สงครามมหาเอเชียบูรพากับการเมืองไทย
ผู้เรียบเรียง นิภาพร รัชตพัฒนากุล
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
ความเป็นมาของ “สงครามมหาเอเชียบูรพา”
แรกเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2482 ประเทศที่เข้าร่วมสงครามจำกัดอยู่เพียงกลุ่มประเทศตะวันตกคือ เยอรมัน อังกฤษและฝรั่งเศสเป็นหลัก ในขณะที่ทางฝั่งเอเชียก็เกิดสงครามระหว่างจีนและญี่ปุ่นที่สืบเนื่องมาจากความขัดแย้งในดินแดนตอนใต้ของแมนจูเรียตั้งแต่ พ.ศ. 2474 สงครามที่เกิดขึ้นในสองทวีปนี้ได้เชื่อมโยงเป็นกระบวนการเดียวกันอย่างหลวมๆ และขยายวงมาถึงดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายหลังจากฝรั่งเศสยอมแพ้แก่เยอรมันในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2483
ความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสต่อเยอรมันทำให้เกิดภาวะสูญญากาศทางการเมืองขึ้นในอาณานิคมของฝรั่งเศสหรือที่เรียกว่าดินแดนอินโดจีนฝรั่งเศส (ประเทศเวียดนาม ลาวและกัมพูชาในปัจจุบัน) ภาวะดังกล่าวได้กลายเป็นโอกาสให้ญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงกิจการในดินแดนนี้ด้วยการขอให้รัฐบาลอินโดจีนของฝรั่งเศสปิดแนวชายแดนที่ติดต่อกับจีน เพื่อป้องกันการส่งกำลังช่วยเหลือให้กับรัฐบาลนายพลเจียงไคเช็กที่จุงกิง ซึ่งกำลังทำสะครามยืดเยื้อกับญี่ปุ่นอยู่ และในเดือนกันยายนได้ทำสัญญายินยอมให้ญี่ปุ่นตั้งกองทหารในอินโดจีนได้ จากความพยายามขยายอำนาจของญี่ปุ่นในเอเชียนับตั้งแต่จีนมาจนถึงอินโดจีนฝรั่งเศส ทำให้อังกฤษ ดัชต์และสหรัฐอเมริกา ประเทศเจ้าอาณานิมคมตัดสินใจดำเนินมาตรการปิดล้อมทางเศรษฐกิจต่อญี่ปุ่น เพื่อกดดันให้ญี่ปุ่นให้ยุติสงครามกับจีนและถอนกำลังทหารออกจากอินโดจีนของฝรั่งเศส
ญี่ปุ่นตัดสินใจตอบโต้การปิดล้อมทางเศรษฐกิจด้วยการส่งกองกำลังเข้าโจมตีดินแดนอาณานิคมทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 เริ่มจากคาบสมุทรมาเลย์ โดยยกพลขึ้นบกตามแนวชายฝั่งอ่าวไทยเช่นที่ปัตตานี สงขลา บางปู พร้อมกับส่งทหารโจมตีมณฑลกวางตุ้งและเกาะฮ่องกงของอังกฤษ ส่งเครื่องบินโจมตีฟิลิปปินส์อาณานิคมของสหรัฐอเมริกา ฐานทัพเรือของสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ล สองวันหลังจากเปิดแนวรบไปทั่วมหาสมุทรแปซิฟิค รัฐบาลญี่ปุ่นจึงได้บัญญัติชื่อเรียกสงครามครั้งนี้ว่า “Greater East Asia War” (大東亜(Dai To-A )戦争(Senso)) ซึ่งสถานการณ์สงครามที่ขยายตัวและเชื่อมโยงกันอย่างหลวมๆ นี้กลายเป็นที่มาของคำเรียกสงครามโดยรวมว่า “สงครามโลกครั้งที่ 2”
สำหรับแนวคิดการสร้าง “มหาเอเชียบูรพา” อันเป็นที่มาของชื่อสงครามนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้พัฒนามาจากการประกาศจัด “ระเบียบใหม่ในเอเชียตะวันออก” ด้วยการรวมญี่ปุ่น จีนและแมนจูกัว เข้าเป็นหน่วยเดียวกันในทางเศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรม ต่อมานโยบายดังกล่าวได้พัฒนามาเป็นแนวคิด “วงไพบูลย์ร่วมกันแห่งมหาเอเชียบูรพา” (Greater East Asia Co-Prosperity Sphere) ซึ่งเป็นอุดมการณ์ที่ญี่ปุ่นใช้ในการทำสงคราม โดยระบุจุดประสงค์ว่าเพื่อสร้างสันติภาพและความมั่นคงขึ้นในเอเชียตะวันออกและป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์จากแองโกล-อเมริกา มีเป้าหมายในทางปฏิบัติคือ การสร้างเขตพึ่งพาตนเองในทางเศรษฐกิจ เนื่องจากญี่ปุ่นมองว่าขั้นตอนแรกของการปลดปล่อยเอเชียจากจักรวรรดิตะวันตก คือ การพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อลดการพึ่งพาตะวันตก[1] โดยแบ่งพื้นที่ในวงไพบูลย์ออกเป็น 2 ส่วนคือ วงไพบูลย์ด้านใน ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน แมนจูกัว[2] และวงไพบูลย์ด้านนอก คือ ดินแดนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิค
