ธนกิจการเมือง

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง ฐิติกร สังข์แก้ว และดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ ศาสตราจารย์ นรนิติ เศรษฐบุตร


ความหมาย

“ธนกิจการเมือง” มาจากคำว่า “Money Politics” และในบางครั้งยังใช้ในความหมายว่า “การเมืองแบบเงินตรา” หรือ “ธุรกิจการเมือง” เป็นต้น ทั้งนี้ ผาสุก พงษ์ไพจิตร ได้ให้ความหมายคำว่า “ธนกิจการเมือง” (Money Politics) ว่าคือ กระบวนการที่นักการเมืองหรือนักธุรกิจใช้เงินตราไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการให้ตนเองได้รับการเลือกเป็นสมาชิกรัฐสภาด้วยการซื้อเสียง หรือการร่วมกันจัดตั้งเป็นกลุ่มก๊วนเพื่อเข้าถึงอำนาจ โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อจัดตั้งคณะรัฐมนตรีที่สามารถดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อธุรกิจของตนเองหรือธุรกิจของพวกพ้อง ทั้งในรูปแบบของการฟื้นฟูการลงทุนไปจนกระทั่งการหากำไรจากการได้รับค่าเช่าและรายได้จากค่าเช่าต่าง ๆ เช่น ใบอนุญาต การสัมปทานหรือการอุดหนุน เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่ได้รับกลับมาจะสูงกว่าภายใต้สภาวะของการแข่งขันปกติ นอกจากนี้ ยังมีการแสวงหาสินบนและการปรับใช้งบประมาณปกติเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ถึงที่สุดแล้ว ความมั่งคั่งและผลประโยชน์ที่ได้รับจากกิจกรรมเหล่านี้จะถูกนำกลับไปใช้ลงทุนในทางการเมืองเพื่อขยายเขตอำนาจของตนอีกต่อหนึ่ง กล่าวได้ว่า การเมืองในแนวนี้โดยตัวมันเองจึงเป็นแต่เพียงธุรกิจ อันหมายถึงวิถีทางในการแสวงหารายได้เท่านั้น [1]

โดยสรุปแล้ว “ธนกิจการเมือง” คือ การที่นักธุรกิจขนาดใหญ่ระดับนำเพียงไม่กี่คน ประสบความสำเร็จในการใช้เงินซื้อการเมือง และพยายามถอนทุนจากการมีอำนาจได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และประสบความสำเร็จในการบ่อนทำลายระบอบรัฐสภาประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง หมายความว่าแทนที่รัฐสภาจะมีสมาชิกที่เป็นตัวแทนของกลุ่มคนต่าง ๆ ในสังคมอย่างครอบคลุม กลับกลายเป็นเพียงตัวแทนของผลประโยชน์กลุ่มน้อยนิดของสังคมไทย คือ “นักธุรกิจขนาดใหญ่ระดับนำและพรรคพวกจำนวนหนึ่ง” [2]

ความสัมพันธ์ระหว่างเงินตราและอำนาจการเมือง [3]

การวิเคราะห์ตามแนวทางของสำนักสถาบันใหม่ (The New Institutional School)

แนวคิดสำนักนี้เป็นแนวคิดเดียวกับเศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่เห็นว่า การแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจหรือการทำกำไรเกินกว่าระดับปกตินั้นเป็นการสูญเปล่า ไม่สร้างประโยชน์อะไรให้กับระบบเศรษฐกิจ แต่สำนักนี้ได้เสนอต่อไปว่า การแสวงหาค่าเช่าทำให้เกิดต้นทุนด้านธุรกรรม สวัสดิการทางสังคม การอยู่ดีมีสุขของประชาชนที่ลดลง ต้นทุนสูงทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ หรือทำให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรขาดประสิทธิภาพเป็นอุปสรรคทำให้เศรษฐกิจชะงักงัน อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยค่าเช่านี้จะมีการคอร์รัปชั่นสูง เนื่องจากค่าเช่าคือรายได้ที่สูงกว่าปกติ อันเป็นแรงจูงใจให้มีผู้คนแสวงหา และในกระบวนการแสวงหานี้ผู้แสวงหาจะต้องลงทุนลงแรงสร้างเส้นสายจ่ายค่าสินบนหรือมีของกำนัลให้กับข้าราชการและนักการเมือง หรืออาจใช้วิธีการข่มขู่ทำลายฝ่ายตรงข้าม

