ผลต่างระหว่างรุ่นของ "9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 7: บรรทัดที่ 7:
----
----


วันที่ 9 พฤษภาคม ที่ยกเอามาเขียน  คือวันที่ประเทศไทยประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 3 ของประเทศ หรือรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2489 ที่ได้ประกาศใช้ในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเจตนาจะปรับเปลี่ยนรูปแบบ แนวคิดประชาธิปไตยในสังคมไทยอย่างไร  จึงได้ลงทุนเปลี่ยนรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
วันที่ 9 พฤษภาคม ที่ยกเอามาเขียน  คือวันที่ประเทศไทยประกาศใช้[[รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 3 ของประเทศ]] หรือ[[รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2489]] ที่ได้ประกาศใช้ในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเจตนาจะปรับเปลี่ยนรูปแบบ แนวคิดประชาธิปไตยในสังคมไทยอย่างไร  จึงได้ลงทุนเปลี่ยนรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ


ในเรื่องความเป็นมานั้นดูได้จากคำปรารภของรัฐธรรมนูญนี้นั่นเอง ที่มีความตอนหนึ่งว่า
ในเรื่องความเป็นมานั้นดูได้จากคำปรารภของรัฐธรรมนูญนี้นั่นเอง ที่มีความตอนหนึ่งว่า


“ต่อมานายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะนั้น ได้ปรารภกับนายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ พระมหากษัตริย์ได้พระราชทานแก่ชนชาวไทยมาแล้วเป็นปีที่ 14 ถึงแม้ว่าการปกครอง
“ต่อมา[[นายปรีดี พนมยงค์]] ซึ่งดำรงตำแหน่ง[[ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์]]ในขณะนั้น ได้ปรารภกับ[[นายควง อภัยวงศ์]] [[นายกรัฐมนตรี]]ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ พระมหากษัตริย์ได้พระราชทานแก่ชนชาวไทยมาแล้วเป็นปีที่ 14 ถึงแม้ว่าการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตย อันมีรัฐธรรมนูญเป็นหลักนี้จะได้ยังความเจริญให้เกิดแก่ประเทศชาติ นับเป็นอเนกประการ ทั้งประชาชนจะได้ซาบซึ้งถึงคุณประโยชน์ของการปกครองระบอบนี้เป็นอย่างดีแล้วก็จริง แต่เหตุการณ์บ้านเมืองก็ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก ถึงเวลาแล้วที่ควรจะได้เลิกบทเฉพาะกาลอันมีอยู่ในรัฐธรรมนูญนั้นและปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นายกรัฐมนตรีจึงนำความนั้นปรึกษาหารือกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 พร้อมกับคณะผู้ก่อการ  ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ เมื่อได้ปรึกษาตกลงกันแล้ว รัฐบาลคณะนายควง อภัยวงศ์ จึงได้เสนอญัตติต่อสภาผู้แทน
ระบอบประชาธิปไตย อันมีรัฐธรรมนูญเป็นหลักนี้จะได้ยังความเจริญให้เกิดแก่ประเทศชาติ นับเป็นอเนกประการ ทั้งประชาชนจะได้ซาบซึ้งถึงคุณประโยชน์ของการปกครองระบอบนี้เป็นอย่างดีแล้วก็จริง แต่เหตุการณ์บ้านเมืองก็ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก ถึงเวลาแล้วที่ควรจะได้เลิกบทเฉพาะกาลอันมีอยู่ในรัฐธรรมนูญนั้นและปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นายกรัฐมนตรีจึงนำความนั้นปรึกษาหารือกับ[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]ประเภทที่ 2 พร้อมกับคณะผู้ก่อการ  ขอ[[พระราชทานรัฐธรรมนูญ]] เมื่อได้ปรึกษาตกลงกันแล้ว [[รัฐบาล]]คณะนายควง อภัยวงศ์ จึงได้เสนอ[[ญัตติ]]ต่อ[[สภาผู้แทน]]


ราษฎรเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พุทธศักราช 2488 ขอให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญคณะหนึ่งเพื่อพิจารณาค้นคว้าตรวจสอบว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้สมควรได้รับการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมอย่างไร เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของบ้านเมืองและเพื่อให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นผลสมบูรณ์ยิ่งขึ้น”
ราษฎรเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พุทธศักราช 2488 ขอให้ตั้ง[[กรรมาธิการวิสามัญ]]คณะหนึ่งเพื่อพิจารณาค้นคว้าตรวจสอบว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้สมควรได้รับการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมอย่างไร เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของบ้านเมืองและเพื่อให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นผลสมบูรณ์ยิ่งขึ้น”
ที่น่าจะย้อนไปดูสักนิดก็คือความคิดที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากข้อเสนอของสมาชิกประเภทที่สองที่มาจากการแต่งตั้งในสภาผู้แทนราษฎรนั่นเองที่เสนอ ซึ่งก็จะทำให้ไม่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการแต่งตั้งอย่างพวกตน โดยเสนอกันเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2489 และสภาผู้แทนราษฎรก็ได้พิจารณาจนนำไปสู่การแต่งตั้งคณะกรรมาธิการ จำนวน 15 คน โดยกรรมาธิการก็ได้ไปประชุมและเลือก นายปรีดี พนมยงค์ เป็นประธาน และมี ม.ร.ว. คึกฤทธิ์  ปราโมช เป็นเลขานุการ
ที่น่าจะย้อนไปดูสักนิดก็คือความคิดที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากข้อเสนอของสมาชิกประเภทที่สองที่มาจากการแต่งตั้งในสภาผู้แทนราษฎรนั่นเองที่เสนอ ซึ่งก็จะทำให้ไม่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการแต่งตั้งอย่างพวกตน โดยเสนอกันเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2489 และสภาผู้แทนราษฎรก็ได้พิจารณาจนนำไปสู่การแต่งตั้ง[[คณะกรรมาธิการ]] จำนวน 15 คน โดยกรรมาธิการก็ได้ไปประชุมและเลือก [[นายปรีดี พนมยงค์]] เป็นประธาน และมี [[ม.ร.ว. คึกฤทธิ์  ปราโมช]] เป็นเลขานุการ


ต่อมาเมื่อ นายปรีดี พนมยงค์ ต้องไปเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้ขอลาออกไป และกรรมาธิการก็ได้เลือกพระยามานวราชเสวี ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานกรรมาธิการแทน และได้ร่างรัฐธรรมนูญต่อมาจนเรียบร้อย
ต่อมาเมื่อ นายปรีดี พนมยงค์ ต้องไปเป็น[[นายกรัฐมนตรี]] ก็ได้ขอลาออกไป และ[[กรรมาธิการ]]ก็ได้เลือก[[พระยามานวราชเสวี]] [[ประธานสภาผู้แทนราษฎร]] เป็นประธานกรรมาธิการแทน และได้ร่างรัฐธรรมนูญต่อมาจนเรียบร้อย


เมื่อคิดจะเลือก ส.ส. ประเภทที่ 2 ที่มาจากการแต่งตั้งออกไปก็ได้คิดเรื่องการมีสองสภา จึงเป็นที่มาของการมี “พฤฒสภา” ขึ้นมาเป็นสภากลั่นกรอง
เมื่อคิดจะเลือก ส.ส. ประเภทที่ 2 ที่มาจากการแต่งตั้งออกไปก็ได้คิดเรื่องการมีสองสภา จึงเป็นที่มาของการมี “[[พฤฒสภา]]” ขึ้นมาเป็นสภากลั่นกรอง
การมีสองสภาก็ต้องการให้สมาชิกของทั้งสองสภามาจากการเลือกตั้งของประชาชน เพียงแต่สมาชิกจากสภาผู้แทนฯ มาจากการเลือกตั้งทางตรง ส่วนสมาชิกพฤฒสภามาจากการเลือกตั้งทางอ้อม
การมีสองสภาก็ต้องการให้สมาชิกของทั้งสองสภามาจาก[[การเลือกตั้ง]]ของประชาชน เพียงแต่สมาชิกจากสภาผู้แทนฯ มาจากการเลือกตั้งทางตรง ส่วน[[สมาชิกพฤฒสภามา]]จากการเลือกตั้งทางอ้อม
“มาตรา 24 พฤฒสภา ประกอบด้วยสมาชิกที่ราษฎรเลือกตั้งมีจำนวนแปดสิบคน สมาชิกพฤฒสภาต้องไม่เป็นข้าราชการประจำ
“มาตรา 24 พฤฒสภา ประกอบด้วยสมาชิกที่ราษฎรเลือกตั้งมีจำนวนแปดสิบคน สมาชิกพฤฒสภาต้องไม่เป็นข้าราชการประจำ
บรรทัดที่ 28: บรรทัดที่ 28:
การเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภา ให้ใช้วิธีลงคะแนนออกเสียงโดยทางอ้อมและลับ”  
การเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภา ให้ใช้วิธีลงคะแนนออกเสียงโดยทางอ้อมและลับ”  


