ผลต่างระหว่างรุ่นของ "9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490"
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 6: | บรรทัดที่ 6: | ||
---- | ---- | ||
วันที่ 9 พฤศจิกายนที่จะกล่าวถึงในครั้งนี้ คือ วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 | วันที่ 9 พฤศจิกายนที่จะกล่าวถึงในครั้งนี้ คือ วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 เพียงหนึ่งวันหลังจากที่คณะ[[รัฐประหาร]]ยึดอำนาจได้โดยล้ม[[รัฐธรรมนูญ]]และล้ม[[รัฐบาล]] จึงต้องประกาศใช้[[รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ฉบับนี้ในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490]] | ||
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ คณะทหารที่ยึดอำนาจตั้งใจเหมือนกันว่าจะให้ใช้เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง จึงเรียกว่า “ฉบับชั่วคราว” โดยเขียนไว้ในวงเล็บ | รัฐธรรมนูญฉบับนี้ คณะทหารที่ยึดอำนาจตั้งใจเหมือนกันว่าจะให้ใช้เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง จึงเรียกว่า “ฉบับชั่วคราว” โดยเขียนไว้ในวงเล็บ | ||
มีเรื่องเล่ากันว่า[[คุณหลวงกาจสงคราม]]เป็นผู้ร่างและได้ซ่อนเอาไว้ที่ใต้ตุ่ม จึงมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า “[[รัฐธรรมนูญฉบับใต้ตุ่ม]]” เข้าใจกันอีกว่าคุณหลวงกาจฯ ได้ร่างอยู่เพียงคนเดียว ถ้าเป็นจริงก็แสดงว่านายทหารผู้นี้มีความรู้ทางด้าน[[กฎหมาย]]อยู่ด้วย ดังบันทึกของประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ ระบุเอาไว้ว่า | |||
“[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490]] ซึ่งหลวงกาจสงครามรับว่าเป็นผู้ร่างและเตรียมซ่อนไว้ใต้ตุ่มน้ำ ได้เป็นผู้นำรัฐธรรมนูญฉบับนั้นขึ้นเสนอ[[ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์]] ลงนามประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน โดยมี[[กรมขุนชัยนาทนเรนทร]] [[ประธานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์]]เป็นผู้ลงนามแต่ผู้เดียว ([[พระยามานวราชเสวี]] ไม่ได้ลงนามร่วมด้วย การลงนามของคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น สภาได้มีมติไว้ว่าการลงนามในหนังสือราชการ ผู้สำเร็จราชการจะต้องลงนามทั้ง 2 คน และมี[[จอมพลแปลก พิบูลสงคราม]] ผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย เป็นผู้ลงนามรับสนอง[[พระบรมราชโองการ]]” เมื่อล้มรัฐบาลก็ต้องตั้งรัฐบาลใหม่ และเมื่อล้มสภาที่มาจาก[[การเลือกตั้ง]]ไป รัฐธรรมนูญ จึงให้เลือกตั้ง[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]ขึ้นใหม่ภายในเวลา 90 วัน ตั้งแต่วันที่ใช้รัฐธรรมนูญ | |||
ส่วนที่ย้อนกลับไปไม่ก้าวหน้าก็คือให้มี[[สมาชิกสภาสูง]]ที่มาจากการแต่งตั้ง และรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็เรียกสภาสูงเสียใหม่ว่า “[[วุฒิสภา]]” แทน[[พฤฒสภา]] ชื่อนี้ติดปากและติดตาติดใจผู้ร่างรัฐธรรมนูญต่อมา จึงใช้เรียกสภาที่สองว่าวุฒิสภาเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ ในตอนนั้นเขียนถึงวุฒิสภาเอาไว้ว่า | |||
“วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกตั้งมีจำนวนเท่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” | “วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกตั้งมีจำนวนเท่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” | ||
บรรทัดที่ 20: | บรรทัดที่ 20: | ||