การวิเคราะห์ตามแนวทางเศรษฐศาสตร์การเมืองของศาสตราจารย์มุชตัก คาน (The Political Economy Approach by Mushtaq Khan)

ศาสตราจารย์มุชตัก คาน เสนอว่า ประเทศในเอเชียจำนวนหนึ่งแม้จะมีอัตราการคอร์รัปชั่นสูง แต่ก็มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเช่นกัน ได้แก่ประเทศเกาหลีใต้ มาเลเซีย และไทย ในช่วงทศวรรษที่ 1970 คานเห็นว่า การแสวงหาค่าเช่านั้นไม่เพียงมีแค่ค่าเช่าที่เกิดจากการผูกขาดเท่านั้น แต่ยังมีค่าเช่าประเภทอื่น ๆ อีกซึ่งอาจส่งผลบวกกับระบบเศรษฐกิจ เช่น ค่าเช่าที่เกิดจากนวัตกรรม นอกจากนี้ยังมีค่าเช่าที่รายได้เกินปกติที่อาจเกิดจากความสามารถในการบริหารจัดการ การกำกับดูแล ค่าเช่าที่เกิดจากการย้ายโอนทรัพยากร เช่น การย้ายโอนทรัพยากรของรัฐมาเป็นของตนเอง เช่น เงินลงทุน หรือการเข้ายึดที่ดินที่เป็นของสาธารณะมาเป็นของตัวเอง และเอาที่ดินเหล่านั้นไปลงทุน หรือแม้กระทั่งค่าเช่าที่ได้มาโดยไม่ต้องคิดอะไรใหม่ เช่น เงินอุดหนุนหรือการยึดที่สาธารณะก็อาจส่งผลบวกกับการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ เนื่องจากเป็นแหล่งรายได้ที่คนสามารถไปลงทุนด้วยการสะสมทุนเบื้องต้น[4]

การวิเคราะห์ตามทฤษฎีทางเลือกสาธารณะ (Public Choice Theory)

แนวคิดนี้เสนอว่า รัฐบาลใด ๆ ไม่อาจทำอะไรได้ถูกต้อง เพราะว่าทุก ๆ คนไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ ประชาชน หรือแม้แต่คณะรัฐมนตรีเองก็ย่อมแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนเป็นหลังทั้งนั้น ทุกคนต่างแสวงหาค่าเช่าหรืออภิสิทธิ์จากภาครัฐในรูปแบบต่าง ๆ นักการเมืองเสนอนโยบายเพื่อให้ตนได้รับเลือกเป็นรัฐบาล และเมื่อนักการเมืองได้รับเลือกตั้งแล้วก็แสวงหาประโยชน์จากตำแหน่ง ท้ายที่สุดรัฐบาลก็จัดสรรทรัพยากรหรือใช้งบประมาณไปเพื่อให้ตัวเองคงอยู่ในอำนาจต่อไป ซึ่งส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ และละเมิดสิทธิเสรีภาพของปัจเจก ข้อเสนอที่สำคัญของสำนักนี้คือ รัฐบาลที่ดีคือรัฐบาลที่มีบทบาทน้อยที่สุด อีกทั้งยังควรเปิดโอกาสให้กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ได้แข่งขันกันในตลาดการเมืองที่เปิดกว้างในการผลักดันนโยบาย

การวิเคราะห์ตามแบบจำลองธุรกิจการเมืองหรือแบบจำลองรัฐบาลคอร์รัปชั่น (Rent-Seeking and Politics: A Model of Corrupt Government)

[สมการ V = A+B-K]

