทยแต่งโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี (https://www.kroobannok.com)

[4] “มติศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ ตัดสิทธิ กก.บห. 10 ปี BBC News ไทย 21 กุมภาพันธ์ 2563  (https://www.bbc.com>thai.thailand...)

[5] “ชำแหละคำวินิจฉัยส่วนตน 9 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ..คดียุบพรรคอนาคตใหม่”   iLaw 15 เมษายน 2563 (ilaw.or.th), 12/06/2564

[6] ด่วน “ธนาธร” ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ (https://www.khaosod.co.th>news_2)

[7] นายอานนท์ นำภา อายุ 37 (เกิด 18 สิงหาคม 2527) จบการศึกษานิติศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และเนติบัณฑิตไทย

[8]เปิด 23 รายชื่อแกนนำม็อบคณะราษฎรที่โดนรวบ ข้อหาใดบ้าง มติชน (อาชญากรรม-กระบวนการยุติธรรม) 15 ตุลาคม 2563 และ โพสต์ทูเดย์ (ข่าวการเมือง) 15 ตุลาคม 2563 Posttoday.com

[9] Mancur Olson, Jr. “By-Product and Special Interest Theory” in Robert H. Salisbury, Interest Group Politics in America (New York: Harper and Row, 1970), pp.16-31.