นอกจากมีจำนวนเท่าผู้แทนราษฎรแล้ว สมาชิกวุฒิสภายังประชุมร่วมกันกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการลงมติไว้วางใจคณะรัฐมนตรีด้วย จึงเท่ากับรัฐบาลมีสมาชิกวุฒิสภาไว้คุ้มครองในการลงมติไม่ไว้วางใจนั่นเอง | นอกจากมีจำนวนเท่าผู้แทนราษฎรแล้ว สมาชิกวุฒิสภายังประชุมร่วมกันกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการลงมติไว้วางใจคณะรัฐมนตรีด้วย จึงเท่ากับรัฐบาลมีสมาชิกวุฒิสภาไว้คุ้มครองในการลงมติไม่ไว้วางใจนั่นเอง | ||
ที่น่าสังเกตก็คือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้บัญญัติเรื่อง | ที่น่าสังเกตก็คือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้บัญญัติเรื่อง “[[อภิรัฐมนตรี]]” ไว้เป็นหมวดหนึ่งขึ้นมาโดยเฉพาะจำนวน 8 มาตรา มีความสำคัญ ดังนี้ | ||
“อภิรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งประจำมีห้านาย เป็นผู้บริหารราชการในพระองค์และถวายคำปรึกษาแด่พระมหากษัตริย์ โดยในมาตรา 74 ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ระบุว่า | “อภิรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งประจำมีห้านาย เป็นผู้บริหารราชการในพระองค์และถวายคำปรึกษาแด่พระมหากษัตริย์ โดยในมาตรา 74 ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ระบุว่า | ||
บรรทัดที่ 28: | บรรทัดที่ 28: | ||
ในวันเดียวกันกับที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ก็ได้ประกาศแต่งตั้งอภิรัฐมนตรี 5 ท่าน ดังนี้ | ในวันเดียวกันกับที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ก็ได้ประกาศแต่งตั้งอภิรัฐมนตรี 5 ท่าน ดังนี้ | ||
1. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร | 1. [[พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร]] | ||
2. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต | 2. [[พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต]] | ||
3. พลโทพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอลงกฏ | 3. [[พลโทพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอลงกฏ]] | ||
4. พระยามานวราชเสวี | 4. [[พระยามานวราชเสวี]] | ||
5. พลตำรวจเอกอดุล อดุลเดชจรัส | 5. [[พลตำรวจเอกอดุล อดุลเดชจรัส]] | ||
พอถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน จึงได้ตั้งสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 100 คนให้มาทำหน้าที่ของรัฐสภาไปก่อน เพราะต้องรอการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร | พอถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน จึงได้ตั้งสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 100 คนให้มาทำหน้าที่ของรัฐสภาไปก่อน เพราะต้องรอการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร | ||
บรรทัดที่ 46: | บรรทัดที่ 46: | ||
สาระที่แก้ไขนั้นก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเลือกตั้ง โดยกำหนดอายุของผู้สมัครเข้ารับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรให้ไม่ต่ำกว่า 35 ปี และไม่ห้ามพระบรมวงศานุวงศ์ลงเลือกตั้งได้ | สาระที่แก้ไขนั้นก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเลือกตั้ง โดยกำหนดอายุของผู้สมัครเข้ารับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรให้ไม่ต่ำกว่า 35 ปี และไม่ห้ามพระบรมวงศานุวงศ์ลงเลือกตั้งได้ | ||
