ผลต่างระหว่างรุ่นของ "Road Map ประชาธิปไตย"
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 39: | บรรทัดที่ 39: | ||
'''สภานิติบัญญัติแห่งชาติ''' | '''สภานิติบัญญัติแห่งชาติ''' | ||
ภายหลังรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวได้มีผลบังคับใช้ จึงมีการแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติจำนวน 200 คน เพื่อทำหน้าที่แทน[[สภาผู้แทนราษฎร]] [[วุฒิสภา]] และ[[รัฐสภา]] มีอำนาจในการตรา[[กฎหมาย]] การควบคุม[[การบริหารราชการแผ่นดิน]]และอำนาจหน้าที่อื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีการแต่งตั้ง[[สภานิติบัญญัติแห่งชาติ]] เช่น ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล เห็นว่าภาพสะท้อนของสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดดังกล่าว คือ การตอบสนองต่อความต้องการของการทำรัฐประหาร และการกำจัดระบอบทักษิณ ตลอดจนทำลายความน่าเชื่อถือของนักการเมือง ซึ่งในแง่นี้แล้วย่อมเท่ากับเป็นการทำลายเสียงของประชาชนด้วย ในขณะเดียวกันก็เป็นความพยายามของรัฐบาลทหารที่จะสถาปนาให้ประเทศไทยหวนกลับเป็นรัฐราชการอีกครั้ง และหาก คสช. มองว่าต้นตอของปัญหาของสังคมไทยคือระบอบทักษิณ ย่อมถือว่าเป็นการมองปัญหาที่ผิดพลาด เพราะสังคมไทยในทุกภาคส่วนเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ดังนั้น นโยบายทางการเมืองของ คสช. จึงนำไปสู่การสร้างความขัดแย้งให้ขยายออกไปไม่มีที่สุด ในขณะที่ นาย[[จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ]] เลขาธิการ[[องค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย]] เห็นว่าเมื่อพิจารณาจากสัดส่วนจากสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พบว่ามากกว่าครึ่งเป็นทหาร นั่นย่อมสะท้อนให้เห็นว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดนี้เป็นสมาชิกสภาเผด็จการทหารมากกว่าเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและเป็นการถอยหลังเข้าสู่ยุคจอมพล[[ | ภายหลังรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวได้มีผลบังคับใช้ จึงมีการแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติจำนวน 200 คน เพื่อทำหน้าที่แทน[[สภาผู้แทนราษฎร]] [[วุฒิสภา]] และ[[รัฐสภา]] มีอำนาจในการตรา[[กฎหมาย]] การควบคุม[[การบริหารราชการแผ่นดิน]]และอำนาจหน้าที่อื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีการแต่งตั้ง[[สภานิติบัญญัติแห่งชาติ]] เช่น ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล เห็นว่าภาพสะท้อนของสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดดังกล่าว คือ การตอบสนองต่อความต้องการของการทำรัฐประหาร และการกำจัดระบอบทักษิณ ตลอดจนทำลายความน่าเชื่อถือของนักการเมือง ซึ่งในแง่นี้แล้วย่อมเท่ากับเป็นการทำลายเสียงของประชาชนด้วย ในขณะเดียวกันก็เป็นความพยายามของรัฐบาลทหารที่จะสถาปนาให้ประเทศไทยหวนกลับเป็นรัฐราชการอีกครั้ง และหาก คสช. มองว่าต้นตอของปัญหาของสังคมไทยคือระบอบทักษิณ ย่อมถือว่าเป็นการมองปัญหาที่ผิดพลาด เพราะสังคมไทยในทุกภาคส่วนเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ดังนั้น นโยบายทางการเมืองของ คสช. จึงนำไปสู่การสร้างความขัดแย้งให้ขยายออกไปไม่มีที่สุด ในขณะที่ นาย[[จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ]] เลขาธิการ[[องค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย]] เห็นว่าเมื่อพิจารณาจากสัดส่วนจากสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พบว่ามากกว่าครึ่งเป็นทหาร นั่นย่อมสะท้อนให้เห็นว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดนี้เป็นสมาชิกสภาเผด็จการทหารมากกว่าเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและเป็นการถอยหลังเข้าสู่ยุคจอมพล[[สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (อัญชลี จวงจันทร์)|สฤษดิ์ ธนะรัตน์]] และยุคจอมพล[[ถนอม กิตติขจร]]” <ref> “ธงชัย วินิจจะกูล ชี้ ผลการตั้ง สนช. เพิ่มความขัดแย้ง,” ประชาไท, (2 สิงหาคม 2557), เข้าถึงจาก<http://www.prachatai.com/journal/2014/08/54870l>. เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2558.</ref> | ||
