บันทึกการเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวของคณะราษฎร
ผู้เรียบเรียง : ภิญญา สันติพลวุฒิ
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง
วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
เมื่อคณะราษฎรซึ่งเป็นคณะบุคคลประกอบด้วย ทหารบก ทหารเรือ และพลเรือน โดยสายทหารบกมีพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็นหัวหน้า สายทหารเรือมีนาวาตรีหลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน) เป็นหัวหน้า และสายพลเรือนมีหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) เป็นหัวหน้า ได้ยึดอำนาจการปกครองตั้งแต่ช่วงรุ่งเช้า โดยมีการประกาศ (แถลงการณ์) เปลี่ยนแปลงการปกครอง ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย
จากนั้นคณะราษฎรจึงส่งนาวาตรีหลวงศุภชลาศัย(ผู้บัญชาการเรือรบหลวงสุโขทัย)เป็นตัวแทนคณะราษฎรให้เดินทางไปยังพระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประทับอยู่ในขณะนั้น เพื่อยื่น ““หนังสือกราบบังคมทูล” และ “ประกาศคณะราษฎร” ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นทั้ง “คำขาด” และ “คำขู่” สิ่งที่ปรากฏเป็นข้อเท็จจริงคือคณะราษฎรได้ยึดอำนาจในพระนครได้แล้ว และเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ถูกควบคุมตัวหลายพระองค์ และที่ปรากฏใน “คำขาด” คือ
๑) “ถ้าหากคณะราษฎรนี้ถูกทำร้ายด้วยประการใด ๆ ก็จะต้องทำร้ายเจ้านายที่จับกุมไว้ เป็นการตอบแทน”
๒) แสดงความประสงค์ของคณะราษฎรคือ “เพื่อที่จะมีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน” ดังนั้นจึงเชิญพระองค์ “เสด็จกลับคืนสู่พระนคร และทรงเป็นกษัตริย์ต่อไป โดยอยู่ใต้ธรรมนูญ การปกครองแผ่นดิน ซึ่งคณะราษฎรได้สร้างขึ้น”
๓) ถ้าพระองค์ทรงตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในเวลาที่กำหนด “คณะราษฎรก็จะได้ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน โดยเลือกเจ้านายพระองค์อื่นที่เห็นสมควรขึ้นเป็นกษัตริย์”
สำหรับข้อ ๓ นี้สิ่งที่ปรากฏใน “คำขู่” ไปไกลและรุนแรงกว่า กล่าวคือ “ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกำหนดโดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอำนาจลงมา ก็จะได้ชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองอย่างประชาธิปไตย กล่าวคือ ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกตั้งขึ้นอยู่ในตำแหน่งตามกำหนดเวลา” ซึ่งหมายถึงระบบรัฐบาลแบบประธานาธิบดีหรือระบบสาธารณรัฐ และสิ่งที่ตามมาที่น่าหวาดกลัว ไม่แพ้กันคือวิธีการที่จะบำรุงประเทศ โดยขู่ว่าจะใช้วิธี “ยึดเงินที่พวกเจ้ารวบรวมไว้จากการทำนา บนหลังคนตั้งหลายร้อยล้านมาบำรุงประเทศ” [1]
แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิเสธที่จะเสด็จกลับพระนครโดยเรือรบหลวงสุโขทัยด้วยเหตุผล ““เพราะจะทำให้ดูเหมือนว่าถูกเขาจับไป” ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ต้องรักษาไว้ให้ “เป็นการสมพระเกียรติยศ” ในฐานะพระมหากษัตริย์” [2]
วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๔๗๕
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับถึงพระนครโดยรถไฟขบวนพิเศษ ซึ่งในเช้านั้นเวลา ๑๑.๐๐ นาฬิกา ทรงโปรดเกล้าฯ ให้คณะราษฎร ประกอบด้วย พันโทพระประศาสน์พิทยายุทธ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม นายประยูร ภมรมนตรี นายสงวน ตุลารักษ์ พันตรีหลวงวีรโยธา (ถวิล ศิริศัพท์) นายจรูญ ณ บางช้าง และพลเรือตรีพระยาศรยุทธเสนี (กระแส ประวาหะนาวิน) เข้าเฝ้าฯ ณ วังสุโขทัย โดยคณะราษฎรได้นำหนังสือทูลเกล้าฯ เพื่อลงพระปรมาภิไธย ๒ ฉบับ คือ
๑. พระราชกำหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พุทธศักราช ๒๔๗๕ ซึ่งมีสาระสำคัญว่าในการกระทำทั้งหลายของบุคคลใดๆในคณะราษฎรหากจะเป็นการละเมิดกฎหมายใด ๆ ห้ามมิให้ถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมาย
๒. พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม_พุทธศักราช_๒๔๗๕
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระนามเพียงฉบับเดียว คือ พระราชกำหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พุทธศักราช ๒๔๗๕ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ โดยไม่ต้องมีผู้สนองพระบรมราชโองการเพราะในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างเต็มที่
