สภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:21, 31 สิงหาคม 2558 โดย Suksan (คุย | ส่วนร่วม) (หน้าที่ถูกสร้างด้วย ''''ผู้เรียบเรียง''' : ต่อรัฐ สิงห์เรืองเดช '''ผู้ทรงคุ...')
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง : ต่อรัฐ สิงห์เรืองเดช

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง


ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ถือเป็นยุคแห่งเสรีภาพทางความคิด กลุ่มผลประโยชน์ จึงเกิดขึ้นมากมาย การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองมีได้อย่างเสรี จนเป็นเหตุให้กลุ่มพลังของนิสิตนักศึกษาเกิดความแตกแยกทางความคิดและแนวทางปฏิบัติ จึงเป็นการเปิดโอกาสให้แก่ฝ่ายตรงข้ามใช้วิธีทั้งใน และนอกสภา ปลุกเร้าประชาชนให้เกิดความเสื่อมศรัทธาและลดความเชื่อมั่นในพลังของนิสิตนักศึกษา โดยเฉพาะวิธีโฆษณาชวนเชื่อโจมตีว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ซึ่งนับว่าได้ผลเป็นอย่างมากจนสมัยของรัฐบาล หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช สัญญาณแห่งความวุ่นวายในสังคมก็เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2519 จอมพลถนอม กิตติขจร พยายามจะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยโดยการบรรพชาเป็นสามเณรมาจากวัดไทยในประเทศสิงคโปร์ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างว่าจะกลับมาอุปสมบทที่วัดบวรนิเวศ กรุงเทพฯ [1] ทำให้เกิดกระแสต่อต้านและมีการเดินขบวนเรียกร้องให้รัฐบาลขับไล่จอมพลถนอม กิตติขจร ออกไปนอกประเทศ โดยมีการปักหลักชุมนุมของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เวลา 18.00 นาฬิกา นายทหารคณะหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในนาม “คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน” นำโดย พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นหัวหน้า และพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นเลขาธิการ[2] พร้อมคณะนายทหาร 3 เหล่าทัพ และอธิบดีกรมตำรวจ ประกาศยึดอำนาจจากรัฐบาล หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช โดยให้เหตุผลในคำประกาศว่า “เพื่อกอบกู้สถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ให้พ้นจากสถานการณ์ อันเลวร้าย จึงยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2517 ยุบรัฐสภา ยกเลิกพรรคการเมือง ประกาศใช้กฎอัยการศึก ให้ใช้คำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองการปกครองแผ่นดินเป็นกฎหมายปกครองประเทศไปพลางก่อน

เนื่องจากการประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 มีผลให้รัฐสภา และคณะรัฐมนตรีสิ้นสุดพร้อมกับรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยรองรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 จึงให้มีสภาที่ปรึกษา นายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินและให้เลขาธิการรัฐสภา รองเลขาธิการรัฐสภา เป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเลขาธิการสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินไปก่อน เป็นการชั่วคราว

ที่มาของสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2519 พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน นำโดยนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระบรมราชโองการประกาศแต่งตั้งให้ “นายธานินทร์ กรัยวิเชียร” เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน[3] คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินประกอบด้วย พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้าคณะ นอกจากนี้ยังมี พลเอก บุญชัย บำรุงพงศ์ พลอากาศเอก กมล เตชะตุงคะ พลเอก เสริม ณ นคร และพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นต้น[4] ได้ยึดอำนาจ และได้มีการแต่งตั้งให้นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมีคณะรัฐมนตรีรวม 17 คน พร้อมทั้งตั้ง”สภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” มีจำนวน 24 คน ทำหน้าที่นิติบัญญัติ ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม 2519 ถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2519 และมี พลอากาศเอก กมล เดชะตุงคะ เป็นประธานสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน และประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ พ.ศ.2519 ในวันที่ 22 ตุลาคม 2519 มี 29 มาตรา เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 11ของไทย ให้มีสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ซึ่งมีสมาชิก จำนวน 340 คน [5] ดังนี้ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 มาตรา 10 ได้กำหนดว่า “ให้มีสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินเพื่อทำหน้าที่นิติบัญญัติ ประกอบด้วยสมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่าสามร้อยคนแต่ไม่เกินสี่ร้อยคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และอยู่ในตำแหน่งสี่ปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง[6] และมาตรา 26 วรรคหนึ่ง ได้กำหนดว่า” การแต่งตั้งสมาชิกสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ให้กระทำให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวัน นับแต่วันใช้รัฐธรรมนูญนี้ ในระหว่างยังไม่มีสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ให้สภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน”[7] ดังที่กล่าวมาในข้างต้น จะเห็นได้ว่ามีลักษณะพิเศษทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยอย่างหนึ่งคือ นอกจากรัฐธรรมนูญจะบัญญัติให้มีสภาที่ปฏิรูปการปกครองแผ่นดินแล้ว ยังมีบัญญัติให้มีสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีคณะหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยบุคคลเดียวกันกับคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน เพื่อทำหน้าที่ สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ในระหว่างยังไม่มีสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน


ความหมายของสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี

สภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีมีความหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร 2519 ในมาตรา 18 คือ “ให้มีสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีคณะหนึ่งซึ่งประกอบด้วยบุคคลในคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน มีหน้าที่ให้ความเห็นในเรื่องใด ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีปรึกษาและหน้าที่อื่นตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้คณะรัฐมนตรีและสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีร่วมกันกำหนดแนวนโยบายเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ ในการบริหารราชการแผ่นดินเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติคณะรัฐมนตรีต้องบริหารไปตามแนวนโยบายที่กำหนดไว้ตามวรรคสอง ในกรณีที่ตำแหน่งสมาชิกสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีว่างลงหรือมีกรณีที่จะแต่งตั้งเพิ่ม ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งโดยความเห็นชอบของสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี และในระหว่างยังไม่มีสภาปฏิรูป การปกครองแผ่นดิน ให้สภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินไปพลางก่อน”[8] และตามมาตรา 26 วรรคสอง ได้กำหนดว่า “ในระหว่างยังไม่มีสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ให้สภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน” [9]

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2519 กำหนดให้สภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีมีองค์คณะประกอบด้วย บุคคลในคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินและปฏิบัติหน้าที่สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในลักษณะชั่วคราว และจะหมดหน้าที่นิติบัญญัติไปโดยทันที เมื่อได้มีการประกาศแต่งตั้งสภาปฏิรูปการปกครอง ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินที่สำคัญเป็นไปโดยอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง และในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่สภาที่ปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน สภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรียังได้รับความคุ้มครองตามหลักเอกสิทธิ์อีกด้วย เพราะมาตรา 26 วรรคสองได้กำหนดให้นำมาตรา 13 มาใช้บังคับโดยอนุโลม โดยมาตรา 13 ได้กำหนดให้ “ในการประชุมสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินผู้ใดจะกล่าวถ้อยคำใด ๆ ในทางแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็น หรือออกเสียงลงคะแนน ย่อมเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด ผู้ใดจะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวในทางใดมิได้ เอกสิทธิ์ที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง ให้คุ้มครองถึงการประชุมของกรรมาธิการและผู้พิมพ์ และผู้โฆษณารายงานการประชุมโดยคำสั่งของสภาด้วย” [10]


บทบาทของสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี

สภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินมีจำนวน 24 คน นำโดย พลเอก กมล เดชะตุงคะ เป็นประธานสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี และ พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นรองประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินมีการประชุมสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีทั้งหมดจำนวน 5 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2519 ถึง 19 พฤศจิกายน 2519 โดยกำหนดวางแนวนโยบายของในการบริหารราชการแผ่นดินที่สำคัญต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1. ให้รัฐบาลถือหลักประหยัดเป็นสำคัญและตระหนักว่า ความมั่นคงของประเทศเป็นรากฐานอันสำคัญ ในการเสริมสร้างการพัฒนาทางเศรษฐกิจ

2. รัฐบาลต้องป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างจริงจังและเด็ดขาด

3. ต้องรักษาไว้ซึ่ง ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย ผดุงไว้ซึ่งความเป็นอิสระของผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีต่างๆ