เมื่อมีพฤฒสภาซึ่งเสมือนสภาสูงของประเทศ จึงได้มีการกำหนดให้สมาชิกต้องมีคุณสมบัติที่แสดงถึงความอาวุโส และวุฒิที่แตกต่างจาก ส.ส. เช่น ต้องมีอายุตั้งแต่สี่สิบปี และศึกษาจบปริญญาตรี เป็นต้น
เมื่อมีพฤฒสภาซึ่งเสมือน[[สภาสูง]]ของประเทศ จึงได้มีการกำหนดให้สมาชิกต้องมีคุณสมบัติที่แสดงถึงความอาวุโส และวุฒิที่แตกต่างจาก ส.ส. เช่น ต้องมีอายุตั้งแต่สี่สิบปี และศึกษาจบปริญญาตรี เป็นต้น
การมีพฤฒสภาครั้งนั้นจึงเป็นต้นแบบที่ต่อมาเมืองไทยได้มีสองสภาและเรียกว่าวุฒิ สภา แต่ที่มานั้นต่อมาก็มีทั้งมาจากการแต่งตั้งทั้งหมด หรือจากการเลือกตั้งทั้งหมดจนถึงล่าสุดนี้มีทั้งที่มาจากการเลือกตั้งกับที่มาจากการสรรหา มีจำนวนใกล้เคียงกันโดยให้ที่มาจากากรเลือกตั้งมีจำนวนมากกว่า
การมีพฤฒสภาครั้งนั้นจึงเป็นต้นแบบที่ต่อมาเมืองไทยได้มีสองสภาและเรียกว่าวุฒิสภา แต่ที่มานั้นต่อมาก็มีทั้งมาจากการแต่งตั้งทั้งหมด หรือจากการเลือกตั้งทั้งหมดจนถึงล่าสุดนี้มีทั้งที่มาจากการเลือกตั้งกับที่มาจากการสรรหา มีจำนวนใกล้เคียงกันโดยให้ที่มาจากากรเลือกตั้งมีจำนวนมากกว่า
การที่มุ่งหวังให้พฤฒสภากลั่นกรองกฎหมาย หรือระบบสองสภานี้ ทำให้ต้องเพิ่มเวลาในการพิจารณาร่างกฎหมายเพิ่มเติมขึ้นอีกชั้นหนึ่ง เดิมร่างกฎหมายผ่านสภาผู้แทนราษฎรแล้ว นายกรัฐมนตรีก็จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศในราชกิจจานุเบกษา ที่มีผลใช้บังคับได้เลย แต่เมื่อมีพฤฒสภา ร่างกฎหมายที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็จะต้องไปผ่านพฤฒสภา ที่จะต้องมีขั้นตอนการพิจารณาแม้ว่าจะผ่านเลยก็ต้องใช้เวลาเพิ่ม  หากเห็นไม่ตรงกันมีการแก้ไข ก็มีขั้นตอนที่จะต้องตกลงกัน
การที่มุ่งหวังให้พฤฒสภากลั่นกรองกฎหมาย หรือระบบสองสภานี้ ทำให้ต้องเพิ่มเวลาในการพิจารณาร่างกฎหมายเพิ่มเติมขึ้นอีกชั้นหนึ่ง เดิมร่างกฎหมายผ่านสภาผู้แทนราษฎรแล้ว นายกรัฐมนตรีก็จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อพระมหากษัตริย์ทรง[[ลงพระปรมาภิไธย]]และประกาศใน[[ราชกิจจานุเบกษา]] ที่มีผลใช้บังคับได้เลย แต่เมื่อมีพฤฒสภา ร่างกฎหมายที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็จะต้องไปผ่านพฤฒสภา ที่จะต้องมีขั้นตอนการพิจารณาแม้ว่าจะผ่านเลยก็ต้องใช้เวลาเพิ่ม  หากเห็นไม่ตรงกันมีการแก้ไข ก็มีขั้นตอนที่จะต้องตกลงกัน
ในเรื่องกลั่นกรองกฎหมายนี้ ดูเผิน ๆ จะเป็นเรื่องเสียเวลา  แต่ในความเป็นจริงที่ผ่านมา ถ้าในสภาผู้แทนราษฎรมีระบบพรรคที่เข้มแข็งแล้ว กฎหมายที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎรมาก็อาจมีเรื่องให้กลั่นกรองได้ดีทีเดียว จะเป็นการช่วยดูจากผู้ทรงคุณวุฒิที่ไม่ผูกพันกับพรรคการเมืองได้พอสมควร
ในเรื่องกลั่นกรองกฎหมายนี้ ดูเผิน ๆ จะเป็นเรื่องเสียเวลา  แต่ในความเป็นจริงที่ผ่านมา ถ้าในสภาผู้แทนราษฎรมีระบบพรรคที่เข้มแข็งแล้ว กฎหมายที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎรมาก็อาจมีเรื่องให้กลั่นกรองได้ดีทีเดียว จะเป็นการช่วยดูจากผู้ทรงคุณวุฒิที่ไม่ผูกพันกับพรรคการเมืองได้พอสมควร