การที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระนามพระราชกำหนดนี้แสดงถึงการประนีประนอม โดยทรงให้ใส่ข้อความในคำปรารภของพระราชกำหนดด้วยว่า “อันที่จริงการปกครองด้วยวิธีมีพระธรรมนูญการปกครองนี้เราก็ได้ดำริอยู่แล้ว ที่คณะราษฎรนี้กระทำมาเป็นการถูกต้องตามนิยมของเราอยู่ด้วย” [3]
ส่วนพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขอศึกษาก่อน ๑ คืน จนรุ่งขึ้นพระองค์จึงขอต่อรองให้เติมคำว่า “ชั่วคราว” จึงเป็นพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวฉบับวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๕ โดยไม่ต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการเช่นกัน
การที่คณะราษฎรยอมให้ใส่คำว่าชั่วคราวในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พุทธศักราช. ๒๔๗๕ ถือได้ว่า “ฝ่ายคณะราษฎรเองก็ยอมรับการประนีประนอมทางการเมืองกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว” [4]
วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๔๗๕
เวลา ๑๗.๑๕ นาฬิกา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้คณะราษฎร ประกอบด้วย พระยามโนปกรณ์นิติธาดา พระยาศรีวิสาร พระยาปรีชาชลยุทธ พระยาพหลพลพยุหเสนา และหลวงประดิษฐ์มนูธรรม เข้าเฝ้าฯ ที่วังสุโขทัยเพื่อ“สอบถามความบางข้อและบอกความจริงใจ” โดยมีเรื่องที่ทรงพระราชดำรัสคือ
- ได้ทรงพยายามใช้หนี้และได้แก้ไขฐานะการเงินของประเทศให้ดีขึ้นมาโดยตลอด
- ทรงเห็นว่าควรมีรัฐธรรมนูญตั้งแต่สมัยรัฐกาลที่ ๖ แล้ว และเมื่อได้ครองราชย์ก็ยังคงมีความคิดนี้อยู่
- เรื่องสืบสันตติวงศ์
- กรณีมีข่าวว่าจะยึดทรัพย์สินพวกเชื้อพระวงศ์ หากจะทำจริงก็ทรงขอสละราชสมบัติก่อน
- กรณีมีข่าวว่าจะถอดเจ้านั้น ทำไม่ได้เป็นอันขาด
ในการนี้พระยาพหลพลพยุหเสนาและหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษที่ได้กระทำล่วงเกินเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ โดยมีการกระทำเป็นพิธีโดยนำดอกไม้ ธูป เทียน ทูลเกล้าฯถวายตามประเพณีด้วย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดพระราชทานอภัยโทษให้
การขอขมาของคณะราษฎรดังกล่าว กล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการพยายามทำ Pacte (หมายถึงข้อตกลงหรือสัญญา) เพื่อสถาปนารัฐธรรมนูญในรูปแบบที่มีพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้คณะราษฎรเข้าเฝ้าฯอีกหลายครั้งระหว่างช่วงที่มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ เพื่อทรงเสนอปัญหาให้แก้ไขในรัฐธรรมนูญและทรงประสบความสำเร็จในประเด็น
- ให้ใช้คำว่า “พระมหากษัตริย์” แทนที่จะใช้คำว่ากษัตริย์ซึ่งใช้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว
- ไม่ต้องระบุในรัฐธรรมนูญว่าพระมหากษัตริย์มีหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญ เพราะตามประเพณีแล้วพระมหากษัตริย์ทรงสัตยาธิษฐานในพิธีราชาภิเษกอยู่แล้ว
อ้างอิง
บรรณานุกรม
เชษฐา ทองยิ่ง. (๒๕๔๒). การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕. กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.
ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์. (๒๕๔๓). ๒๔๗๕ และ ๑ ปีหลังการปฏิวัติ. กรุงเทพฯ : สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พุฒิพงศ์ พงศ์อเนกกุล. (๒๕๕๖). โต้บวรศักดิ์ฯ : การนิรโทษกรรมของคณะราษฎร (๒๖ มิ.ย. ๗๕) [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๗. สืบคืนจากhttp://blogazine.in.th/blogs/phuttipong/post/4163
สุพจน์ ด่านตระกูล และ ปรีชา สุวรรณทัต. (๒๕๕๐). ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ และพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ฉบับ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๕. กรุงเทพฯ : สถาบันปรีดี พนมยงค์
หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ
เชษฐา ทองยิ่ง. การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475. กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. 2542.
ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์. 2475 และ 1 ปีหลังการปฏิวัติ. กรุงเทพฯ : สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2543.
สุพจน์ ด่านตระกูล และ ปรีชา สุวรรณทัต. ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ และพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ฉบับ 27 มิถุนายน 2475. กรุงเทพฯ : สถาบันปรีดี พนมยงค์ 2550.