'''นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี''' | '''นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี''' |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 11:56, 18 พฤศจิกายน 2558
ผู้เรียบเรียง ฐิติกร สังข์แก้ว และดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ ศาสตราจารย์ นรนิติ เศรษฐบุตร
ความหมาย
“Road Map ประชาธิปไตย” หรือ “แผนที่นำทางไปสู่ประชาธิปไตย” เป็นแนวทางการดำเนินงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อแก้ไขวิฤตการเมืองของประเทศและปูทางไปสู่การสรรสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืน นำเสนอโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ภายหลังจากการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ทั้งนี้ “Road Map ประชาธิปไตย” ในสมัย คสช. ได้กำหนดไว้เป็น 3 ระยะ กล่าวคือ ระยะแรกเป็นการแก้ไขวิกฤตการเมืองแห่งความแตกแยก จึงต้องสร้างความสมานฉันท์ปรองดองให้เกิดขึ้นกับคนในชาติ ภายใต้การบริหารประเทศโดย คสช. ระยะที่สอง เป็นช่วงเวลาแห่งการปฏิรูปประเทศทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาด้านการศึกษา ปัญหาด้านพลังงาน ปัญหาด้านสวัสดิภาพ/สวัสดิการของประชาชน และปัญหาด้านความยุติธรรม เป็นต้น ระยะที่สาม เมื่อการปฏิรูปโครงสร้างประเทศดำเนินมาถึงระยะหนึ่งแล้ว ก็จะจัดให้มีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการแถลงของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กล่าวถึงเรื่อง “Road Map ประชาธิปไตย” ก็ถูกนักวิชาการ ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์เป็นอันมาก ทั้งสนับสนุนและต่อต้าน Road Map ประชาธิปไตย
“Road Map ประชาธิปไตย” ในยุค คสช.
ภายหลังการเข้าทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อระงับความขัดแย้งและแก้ไขสถานการณ์ทางการเมือง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ได้ประกาศแนวทางการดำเนินงานเพื่อฟื้นฟูประชาธิปไตยเพื่อเป็นแผนที่นำทางไปสู่ประชาธิปไตย หรือ Road Map โดยแบ่งได้ออกเป็น 3 ระยะ[1] ดังนี้
ระยะที่ 1 การควบคุมอำนาจในการปกครอง ความจำเป็นประการแรกภายหลังการทำรัฐประหารคือประเด็นด้านความมั่นคงเป็นหลัก กล่าวคือ คสช. มีความจำเป็นต้องควบคุมสถานการณ์จากทุกกลุ่มก้อนทางการเมืองให้ “หยุดนิ่ง” ลงเพื่อนำไปสู่การประเด็นการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้ได้ในระยะอันใกล้ พร้อมทั้งการจัดตั้งศูนย์การปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปในทุกพื้นที่ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ โดยทาง คสช. ได้มอบหมายให้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน เป็นหน่วยงานในการรับผิดชอบหลัก
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายสำคัญของการดำเนินงานในระยะแรกของ คสช. นั้น เพื่อต้องการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคม การเปิดพื้นที่ให้คนซึ่งเห็นต่างกันได้พบปะพูดคุย พร้อมทั้งการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อปูทางสำหรับการดำเนินงานการปฏิรูปประเทศในระยะที่ 2
ระยะที่ 2 การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ในระยะถัดมานี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ได้ชี้แจงว่าอยู่ในระหว่างการจัดทำรัฐธรรมนูญของฝ่ายกฎหมาย โดยรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวนี้จะนำไปสู่การจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กระบวนการสรรหานายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี สภาปฏิรูปแห่งชาติ พร้อมทั้งกระบวนในการจัดทำรัฐธรรมนูญ โดยมีกรอบระยะในการดำเนินงานในระยะที่ 2 ประมาณ 1 ปี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองและความร่วมมือของคนในชาติเป็นปัจจัยสำคัญ