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 10:07, 16 กันยายน 2556

ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


วันที่ 9 พฤษภาคม ที่ยกเอามาเขียน คือวันที่ประเทศไทยประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 3 ของประเทศ หรือรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2489 ที่ได้ประกาศใช้ในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเจตนาจะปรับเปลี่ยนรูปแบบ แนวคิดประชาธิปไตยในสังคมไทยอย่างไร จึงได้ลงทุนเปลี่ยนรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ

ในเรื่องความเป็นมานั้นดูได้จากคำปรารภของรัฐธรรมนูญนี้นั่นเอง ที่มีความตอนหนึ่งว่า

“ต่อมานายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะนั้น ได้ปรารภกับนายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ พระมหากษัตริย์ได้พระราชทานแก่ชนชาวไทยมาแล้วเป็นปีที่ 14 ถึงแม้ว่าการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีรัฐธรรมนูญเป็นหลักนี้จะได้ยังความเจริญให้เกิดแก่ประเทศชาติ นับเป็นอเนกประการ ทั้งประชาชนจะได้ซาบซึ้งถึงคุณประโยชน์ของการปกครองระบอบนี้เป็นอย่างดีแล้วก็จริง แต่เหตุการณ์บ้านเมืองก็ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก ถึงเวลาแล้วที่ควรจะได้เลิกบทเฉพาะกาลอันมีอยู่ในรัฐธรรมนูญนั้นและปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นายกรัฐมนตรีจึงนำความนั้นปรึกษาหารือกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 พร้อมกับคณะผู้ก่อการ ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ เมื่อได้ปรึกษาตกลงกันแล้ว รัฐบาลคณะนายควง อภัยวงศ์ จึงได้เสนอญัตติต่อสภาผู้แทน

ราษฎรเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พุทธศักราช 2488 ขอให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญคณะหนึ่งเพื่อพิจารณาค้นคว้าตรวจสอบว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้สมควรได้รับการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมอย่างไร เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของบ้านเมืองและเพื่อให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นผลสมบูรณ์ยิ่งขึ้น”

ที่น่าจะย้อนไปดูสักนิดก็คือความคิดที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากข้อเสนอของสมาชิกประเภทที่สองที่มาจากการแต่งตั้งในสภาผู้แทนราษฎรนั่นเองที่เสนอ ซึ่งก็จะทำให้ไม่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการแต่งตั้งอย่างพวกตน โดยเสนอกันเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2489 และสภาผู้แทนราษฎรก็ได้พิจารณาจนนำไปสู่การแต่งตั้งคณะกรรมาธิการ จำนวน 15 คน โดยกรรมาธิการก็ได้ไปประชุมและเลือก นายปรีดี พนมยงค์ เป็นประธาน และมี ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นเลขานุการ

ต่อมาเมื่อ นายปรีดี พนมยงค์ ต้องไปเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้ขอลาออกไป และกรรมาธิการก็ได้เลือกพระยามานวราชเสวี ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานกรรมาธิการแทน และได้ร่างรัฐธรรมนูญต่อมาจนเรียบร้อย

