ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 3 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน)
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:
<div>
<div><div>
ผู้เรียบเรียง&nbsp;: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล
 
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ&nbsp;: นายภัทระ คำพิทักษ์
 
----
 
= พระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 =
= พระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 =
</div>  
</div>  
&nbsp;
&nbsp;
<div>
<div>
== '''๑. ความเป็นมา''' ==
== '''ความเป็นมา''' ==
</div>  
</div>  
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; นับตั้งแต่สมัยสุโขทัยสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศตลอดมา ทรงเป็นทั้งเจ้าแผ่นดิน เจ้าชีวิตและเจ้าของที่ดินตลอดทั่วราชอาณาจักร[[#_ftn1|[1]]] ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ พระราชสถานะของพระมหากษัตริย์ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นพระมหากษัตริย์ภายในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขแห่งรัฐโดยมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดการใช้อำนาจอธิปไตย (อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ) ให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยผ่านทางองค์กร ๓ ฝ่าย คือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ อันเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้กำหนดสถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไว้ในหมวดที่ ตั้งแต่มาตรา ถึง มาตรา ๒๔ รวม ๑๙ มาตรา บทบัญญัติในหมวดนี้กำหนดขึ้นเพื่อรองรับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; นับตั้งแต่สมัยสุโขทัยสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศตลอดมา ทรงเป็นทั้งเจ้าแผ่นดิน เจ้าชีวิตและเจ้าของที่ดินตลอดทั่วราชอาณาจักร[[#_ftn1|[1]]] ต่อมาเมื่อมี[[การเปลี่ยนแปลงการปกครอง_24_มิถุนายน_2475|การเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475]] พระราชสถานะของพระมหากษัตริย์ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นพระมหากษัตริย์ภายในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขแห่งรัฐโดยมี[[รัฐธรรมนูญ|รัฐธรรมนูญ]]แห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดการใช้อำนาจอธิปไตย (อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ) ให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้[[อำนาจอธิปไตย|อำนาจอธิปไตย]]ผ่านทางองค์กร 3 ฝ่าย คือ [[ฝ่ายบริหาร|ฝ่ายบริหาร]] [[ฝ่ายนิติบัญญัติ|ฝ่ายนิติบัญญัติ]]และ[[ฝ่ายตุลาการ|ฝ่ายตุลาการ]] ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 อันเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้กำหนดสถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไว้ในหมวดที่ 2 ตั้งแต่มาตรา 6 ถึง มาตรา 24 รวม 19 มาตรา บทบัญญัติในหมวดนี้กำหนดขึ้นเพื่อรองรับ[[พระราชอำนาจ|พระราชอำนาจ]]ของพระมหากษัตริย์ ใน[[พระมหากษัตริย์ไทยในระบอบประชาธิปไตย|การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข]]


อย่างไรก็ตามในหมวดพระมหากษัตริย์นี้ได้เพิ่มบทบัญญัติที่สำคัญหลายประการอันแตกต่างจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่ผ่าน ๆ มาในอดีต ดังนี้[[#_ftn2|[2]]]
อย่างไรก็ตามในหมวดพระมหากษัตริย์นี้ได้เพิ่มบทบัญญัติที่สำคัญหลายประการอันแตกต่างจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่ผ่าน ๆ มาในอดีต ดังนี้[[#_ftn2|[2]]]


) การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ และได้มีการปรับปรุงหลักการหลักการจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ โดยให้การสถาปนาฐานันดรศักดิ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่บุคคลใด ย่อมเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะตามพระราชอัธยาศัย และบัญญัติพระราชอำนาจในการถอดถอนฐานันดรศักดิ์ และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไว้ซึ่งแต่เดิมพระราชอำนาจในการถอดถอนฐานันดรศักดิ์และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์จะบัญญัติไว้ในหมวดคณะรัฐมนตรี (มาตรา )
1) การแต่งตั้ง[[ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์|ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์]] การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ และได้มีการปรับปรุงหลักการหลักการจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ โดยให้การสถาปนาฐานันดรศักดิ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่บุคคลใด ย่อมเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะตามพระราชอัธยาศัย และบัญญัติพระราชอำนาจในการถอดถอนฐานันดรศักดิ์ และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไว้ซึ่งแต่เดิมพระราชอำนาจในการถอดถอนฐานันดรศักดิ์และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์จะบัญญัติไว้ในหมวดคณะรัฐมนตรี (มาตรา 9)


) การจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกา (มาตรา ๑๕ วรรคสอง) ถือเป็นบทบัญญัติที่เพิ่มขึ้นใหม่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐
2) การจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยตามที่บัญญัติไว้ใน[[พระราชกฤษฎีกา|พระราชกฤษฎีกา]] (มาตรา 15 วรรคสอง) ถือเป็นบทบัญญัติที่เพิ่มขึ้นใหม่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560


3) ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ เนื่องจากในยุคปัจจุบันนี้การติดต่อสื่อสาร และการเดินทางมีความสะดวกรวดเร็ว และไม่มีปัญหาต่อการบริหารราชการแผ่นดิน การที่กำหนดให้ต้องมีการตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในทุกครั้งไปเช่นเดิมนั้นย่อมไม่สอดคล้องกับความเจริญก้าวหน้าของสังคมในปัจจุบัน
3) ในกรณีที่พระมหากัตริย์ไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ เนื่องจากในยุคปัจจุบันนี้การติดต่อสื่อสาร และการเดินทางมีความสะดวกรวดเร็ว และไม่มีปัญหาต่อ[[การบริหารราชการแผ่นดิน|การบริหารราชการแผ่นดิน]] การที่กำหนดให้ต้องมีการตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในทุกครั้งไปเช่นเดิมนั้นย่อมไม่สอดคล้องกับความเจริญก้าวหน้าของสังคมในปัจจุบัน


) วิธีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในกรณีที่มิได้มีการแต่งตั้งไว้แล้วเกิดกรณีจำเป็นที่จะต้องแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (มาตรา ๑๗) บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ได้บัญญัติเปลี่ยนแปลงจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ) พุทธศักราช ๒๕๖๐ (มาตรา วรรคสาม) แต่เดิมมักจะกำหนดกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไว้ ให้คณะองคมนตรีเสนอชื่อผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในส่วนของการเปลี่ยนแปลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้บัญญัติหลักการใหม่ความว่า “ตามลำดับที่โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมกำหนดไว้ก่อนแล้ว” หมายความว่า พระมหากษัตริย์จะทรงกำหนดบัญชีรายชื่อไว้ล่วงหน้า เมื่อมีเหตุที่คณะองคมนตรีจะเสนอชื่อบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะเพื่อเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จะต้องเป็นไปตามลำดับบัญชีรายชื่อที่ทรงกำหนดไว้ก่อนแล้วเท่านั้น
4) วิธีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในกรณีที่มิได้มีการแต่งตั้งไว้แล้วเกิดกรณีจำเป็นที่จะต้องแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (มาตรา 17) บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ได้บัญญัติเปลี่ยนแปลงจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2560&nbsp;(มาตรา 2 วรรคสาม) แต่เดิมมักจะกำหนดกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไว้ ให้[[คณะองคมนตรี|คณะองคมนตรี]]เสนอชื่อผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในส่วนของการเปลี่ยนแปลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้บัญญัติหลักการใหม่ความว่า “ตามลำดับที่โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมกำหนดไว้ก่อนแล้ว” หมายความว่า พระมหากษัตริย์จะทรงกำหนดบัญชีรายชื่อไว้ล่วงหน้า เมื่อมีเหตุที่คณะองคมนตรีจะเสนอชื่อบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะเพื่อเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จะต้องเป็นไปตามลำดับบัญชีรายชื่อที่ทรงกำหนดไว้ก่อนแล้วเท่านั้น


&nbsp;
&nbsp;
<div>
<div>
== '''๒.สถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560''' ==
== '''สถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช '''''2560''' ==
</div>  
</div>  
ในส่วนของการมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้นเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมาและการมีประเพณีในการปกครองที่ยาวนานของรัฐนั้นตลอดจนเป็นการแยกพระมหากษัตริย์ออกจากการเมือง เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาดและรวมศูนย์อำนาจไว้มากเกินไป ทั้งนี้ การมีพระมหากษัตริย์จึงช่วยรักษาดุลยภาพให้เกิดขึ้นทั้งภายในสังคมและในทางการเมือง สะท้อนให้เห็นลักษณะการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ ที่เรียกว่า “ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ” (Limited Monarchy)
ในส่วนของการมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้นเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมาและการมีประเพณีในการปกครองที่ยาวนานของรัฐนั้นตลอดจนเป็นการแยกพระมหากษัตริย์ออกจากการเมือง เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาดและรวมศูนย์อำนาจไว้มากเกินไป ทั้งนี้ การมีพระมหากษัตริย์จึงช่วยรักษาดุลยภาพให้เกิดขึ้นทั้งภายในสังคมและในทางการเมือง สะท้อนให้เห็นลักษณะการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ ที่เรียกว่า “[[ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ|ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ]]” (Limited Monarchy)


เมื่อพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ในหลายประเด็น กล่าวคือ
เมื่อพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ในหลายประเด็น กล่าวคือ
บรรทัดที่ 36: บรรทัดที่ 30:
พระมหากษัตริย์ทรงมีสถานะเป็นประมุขของรัฐ (Head of State) ซึ่งมีสถานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระนามพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้ (มาตรา 6) และยังมีสถานะอื่น ๆ คือ ทรงเป็นพุทธมามกะและทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก (มาตรา 7) ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย (มาตรา 8)
พระมหากษัตริย์ทรงมีสถานะเป็นประมุขของรัฐ (Head of State) ซึ่งมีสถานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระนามพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้ (มาตรา 6) และยังมีสถานะอื่น ๆ คือ ทรงเป็นพุทธมามกะและทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก (มาตรา 7) ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย (มาตรา 8)


การลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ถือเป็นกระบวนการตรากฎหมายในรูปแบบของรัฐสภา สืบเนื่องจากหลัก “ประมุขของรัฐไม่ต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดิน” (King can do no wrong) จึงทำให้พระราชอำนาจของพระองค์ทรงอยู่เหนือการเมือง ตามบทบัญญัติมาตรา 6 “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้” ในอดีตการลงนามรับสนองพระบรมราชโองการไม่ใช่หลักความรับผิดชอบแทนพระมหากษัตริย์ แต่เป็นหลักที่มาจากกฎหมายที่ออกจากพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อนต้องได้รับการยินยอมจากประธานคณะที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ ด้วยการลงนามกำกับว่ากฎหมายที่ออกจะไม่ขัดต่อจารีตประเพณี
การลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ถือเป็น[[กระบวนการตรากฎหมาย|กระบวนการตรากฎหมาย]]ในรูปแบบของ[[รัฐสภา|รัฐสภา]] สืบเนื่องจากหลัก “[[ประมุขของรัฐไม่ต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดิน|ประมุขของรัฐไม่ต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดิน]]” (King can do no wrong) จึงทำให้[[พระราชอำนาจ|พระราชอำนาจ]]ของพระองค์ทรงอยู่เหนือการเมือง ตามบทบัญญัติมาตรา 6 “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้” ในอดีตการลงนามรับสนอง[[พระบรมราชโองการ|พระบรมราชโองการ]]ไม่ใช่หลักความรับผิดชอบแทนพระมหากษัตริย์ แต่เป็นหลักที่มาจากกฎหมายที่ออกจากพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อนต้องได้รับการยินยอมจากประธานคณะที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ ด้วยการลงนามกำกับว่ากฎหมายที่ออกจะไม่ขัดต่อจารีตประเพณี


ภายหลังเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย นายกรัฐมนตรีจึงเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ เว้นแต่นายกรัฐมนตรีจะมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือบุคคลอื่นใดเป็นผู้ทำหน้าที่แทน บุคคลผู้รับลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ คือ บุคคลที่จะต้องรับผิดชอบในทุกทาง เพราะในทางปฏิบัติพระมหากษัตริย์ทรงเป็นกลางทางการเมืองและไม่ทรงยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ดังนี้ จึงเป็นการเหมาะสมภายใต้หลักประมุขของรัฐไม่ต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดิน
ภายหลังเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย [[นายกรัฐมนตรี|นายกรัฐมนตรี]]จึงเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ เว้นแต่นายกรัฐมนตรีจะมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือบุคคลอื่นใดเป็นผู้ทำหน้าที่แทน บุคคลผู้รับลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ คือ บุคคลที่จะต้องรับผิดชอบในทุกทาง เพราะในทางปฏิบัติพระมหากษัตริย์ทรงเป็นกลางทางการเมืองและไม่ทรงยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ดังนี้ จึงเป็นการเหมาะสมภายใต้หลักประมุขของรัฐไม่ต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดิน


'''2.2 พระราชอํานาจของพระมหากษัตริย์'''
'''2.2 พระราชอํานาจของพระมหากษัตริย์'''
บรรทัดที่ 46: บรรทัดที่ 40:
1) ในส่วนพระราชอำนาจของการสถาปนาและถอดถอนฐานันดรศักดิ์ พระราชอำนาจในการพระราชทานและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ (มาตรา 9) &nbsp;
1) ในส่วนพระราชอำนาจของการสถาปนาและถอดถอนฐานันดรศักดิ์ พระราชอำนาจในการพระราชทานและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ (มาตรา 9) &nbsp;


2) พระราชอำนาจในการทรงเลือกและทรงแต่งตั้งประธานองคมนตรีและคณะองคมนตรี (มาตรา 10)&nbsp;
2) พระราชอำนาจในการทรงเลือกและทรงแต่งตั้ง[[ประธานองคมนตรี|ประธานองคมนตรี]]และ[[คณะองคมนตรี|คณะองคมนตรี]] (มาตรา 10)&nbsp;


3) พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในกรณีที่ไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักรหรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม (มาตรา 16)
3) พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในกรณีที่ไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักรหรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม (มาตรา 16)


4) พระมหากษัตริย์ยังทรงมีพระราชอำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 ทรงเป็นพระราชอำนาจเฉพาะของพระองค์เท่านั้น (มาตรา 20) และพระราชอำนาจในการแต่งตั้งพระรัชทายาทตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467
4) พระมหากษัตริย์ยังทรงมีพระราชอำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติม[[กฎมณเฑียรบาล_(โดม_ไกรปกรณ์)|กฎมณเฑียรบาล]]ว่าด้วย[[การสืบราชสันตติวงศ์|การสืบราชสันตติวงศ์]]&nbsp;พระพุทธศักราช 2467 ทรงเป็นพระราชอำนาจเฉพาะของพระองค์เท่านั้น (มาตรา 20) และพระราชอำนาจในการแต่งตั้งพระรัชทายาทตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467


สำหรับในทางกฎหมายแล้วพระมหากษัตริย์ถือเป็นบ่อเกิดแห่งกฎหมาย เนื่องจากร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาแล้วจะต้องให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ลงนามก่อนที่จะมีการประกาศใช้ หากพระมหากษัตริย์ไม่ลงนามในร่างกฎหมายฉบับใดร่างกฎหมายนั้นก็ไม่มีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ยังมีพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษซึ่งเป็นหลักสากลที่ประมุขของรัฐเป็นผู้มีอำนาจดังกล่าว ดังนั้น เมื่อพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐเป็นบ่อเกิดแห่งกฎหมายแล้วยังสามารถระงับยับยั้งผลแห่งกฎหมายนั้นได้ด้วย ตามความในมาตรา 3 แห่งรัฐธรรมนูญที่บัญญัติว่า “อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อํานาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ”
สำหรับในทาง[[กฎหมาย|กฎหมาย]]แล้วพระมหากษัตริย์ถือเป็นบ่อเกิดแห่งกฎหมาย เนื่องจากร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของ[[รัฐสภา|รัฐสภา]]แล้วจะต้องให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ลงนามก่อนที่จะมีการประกาศใช้ หากพระมหากษัตริย์ไม่ลงนามในร่างกฎหมายฉบับใดร่างกฎหมายนั้นก็ไม่มีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ยังมีพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษซึ่งเป็นหลักสากลที่ประมุขของรัฐเป็นผู้มีอำนาจดังกล่าว ดังนั้น เมื่อพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐเป็นบ่อเกิดแห่งกฎหมายแล้วยังสามารถระงับยับยั้งผลแห่งกฎหมายนั้นได้ด้วย ตามความในมาตรา 3 แห่งรัฐธรรมนูญที่บัญญัติว่า “อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อํานาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ”


การลงพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ สืบเนื่องจากพระราชอำนาจที่มีมาแต่ดั้งเดิม “พระบรมราชานุภาพของพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยามนี้ มิได้มีปรากฏในกฎหมายอันหนึ่งอันใดด้วยเหตุที่ถือว่าเป็นล้นพ้น ไม่มีสิ่งใดหรือผู้ใดจะบังคับขัดขวางได้” หมายความว่า พระราชดำรัสถือเป็นองค์อธิปัตย์ในการดำเนินการทั้งปวง หลังจากมีรัฐธรรมนูญ ที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย จึงกำหนดให้พระราชอำนาจบางประเภทของพระองค์ยังดำรงอยู่ เช่น อำนาจในการยุบสภา การยับยั้งร่างกฎหมาย การประกาศสงคราม การอภัยโทษ เป็นต้น
[[การลงพระปรมาภิไธย|การลงพระปรมาภิไธย]]ของพระมหากษัตริย์ สืบเนื่องจากพระราชอำนาจที่มีมาแต่ดั้งเดิม “พระบรมราชานุภาพของพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยามนี้ มิได้มีปรากฏในกฎหมายอันหนึ่งอันใดด้วยเหตุที่ถือว่าเป็นล้นพ้น ไม่มีสิ่งใดหรือผู้ใดจะบังคับขัดขวางได้” หมายความว่า พระราชดำรัสถือเป็น[[องค์อธิปัตย์|องค์อธิปัตย์]]ในการดำเนินการทั้งปวง หลังจากมีรัฐธรรมนูญ ที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย จึงกำหนดให้พระราชอำนาจบางประเภทของพระองค์ยังดำรงอยู่ เช่น [[อำนาจในการยุบสภา|อำนาจในการยุบสภา]] [[การยับยั้งร่างกฎหมาย|การยับยั้งร่างกฎหมาย]] การประกาศสงคราม การอภัยโทษ เป็นต้น
<div>
<div>
== '''๓.การสืบราชสมบัติของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560''' ==
== '''การสืบราชสมบัติของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ''''''2560''' ==
</div>  
</div>  
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้กำหนดในส่วนของการสืบราชสมบัติของพระมหากษัตริย์ ไว้ดังนี้
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้กำหนดในส่วนของการสืบราชสมบัติของพระมหากษัตริย์ ไว้ดังนี้


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; . การสืบราชสมบัติให้เป็นไปตามกฎมนเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๗ ทั้งเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาล[[#_ftn3|[3]]]
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1. การสืบราชสมบัติให้เป็นไปตามกฎมนเฑียรบาลว่าด้วย[[การสืบราชสันตติวงศ์|การสืบราชสันตติวงศ์]] พุทธศักราช 2467 ทั้งเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาล[[#_ftn3|[3]]]