แต่ในเดือนถัดมารัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ถูกแก้ไขอีก คราวนี้เป็นเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญนั่นเอง จึงเป็นการแก้ไขครั้งที่สอง ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาได้ เพราะเดิมไม่ได้บัญญัติให้ทำได้ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญซึ่งถ้าเป็นเพียงคนเดียวก็คงดูได้ไม่รอบคอบ และได้บอกแล้วว่าจะให้ใช้ชั่วคราวตามชื่อ ครั้นได้อำนาจแล้วจึงได้คิดต่อว่าจะทำอย่างไร | แต่ในเดือนถัดมารัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ถูกแก้ไขอีก คราวนี้เป็นเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญนั่นเอง จึงเป็นการแก้ไขครั้งที่สอง ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาได้ เพราะเดิมไม่ได้บัญญัติให้ทำได้ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญซึ่งถ้าเป็นเพียงคนเดียวก็คงดูได้ไม่รอบคอบ และได้บอกแล้วว่าจะให้ใช้ชั่วคราวตามชื่อ ครั้นได้อำนาจแล้วจึงได้คิดต่อว่าจะทำอย่างไร การแก้ไขครั้งที่สองนับว่าสำคัญเพราะอย่างน้อยที่สุดการร่างรัฐธรรมนูญก็ทำกันในรูป[[สภาร่างรัฐธรรมนูญ]] มีผู้คนเข้ามาร่วมคิดร่วมทำมากและแบ่งที่มาเป็นหลายทาง | ||
ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490 นี้ | ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490 นี้ จึงมี[[นายกรัฐมนตรี]]เข้ามาตั้งรัฐบาลบริหารประเทศอยู่ 2 คน คือ นายควง อภัยวงศ์ กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ทั้งสองเคยเป็นผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงฯ มาด้วยกัน แต่ก็แยกทางเดินทางการเมืองกันแล้ว ก่อนหน้านั้น | ||
[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2475-2500]] | [[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2475-2500]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 10:03, 16 กันยายน 2556
ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
วันที่ 9 พฤศจิกายนที่จะกล่าวถึงในครั้งนี้ คือ วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 เพียงหนึ่งวันหลังจากที่คณะรัฐประหารยึดอำนาจได้โดยล้มรัฐธรรมนูญและล้มรัฐบาล จึงต้องประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ฉบับนี้ในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ คณะทหารที่ยึดอำนาจตั้งใจเหมือนกันว่าจะให้ใช้เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง จึงเรียกว่า “ฉบับชั่วคราว” โดยเขียนไว้ในวงเล็บ
มีเรื่องเล่ากันว่าคุณหลวงกาจสงครามเป็นผู้ร่างและได้ซ่อนเอาไว้ที่ใต้ตุ่ม จึงมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า “รัฐธรรมนูญฉบับใต้ตุ่ม” เข้าใจกันอีกว่าคุณหลวงกาจฯ ได้ร่างอยู่เพียงคนเดียว ถ้าเป็นจริงก็แสดงว่านายทหารผู้นี้มีความรู้ทางด้านกฎหมายอยู่ด้วย ดังบันทึกของประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ ระบุเอาไว้ว่า
“รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490 ซึ่งหลวงกาจสงครามรับว่าเป็นผู้ร่างและเตรียมซ่อนไว้ใต้ตุ่มน้ำ ได้เป็นผู้นำรัฐธรรมนูญฉบับนั้นขึ้นเสนอผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ลงนามประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน โดยมีกรมขุนชัยนาทนเรนทร ประธานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นผู้ลงนามแต่ผู้เดียว (พระยามานวราชเสวี ไม่ได้ลงนามร่วมด้วย การลงนามของคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น สภาได้มีมติไว้ว่าการลงนามในหนังสือราชการ ผู้สำเร็จราชการจะต้องลงนามทั้ง 2 คน และมีจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ” เมื่อล้มรัฐบาลก็ต้องตั้งรัฐบาลใหม่ และเมื่อล้มสภาที่มาจากการเลือกตั้งไป รัฐธรรมนูญ จึงให้เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่ภายในเวลา 90 วัน ตั้งแต่วันที่ใช้รัฐธรรมนูญ