ระยะที่ 3 การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ภายหลังการทำงานตาม Road Map ทั้ง 2 ระยะข้างต้นประสบความสำเร็จเป็นที่พึงพอใจของทุกฝ่าย คสช. พร้อมจะจัดให้มีการเลือกตั้งตามกระบวนการประชาธิปไตย โดยจุดมุ่งหมายหลัก คือ ต้องการให้คนดี สุจริต มีคุณธรรมมาปกครองบ้านเมืองด้วยหลักธรรมาภิบาล
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเข้ายึดอำนาจ และประกาศ Road Map ของ คสช. ได้มีทั้งกระแสการต่อต้าน เช่น ขบวนการนักศึกษา นักวิชาการ ภาคสังคม ฯลฯ พร้อมกันนั้นได้มีกระแสสนับสนุนแนวทางปฏิรูปการเมืองที่ประสงค์ให้ คสช. เข้ามาแก้ไขปัญหาการเมืองก่อนการเลือกตั้ง
Road Map ประชาธิปไตยในทางปฏิบัติ
จาก “Road Map ประชาธิปไตย” ที่กล่าวมาข้างต้นได้ก่อให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในระยะเวลาต่อมา และได้รับแรงสนับสนุนและคัดค้านจากฝ่ายต่างๆ นับตั้งแต่วันประกาศ Road Map ประชาธิปไตย เป็นต้นมา สำหรับฝ่ายต่อต้านนั้นหัวใจสำคัญ คือ การตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของ คสช. ที่เข้ามายึดอำนาจและบริหารประเทศ และจะเห็นได้ว่าภายหลังการยึดอำนาจมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มต่อต้านอยู่อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ฝ่ายสนับสนุน Road Map ประชาธิปไตย เห็นได้จากการให้สัมภาษณ์ของนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเห็นว่า “ระยะเวลา 1 ปีที่จะมีการตั้งสภาปฏิรูปเพื่อปฏิรูปแก้ไขปัญหาทุกเรื่องนั้น ไม่นานเกินไป”[2] ด้าน รศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร ให้ความเห็นเกี่ยวการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า "สิ่งจำเป็นในการร่างรัฐธรรมนูญ คือ การเปิดโอกาสให้มีการวิจารณ์ได้ จะต้องกระทำอย่างพิถีพิถันมากกว่าเดิม ไม่เช่นนั้นก็จะได้ผลไม้พิษกลับมาอีก อาจจะมีนักวิชาการบางท่านที่เห็นว่าให้รีบๆ คลอดรัฐธรรมนูญออกมาเร็ว เพื่อที่จะนำไปสู่การเลือกตั้ง แต่ผมเห็นว่าควรจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ได้ พูดคุยกันในรายละเอียดทุกๆ อย่างก่อน ในทุกๆ มาตรา ถ้าหากเรายังคงทำอย่างรวบรัด ขาดความพิถีพิถัน ก็จะกลับมาสู่วังวนเดิม"[3]
จากสถานการณ์ทางการเมืองที่เต็มไปด้วยแรงต้านทานและเสียงสนับสนุนแนวทางของ คสช. นั้น เมื่อพิจารณา Road Map ประชาธิปไตยในทางปฏิบัติซึ่งดำเนินเข้าสู่ห้วงระยะที่ 2 แล้วนั้น พบว่าในระยะแรกได้มีการจัดตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป ตาม “คำสั่ง คสช. (เฉพาะ) ที่ 2/2557 เรื่องการจัดตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป” การจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวเป็นไปเพื่อรวบรวมความคิดเห็นของประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย นำมาวิเคราะห์และกำหนดเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง เสริมสร้างความรักความสามัคคี ความปรองดองสมานฉันท์ และคืนความสุขให้แก่คนไทยทั้งชาติโดยมี คสช. เป็นผู้บริหารประเทศ และมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวเรือใหญ่
สำหรับในระยะที่ 2 นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ในวันที่22 กรกฎาคม 2557 โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ [4]
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเพื่อกำหนดโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ขององค์กรต่างๆ ในการเข้ามาบริหารประเทศและกำหนดแนวทางการปฏิรูปการเมือง ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมทุกภาคส่วนทั้งภายในและภายนอกประเทศอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น กรณีสำนักข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ เรื่องสิทธิมนุษยชนภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ของประเทศไทย ระบุว่า “มีเนื้อหาปกป้องและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่อ่อนแอลง