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; . กรณีของราชบัลลังก์ว่างลง รัฐธรรมนูญฯ กำหนดเป็น ประการ[[#_ftn4|[4]]]
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 2. กรณีของราชบัลลังก์ว่างลง รัฐธรรมนูญฯ กำหนดเป็น 3 ประการ[[#_ftn4|[4]]]


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ) กรณีราชบัลลังก์ว่างลงและมีการแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันนติวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๗
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1) กรณีราชบัลลังก์ว่างลงและมีการแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันนติวงศ์ พุทธศักราช 2467


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; () เป็นหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่จะต้องทำการแจ้งให้ประธานรัฐสภารับทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบ
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; (1) เป็นหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่จะต้องทำการแจ้งให้[[ประธานรัฐสภา|ประธานรัฐสภา]]รับทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียก[[ประชุมรัฐสภา|ประชุมรัฐสภา]]เพื่อรับทราบ


() ประธานรัฐสภาทำการอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; (2) ประธานรัฐสภาทำการอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์


สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ
สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ) กรณีราชบัลลังก์ว่างลงและและไม่มีการแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันนติวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๗
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 2) กรณีราชบัลลังก์ว่างลงและและไม่มีการแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันนติวงศ์ พุทธศักราช 2467


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; () เป็นหน้าที่ขององคมนตรีในการเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในการนี้ จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; (1) เป็นหน้าที่ขององคมนตรีในการเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ต่อ[[คณะรัฐมนตรี|คณะรัฐมนตรี]]เพื่อเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในการนี้ จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; () เมื่อรัฐสภาเห็นชอบ ประธานสภารัฐสภาจะดำเนินการอัญเชิญองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; (2) เมื่อรัฐสภาเห็นชอบ ประธานสภารัฐสภาจะดำเนินการอัญเชิญองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ) กรณีแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 3) กรณีแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เมื่อราชบัลลังก์ว่างลงและและไม่มีการแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันนติวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๗ ทั้งยังไม่มีการประกาศอัญเชิญองค์พระรัชทายาทหรือองค์ผู้สืบสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ เช่นนี้ รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะได้ประกาศอัญเชิญองค์พระรัชทายาทหรือองค์ผู้สืบสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เมื่อราชบัลลังก์ว่างลงและและไม่มีการแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตาม[[กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์_พุทธศักราช_2467|กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์_พุทธศักราช_2467]] ทั้งยังไม่มีการประกาศอัญเชิญองค์พระรัชทายาทหรือองค์ผู้สืบสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ เช่นนี้ รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะได้ประกาศอัญเชิญองค์พระรัชทายาทหรือองค์ผู้สืบสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์


&nbsp;
&nbsp;
<div>
<div>
== '''4. เปรียบเทียบความแตกต่างในหมวดพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย''' ==
== '''เปรียบเทียบความแตกต่างในหมวดพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย''' ==
</div>  
</div>  
&nbsp;
&nbsp;
บรรทัดที่ 90: บรรทัดที่ 84:
{| border="1" cellpadding="0" cellspacing="0"
{| border="1" cellpadding="0" cellspacing="0"
|-
|-
| style="width:140px;" |  
| style="width:139px;" |  
'''ประเด็นสำคัญ'''
'''ประเด็นสำคัญ'''


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
'''รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540'''
'''รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540'''


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
'''รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550'''
'''รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550'''


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
'''รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560'''
'''รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560'''


|-
|-
| style="width:140px;" |  
| style="width:139px;" |  
) พระราชอำนาจที่จะสถาปนาและถอดถอนฐานันดรศักดิ์และพระราชทานและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์
1) พระราชอำนาจที่จะสถาปนาและถอดถอนฐานันดรศักดิ์และพระราชทานและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
กำหนดไว้ในมาตรา 11 และมาตรา 226 ในหมวดคณะรัฐมนตรี
กำหนดไว้ในมาตรา 11 และมาตรา 226 ในหมวดคณะรัฐมนตรี


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540
บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับ[[รัฐธรรมนูญ_พ.ศ._2540|รัฐธรรมนูญ_พ.ศ._2540]]


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
แก้ไขด้วยการตัดในหมวดคณะรัฐมนตรีมาบัญญัติไว้ในที่เดียวกันในมาตรา 9 “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะสถาปนาและถอดถอนฐานันดรศักดิ์ และพระราชทานและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์”
แก้ไขด้วยการตัดในหมวดคณะรัฐมนตรีมาบัญญัติไว้ในที่เดียวกันในมาตรา 9 “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะสถาปนาและถอดถอนฐานันดรศักดิ์ และพระราชทานและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์”


|-
|-
| style="width:140px;" |  
| style="width:139px;" |  
) ลักษณะต้องห้ามขององคมนตรี
2) ลักษณะต้องห้ามขององคมนตรี


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา กรรมการการเลือกตั้ง '''ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา''' กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ '''ตุลาการศาลปกครอง''' กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด ๆ
องคมนตรีต้องไม่เป็น[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร|สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]] [[สมาชิกวุฒิสภา|สมาชิกวุฒิสภา]] กรรมการการเลือกตั้ง [[ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา|ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา]] กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ [[ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ|ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ]] [[ตุลาการศาลปกครอง|ตุลาการศาลปกครอง]] [[กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ|กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ]] [[กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน|กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน]] ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของ[[พรรคการเมือง|พรรคการเมือง]] และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด ๆ


&nbsp;
&nbsp;
บรรทัดที่ 126: บรรทัดที่ 120:
&nbsp;
&nbsp;


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 แต่ได้ปรับแก้ไขถ้อยคำ “'''ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา'''” เป็น “'''ผู้ตรวจการแผ่นดิน'''
บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 แต่ได้ปรับแก้ไขถ้อยคำ “'''ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา'''” เป็น “[[ผู้ตรวจการแผ่นดิน|ผู้ตรวจการแผ่นดิน]]