สำหรับประเทศไทย เมื่อรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ตกลงเข้าร่วมกับญี่ปุ่นในการทำสงครามเมื่อต้นปี พ.ศ. 2484 จึงได้ถอดเอาความหมายของ “Greater East Asia War” เป็นคำว่า “สงครามมหาเอเชียบูรพา” ช่วงระยะเวลาสี่ปีในระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพานับเป็นช่วงเวลาพิเศษของประวัติศาสตร์การเมืองไทย เนื่องจากการเมืองภายในได้ถูกผูกโยงเข้ากับสถานการณ์ระหว่างประเทศอย่างซับซ้อน ผลกระทบจากการเข้าร่วมสงครามต่อการเมืองไทย มีทั้งผลในทางตรงและทางอ้อมที่สืบเนื่องต่อมาในระยะยาวและผลกระทบเพียงระยะสั้นๆ เฉพาะในช่วงเวลาดังกล่าว
สถานการณ์ทางการเมืองของไทยก่อนเกิดสงคราม
สภาวะทางการเมืองภายในของสยามช่วงก่อนเกิดสงครามนั้นเต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองต่างๆ ในระยะเปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบรัฐธรรมนูญ โดยอาจแบ่งช่วงเวลาทางการเมืองออกได้เป็นสองช่วงหลัก คือ ภายหลังเหตุการณ์วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 และภายหลังจากพันเอกหลวงพิบูลสงครามขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปลาย พ.ศ.2481
ความขัดแย้งทางการเมืองช่วงหกปีแรกภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มทางการเมืองที่มีบทบาทหลัก 4 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้นำใหม่หรือคณะราษฎร กลุ่มขุนนางเก่า กลุ่มนิยมเจ้าและกลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง[3] ความขัดแย้งที่ว่าสะท้อนให้เห็นได้จากเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญ เช่น การเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ การรัฐประหารรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดาภายใต้การนำของพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาและพันเอกหลวงพิบูลสงคราม เหตุการณ์กบฏบวรเดช การสละราชย์สมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยแกนหลักของความขัดแย้งเหล่านี้อยู่ที่การต่อรองอำนาจเพื่อรักษาสถานภาพระหว่างผู้นำในระบอบใหม่และผู้นำในระบอบเก่า
จนเมื่อพันเอกหลวงพิบูลสงครามขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปลายปี พ.ศ.2481 ได้แก้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ที่ทำให้รัฐบาลก่อนหน้านี้ขาดเสถียรภาพด้วยมาตรการที่แข็งกร้าว ด้วยการตั้งศาลพิเศษเพื่อกวาดล้างบุคคลที่ต่อต้านรัฐบาล ในขณะเดียวกันก็ใช้นโยบายชาตินิยมทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม เพื่อสร้างความรู้สึกร่วมให้กับประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลางในเมืองเพื่อสร้างการสนับสนุนอำนาจนำของรัฐบาล
