ผลต่างระหว่างรุ่นของ "19 กันยายน พ.ศ. 2549"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
หน้าที่ถูกสร้างด้วย ''''ผู้เรียบเรียง''' ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุต...'
 
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 6: บรรทัดที่ 6:


----
----
วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 เป็นวันที่คณะทหารที่เรียกตัวเองว่า “[[คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข]]” ที่มี [[พลเอกสนธิ  บุญยรัตกลิน]] เป็นหัวหน้าได้ยึดอำนาจล้มรัฐบาลของ [[พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร]] ยกเลิก[[รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540]] ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร เดินทางไปประชุมสหประชาชาติที่สหรัฐอเมริกา ดังปรากฏในแถลงการณ์ของคณะผู้ยึดอำนาจว่า
วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 เป็นวันที่คณะทหารที่เรียกตัวเองว่า “[[คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข]]” ที่มี [[สนธิ  บุญยรัตกลิน|พลเอกสนธิ  บุญยรัตกลิน]] เป็นหัวหน้าได้ยึดอำนาจล้มรัฐบาลของ [[ทักษิณ  ชินวัตร|พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร]] ยกเลิก[[รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540]] ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร เดินทางไปประชุมสหประชาชาติที่สหรัฐอเมริกา ดังปรากฏในแถลงการณ์ของคณะผู้ยึดอำนาจว่า


“...[[การบริหารราชการแผ่นดิน]]โดย[[รัฐบาล]]รักษาการปัจจุบัน ได้ก่อให้เกิดปัญหา[[ความขัดแย้ง]] แบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคีของคนในชาติ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังเอาชนะด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ และมีแนวโน้ม นับวันจะทวี[[ความรุนแรง]]มากยิ่งขึ้น โดยประชาชนส่วนใหญ่เคลือบแคลงสงสัยการบริหารราชการแผ่นดิน อันส่อไปในทาง[[ทุจริตประพฤติมิชอบ]]อย่างกว้างขวาง หน่วยงาน [[องค์กรอิสระ]] ถูกครอบงำทางการเมืองไม่สามารถสนองตอบเจตนารมณ์ตามที่ได้บัญญัติไว้ใน[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร]] ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเกิดปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ตลอดจนหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์[[พระมหากษัตริย์]]ผู้ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของปวงชนชาวไทยอยู่บ่อยครั้ง จึงมีความจำเป็นต้องยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน...”  
“...[[การบริหารราชการแผ่นดิน]]โดย[[รัฐบาล]]รักษาการปัจจุบัน ได้ก่อให้เกิดปัญหา[[ความขัดแย้ง]] แบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคีของคนในชาติ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังเอาชนะด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ และมีแนวโน้ม นับวันจะทวี[[ความรุนแรง]]มากยิ่งขึ้น โดยประชาชนส่วนใหญ่เคลือบแคลงสงสัยการบริหารราชการแผ่นดิน อันส่อไปในทาง[[ทุจริตประพฤติมิชอบ]]อย่างกว้างขวาง หน่วยงาน [[องค์กรอิสระ]] ถูกครอบงำทางการเมืองไม่สามารถสนองตอบเจตนารมณ์ตามที่ได้บัญญัติไว้ใน[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร]] ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเกิดปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ตลอดจนหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์[[พระมหากษัตริย์]]ผู้ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของปวงชนชาวไทยอยู่บ่อยครั้ง จึงมีความจำเป็นต้องยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน...”  


การยึดอำนาจในครั้งนี้ทำให้ “รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540” สิ้นสุดลงตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 3 หลังจากนั้นมาระยะเวลาหนึ่งทางคณะปฏิรูปฯ ก็ได้ประกาศใช้[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549]] ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549 เป็นกติกาในการปกครองประเทศและตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่มี [[พลเอกสุรยุทธ์  จุลานนท์]] เป็น[[นายกรัฐมนตรี]]
การยึดอำนาจในครั้งนี้ทำให้ “รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540” สิ้นสุดลงตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 3 หลังจากนั้นมาระยะเวลาหนึ่งทางคณะปฏิรูปฯ ก็ได้ประกาศใช้[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549]] ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549 เป็นกติกาในการปกครองประเทศและตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่มี [[สุรยุทธ์  จุลานนท์|พลเอกสุรยุทธ์  จุลานนท์]] เป็น[[นายกรัฐมนตรี]]


อาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2549 จึงได้ดำเนินการเพื่อจัดตั้ง[[สภาร่างรัฐธรรมนูญ]] ประกอบด้วย[[สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ]]จำนวน 100 คน ให้จัดการร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายในเวลา 180 วัน ซึ่งการดำเนินการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ก็เสร็จได้ภายในระยะเวลากำหนดและได้นำเสนอขอประชามติของประชาชน ซึ่งประชามติของประชาชนในวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ก็ได้เห็นชอบ และมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 แทนรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 จนนำไปสู่[[การเลือกตั้ง]]ทั่วไปกันใหม่อีกครั้งในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งผล[[การเลือกตั้ง]]ถือว่าเป็นการตัดสินใจของประชาชน และนำไปสู่การมีรัฐบาลใหม่ของ[[พรรคพลังประชาชน]] ที่มี[[นายสมัคร สุนทรเวช]] [[หัวหน้าพรรค]]พลังประชาชนเป็นนายกรัฐมนตรี
อาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2549 จึงได้ดำเนินการเพื่อจัดตั้ง[[สภาร่างรัฐธรรมนูญ]] ประกอบด้วย[[สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ]]จำนวน 100 คน ให้จัดการร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายในเวลา 180 วัน ซึ่งการดำเนินการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ก็เสร็จได้ภายในระยะเวลากำหนดและได้นำเสนอขอประชามติของประชาชน ซึ่งประชามติของประชาชนในวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ก็ได้เห็นชอบ และมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 แทนรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 จนนำไปสู่[[การเลือกตั้ง]]ทั่วไปกันใหม่อีกครั้งในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งผล[[การเลือกตั้ง]]ถือว่าเป็นการตัดสินใจของประชาชน และนำไปสู่การมีรัฐบาลใหม่ของ[[พรรคพลังประชาชน]] ที่มี[[สมัคร สุนทรเวช|นายสมัคร สุนทรเวช]] [[หัวหน้าพรรค]]พลังประชาชนเป็นนายกรัฐมนตรี