V คือ รายได้สุทธิจากการแสวงหาค่าเช่าแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ A และ B หักต้นทุน K สัดส่วนของรายได้ A คือภาษีที่นักการเมืองและข้าราชการเก็บจากค่าสินบนโครงการภาครัฐหรือค่าคอมมิชชั่น และ B คือรายได้ประเภทค่าเช่าที่นักการเมืองและพรรคพวกหามาได้จากการทำธุรกิจที่ได้รับอนุญาตสัมปทาน ซึ่งมักเป็นธุรกิจผูกขาดหรือกลุ่มผูกขาด และ K คือต้นทุนที่เกี่ยวโยงในการแสวงหารายได้ดังกล่าว โดยแบ่งได้เป็นสองส่วนคือ K1 คือต้นทุนที่ต้องลงไปเพื่อให้ได้อำนาจ K2 คือต้นทุนที่ไม่ให้ถูกจับได้ว่าทำอะไรมิชอบหรือทำการคอร์รัปชั่น กล่าวโดยสรุปแล้ว รายได้สุทธิ V จากการแสวงหาค่าเช่ารูปแบบต่าง ๆ จะประกอบด้วย ภาษีคอร์รัปชั่นบวกรวมกับรายได้ที่เกิดจากการทำธุรกิจผูกขาด ซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากการได้รับอภิสิทธิ์จากรัฐหรือการทับซ้อนของผลประโยชน์ เมื่อนักการเมืองได้เข้ามาเป็นรัฐบาลก็จะเพิ่มรายได้จาก A และ B แต่จะพยายามลดต้นทุน K โดยการควบคุมกระบวนการยุติธรรม บ่อนเซาะการทำงานขององค์กรอิสระ สื่อมวลชน ฝ่ายค้าน และภาคประชาสังคม

“ธนกิจการเมือง” ในบริบทการเมืองไทย [5]

ยุครัฐราชการ/ระบอบอำมาตยาธิปไตย

ภายใต้รัฐราชการ (bureaucratic polity) หรือระบอบอำมาตยาธิปไตยในช่วงทศวรรษที่ 1960 – 1970 รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร วิธีการสำคัญในการแสวงหารายได้ก็โดยการเรียกเก็บสินบนจากเจ้าของธุรกิจที่อยู่ภายนอกระบบการเมืองที่เป็นทางการ สร้างผู้ประกอบการที่ได้รับสัญญาจ้างจากรัฐบาลหรือทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลางที่จะแบ่งสัมปทานรัฐ ปล้นงบประมาณเงินทุนของรัฐผ่านการจัดสรรเงินทุน เช่น เงินราชการลับ รายได้จากสลากกินแบ่งรัฐบาล ค่านายหน้าในการใช้จ่ายงบประมาณทางการทหาร เป็นต้น อีกประเภทหนึ่งคือ การทำธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น ยาเสพติด การพนัน การค้าอาวุธ เป็นต้น หรือการให้ความคุ้มครองภาคเอกชนหรือการปกป้องผลกำไร หรือการใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนไปทำให้ทรัพย์สินสาธารณะมาเป็นทรัพย์สินส่วนตัว ในขณะที่ช่วงเวลาดังกล่าวยังขาดสถาบันที่ต่อต้านการคอร์รัปชั่นในการตรวจสอบพฤติกรรมของนักการเมือง สื่อมวลชนถูกปิดปาก และภาคประชาสังคมอ่อนแอ

ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบและประชาธิปไตยเต็มใบ

ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบและระบอบประชาธิปไตยในทศวรรษที่ 1980-1990 รูปแบบของรายได้จากการทุจริตคอร์รัปชั่นส่วนใหญ่ยังคงเป็นเช่นเดิม ถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้างก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่น เงินราชการลับหายไปเพราะสงครามเย็นได้สิ้นสุดลง แต่รายได้จากการคุ้มครองการค้าของผิดกฎหมายยังคงอยู่และขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผู้รักษาผลประโยชน์ (Gate-keeping) และค่านายหน้า/ค่าหัวคิวสำหรับใบอนุญาต การสัมปทานของรัฐ และสิทธิพิเศษอื่น ๆ ยังคงอยู่เช่นเดิม ตัวอย่างเช่น ปรากฏการณ์ “เช็คของขวัญ” (Gift Cheques) และ “รัฐบาลบุฟเฟ่ต์” (buffet cabinet) ดังจะเห็นได้จาก การผันที่ดินสาธารณะมาเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวโดยนักการเมืองจากการเลือกตั้งที่มีอำนาจและอิทธิพล โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักธุรกิจระดับจังหวัดและชนชั้นนำในท้องถิ่นระดับ “เจ้าพ่อ” อันที่จริงในมุมของการแสวงหาค่าเช่าและการได้รับรายได้จากค่าเช่าเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องมาจากมีช่องทางในการทำกำไรสูง การรั่วไหลของงบประมาณประจำปีจากโครงการที่เสนอโดยนักธุรกิจและได้รับการอนุมัติโดยข้าราชการและค่านายหน้าจากการจัดซื้อจัดจ้าง/การจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแสดงบทบาทอย่างแข็งขันเป็นเรื่องปกติธรรมดา

กระนั้นก็ตาม ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยเต็มใบ ต้นทุนของการเข้าสู่อำนาจการเมืองเริ่มสูงขึ้น นักการเมืองได้รับการเลือกตั้งมีค่าใช้จ่ายในการหาเสียงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นักการเมืองที่มีความทะยานอยากจำเป็นต้องรวบรวมเครื่องไม้เครื่องมือหรือเงินทุนเพื่อสร้างกลุ่มหรือมุ้งของตนเพื่อต่อรองให้ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี ผู้ที่ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีจึงต้องทำตัวเสมือน“ตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่” อย่างไรก็ดี ค่าใช้จ่ายในการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่นพบว่ามีการเริ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป.) ถูกจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2518 ก็สามารถเอาผิดคนเล็ก ๆ ในหมู่ข้าราชการเนื่องมาจากกฎหมายยังไม่ครอบคลุมถึงนักการเมือง สื่อมวลชนเองก็มีเริ่มมีความเป็นอิสระและเป็นเครื่องมือในการเปิดโปงประเด็นปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น นอกจากนี้ ภาคประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชน และนักวิชาการก็เริ่มที่จะมีบทบาทขึ้นมามากกว่าเดิม


ยุคไทคูน (Tycoon) คือรัฐ

รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 และการเลือกตั้งในปี 2544 อาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาของ “การยึดกุมรัฐโดยนายทุนผู้ประกอบการ” (state-capture by tycoon-owners period) อันคือ “ภาวะการเมืองที่ นักการเมือง และนักธุรกิจเป็นคนกลุ่มเดียวกัน นักธุรกิจใหญ่ ๆ ที่รอดพ้นจากผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 รวมตัวกันตั้งพรรคการเมือง และประสบความสำเร็จในการเข้ายึดกุมรัฐสภา การสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งด้วยการควบรวมพรรคการเมืองขนาดเล็ก และการชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายด้วยนโยบายประชานิยม

สำหรับการแสวงหาค่าเช่าและการได้รับรายได้จากค่าเช่าในช่วงเวลานี้บางส่วนยังคงเป็นวิธีเก่า ๆ อยู่เช่น การทำหน้าที่เป็นผู้รักษาผลประโยชน์ ค่านายหน้า/ค่าหัวคิว การใช้อำนาจรัฐเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง เป็นต้น นอกจากนี้ กลยุทธ์ใหม่ ๆ ที่ปรากฏขึ้นมาอย่างโดดเด่น เช่น “การคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย” (policy corruption) เป็นต้น สิ่งที่น่าสนใจคือ การเชื่อมโยงระหว่าง “การคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย” และการประเมินมูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทที่เชื่อมโยงกับนักธุรกิจผู้ผันตัวมาเป็นนักการเมือง การเชื่อมโยงนี้เห็นได้จากนโยบายรัฐบาลที่เอื้อประโยชน์ต่อบริษัทที่มีความเกี่ยวพันกับนักการเมืองตำแหน่งสูงในรัฐบาล ถึงที่สุดแล้ว แม้ว่าการสร้างการเชื่อมโยงระหว่างการเมืองและการประเมินมูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ในมือของครอบครัวนักธุรกิจผู้ผันตัวมาเป็นนักการเมืองยังอยู่ภายใต้การตรวจสอบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของครอบครัวนายทุนผู้ผันตัวมาเป็นนักการเมืองย่อมถูกนำมาใช้รักษาฐานอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจของพวกตนต่อไป