บริบททางการเมืองภายในเช่นนี้เองที่สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศได้เข้ามามีอิทธิพลทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทยในช่วงก่อนเกิดสงครามและมีผลสืบเนื่องต่อไปภายหลังเกิดสงคราม การเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการเมืองระหว่างประเทศในช่วงก่อนและระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพาที่สำคัญอย่างน้อย 2 เหตุการณ์ คือ การเรียกร้องดินแดนจากอินโดจีนฝรั่งเศสและการสร้างกระแสชาตินิยมไทยที่กดดันชาวจีน
สำหรับการเรียกร้องดินแดนจากอินโดจีนฝรั่งเศสเป็นประเด็นที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปีพ.ศ. 2480-2481 เมื่อหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นได้เจรจาแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาคกับประเทศจักรวรรดินิยม 15 ประเทศและได้ขอปรับปรุงแนวพรมแดนที่ติดต่อกับอาณานิคมของตะวันตก โดยเริ่มจากการเจรจากับอังกฤษและตามด้วยอินโดจีนฝรั่งเศส จนเมื่อพันเอกหลวงพิบูลสงครามดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและได้นำเอาแนวคิดชาตินิยมมาใช้ การเคลื่อนไหวจึงไม่ยุติเพียงแค่การแก้ไขสนธิสัญญา แต่ได้ขยายวงไปเป็นการเรียกร้องดินแดน เหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนแนวคิดชาตินิยมเพื่อการขยายดินแดนคือ การออกรัฐนิยมเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็น “ไทย” ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2482 เพื่อให้คำว่า “ไทย” ครอบคลุมเอากลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” ต่างๆ ที่อยู่นอกเหนือเขตแดนรัฐไทยขณะนั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง
การเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายดังกล่าวสัมพันธ์กับบริบทการเมืองระหว่างประเทศในช่วงก่อนสงครามมหาเอเชียบูรพาอย่างซับซ้อน กล่าวคือ ในช่วงที่ไทยกำลังขอปรับปรุงแนวพรมแดนอยู่นั้น ในทวีปยุโรปสงครามได้ขยายตัว จนเมื่อฝรั่งเศสมีท่าทีจะพ่ายแพ้ รัฐบาลไทยจึงเรียกร้องขอไชยบุรีและจำปาศักดิ์รวมทั้งข้อตกลงว่าหากมีการเปลี่ยนโอนอธิปไตยในอินโดจีนฝรั่งเศสก็ขอให้ลาวและกัมพูชาตกเป็นของไทยเพิ่มเติมจากการขอปรับปรุงพรมแดนในตอนแรก
จนเมื่อฝรั่งเศสยอมแพ้แก่เยอรมันในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2483 ทำให้ดินแดนอินโดจีนฝรั่งเศสเกิดภาวะสูญญากาศทางอำนาจขึ้น ญี่ปุ่นจึงทำความตกลงกับรัฐบาลวิชีของฝรั่งเศส (ภายใต้การยึดครองของเยอรมัน) เพื่อให้กองทหารญี่ปุ่นเข้าไปตั้งฐานในเวียดนามได้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้รัฐบาลหลวงพิบูลสงครามมองว่าการขยายอำนาจของญี่ปุ่นเข้ามาในอินโดจีนฝรั่งเศสจะกลายเป็นอุปสรรคในการเรียกร้องดินแดนของไทยต่อไป[4] รัฐบาลจึงเปลี่ยนวิธีการเรียกร้องดินแดนจากการเจรจาทางการทูตมาเป็นการใช้กำลังทหาร การปะทะกันระหว่างทหารฝรั่งเศสและไทยเริ่มขึ้นภายหลังจากนายกรัฐมนตรีพลตรีหลวงพิบูลสงครามขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดอีกตำแหน่งหนึ่ง จนกระทั่งเดือนมกราคมรัฐบาลไทยจึงได้ประกาศสถานการณ์สงครามกับอินโดจีนฝรั่งเศส