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
ปรับแก้ไขการกำหนดลักษณะต้องห้ามขององคมนตรี<br/> “องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง หรือข้าราชการเว้นแต่การเป็นข้าราชการในพระองค์ในตำแหน่งองคมนตรี และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด ๆ” '''ตัดตุลาการศาลปกครองออกเนื่องจากถือว่าเป็นข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่แล้ว'''
ปรับแก้ไขการกำหนดลักษณะต้องห้ามขององคมนตรี<br/> “องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง หรือข้าราชการเว้นแต่การเป็นข้าราชการในพระองค์ในตำแหน่งองคมนตรี และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด ๆ” '''ตัดตุลาการศาลปกครองออกเนื่องจากถือว่าเป็นข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่แล้ว'''


|-
|-
| style="width:140px;" |  
| style="width:139px;" |  
3) การแต่งตั้งและให้ข้าราชการในพระองค์พ้นจากตำแหน่ง
3) การแต่งตั้งและให้ข้าราชการในพระองค์พ้นจากตำแหน่ง


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
มาตรา 17 “การแต่งตั้ง<br/> และการให้ข้าราชการในพระองค์และสมุหราชองครักษ์พ้นจากตำแหน่ง ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย”
มาตรา 17 “การแต่งตั้ง<br/> และการให้ข้าราชการในพระองค์และสมุหราชองครักษ์พ้นจากตำแหน่ง ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย”


&nbsp;
&nbsp;


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540
บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540แต่ได้มี'''การเพิ่มเติมไว้ในมาตรา 15 วรรคสอง''' “การจัดระเบียบ<br/> ราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกา”
บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540แต่ได้มี'''การเพิ่มเติมไว้ในมาตรา 15 วรรคสอง''' “การจัดระเบียบ<br/> ราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกา”


|-
|-
| style="width:140px;" |  
| style="width:139px;" |  
) การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการในกรณีที่พระมหากษัตริย์จะไม่ประทับในประเทศ
4) การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการในกรณีที่พระมหากษัตริย์จะไม่ประทับในประเทศ


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
มาตรา ๑๘'''“'''ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จะได้'''ทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์''' และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”
มาตรา 18&nbsp;'''“'''ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จะได้'''ทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์''' และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540
บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
มาตรา ๑๖ ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม '''จะทรงแต่งตั้งบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะขึ้น ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้'''
มาตรา 16 ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม '''จะทรงแต่งตั้งบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะขึ้น ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้'''


|-
|-
| style="width:140px;" |  
| style="width:139px;" |  
) การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการตามลำดับ
5) การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการตามลำดับ


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
'''มาตรา ๑๙''' “...ให้คณะองคมนตรีเสนอชื่อผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งสมควรดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ประธานรัฐสภาประกาศในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ แต่งตั้งผู้นั้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
'''มาตรา 19''' “...ให้คณะองคมนตรีเสนอชื่อผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งสมควรดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ประธานรัฐสภาประกาศในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ แต่งตั้งผู้นั้นเป็น[[ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์|ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์]]


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540
บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
'''มาตรา ๑๗ '''“...ให้คณะองคมนตรีเสนอชื่อบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะ '''ตามลำดับที่โปรดเกล้าโปรด'''
'''มาตรา 17 '''“...ให้คณะองคมนตรีเสนอชื่อบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะ '''ตามลำดับที่โปรดเกล้าโปรด'''


'''กระหม่อมกำหนดไว้ก่อนแล้ว ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์''' แล้วแจ้งประธานรัฐสภาเพื่อประกาศในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ แต่งตั้งผู้นั้นขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์”
'''กระหม่อมกำหนดไว้ก่อนแล้ว ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์''' แล้วแจ้งประธานรัฐสภาเพื่อประกาศในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ แต่งตั้งผู้นั้นขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์”


|-
|-
| style="width:140px;" |  
| style="width:139px;" |  
) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมรัฐสภา
6) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมรัฐสภา


&nbsp;
&nbsp;


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
'''มาตรา 21 วรรคสอง''' “
'''มาตรา 21 วรรคสอง''' “


ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ ให้วุฒิสภาทำหน้าที่รัฐสภาตามมาตรานี้ ”
ในระหว่างที่[[สภาผู้แทนราษฎร|สภาผู้แทนราษฎร]]สิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ ให้วุฒิสภาทำหน้าที่รัฐสภาตามมาตรานี้ ”


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540
บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
'''มาตรา 19 วรรคสอง''' “ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งเคยได้รับการแต่งตั้งและปฏิญาณตนมาแล้ว ไม่ต้องปฏิญาณตนอีก” เป็นผลจากการปรับแก้ไขใหม่จากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณา<br/> จักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ) พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๓๙/วรรคสิบเอ็ด
'''มาตรา 19 วรรคสอง''' “ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งเคยได้รับการแต่งตั้งและปฏิญาณตนมาแล้ว ไม่ต้องปฏิญาณตนอีก” เป็นผลจากการปรับแก้ไขใหม่จาก[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_(ฉบับชั่วคราว)_พุทธศักราช_2557_แก้ไขเพิ่มเติม_(ฉบับที่_4)_พุทธศักราช_2560&#124;รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณา<br/> จักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2560 ]]มาตรา 39/1 วรรคสิบเอ็ด


|-
|-
| style="width:140px;" |  
| style="width:139px;" |  
) ขั้นตอนการอัญเชิญ
7) ขั้นตอนการอัญเชิญ


องค์พระรัชทายาทในกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ หรือการอัญเชิญองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ในกรณีที่
องค์พระรัชทายาทในกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ หรือการอัญเชิญองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ในกรณีที่
บรรทัดที่ 200: บรรทัดที่ 194:
พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลง
พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลง


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
'''มาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง''' “ในกรณีที่...'''พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้'''...ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบและให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ”
'''มาตรา 23 วรรคหนึ่ง''' “ในกรณีที่...'''พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้'''...ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภา[[เรียกประชุมรัฐสภา|เรียกประชุมรัฐสภา]]เพื่อรับทราบและให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ”


'''มาตรา 23 วรรคสอง'''“ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงและเป็น'''กรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทา''''''ยาทไว้'''ตามวรรคหนึ่ง ให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา ๒๐ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาเพื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในการนี้ จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไปแล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ”
'''มาตรา 23 วรรคสอง'''“ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงและเป็น'''กรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทา''''''ยาทไว้'''ตามวรรคหนึ่ง ให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา 2๐ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาเพื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในการนี้ จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์[[ผู้สืบราชสันตติวงศ์|ผู้สืบราชสันตติวงศ์]]ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไปแล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ”