ผลกระทบต่อระบบการเมืองไทย

...“ธนกิจการเมือง” อาจจะมีหรือไม่มีผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่มีแนวโน้มที่จะมีผลกระทบที่ไม่ดีต่อสิ่งต่าง ๆ เช่น ความเท่าเทียมกันทางสังคม และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และยังมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อ สิทธิต่าง ๆ กระบวนการประชาธิปไตย และหลักนิติธรรม... ...ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2001 นักธุรกิจผู้ผันตัวมาเป็นนักการเมืองสามารถแสวงหาค่าเช่าและการได้รับรายได้จากค่าเช่าได้อย่างง่ายดาย... ...ในระยะสั้นผลอันตรายอาจจะไม่ชัดแจ้ง แต่ในระยะยาวสังคมไทยจะเผชิญความเสี่ยงสูง ไม่เพียงแค่ความถดถอยของการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการกระจายรายได้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงแนวโน้มที่เลวร้ายต่อกระบวนการประชาธิปไตย... ...ทางออกเดียวก็คือการส่งเสริมและสร้างความมั่นใจต่อเสรีภาพของสื่อมวลชนและการสนับสนุนกิจกรรมของภาคประชาสังคมด้วยหลักประชาธิปไตย...
ผาสุก พงษ์ไพจิตร [6]

“ธนกิจการเมือง” ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบการเมืองไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนี้ [7]

ประการแรก แต่เดิมที่ “นักธุรกิจ” และ “นักการเมือง” เป็นคนละกลุ่มกัน นักธุรกิจจึงมีบทบาทเพียงเป็นแรงผลักดันทางนโยบาย โดยไม่ได้เป็นผู้กำหนดนโยบายโดยตรง ด้วยเหตุนี้ นักการเมืองจึงมีอิสระอยู่พอสมควรในการกำหนดนโยบาย และเพียงพอที่จะรับฟังความเห็นจากเทคโนแครต นักวิชาการ และภาคประชาสังคม ต่อการดำเนินนโยบาย ขณะที่ปัจจุบันเมื่อรัฐมนตรี เป็นนักธุรกิจหรือมีครอบครัวทำธุรกิจในขณะเดียวกัน การแยกผลประโยชน์ส่วนตัว]กับผลประโยชน์สาธารณะจึงเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้น และเมื่ออยู่ในอำนาจนานขึ้นความสนใจต่อผลประโยชน์ส่วนตัวจะมากกว่าผลประโยชน์สาธารณะ

ประการที่สอง การผูกขาดทางการตลาด นักธุรกิจที่อยู่วงนอกหรืออยู่นอกเครือข่ายอำนาจอุปถัมภ์ของนักการเมืองจะถูกกันออกไป นักธุรกิจที่อยู่วงในหรืออยู่ในเครือข่ายอำนาจอุปถัมภ์ของนักการเมืองจึงมีโอกาสในการเพิ่มการผูกขาดของตลาด ถึงที่สุดแล้ว ผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบในทางลบอย่างมาก คือ ราคาสินค้าที่สูงขึ้น แต่สินค้ากลับไม่ได้มาตรฐาน

ประการที่สาม ต้นทุนในการอยู่ในอำนาจและต้นทุนการป้องกันไม่ให้ถูกตรวจสอบและจับกุมเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้รอดพ้นจากการตรวจสอบขององค์กรอิสระสื่อมวลชน และองค์กรเอกชน อีกทั้งด้วยเหตุนี้ นักการเมืองที่อยู่ในอำนาจจึงต้องสำรองทั้งอำนาจเงิน และอำนาจทางการเมืองไว้มากๆ

ประการที่สี่ การใช้ทรัพยากรเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ เพราะจะมีความพยายามในการปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร และการบ่อนเซาะสถาบันที่ทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจรัฐ การบังคับใช้กฎหมายแบบเลือกปฏิบัติ

บรรณานุกรม

“..ธนกิจการเมือง.. บริบทแห่งการคอร์รัปชั่นยุค ‘ทักษิณ’.” โพสต์ทูเดย์. (8 ธันวาคม 2548), A9.