ปัญหาดินแดนอินโดจีนฝรั่งเศสจบลงภายหลังจากญี่ปุ่นเสนอตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ย โดยตกลงหยุดยิงและลงนามพักรบที่ไซ่ง่อนบนเรือรบของญี่ปุ่นและลงนามในอนุสัญญาที่กรุงโตเกียวในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2484 ซึ่งทำให้ไทยได้ดินแดนไชยบุรี จำปาศักดิ์ เสียมราฐและพระตะบอง[5] ความช่วยเหลือของญี่ปุ่นในครั้งนี้ทำให้สัมพันธภาพระหว่างไทยและญี่ปุ่นแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น จนกระทั่งในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2484 ได้เลื่อนความสัมพันธ์ทางการทูตจากอัครราชทูตขึ้นเป็นเอกอัครราชทูต ซึ่งญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่ยกระดับความสัมพันธ์กับไทยให้มีฐานะเท่าเทียมกับประเทศมหาอำนาจ[6] เหตุการณ์นี้นับเป็นก้าวสำคัญของความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างไทยและญี่ปุ่นที่จะนำไปสู่การเป็นพันธมิตรกันในสงครามมหาเอเชียบูรพา
สำหรับการสร้างกระแสชาตินิยมไทยด้วยการกดดันชาวจีนในช่วงก่อนสงครามมหาเอเชียบูรพาเป็นอีกด้านหนึ่งของนโยบายชาตินิยมนอกเหนือจากนโยบายขยายดินแดนที่กล่าวถึงข้างต้น การดำเนินนโยบายกดดันชาวจีนเริ่มขึ้นภายหลังจากพันเอกหลวงพิบูลสงครามดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกเช่นกัน โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การลดบทบาทของชาวจีนในเศรษฐกิจไทย เช่น การออกพระราชบัญญัติช่วยอาชีพและวิชาชีพ พ.ศ. 2484 ซึ่งมีการสงวนอาชีพบางอย่างไว้สำหรับผู้ถือสัญชาติไทยเท่านั้น ตลอดจนสนับสนุนให้ชาวไทยมีบทบาทในกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญเช่นการค้าขายมากขึ้น แต่การสนับสนุนดังกล่าวอยู่ในรูปของการตั้งรัฐวิสาหกิจเพื่อเข้าดำเนินกิจการแทน เช่น การปรับปรุงกิจการของบริษัทข้าวไทย การตั้งบริษัทข้าวสยาม บริษัทไทยนิยมพาณิชย์
การดำเนินนโยบายกดดันชาวจีนดังกล่าวข้างต้นแม้จะมีแรงผลักดันสำคัญ คือ การใช้แนวคิดชาตินิยมเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับรัฐบาลหลวงพิบูลสงคราม ซึ่งเป็นปัจจัยจากสถานการณ์ภายในของไทยเอง แต่ในขณะนั้นเดียวกันบริบทางการเมืองระหว่างประเทศในช่วงจังหวะที่รัฐบาลไทยดำเนินนโยบายชาตินิยมดังกล่าวก็สะท้อนให้เห็นปัจจัยจากแรงผลักดันทางการเมืองจากนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองสถานการณ์ดังกล่าวจากบริบทความสัมพันธ์สามเส้าระหว่างไทย จีนและญี่ปุ่น[7]
ในช่วงระหว่าง พ.ศ.2478-2482 เป็นช่วงที่กระแสชาตินิยมของชาวจีนโพ้นทะเลในไทยก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด อันเนื่องมาจากสงครามระหว่างจีนและญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ชาวจีนจำนวนหนึ่งที่ยังคงมีสำนึกผูกพันกับสถานการณ์ในจีน ได้ดำเนินการต่อต้านญี่ปุ่นด้วยการบอยคอตญี่ปุ่น
ดังนั้นการดำเนินนโยบายกดดันชาวจีนของรัฐบาลหลวงพิบูลสงครามจึงทำให้ชาวจีนมองว่ารัฐบาลเริ่มดำเนินนโยบายไม่เป็นกลาง และเห็นว่ารัฐบาลร่วมมือกับญี่ปุ่น ตลอดจนนายพลเจียงไคเช็กประธานคณะมนตรีป้องกันชาติอันสูงสุดของจีนได้ส่งโทรเลขมายังจอมพล ป. พิบูลสงคราม เพื่อให้รัฐบาลไทยลดมาตรการที่กดดันต่อชาวจีนที่อยู่ในไทย[8]
การเข้าร่วมกับญี่ปุ่นในสงครามหาเอเชียบูรพากับการเมืองไทย