เมื่อคิดจะเลือก ส.ส. ประเภทที่ 2 ที่มาจากการแต่งตั้งออกไปก็ได้คิดเรื่องการมีสองสภา จึงเป็นที่มาของการมี “พฤฒสภา” ขึ้นมาเป็นสภากลั่นกรอง

การมีสองสภาก็ต้องการให้สมาชิกของทั้งสองสภามาจากการเลือกตั้งของประชาชน เพียงแต่สมาชิกจากสภาผู้แทนฯ มาจากการเลือกตั้งทางตรง ส่วนสมาชิกพฤฒสภามาจากการเลือกตั้งทางอ้อม

“มาตรา 24 พฤฒสภา ประกอบด้วยสมาชิกที่ราษฎรเลือกตั้งมีจำนวนแปดสิบคน สมาชิกพฤฒสภาต้องไม่เป็นข้าราชการประจำ

การเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภา ให้ใช้วิธีลงคะแนนออกเสียงโดยทางอ้อมและลับ”

เมื่อมีพฤฒสภาซึ่งเสมือนสภาสูงของประเทศ จึงได้มีการกำหนดให้สมาชิกต้องมีคุณสมบัติที่แสดงถึงความอาวุโส และวุฒิที่แตกต่างจาก ส.ส. เช่น ต้องมีอายุตั้งแต่สี่สิบปี และศึกษาจบปริญญาตรี เป็นต้น

การมีพฤฒสภาครั้งนั้นจึงเป็นต้นแบบที่ต่อมาเมืองไทยได้มีสองสภาและเรียกว่าวุฒิสภา แต่ที่มานั้นต่อมาก็มีทั้งมาจากการแต่งตั้งทั้งหมด หรือจากการเลือกตั้งทั้งหมดจนถึงล่าสุดนี้มีทั้งที่มาจากการเลือกตั้งกับที่มาจากการสรรหา มีจำนวนใกล้เคียงกันโดยให้ที่มาจากากรเลือกตั้งมีจำนวนมากกว่า

การที่มุ่งหวังให้พฤฒสภากลั่นกรองกฎหมาย หรือระบบสองสภานี้ ทำให้ต้องเพิ่มเวลาในการพิจารณาร่างกฎหมายเพิ่มเติมขึ้นอีกชั้นหนึ่ง เดิมร่างกฎหมายผ่านสภาผู้แทนราษฎรแล้ว นายกรัฐมนตรีก็จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศในราชกิจจานุเบกษา ที่มีผลใช้บังคับได้เลย แต่เมื่อมีพฤฒสภา ร่างกฎหมายที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็จะต้องไปผ่านพฤฒสภา ที่จะต้องมีขั้นตอนการพิจารณาแม้ว่าจะผ่านเลยก็ต้องใช้เวลาเพิ่ม หากเห็นไม่ตรงกันมีการแก้ไข ก็มีขั้นตอนที่จะต้องตกลงกัน

ในเรื่องกลั่นกรองกฎหมายนี้ ดูเผิน ๆ จะเป็นเรื่องเสียเวลา แต่ในความเป็นจริงที่ผ่านมา ถ้าในสภาผู้แทนราษฎรมีระบบพรรคที่เข้มแข็งแล้ว กฎหมายที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎรมาก็อาจมีเรื่องให้กลั่นกรองได้ดีทีเดียว จะเป็นการช่วยดูจากผู้ทรงคุณวุฒิที่ไม่ผูกพันกับพรรคการเมืองได้พอสมควร

รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2489 นี้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ประกาศใช้ในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 แต่มีผลในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 เพราะลงราชกิจานุเบกษา ในวันนั้น

ที่น่าเสียดายก็คือการมีพฤฒสภา ที่จะให้ประชาชนเลือกตั้งทางอ้อมก็ยังไม่ได้ใช้จริง รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูก “ฉีก” โดยการยกเลิกเพราะมีการยึดอำนาจล้มทั้งรัฐบาลและรัฐธรรมนูญของคณะรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490

รัฐธรรมนูญที่ตั้งใจดีจึงอยู่ให้ใช้เพียงปีกว่า ๆ เท่านั้นเอง