ปฏิเสธสิทธิที่จะได้รับความเยียวยาอย่างมีประสิทธิภาพกรณีเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง และปฏิเสธสิทธิในการมีส่วนร่วมดำเนินกิจการสาธารณะ” [5] ในขณะที่ ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล ได้ชี้ให้เห็นถึงการขาดหายไปของหลักแบ่งแยกอำนาจของรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ แกนกลางของอำนาจทางการเมืองที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวนั้น แม้จะออกแบบให้มีหลายองค์กรเข้ามาบริหารและปฏิรูปประเทศ แต่กระนั้น สุดท้ายอำนาจในทุกส่วนก็ย่อมตกอยู่ภายใต้การตัดสินใจของหัวหน้า คสช. ในแง่นี้แล้ว หัวหน้า คสช. ย่อมมีอำนาจอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและไร้ซึ่งสภาวะการถูกตรวจสอบถ่วงดุล [6]
องค์กรในการปฏิรูปการเมืองและเสียงวิพากษ์วิจารณ์
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ภายหลังรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวได้มีผลบังคับใช้ จึงมีการแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติจำนวน 200 คน เพื่อทำหน้าที่แทนสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา มีอำนาจในการตรากฎหมาย การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินและอำนาจหน้าที่อื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีการแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เช่น ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล เห็นว่าภาพสะท้อนของสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดดังกล่าว คือ การตอบสนองต่อความต้องการของการทำรัฐประหาร และการกำจัดระบอบทักษิณ ตลอดจนทำลายความน่าเชื่อถือของนักการเมือง ซึ่งในแง่นี้แล้วย่อมเท่ากับเป็นการทำลายเสียงของประชาชนด้วย ในขณะเดียวกันก็เป็นความพยายามของรัฐบาลทหารที่จะสถาปนาให้ประเทศไทยหวนกลับเป็นรัฐราชการอีกครั้ง และหาก คสช. มองว่าต้นตอของปัญหาของสังคมไทยคือระบอบทักษิณ ย่อมถือว่าเป็นการมองปัญหาที่ผิดพลาด เพราะสังคมไทยในทุกภาคส่วนเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ดังนั้น นโยบายทางการเมืองของ คสช. จึงนำไปสู่การสร้างความขัดแย้งให้ขยายออกไปไม่มีที่สุด ในขณะที่ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการองค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย เห็นว่าเมื่อพิจารณาจากสัดส่วนจากสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พบว่ามากกว่าครึ่งเป็นทหาร นั่นย่อมสะท้อนให้เห็นว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดนี้เป็นสมาชิกสภาเผด็จการทหารมากกว่าเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและเป็นการถอยหลังเข้าสู่ยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ และยุคจอมพลถนอม กิตติขจร” [7]
นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
ภายหลังจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้มีการประชุมฯ เพื่อการเลือกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ผลปรากฏว่าผู้รับได้รับการเสนอชื่อและได้รับการโหวตคือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกนายกรัฐมนตรีไม่ได้เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงแต่ประการใด ทั้งนี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์พุ่งเป้าถึงความชอบธรรมทางการเมือง ในขณะเดียวกัน พระสุเทพ ปภากโร (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ—สถานภาพขณะนั้น) อดีตนำอดีต แกนนำกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ได้สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เข้ามาเป็นผู้นำประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านและการปฏิรูปเพราะมองว่าพลเอกประยุทธ์มีความสามารถและความตั้งใจ ดังนั้น หากพลเอกประยุทธ์จะอยู่ในตำแหน่ง 3 ปี หรือ 5 ปี ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเสียหายแต่ประการใด[8] ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีจะมีหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินพร้อมทั้งจะต้องทำงานด้านการปฏิรูปการเมืองควบคู่กับ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