'''มาตรา 23 วรรคท้าย''' “ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ ให้วุฒิสภาทาหน้าที่รัฐสภาในการรับทราบตามวรรคหนึ่งหรือให้ความเห็นชอบตามวรรคสอง”
'''มาตรา 23 วรรคท้าย''' “ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ ให้วุฒิสภาทาหน้าที่รัฐสภาในการรับทราบตามวรรคหนึ่งหรือให้ความเห็นชอบตามวรรคสอง”


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540
บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
'''มาตรา ๒๑''' วรรคหนึ่งและวรรคสองบัญญัติกระบวนการและขั้นตอนไว้เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาตรา 23 วรรคหนึ่งและวรรคสอง
'''มาตรา 21''' วรรคหนึ่งและวรรคสองบัญญัติกระบวนการและขั้นตอนไว้เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาตรา 23 วรรคหนึ่งและวรรคสอง


โดยได้'''ตัดบทบัญญัติในวรรคท้ายของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ทิ้งไป'''
โดยได้'''ตัดบทบัญญัติในวรรคท้ายของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ทิ้งไป'''


|-
|-
| style="width:140px;" |  
| style="width:139px;" |  
) วิธีการถวายสัตย์ปฏิญาณ
8) วิธีการถวายสัตย์ปฏิญาณ


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
ไม่มีกำหนด
ไม่มีกำหนด


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
ไม่มีกำหนด
ไม่มีกำหนด


| style="width:171px;" |  
| style="width:170px;" |  
[['''มาตรา_๒๔'''|'''มาตรา ๒๔''']]&nbsp; “การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย พระมหากษัตริย์จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กระทำต่อพระรัชทายาทซึ่งทรงบรรลุนิติภาวะแล้วหรือต่อผู้แทนพระองค์ก็ได้”
'''มาตรา 24'''&nbsp; “การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย พระมหากษัตริย์จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กระทำต่อพระรัชทายาทซึ่งทรงบรรลุนิติภาวะแล้วหรือต่อผู้แทนพระองค์ก็ได้”


วรรคสอง “ในระหว่างที่ยังมิได้ถวายสัตย์ปฏิญาณตามวรรคหนึ่ง จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้ซึ่งต้องถวายสัตย์ปฏิญาณปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนก็ได้”
วรรคสอง “ในระหว่างที่ยังมิได้ถวายสัตย์ปฏิญาณตามวรรคหนึ่ง จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้ซึ่งต้องถวายสัตย์ปฏิญาณปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนก็ได้”
บรรทัดที่ 234: บรรทัดที่ 228:
&nbsp;
&nbsp;
<div>
<div>
== '''๕. บรรณานุกรม''' ==
== '''บรรณานุกรม''' ==
</div>  
</div>  
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐.( เมษายน ๒๕๖๐). ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.( 6 เมษายน 2560). ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 134 ตอนที่ 40&nbsp;ก.


มานิตย์ จุมปา. '''ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.๒๕๔๐). '''กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์นิติธรรม. ๒๕๔๕.
มานิตย์ จุมปา. '''ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.2540). '''กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์นิติธรรม. 2545.


สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. '''ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.''' พฤษภาคม 2562.
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. '''ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.''' พฤษภาคม 2562.
บรรทัดที่ 246: บรรทัดที่ 240:
----
----
<div id="ftn1">
<div id="ftn1">
[[#_ftnref1|[1]]] มานิตย์ จุมปา. '''ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.๒๕๔๐).'''กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์นิติธรรม. ๒๕๔๕. หน้า ๒๘.
[[#_ftnref1|[1]]] มานิตย์ จุมปา. '''ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.2540).'''กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์นิติธรรม. 2545. หน้า 28.
</div> <div id="ftn2">
 
[[#_ftnref2|[2]]] สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. '''ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.''' พฤษภาคม 2562, หน้า 9-33.
[[#_ftnref2|[2]]] สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. '''ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.''' พฤษภาคม 2562, หน้า 9-33.
</div> <div id="ftn3">
</div> <div id="ftn3">
[[#_ftnref3|[3]]] มาตรา ๒๐ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐.
[[#_ftnref3|[3]]] มาตรา 20&nbsp;แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.
</div> <div id="ftn4">
</div> <div id="ftn4">
[[#_ftnref4|[4]]] มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๒ และมาตรา ๒๓ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐.
[[#_ftnref4|[4]]] มาตรา 21 มาตรา 22 และมาตรา 23 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.
</div> </div>  
</div> </div> </div>  
[[Category:รัฐธรรมนูญ]]
&nbsp;
 
[[Category:รัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2560]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 23:39, 18 มีนาคม 2563

พระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

 

ความเป็นมา

               นับตั้งแต่สมัยสุโขทัยสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศตลอดมา ทรงเป็นทั้งเจ้าแผ่นดิน เจ้าชีวิตและเจ้าของที่ดินตลอดทั่วราชอาณาจักร[1] ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 พระราชสถานะของพระมหากษัตริย์ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นพระมหากษัตริย์ภายในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขแห่งรัฐโดยมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดการใช้อำนาจอธิปไตย (อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ) ให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยผ่านทางองค์กร 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 อันเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้กำหนดสถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไว้ในหมวดที่ 2 ตั้งแต่มาตรา 6 ถึง มาตรา 24 รวม 19 มาตรา บทบัญญัติในหมวดนี้กำหนดขึ้นเพื่อรองรับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

อย่างไรก็ตามในหมวดพระมหากษัตริย์นี้ได้เพิ่มบทบัญญัติที่สำคัญหลายประการอันแตกต่างจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่ผ่าน ๆ มาในอดีต ดังนี้[2]

1) การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ และได้มีการปรับปรุงหลักการหลักการจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ โดยให้การสถาปนาฐานันดรศักดิ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่บุคคลใด ย่อมเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะตามพระราชอัธยาศัย และบัญญัติพระราชอำนาจในการถอดถอนฐานันดรศักดิ์ และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไว้ซึ่งแต่เดิมพระราชอำนาจในการถอดถอนฐานันดรศักดิ์และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์จะบัญญัติไว้ในหมวดคณะรัฐมนตรี (มาตรา 9)

2) การจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกา (มาตรา 15 วรรคสอง) ถือเป็นบทบัญญัติที่เพิ่มขึ้นใหม่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

3) ในกรณีที่พระมหากัตริย์ไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ เนื่องจากในยุคปัจจุบันนี้การติดต่อสื่อสาร และการเดินทางมีความสะดวกรวดเร็ว และไม่มีปัญหาต่อการบริหารราชการแผ่นดิน การที่กำหนดให้ต้องมีการตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในทุกครั้งไปเช่นเดิมนั้นย่อมไม่สอดคล้องกับความเจริญก้าวหน้าของสังคมในปัจจุบัน

4) วิธีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในกรณีที่มิได้มีการแต่งตั้งไว้แล้วเกิดกรณีจำเป็นที่จะต้องแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (มาตรา 17) บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ได้บัญญัติเปลี่ยนแปลงจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2560 (มาตรา 2 วรรคสาม) แต่เดิมมักจะกำหนดกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไว้ ให้คณะองคมนตรีเสนอชื่อผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในส่วนของการเปลี่ยนแปลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้บัญญัติหลักการใหม่ความว่า “ตามลำดับที่โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมกำหนดไว้ก่อนแล้ว” หมายความว่า พระมหากษัตริย์จะทรงกำหนดบัญชีรายชื่อไว้ล่วงหน้า เมื่อมีเหตุที่คณะองคมนตรีจะเสนอชื่อบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะเพื่อเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จะต้องเป็นไปตามลำดับบัญชีรายชื่อที่ทรงกำหนดไว้ก่อนแล้วเท่านั้น

 

สถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560'

ในส่วนของการมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้นเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมาและการมีประเพณีในการปกครองที่ยาวนานของรัฐนั้นตลอดจนเป็นการแยกพระมหากษัตริย์ออกจากการเมือง เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาดและรวมศูนย์อำนาจไว้มากเกินไป ทั้งนี้ การมีพระมหากษัตริย์จึงช่วยรักษาดุลยภาพให้เกิดขึ้นทั้งภายในสังคมและในทางการเมือง สะท้อนให้เห็นลักษณะการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ ที่เรียกว่า “ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ” (Limited Monarchy)

เมื่อพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ในหลายประเด็น กล่าวคือ

2.1 สถานะของพระมหากษัตริย์

พระมหากษัตริย์ทรงมีสถานะเป็นประมุขของรัฐ (Head of State) ซึ่งมีสถานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระนามพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้ (มาตรา 6) และยังมีสถานะอื่น ๆ คือ ทรงเป็นพุทธมามกะและทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก (มาตรา 7) ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย (มาตรา 8)

การลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ถือเป็นกระบวนการตรากฎหมายในรูปแบบของรัฐสภา สืบเนื่องจากหลัก “ประมุขของรัฐไม่ต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดิน” (King can do no wrong) จึงทำให้พระราชอำนาจของพระองค์ทรงอยู่เหนือการเมือง ตามบทบัญญัติมาตรา 6 “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้” ในอดีตการลงนามรับสนองพระบรมราชโองการไม่ใช่หลักความรับผิดชอบแทนพระมหากษัตริย์ แต่เป็นหลักที่มาจากกฎหมายที่ออกจากพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อนต้องได้รับการยินยอมจากประธานคณะที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ ด้วยการลงนามกำกับว่ากฎหมายที่ออกจะไม่ขัดต่อจารีตประเพณี

ภายหลังเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย นายกรัฐมนตรีจึงเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ เว้นแต่นายกรัฐมนตรีจะมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือบุคคลอื่นใดเป็นผู้ทำหน้าที่แทน บุคคลผู้รับลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ คือ บุคคลที่จะต้องรับผิดชอบในทุกทาง เพราะในทางปฏิบัติพระมหากษัตริย์ทรงเป็นกลางทางการเมืองและไม่ทรงยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ดังนี้ จึงเป็นการเหมาะสมภายใต้หลักประมุขของรัฐไม่ต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดิน

2.2 พระราชอํานาจของพระมหากษัตริย์

พระราชอํานาจของพระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้บัญญัติในส่วนของพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ไว้ ดังนี้

1) ในส่วนพระราชอำนาจของการสถาปนาและถอดถอนฐานันดรศักดิ์ พระราชอำนาจในการพระราชทานและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ (มาตรา 9)  

2) พระราชอำนาจในการทรงเลือกและทรงแต่งตั้งประธานองคมนตรีและคณะองคมนตรี (มาตรา 10) 

3) พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในกรณีที่ไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักรหรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม (มาตรา 16)

4) พระมหากษัตริย์ยังทรงมีพระราชอำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 ทรงเป็นพระราชอำนาจเฉพาะของพระองค์เท่านั้น (มาตรา 20) และพระราชอำนาจในการแต่งตั้งพระรัชทายาทตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467

สำหรับในทางกฎหมายแล้วพระมหากษัตริย์ถือเป็นบ่อเกิดแห่งกฎหมาย เนื่องจากร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาแล้วจะต้องให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ลงนามก่อนที่จะมีการประกาศใช้ หากพระมหากษัตริย์ไม่ลงนามในร่างกฎหมายฉบับใดร่างกฎหมายนั้นก็ไม่มีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ยังมีพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษซึ่งเป็นหลักสากลที่ประมุขของรัฐเป็นผู้มีอำนาจดังกล่าว ดังนั้น เมื่อพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐเป็นบ่อเกิดแห่งกฎหมายแล้วยังสามารถระงับยับยั้งผลแห่งกฎหมายนั้นได้ด้วย ตามความในมาตรา 3 แห่งรัฐธรรมนูญที่บัญญัติว่า “อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อํานาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ”

การลงพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ สืบเนื่องจากพระราชอำนาจที่มีมาแต่ดั้งเดิม “พระบรมราชานุภาพของพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยามนี้ มิได้มีปรากฏในกฎหมายอันหนึ่งอันใดด้วยเหตุที่ถือว่าเป็นล้นพ้น ไม่มีสิ่งใดหรือผู้ใดจะบังคับขัดขวางได้” หมายความว่า พระราชดำรัสถือเป็นองค์อธิปัตย์ในการดำเนินการทั้งปวง หลังจากมีรัฐธรรมนูญ ที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย จึงกำหนดให้พระราชอำนาจบางประเภทของพระองค์ยังดำรงอยู่ เช่น อำนาจในการยุบสภา การยับยั้งร่างกฎหมาย การประกาศสงคราม การอภัยโทษ เป็นต้น

การสืบราชสมบัติของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช '2560'

               รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้กำหนดในส่วนของการสืบราชสมบัติของพระมหากษัตริย์ ไว้ดังนี้

          1. การสืบราชสมบัติให้เป็นไปตามกฎมนเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช 2467 ทั้งเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาล[3]