4. ในด้านต่างประเทศ รัฐบาลนี้จะดำเนินนโยบายอิสระ ยึดถือผลประโยชน์ของชาติ ความอยู่รอดและความมั่นคงของชาติเป็นหลักสำคัญ

5. ในด้านการคลัง จะใช้นโยบายการคลังเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา และเสริมสร้างการพัฒนาเศรษฐกิจตามสถานการณ์

6. ในด้านการพาณิชย์ จัดให้ประชาชนได้มีสินค้าที่จำเป็นเพื่อการอุปโภคบริโภคในปริมาณที่เพียงพอ คุณภาพเหมาะสม และราคาพอสมควร

7. ในด้านอุตสาหกรรม มีการส่งเสริมและดำเนินการให้มีอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อผลิตปัจจัย 4 ที่จำเป็นแก่การดำรงชีพของประชาชน

8. ในด้านการคมนาคม จะดำเนินการเพื่อให้มีบริการด้านการสื่อสารและขนส่ง ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ อย่างเพียงพอ ในมาตรฐานอันควร

9. ในส่วนด้านการเกษตรและสหกรณ์รัฐบาลจะต้องยึดถือโครงการปฏิรูปที่ดินควบคู่ไปกับการพัฒนาสหกรณ์ทุกระดับ

10. ในด้านการศึกษา กระตุ้นให้นักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วราชอาณาจักรตระหนักและเห็นคุณค่าของระบบประชาธิปไตย พร้อมทั้งปรับปรุงระบบการศึกษาทุกระดับทุกประเภททั้งในและนอกระบบโรงเรียน

11. ในด้านการสาธารณสุข รัฐบาลจะต้องปรับปรุงและขยายบริการด้านการรักษาพยาบาลให้เพียงพอ

สภาฯดังกล่าวยังได้ออกกฎหมายบังคับตนเองไว้คือ บังคับให้สภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีมีสภาพเป็น กรมๆ หนึ่งขึ้นต่อสำนักนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังได้แก้ไขคำสั่งคณะปฏิวัติชุดเดิมที่ใช้ประกาศตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2515 ให้เรียกชื่อสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แทนคำว่า “สำนักงานสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี”[11] ซึ่งนอกจากจะมีประธานสภาฯ ของตัวเองแล้ว ยังมีเลขาธิการสภาฯ เป็น หัวหน้าใหญ่บังคับบัญชาข้าราชการในสำนักงานที่ปรึกษาฯ รับผิดชอบในการปฏิบัติงานขึ้นตรงต่อประธานสภาที่ปรึกษา ที่กล่าวนี้ ต้องเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ และใช้กฎหมายว่าด้วยข้าราชการพลเรือนเดิมที่มีอยู่บังคับในการปฏิบัติข้าราชการ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สำนักงานสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นหน่วยราชการที่ขึ้นตรงต่อสำนักนายกรัฐมนตรี

การสิ้นสุดของสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี

ต่อมาได้มีประกาศ พระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งสมาชิกสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2519 ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2519 มาตรา 26 มีผลให้การทำหน้าที่สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินของสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ภายหลังรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2519 ประกาศใช้ได้เพียง 1 ปี 12 วัน ก็มีการยึดอำนาจการปกครองโดยคณะปฏิวัติภายใต้การนำของพลเรือเอก สงัด ชะลออยู่ และคณะทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจและพลเรือน ก็ได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากนายธานินทร์ กรัยวิเชียร อีกครั้ง เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2520 สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินจึงสิ้นสุดลง จึงทำให้รัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ต้องพ้นจากตำแหน่งและคณะปฏิรูปก็กลายเป็นคณะปฏิวัติในที่สุด

ภายหลังการยึดอำนาจคณะปฏิวัติได้มีคำสั่งยกเลิกรัฐธรรมนูญฯ ที่ประกาศใช้อยู่ และประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2520 และให้พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นนายกรัฐมนตรี จากนั้นก็มีการแต่งตั้งสมาชิกนิติบัญญัติเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรต่อไป