แม้จะมีการเลือกตั้งทั่วไปคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจทางการเมืองในการเลือกตั้งผู้ปกครองแล้ว และมีนายก[[รัฐมนตรี]]และรัฐมนตรีที่มาจากเสียงข้างมากของ[[สภาผู้แทนราษฎร]]แล้วก็ตาม แต่[[ความขัดแย้ง]] แบ่งฝ่าย ที่ต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังเอาชนะด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบก็หาได้ลดลงไม่ และแม้ต่อมาจะมีนายกรัฐมนตรีต่อจากนายสมัคร  สุนทรเวช อีก 2 คน ความขัดแย้งในสังคมก็มิได้ลดลง หากแต่ได้ทวี[[ความรุนแรง]] เกิด[[การประท้วง]]ใหญ่ มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน มีการใช้ความรุนแรง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่รัฐบาลเป็นจำนวนมาก และมีการเผาสถานที่สำคัญเกิดขึ้นด้วยทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
แม้จะมีการเลือกตั้งทั่วไปคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจทางการเมืองในการเลือกตั้งผู้ปกครองแล้ว และมีนายก[[รัฐมนตรี]]และรัฐมนตรีที่มาจากเสียงข้างมากของ[[สภาผู้แทนราษฎร]]แล้วก็ตาม แต่[[ความขัดแย้ง]] แบ่งฝ่าย ที่ต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังเอาชนะด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบก็หาได้ลดลงไม่ และแม้ต่อมาจะมีนายกรัฐมนตรีต่อจากนายสมัคร  สุนทรเวช อีก 2 คน ความขัดแย้งในสังคมก็มิได้ลดลง หากแต่ได้ทวี[[ความรุนแรง]] เกิด[[การประท้วง]]ใหญ่ มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน มีการใช้ความรุนแรง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่รัฐบาลเป็นจำนวนมาก และมีการเผาสถานที่สำคัญเกิดขึ้นด้วยทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 12:11, 16 ตุลาคม 2557

ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 เป็นวันที่คณะทหารที่เรียกตัวเองว่า “คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ที่มี พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าได้ยึดอำนาจล้มรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปประชุมสหประชาชาติที่สหรัฐอเมริกา ดังปรากฏในแถลงการณ์ของคณะผู้ยึดอำนาจว่า

“...การบริหารราชการแผ่นดินโดยรัฐบาลรักษาการปัจจุบัน ได้ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง แบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคีของคนในชาติ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังเอาชนะด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ และมีแนวโน้ม นับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยประชาชนส่วนใหญ่เคลือบแคลงสงสัยการบริหารราชการแผ่นดิน อันส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง หน่วยงาน องค์กรอิสระ ถูกครอบงำทางการเมืองไม่สามารถสนองตอบเจตนารมณ์ตามที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเกิดปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ตลอดจนหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของปวงชนชาวไทยอยู่บ่อยครั้ง จึงมีความจำเป็นต้องยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน...”

การยึดอำนาจในครั้งนี้ทำให้ “รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540” สิ้นสุดลงตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 3 หลังจากนั้นมาระยะเวลาหนึ่งทางคณะปฏิรูปฯ ก็ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549 เป็นกติกาในการปกครองประเทศและตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่มี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี

อาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2549 จึงได้ดำเนินการเพื่อจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 100 คน ให้จัดการร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายในเวลา 180 วัน ซึ่งการดำเนินการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ก็เสร็จได้ภายในระยะเวลากำหนดและได้นำเสนอขอประชามติของประชาชน ซึ่งประชามติของประชาชนในวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ก็ได้เห็นชอบ และมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 แทนรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 จนนำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปกันใหม่อีกครั้งในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งผลการเลือกตั้งถือว่าเป็นการตัดสินใจของประชาชน และนำไปสู่การมีรัฐบาลใหม่ของพรรคพลังประชาชน ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนเป็นนายกรัฐมนตรี

แม้จะมีการเลือกตั้งทั่วไปคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจทางการเมืองในการเลือกตั้งผู้ปกครองแล้ว และมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่มาจากเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็ตาม แต่ความขัดแย้ง แบ่งฝ่าย ที่ต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังเอาชนะด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบก็หาได้ลดลงไม่ และแม้ต่อมาจะมีนายกรัฐมนตรีต่อจากนายสมัคร สุนทรเวช อีก 2 คน ความขัดแย้งในสังคมก็มิได้ลดลง หากแต่ได้ทวีความรุนแรง เกิดการประท้วงใหญ่ มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน มีการใช้ความรุนแรง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่รัฐบาลเป็นจำนวนมาก และมีการเผาสถานที่สำคัญเกิดขึ้นด้วยทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

ถึงแม้ในเวลาต่อมาจะมีการยุบสภา มีการเลือกตั้งทั่วไปอีก ความขัดแย้งแบ่งฝ่ายในสังคมก็ยังมีอยู่ยังไม่มีทางออกที่ดีที่จะให้ผู้ที่มีความเห็นต่างและขัดแย้งกันตกลงกันได้เลย