เมื่อญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ภาคใต้ของไทยเมื่อเช้าตรู่วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 กองทัพญี่ปุ่นได้ยื่นเงื่อนไขให้รัฐบาลไทย 4 ข้อ คือ 1)ญี่ปุ่นขอเพียงเดินทัพผ่านไทย 2)ไทยกับญี่ปุ่นทำสัญญาพันธมิตรทางทหารเพื่อป้องกันไทย 3)ไทยกับญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรสงครามร่วมรุกร่วมรบต่อฝ่ายตะวันตก 4)ไทยจะเข้าร่วมในกติกาสัญญาพันธไมตรีกับญี่ปุ่น เยอรมันและอิตาลี ซึ่งทางรัฐบาลไทยได้ตัดสินใจเลือกหนทางแรก คือ ยอมให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่าน แต่หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรี จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ตัดสินใจที่จะยกเลิกนโยบายความเป็นกลางในเวทีระหว่างประเทศ และได้ปรับคณะรัฐมนตรีใหม่ด้วยการปลดรัฐมนตรีบางคนที่มีท่าทีเข้ากับตะวันตกและปรับเอาผู้ที่นิยมในญี่ปุ่นขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน และในท้ายที่สุดก็ได้ตกลงทำกติกาสัญญาพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นเมื่อวัน 21 ธันวาคม พ.ศ.2484 และได้พัฒนาไปสู่การประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาในเดือนมกราคม พ.ศ.2485 ซึ่งทำให้ไทยเป็นประเทศพันธมิตรกับญี่ปุ่นอย่างเต็มตัว
ในระดับผู้นำสำคัญของรัฐบาลในขณะนั้นแบ่งเป็นฝ่ายที่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมกับญี่ปุ่นและกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย แกนนำรัฐบาลคนสำคัญที่สนับสนุนการเข้าร่วมกับญี่ปุ่น เช่น จอมพล ป. พิบูลสงคราม หลวงวิจิตรวาทการ นายวณิช ปานะนนท์
สำหรับกลุ่มที่คัดค้านและต่อต้านการเข้าร่วมกับญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ และมีการจัดตั้งเป็นขบวนการชัดเจน คือขบวนการเสรีไทย ซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ทั้งในและต่างประเทศ กลุ่มจีนในไทย มีอยู่หลายกลุ่มด้วยกัน เช่น กองอาสาสมัครต่อต้านญี่ปุ่น ด้วยการออกหนังสือเพื่อเผยแพร่ความสารและชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร แกนนำของกองอาสาสมัครส่วนใหญ่เป็นแรงงานเชื้อสายจีนที่เกิดในไทย[9] พรรคคอมมิวนิสต์[10] การคัดค้านการเข้าร่วมกับญี่ปุ่นในสงครามปรากฏให้เห็นครั้งแรกเมื่อมีการแจกใบปลิวของ “คณะไทยอิสระ” ขึ้นเพื่อต่อต้านรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามและญี่ปุ่น แต่ก็ถูกปราบปราม รวมทั้งมีการจับกุมนักเขียนที่มีแนวคิดต่อต้านญี่ปุ่น เช่น นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ รวมทั้งพ่อค้าคหบดีเชื้อสายจีน
สงครามมหาเอเชียบูรพาต่อการเมืองไทยภายหลังสงคราม
สถานการณ์การต่อสู้ระหว่างกลุ่มการเมืองต่างๆ ในระยะปลายสงคราม ได้คลี่คลายเข้าสู่บริบทใหม่ภายหลังญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามเมื่อวันที่ พ.ศ. 2488 ผู้นำรัฐบาลชุดจอมพล ป. พิบูลสงคราม เช่น จอมพล ป. พิบูลสงคราม ถูกตั้งข้อหาอาชญากรสงคราม
นอกจากนั้นภายหลังญี่ปุ่นยอมแพ้ในสงคราม บุคคลสำคัญทางการเมืองหลายคนได้เสียชีวิต เช่น นายวณิช ปานะนนท์ นายหวั่งหลี เฮียกวงเอี่ยม การเสียชีวิตของบุคคลเหล่านี้ แม้ไม่มีการสืบสวนจนทราบสาเหตุอย่างชัดเจน แต่เชื่อกันว่าเชื่อมโยงกับการพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นในสงคราม
ที่มา
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. ประวัติการเมืองไทย. กรุงเทพฯ : ดอกหญ้า, 2538.