          2. กรณีของราชบัลลังก์ว่างลง รัฐธรรมนูญฯ กำหนดเป็น 3 ประการ[4]

                    1) กรณีราชบัลลังก์ว่างลงและมีการแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันนติวงศ์ พุทธศักราช 2467

                              (1) เป็นหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่จะต้องทำการแจ้งให้ประธานรัฐสภารับทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบ

                              (2) ประธานรัฐสภาทำการอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์

สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ

                    2) กรณีราชบัลลังก์ว่างลงและและไม่มีการแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันนติวงศ์ พุทธศักราช 2467

                              (1) เป็นหน้าที่ขององคมนตรีในการเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในการนี้ จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้

                              (2) เมื่อรัฐสภาเห็นชอบ ประธานสภารัฐสภาจะดำเนินการอัญเชิญองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ

                    3) กรณีแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

                              เมื่อราชบัลลังก์ว่างลงและและไม่มีการแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์_พุทธศักราช_2467 ทั้งยังไม่มีการประกาศอัญเชิญองค์พระรัชทายาทหรือองค์ผู้สืบสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ เช่นนี้ รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะได้ประกาศอัญเชิญองค์พระรัชทายาทหรือองค์ผู้สืบสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์

 

เปรียบเทียบความแตกต่างในหมวดพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

 

ประเด็นสำคัญ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560

1) พระราชอำนาจที่จะสถาปนาและถอดถอนฐานันดรศักดิ์และพระราชทานและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์

กำหนดไว้ในมาตรา 11 และมาตรา 226 ในหมวดคณะรัฐมนตรี

บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ_พ.ศ._2540

แก้ไขด้วยการตัดในหมวดคณะรัฐมนตรีมาบัญญัติไว้ในที่เดียวกันในมาตรา 9 “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะสถาปนาและถอดถอนฐานันดรศักดิ์ และพระราชทานและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์”

2) ลักษณะต้องห้ามขององคมนตรี

องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด ๆ

 

 

บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 แต่ได้ปรับแก้ไขถ้อยคำ “ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา” เป็น “ผู้ตรวจการแผ่นดิน

ปรับแก้ไขการกำหนดลักษณะต้องห้ามขององคมนตรี
“องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง หรือข้าราชการเว้นแต่การเป็นข้าราชการในพระองค์ในตำแหน่งองคมนตรี และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด ๆ” ตัดตุลาการศาลปกครองออกเนื่องจากถือว่าเป็นข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่แล้ว

3) การแต่งตั้งและให้ข้าราชการในพระองค์พ้นจากตำแหน่ง

มาตรา 17 “การแต่งตั้ง
และการให้ข้าราชการในพระองค์และสมุหราชองครักษ์พ้นจากตำแหน่ง ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย”

 

บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540

บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540แต่ได้มีการเพิ่มเติมไว้ในมาตรา 15 วรรคสอง “การจัดระเบียบ
ราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกา”

4) การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการในกรณีที่พระมหากษัตริย์จะไม่ประทับในประเทศ

มาตรา 18 ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จะได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”

บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540

มาตรา 16 ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จะทรงแต่งตั้งบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะขึ้น ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้

5) การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการตามลำดับ

มาตรา 19 “...ให้คณะองคมนตรีเสนอชื่อผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งสมควรดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ประธานรัฐสภาประกาศในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ แต่งตั้งผู้นั้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540

มาตรา 17 “...ให้คณะองคมนตรีเสนอชื่อบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะ ตามลำดับที่โปรดเกล้าโปรด

กระหม่อมกำหนดไว้ก่อนแล้ว ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แล้วแจ้งประธานรัฐสภาเพื่อประกาศในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ แต่งตั้งผู้นั้นขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์”

6) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมรัฐสภา

 

มาตรา 21 วรรคสอง

ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ ให้วุฒิสภาทำหน้าที่รัฐสภาตามมาตรานี้ ”

บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540

มาตรา 19 วรรคสอง “ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งเคยได้รับการแต่งตั้งและปฏิญาณตนมาแล้ว ไม่ต้องปฏิญาณตนอีก” เป็นผลจากการปรับแก้ไขใหม่จาก[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_(ฉบับชั่วคราว)_พุทธศักราช_2557_แก้ไขเพิ่มเติม_(ฉบับที่_4)_พุทธศักราช_2560|รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณา
จักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2560 ]]มาตรา 39/1 วรรคสิบเอ็ด

7) ขั้นตอนการอัญเชิญ

องค์พระรัชทายาทในกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ หรือการอัญเชิญองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ในกรณีที่

พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลง

มาตรา 23 วรรคหนึ่ง “ในกรณีที่...พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้...ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบและให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ”

'มาตรา 23 วรรคสอง“ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทา'ยาทไว้ตามวรรคหนึ่ง ให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา 2๐ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาเพื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในการนี้ จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไปแล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ”

มาตรา 23 วรรคท้าย “ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ ให้วุฒิสภาทาหน้าที่รัฐสภาในการรับทราบตามวรรคหนึ่งหรือให้ความเห็นชอบตามวรรคสอง”

บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540

มาตรา 21 วรรคหนึ่งและวรรคสองบัญญัติกระบวนการและขั้นตอนไว้เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาตรา 23 วรรคหนึ่งและวรรคสอง

โดยได้ตัดบทบัญญัติในวรรคท้ายของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ทิ้งไป

8) วิธีการถวายสัตย์ปฏิญาณ

ไม่มีกำหนด

ไม่มีกำหนด

มาตรา 24  “การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย พระมหากษัตริย์จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กระทำต่อพระรัชทายาทซึ่งทรงบรรลุนิติภาวะแล้วหรือต่อผู้แทนพระองค์ก็ได้”

วรรคสอง “ในระหว่างที่ยังมิได้ถวายสัตย์ปฏิญาณตามวรรคหนึ่ง จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้ซึ่งต้องถวายสัตย์ปฏิญาณปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนก็ได้”

 

บรรณานุกรม

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.( 6 เมษายน 2560). ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 134 ตอนที่ 40 ก.

มานิตย์ จุมปา. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.2540). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์นิติธรรม. 2545.

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560. พฤษภาคม 2562.

 

อ้างอิง

[1] มานิตย์ จุมปา. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.2540).กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์นิติธรรม. 2545. หน้า 28.

[2] สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560. พฤษภาคม 2562, หน้า 9-33.

[3] มาตรา 20 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.

[4] มาตรา 21 มาตรา 22 และมาตรา 23 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.