“‘ธนกิจการเมือง’ หลังปี 2544 ระบอบ ‘ไทคูนคือรัฐ’.” มติชน. (8 ธันวาคม 2548), 2.

“นักวิชาการตีแผ่ ‘ธนกิจการเมืองไทย’,” ไทยโพสต์. (8 ธันวาคม 2548), 4.

ผาสุก พงษ์ไพจิตร. (2549). “พลวัตทุนไทยและแนวทางการปฏิรูปเศรษฐกิจการเมืองไทย: บททดลองเสนอการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ จากกรอบวิเคราะห์ธนกิจการเมือง.” ฟ้าเดียวกัน. ปีที่ 4, ฉบับที่ 3, 72-110.

Khan, Mushtaq and Jomo Sundaram. eds. (2000). Rents, Rent-Seeking and Economic Development: Theory and Evidence in Asia. Cambridge: Cambridge University Press. Pasuk Phongpaichit. “Money Politics and Its Impact.” Keynote Address presented at the Political Economy Center’s Annual Seminar on Money Politics, 7 December 2005, Chulalongkorn University, 1-10.

เอกสารอ่านเพิ่มเติม

คริส เบเคอร์ และผาสุก พงษ์ไพจิตร. (2557). ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย: ฉบับปรับปรุงเป็นภาษาไทยจาก "A History of Thailand". กรุงเทพฯ: มติชน.

ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคริส เบเคอร์. (2546). เศรษฐกิจการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ. เชียงใหม่: ซิลค์เวอร์ม.

สมบัติ จันทรวงศ์. (2536). เลือกตั้งวิกฤต: ปัญหาและทางออก. กรุงเทพฯ: คบไฟ.

เอนก เหล่าธรรมทัศน์. (2539). มองเศรษฐกิจการเมืองไทยผ่านการเคลื่อนไหวของสมาคมธุรกิจ. เรียบเรียงโดย สายทิพย์ สุคติพันธ์. กรุงเทพฯ: คบไฟ.

McVey, Ruth. (ed.). (2000). Money and Power in Provincial Thailand. Singapore: Institute of Southeast Asian Studies.

อ้างอิง

  1. Pasuk Phongpaichit, “Money Politics and Its Impact,” Keynote Address presented at the Political Economy Center’s Annual Seminar on Money Politics, 7 December 2005, Chulalongkorn University, 1.
  2. ผาสุก พงษ์ไพจิตร, “พลวัตทุนไทยและแนวทางการปฏิรูปเศรษฐกิจการเมืองไทย: บททดลองเสนอการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ จากกรอบวิเคราะห์ธนกิจการเมือง,” ฟ้าเดียวกัน, ปีที่ 4, ฉบับที่ 3 (2549), 74.
  3. โปรดดู “นักวิชาการตีแผ่ ‘ธนกิจการเมืองไทย’,” ไทยโพสต์, (8 ธันวาคม 2548), 4. และ เรียบเรียงจาก Pasuk Phongpaichit, “Money Politics and Its Impact,” 1-4.
  4. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน Mushtaq Khan and Jomo Sundaram (eds.), Rents, Rent-Seeking and Economic Development: Theory and Evidence in Asia (Cambridge: Cambridge University Press, 2000).
  5. Pasuk Phongpaichit, “Money Politics and Its Impact,” 5-7. และดูเพิ่มเติมใน “‘ธนกิจการเมือง’ หลังปี 2544 ระบอบ ‘ไทคูนคือรัฐ’,” มติชน, (8 ธันวาคม 2548), 2.
  6. Pasuk Phongpaichit, “Money Politics and Its Impact,” 8.
  7. “..ธนกิจการเมือง.. บริบทแห่งการคอร์รัปชั่นยุค ‘ทักษิณ’,” โพสต์ทูเดย์, (8 ธันวาคม 2548), A9.