ดิเรก ชัยนาม. ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : แพร่พิทยา, 2509.
ดำริห์ เรืองสุธรรม. ขบวนการแรงงานไทยในการต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, 2544.
พรรณี บัวเล็ก. จักรวรรดินิยมญี่ปุ่นกับพัฒนาการทุนนิยมไทย : ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1-2 (พ.ศ.2457-2484). กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2540.
ภูวดล ทรงประเสริฐ. “นโยบายของรัฐบาลที่มีต่อชาวจีนในประเทศไทย (พ.ศ. 2475-2500).” วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์, 2519.
นิภาพร รัชตพัฒนากุล. “ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างไทย-ญี่ปุ่น: 2475 – 2488.” วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์, 2545.
สรศักดิ์ งามขจรกุลกิจ. ขบวนการเสรีไทยกับความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศไทยระหว่าง พ.ศ.2481-2492. กรุงเทพฯ : สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2532.
เออิจิ มูราซิมา. การเมืองจีนสยาม: การเคลื่อนไหวทางการเมืองของชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศไทย ค.ศ.1924-1941. กรุงเทพฯ: สถานบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2539.
Benjamin A. Batson and Shimizu Hajime. ‘The Tragedy of Wanit: A Japanese Account of Wartime Thai Politics. Singapore: The National University of Singapore, 1990.
Bruce E. Reynolds. Thailand and Japan’s Southern Advance 1940-1945. Scranton: Macmillan. 1994
F.C.Jone. Japan’s new order in East Asia: Its rise and fall 1937-1945. London: Oxford University Press , 1954.
อ้างอิง
- ↑ F.C.Jone , Japan’s new order in east Asia : Its rise and fall 1937-1945 (London : Oxford University Press 1954) , p.332-333.
- ↑ แมนจูกัว เป็นประเทศที่ญี่ปุ่นสนับสนุนให้จัดตั้งขึ้น ภายหลังเกิดกรณีมุกเดน มีเนื้อที่ครอบคลุมดินแดนแมนจูเรีย มีระยะเวลาอยู่ในช่วงสั้นๆ ระหว่าง พ.ศ.2475-2488 โดยล่มสลายไปพร้อมกับความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นในสงคราม
- ↑ สรศักดิ์ งามขจรกุลกิจ. ขบวนการเสรีไทยกับความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศไทยระหว่าง พ.ศ.2481-2492. กรุงเทพฯ : สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2532, น.25-41
- ↑ ชาญวิทย์ , เรื่องเดียวกัน , น. 222.
- ↑ เรื่องเดียวกัน , น. 225.
- ↑ เรื่องเดียวกัน , น. 231-232 ดูรายละเอียดเกี่ยวกับกรณีพิพิาทเพิ่มเติมได้ในทวี ธีระวงศ์เสรี , สัมพันธภาพทางการเมืองระหว่างไทยกับญี่ปุ่น , น..92-112.
- ↑ เออิจิ มูราซิมา. การเมืองจีนสยาม: การเคลื่อนไหวทางการเมืองของชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศไทย ค.ศ.1924-1941. กรุงเทพฯ: สถานบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2539.
- ↑ เออิจิ มูราซิมา. การเมืองจีนสยาม: การเคลื่อนไหวทางการเมืองของชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศไทย ค.ศ.1924-1941. กรุงเทพฯ: สถานบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2539, น.166-196.
- ↑ ดำริห์ เรืองสุธรรม. ขบวนการแรงงานไทยในการต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, 2544, น.
- ↑ ดำริห์ เรืองสุธรรม. เรื่องเดียวกัน, น.