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 ถูกร่างเสร็จและประกาศใช้ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ.2521 และประกาศใช้แทน ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2520 อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นรัฐธรรมนูญ “ระบบประชาธิปไตยครึ่งใบ” เพราะกำหนดให้วุฒิสมาชิกและนายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง และมีบทเฉพาะกาลอนุญาตให้ข้าราชการประจำสามารถดำรงตำแหน่งเป็นข้าราชการการเมืองได้ ซึ่งเป็นการกำหนดให้ยกเว้นการบังคับใช้บทบัญญัติ บางมาตราในรัฐธรรมนูญเป็นการชั่วคราวในช่วงสี่ปีแรก ที่ขัดต่อหลักประชาธิปไตย

อ้างอิง

  1. ลิขิต ธีรเวคิน, การเมืองการปกครองไทย. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2543). หน้า 152.
  2. นคร พจนวรพงษ์ และ อุกกฤษ พจนวรพงษ์ ข้อมูลประวัติศาสตร์การเมืองไทย เหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญๆ พ.ศ. 2475 – ปัจจุบัน การเลือกตั้งทุกครั้งและการจัดตั้งรัฐบาลทุกสมัย. (กรุงเทพมหานคร : บริษัทโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด, 2542), หน้า 75.
  3. ประกาศตั้งนายกรัฐมนตรี. ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 93 ตอนที่ 124. ฉบับพิเศษ. 10 ตุลาคม 2519, หน้า 1.
  4. ธิกานต์ ศรีนารา เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://th.wikipedia.org (เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2557). หน้า 8.
  5. อ้างแล้ว, เชิงอรรถที่ 2 , หน้า 76.
  6. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 มาตรา 10
  7. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง
  8. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 มาตรา 18
  9. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 มาตรา 26 วรรคสอง
  10. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 มาตรา 13
  11. หนังสือพิมพ์สยามรัฐฉบับวันที่ 20 พฤศจิกายน 2519, หน้า 5

บรรณานุกรม

ลิขิต ธีรเวคิน.การเมืองการปกครองไทย (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์2543). จักร พันธ์ชูเพชร. การเมืองการปกครองไทย “จากยุคสุโขทัยสู่สมัยทักษิณ”. (กรุงเทพมหานคร. 2549). อริน. “คณะปฏิรูปฯ” และ “รัฐบาลหอย” กับมรสุมลูกแรก กบฏ 26 มีนาคม 2520, [ออนไลน์]. สืบค้นจาก

http://arin-political.blogspot.com/2012/03/2475-2549-52.html (เมื่อวันที่

13 กุมภาพันธ์ 2557). ประกาศตั้งนายกรัฐมนตรี. ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 93 ตอนที่ 124. ฉบับพิเศษ. 10 ตุลาคม 2519. ธิกานต์ ศรีนารา. เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://th.wikipedia.org (เมื่อวันที่

13 กุมภาพันธ์ 2557) นคร พจนวรพงษ์. ข้อมูลประวัติศาสตร์การเมืองไทย เหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญๆ พ.ศ. 2475 – ปัจจุบัน

การเลือกตั้งทุกครั้งและการจัดตั้งรัฐบาลทุกสมัย. (กรุงเทพมหานคร : บริษัทโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด. 2542) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519, ราชกิจจานุเบกษา (ฉบับพิเศษ), เล่มที่ 93 ,ตอนที่135,

ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2519 รายงานการประชุมสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีหน้าที่สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ครั้งที่ 1 ถึงครั้งที่ 5

พ.ศ. 2519 ยุทธวัฒน์ ภัทราภานุภัทร.รัฐสภาไทย:วิเคราะห์เปรียบเทียบภูมิหลังของสมาชิกสภา

นิติบัญญัติแห่งชาติ พุทธศักราช 2516 กับสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน พุทธศักราช 2519 หน้า 110 หนังสือพิมพ์สยามรัฐฉบับวันที่ 20 พฤศจิกายน 2519.


หนังสือแนะนำอ่านเพิ่มเติม

จักร พันธ์ชูเพชร. การเมืองการปกครองไทย “จากยุคสุโขทัยสู่สมัยทักษิณ”. (กรุงเทพมหานคร. 2549). นคร พจนวรพงษ์. ข้อมูลประวัติศาสตร์การเมืองไทย เหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญๆ พ.ศ. 2475 – ปัจจุบัน

การเลือกตั้งทุกครั้งและการจัดตั้งรัฐบาลทุกสมัย. (กรุงเทพมหานคร : บริษัทโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด. 2542)