สภาปฏิรูปแห่งชาติ
ในระยะเวลาถัดมาได้เกิดสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งเป็นสถาบันทางการเมืองที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มาตรา 27 มีหน้าที่ศึกษาและเสนอแนะเพื่อให้เกิดการปฏิรูปในด้านต่างๆ เพื่อให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีความเหมาะสมกับสภาพสังคมไทย มีระบบการเลือกตั้งที่สุจริตและเป็นธรรม มีกลไกป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบที่มีประสิทธิภาพ ขจัดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทำให้กลไกของรัฐสามารถให้บริการประชาชนได้อย่างทั่วถึง สะดวก รวดเร็วและมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและเป็นธรรม ทั้งนี้ หากพิจารณาการแต่งตั้งสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ พบว่า สมาชิกกว่าครึ่ง หรือประมาณร้อยละ 52 เป็นข้าราชการทั้งอดีตและปัจจุบัน เช่น ปลัด อธิบดี ผู้ว่าราชการ อาจารย์และผู้บริหารมหาวิทยาลัย นายทหารและตำรวจ ฯลฯ และอีกประมาณร้อยละ 19 เป็น นักวิชาการประจำมหาวิทยาลัยและอิสระ สาขาต่างๆ ขณะที่บรรดานายทุน นักธุรกิจ หอการค้าจังหวัด ฯลฯ มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 16 และแกนนำ แนวร่วม กปปส. กลุ่ม 40 ส.ว. อีกประมาณร้อยละ 13[9]
จากการแต่งตั้ง สปช.คณะดังกล่าวได้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อีกเช่นกัน โดยโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ได้ตั้งข้อสังเกตว่ากระบวนการสรรหา สปช. ขาดมิติการมีส่วนร่วมและยึดโยงกับประชาชนและภาคส่วนต่างๆ จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจว่า การปฏิรูปครั้งนี้น่าจะเป็นการปฏิรูปโดยระบบราชการ มากกว่าการปฏิรูปโดยประชาชน จึงสามารถตั้งข้อสงสัยต่อไปได้ว่าการปฏิรูปครั้งนี้จะเป็นไปตามความต้องการของประชาชนหรือไม่ [10] อย่างไรก็ตาม ภารกิจหลักของสภาปฏิรูปแห่งชาติที่สำคัญ 2 ประการ คือ การปฏิรูปประเทศในประเด็นต่างๆ และการให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนั้น “road map ประชาธิปไตย” ของ คสช. ซึ่งดำเนินมาอยู่ในระยะที่ 2 ได้มีการประสานการทำงานการปฏิรูปประเทศโดยองค์กรต่างๆ เพื่อปูทางไปสู่การมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และนำไปสู่การจัดการเลือกตั้งใหม่ตามระบอบประชาธิปไตยตาม road map ระยะที่ 3 ต่อไป
บรรณานุกรม
“คำต่อคำ “ประยุทธ์” เผยโรดแมป “ปรองดอง-ปฏิรูป 1 ปี-เลือกตั้ง” รื้อรถไฟเร็วสูง ไม่ก่อหนี้-งดประชานิยม.” ผู้จัดการออนไลน์. (30 พฤษภาคม 2557). เข้าถึงจาก<http://www.manager.co.th/politics/viewnews.aspx?NewsID=9570000060714>. เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2558.
“ธงชัย วินิจจะกูล ชี้ ผลการตั้ง สนช. เพิ่มความขัดแย้ง.” ประชาไท. (2 สิงหาคม 2557). เข้าถึงจาก<http://www.prachatai.com/journal/2014/08/54870l>. เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2558.
“ประชาธิปัตย์หนุนโรดแมป ด้าน กปปส.ยันเดินหน้าปฏิรูปแม้ยุติเคลื่อนไหวตามคำประกาศของ คสช..” ประชาไท. (31 พฤษภาคม 2557). เข้าถึงจาก<http://www.prachatai.com/journal/2014/05/53689>. เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2558.
“เปิดห้องเรียนประชาธิปไตย (ที่เกือบไม่ได้จัด) ว่าด้วยรัฐธรรมนูญชั่วคราว.” ประชาไท. (13 สิงหาคม 2557). เข้าถึงจาก <http://www.prachatai.com/journal/2014/08/55027>. เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2558.
“‘พระสุเทพ’ ออกโรง! หนุน ‘ประยุทธ์’ เป็นนายกฯต่อ.” กรุงเทพธุรกิจ. (6 พฤษภาคม 2558). เข้าถึงจาก<http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/645722>. เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2558.