ส่วนที่ย้อนกลับไปไม่ก้าวหน้าก็คือให้มีสมาชิกสภาสูงที่มาจากการแต่งตั้ง และรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็เรียกสภาสูงเสียใหม่ว่า “วุฒิสภา” แทนพฤฒสภา ชื่อนี้ติดปากและติดตาติดใจผู้ร่างรัฐธรรมนูญต่อมา จึงใช้เรียกสภาที่สองว่าวุฒิสภาเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ ในตอนนั้นเขียนถึงวุฒิสภาเอาไว้ว่า
“วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกตั้งมีจำนวนเท่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”
นอกจากมีจำนวนเท่าผู้แทนราษฎรแล้ว สมาชิกวุฒิสภายังประชุมร่วมกันกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการลงมติไว้วางใจคณะรัฐมนตรีด้วย จึงเท่ากับรัฐบาลมีสมาชิกวุฒิสภาไว้คุ้มครองในการลงมติไม่ไว้วางใจนั่นเอง
ที่น่าสังเกตก็คือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้บัญญัติเรื่อง “อภิรัฐมนตรี” ไว้เป็นหมวดหนึ่งขึ้นมาโดยเฉพาะจำนวน 8 มาตรา มีความสำคัญ ดังนี้
“อภิรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งประจำมีห้านาย เป็นผู้บริหารราชการในพระองค์และถวายคำปรึกษาแด่พระมหากษัตริย์ โดยในมาตรา 74 ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ระบุว่า
“ในการตั้งนายกรัฐมนตรี ประธานคณะอภิรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”
ในวันเดียวกันกับที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ก็ได้ประกาศแต่งตั้งอภิรัฐมนตรี 5 ท่าน ดังนี้
1. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร
2. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต
3. พลโทพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอลงกฏ
พอถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน จึงได้ตั้งสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 100 คนให้มาทำหน้าที่ของรัฐสภาไปก่อน เพราะต้องรอการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
คำว่าอภิรัฐมนตรีที่ใช้อยู่ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490 นี้ ต่อมาก็ไม่ปรากฏใช้ในรัฐธรรมนูญอีกเลย
แม้ว่าจะบอกว่าเป็นรัฐธรรมนูญชั่วคราว แต่ระหว่างที่ใช้อยู่ประมาณ 2 ปีก็ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับนี้ 2 ครั้ง ในครั้งแรกได้แก้ไขเมื่อสมัยที่นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2490 เป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
สาระที่แก้ไขนั้นก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเลือกตั้ง โดยกำหนดอายุของผู้สมัครเข้ารับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรให้ไม่ต่ำกว่า 35 ปี และไม่ห้ามพระบรมวงศานุวงศ์ลงเลือกตั้งได้
แต่ในเดือนถัดมารัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ถูกแก้ไขอีก คราวนี้เป็นเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญนั่นเอง จึงเป็นการแก้ไขครั้งที่สอง ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาได้ เพราะเดิมไม่ได้บัญญัติให้ทำได้ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญซึ่งถ้าเป็นเพียงคนเดียวก็คงดูได้ไม่รอบคอบ และได้บอกแล้วว่าจะให้ใช้ชั่วคราวตามชื่อ ครั้นได้อำนาจแล้วจึงได้คิดต่อว่าจะทำอย่างไร การแก้ไขครั้งที่สองนับว่าสำคัญเพราะอย่างน้อยที่สุดการร่างรัฐธรรมนูญก็ทำกันในรูปสภาร่างรัฐธรรมนูญ มีผู้คนเข้ามาร่วมคิดร่วมทำมากและแบ่งที่มาเป็นหลายทาง
ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490 นี้ จึงมีนายกรัฐมนตรีเข้ามาตั้งรัฐบาลบริหารประเทศอยู่ 2 คน คือ นายควง อภัยวงศ์ กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ทั้งสองเคยเป็นผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงฯ มาด้วยกัน แต่ก็แยกทางเดินทางการเมืองกันแล้ว ก่อนหน้านั้น