“มองโรดแมป 1 ปี 3 เดือน'ปฏิรูปประเทศ.” หอการค้าไทย. เข้าถึงจาก<http://www.thaichamber.org/scripts/detail.asp?nNEWSID=11451>. เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2558.
“รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557.” ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 131 ตอนที่ 55 ก. 22 กรกฎาคม 2557, 1-17.
“สแกนใครเป็นใครใน สปช.: สภาปฏิรูปนายทุนขุนนางและนกหวีด.” ประชาไท. (8 ตุลาคม 2557). เข้าถึงจาก <http://www.prachatai.com/journal/2014/10/55889>. เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2558.
“สภาปฏิรูปแห่งชาติ: ขั้นตอนมากมาย ความหมายเท่าเดิม.” โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw). (25 กันยายน 2557). เข้าถึงจาก <http://ilaw.or.th/node/3255>. เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2558.
“สำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิ UN ออกบทวิเคราะห์ รธน.57.” ประชาไท. (14 ตุลาคม 2557). เข้าถึงจาก <http://www.prachatai.com/journal/2014/10/55984>. เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2558.
อ้างอิง
- ↑ “คำต่อคำ “ประยุทธ์”เผยโรดแมป “ปรองดอง-ปฏิรูป 1 ปี-เลือกตั้ง” รื้อรถไฟเร็วสูง ไม่ก่อหนี้-งดประชานิยม,” ผู้จัดการออนไลน์, (30 พฤษภาคม 2557). เข้าถึงจาก<http://www.manager.co.th/politics/viewnews.aspx?NewsID=9570000060714>. เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2558.
- ↑ “ประชาธิปัตย์หนุนโรดแมป ด้าน กปปส.ยันเดินหน้าปฏิรูปแม้ยุติเคลื่อนไหวตามคำประกาศของ คสช.,” ประชาไท, (31 พฤษภาคม 2557), เข้าถึงจาก<http://www.prachatai.com/journal/2014/05/53689>. เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2558.
- ↑ “มองโรดแมป 1 ปี 3 เดือน'ปฏิรูปประเทศ,” หอการค้าไทย, เข้าถึงจาก<http://www.thaichamber.org/scripts/detail.asp?nNEWSID=11451>. เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2558.
- ↑ “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557,” ราชกิจจานุเบกษา, เล่ม 131 ตอนที่ 55 ก, 22 กรกฎาคม 2557, 1-17.
- ↑ “สำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิ UN ออกบทวิเคราะห์ รธน.57,” ประชาไท, (14 ตุลาคม 2557), เข้าถึงจาก <http://www.prachatai.com/journal/2014/10/55984>. เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2558.
- ↑ “เปิดห้องเรียนประชาธิปไตย (ที่เกือบไม่ได้จัด) ว่าด้วยรัฐธรรมนูญชั่วคราว,” ประชาไท, (13 สิงหาคม 2557), เข้าถึงจาก <http://www.prachatai.com/journal/2014/08/55027>. เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2558.
- ↑ “ธงชัย วินิจจะกูล ชี้ ผลการตั้ง สนช. เพิ่มความขัดแย้ง,” ประชาไท, (2 สิงหาคม 2557), เข้าถึงจาก<http://www.prachatai.com/journal/2014/08/54870l>. เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2558.
- ↑ “‘พระสุเทพ’ ออกโรง! หนุน ‘ประยุทธ์’ เป็นนายกฯต่อ,” กรุงเทพธุรกิจ, (6 พฤษภาคม 2558), เข้าถึงจาก<http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/645722>. เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2558.
- ↑ “สแกนใครเป็นใครใน สปช.: สภาปฏิรูปนายทุนขุนนางและนกหวีด,” ประชาไท, (8 ตุลาคม 2557), เข้าถึงจาก <http://www.prachatai.com/journal/2014/10/55889>. เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2558.
- ↑ “สภาปฏิรูปแห่งชาติ: ขั้นตอนมากมาย ความหมายเท่าเดิม,” โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw), (25 กันยายน 2557), เข้าถึงจาก <http://ilaw.or.th/node/3255>. เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2558.