ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เฉลิม อยู่บำรุง"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้าด้วย " ผู้เรียบเรียง : ดร.บุญเกียรติ การะเวกพันธุ์ ผู้ทรงคุณว..."
 
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:


ผู้เรียบเรียง : ดร.บุญเกียรติ การะเวกพันธุ์
ผู้เรียบเรียง : ดร.บุญเกียรติ การะเวกพันธุ์


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ :  รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ :  รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


----
----
บรรทัดที่ 8: บรรทัดที่ 8:
'''เฉลิม อยู่บำรุง'''
'''เฉลิม อยู่บำรุง'''


          ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคมวลชน เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นดาวสภาที่มีฝีปากกล้า
          ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง อดีตรอง[[นายกรัฐมนตรี|นายกรัฐมนตรี ]][[รัฐมนตรี]]ว่าการกระทรวงยุติธรรม  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า[[พรรคมวลชน]] เป็น[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น[[ดาวสภา]]ที่มีฝีปากกล้า


 
 
บรรทัดที่ 26: บรรทัดที่ 26:
          พ.ศ.2523 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมเข้าจับกุมบ่อนแห่งหนึ่งในพื้นที่สถานีตำรวจพลับพลาไชย เขต 2 ตามคำสั่งรองอธิบดีกรมตำรวจ และถูกพลเอกเล็ก แนวมาลีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นย้ายไปรับตำแหน่งหัวหน้าแผนก 8 กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต 8 อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช จนเมื่อเกิดกรณีการเสียชีวิตของพันโทชายชาญ เทียนประภาส  ในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ.2523 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมจึงถูกเรียกกลับกองปราบปรามเพื่อทำคดี[[#_ftn3|[3]]]
          พ.ศ.2523 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมเข้าจับกุมบ่อนแห่งหนึ่งในพื้นที่สถานีตำรวจพลับพลาไชย เขต 2 ตามคำสั่งรองอธิบดีกรมตำรวจ และถูกพลเอกเล็ก แนวมาลีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นย้ายไปรับตำแหน่งหัวหน้าแผนก 8 กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต 8 อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช จนเมื่อเกิดกรณีการเสียชีวิตของพันโทชายชาญ เทียนประภาส  ในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ.2523 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมจึงถูกเรียกกลับกองปราบปรามเพื่อทำคดี[[#_ftn3|[3]]]


          หลังจากนั้นได้ย้ายไปอยู่แผนก 5 กองกำกับการ 7 กองบังคับการปราบปรามดูแลยาเสพติดในพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ก่อนจะย้ายกลับมาเป็นสารวัตรแผนก 4 กองกำกับการ 2 อีกครั้งแล้วเข้าร่วมยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ร่วมกับกลุ่มทหารหนุ่มในระหว่างวันที่ 1 – 3 เมษายน พ.ศ.2524 โดยนำกำลังตำรวจจำนวน 370 นาย เข้ายึดสถานที่สำคัญในกรุงเทพฯ เป้าหมายคือ กรมประชาสัมพันธ์ กองกษาปณ์ การไฟฟ้านครหลวง สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 และ ช่อง 3[[#_ftn4|[4]]] แต่การยึดอำนาจไม่สำเร็จ ทำให้ถูกจับกุมในข้อหากบฏและถูกปลดออกจากราชการ แม้ภายหลังรัฐบาลจะออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้ก่อความไม่สงบเพื่อยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินระหว่างวันที่ 31 มีนาคม ถึงวันที่ 3 เมษายน พ.ศ.2524 ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2524 แต่ร้อยตำรวจเอกเฉลิมไม่ได้กลับเข้ารับราชการและตัดสินใจเข้าสู่วงการเมือง
          หลังจากนั้นได้ย้ายไปอยู่แผนก 5 กองกำกับการ 7 กองบังคับการปราบปรามดูแลยาเสพติดในพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ก่อนจะย้ายกลับมาเป็นสารวัตรแผนก 4 กองกำกับการ 2 อีกครั้งแล้วเข้าร่วมยึดอำนาจการปกครองจาก[[รัฐบาล]]พลเอก[[เปรม_ติณสูลานนท์]]ร่วมกับกลุ่มทหารหนุ่มในระหว่างวันที่ 1 – 3 เมษายน พ.ศ.2524 โดยนำกำลังตำรวจจำนวน 370 นาย เข้ายึดสถานที่สำคัญในกรุงเทพฯ เป้าหมายคือ กรมประชาสัมพันธ์ กองกษาปณ์ การไฟฟ้านครหลวง สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 และ ช่อง 3[[#_ftn4|[4]]] แต่การยึดอำนาจไม่สำเร็จ ทำให้ถูกจับกุมในข้อหา[[กบฏ]]และถูกปลดออกจากราชการ แม้ภายหลังรัฐบาลจะออก[[พระราชกำหนดนิรโทษกรรม]]แก่ผู้ก่อความไม่สงบเพื่อยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินระหว่างวันที่ 31 มีนาคม ถึงวันที่ 3 เมษายน พ.ศ.2524 ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2524 แต่ร้อยตำรวจเอกเฉลิมไม่ได้กลับเข้ารับราชการและตัดสินใจเข้าสู่วงการเมือง


          วันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2524 ได้เกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์แบบเบลล์ 205 ของกรมตำรวจ ที่นำสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเดินทางไปเยี่ยมชมโครงการหลวง ที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ตกในหุบเขา ตำบลแม่สูน อำเภอฝาง ทำให้พันตำรวจเอก กฤช สังขทรัพย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายชัยทิพย์ น่วมอนงค์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานครเสียชีวิต[[#_ftn5|[5]]] ร้อยตำรวจเฉลิมได้ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมแทนตำแหน่งที่ว่าง ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าได้ลำดับที่ 2 ด้วยคะแนน  29,276 แพ้กำนันปลิว ม่วงศิริ ผู้สมัครจากพรรคประชากรไทย [[#_ftn6|[6]]]คะแนนที่ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับจากการเลือกตั้งซ่อมทำให้นายพิชัย รัตตกุลหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้มาชวนให้เข้าพรรคประชาธิปัตย์
          วันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2524 ได้เกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์แบบเบลล์ 205 ของกรมตำรวจ ที่นำสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเดินทางไปเยี่ยมชมโครงการหลวง ที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ตกในหุบเขา ตำบลแม่สูน อำเภอฝาง ทำให้พันตำรวจเอก กฤช สังขทรัพย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายชัยทิพย์ น่วมอนงค์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานครเสียชีวิต[[#_ftn5|[5]]] ร้อยตำรวจเฉลิมได้ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมแทนตำแหน่งที่ว่าง ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าได้ลำดับที่ 2 ด้วยคะแนน  29,276 แพ้กำนันปลิว ม่วงศิริ ผู้สมัครจาก[[พรรคประชากรไทย]] [[#_ftn6|[6]]]คะแนนที่ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับจากการเลือกตั้งซ่อมทำให้นาย[[พิชัย_รัตตกุล]][[หัวหน้าพรรค]][[พรรคประชาธิปัตย์|ประชาธิปัตย์]]ได้มาชวนให้เข้าพรรคประชาธิปัตย์


          เมื่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ยุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ.2526 โดยกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ.2526 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้ลงสมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์และได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรก ได้รับตำแหน่งทางการเมืองเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร้อยตำรวจเอกเฉลิมเห็นว่าเส้นทางการเติบโตในพรรคประชาธิปัตย์มีน้อยมากอันเนื่องจากวัฒนธรรมของพรรค ดังนั้นร้อยตำรวจเอกเฉลิมจึงได้จดทะเบียนตั้งพรรคมวลชนในวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2528  โดยในระยะแรกให้นายสมศักดิ์ ภาคีโพธิ์ เป็นหัวหน้าพรรค จนเมื่อพลเอกเปรมได้ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2529 และกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2529 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคมวลชนและได้ที่นั่งในสภาฯจำนวน 3 ที่นั่ง[[#_ftn7|[7]]] โดยเป็นพรรคฝ่ายค้าน
          เมื่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์[[ยุบสภา]]ผู้แทนราษฎรในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ.2526 โดยกำหนดให้มี[[การเลือกตั้งทั่วไป]]ในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ.2526 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้ลงสมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์และได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรก ได้รับตำแหน่งทางการเมืองเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร้อยตำรวจเอกเฉลิมเห็นว่าเส้นทางการเติบโตในพรรคประชาธิปัตย์มีน้อยมากอันเนื่องจากวัฒนธรรมของพรรค ดังนั้นร้อยตำรวจเอกเฉลิมจึงได้จดทะเบียนตั้งพรรคมวลชนในวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2528  โดยในระยะแรกให้นายสมศักดิ์ ภาคีโพธิ์ เป็นหัวหน้าพรรค จนเมื่อพลเอกเปรมได้ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2529 และกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2529 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคมวลชนและได้ที่นั่งในสภาฯจำนวน 3 ที่นั่ง[[#_ftn7|[7]]] โดยเป็น[[พรรคฝ่ายค้าน]]


          เมื่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ประกาศยุบสภาในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2531 อันเนื่องจากความขัดแย้งกันเองของพรรครัฐบาลและกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2531 ในการเลือกตั้งดังกล่าวพรรคมวลชนได้ที่นั่งในสภาฯจำนวน 5 ที่นั่ง และพรรคมวลชนได้เข้าร่วมรัฐบาล ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายให้ดูแล การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สำนักงบประมาณและองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.)
          เมื่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ประกาศยุบสภาในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2531 อันเนื่องจาก[[สันติวิธี/ความขัดแย้ง|ความขัดแย้ง]]กันเองของพรรครัฐบาลและกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2531 ในการเลือกตั้งดังกล่าวพรรคมวลชนได้ที่นั่งในสภาฯจำนวน 5 ที่นั่ง และพรรคมวลชนได้เข้าร่วมรัฐบาล ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายให้ดูแล การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สำนักงบประมาณและองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.)


          พ.ศ.2533 รัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณเริ่มเกิดปัญหากับกองทัพ เมื่อพลเอกชวลิตตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการทหารสูงสุดเข้ารับตำแหน่งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2533  แต่ในระหว่างอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีดังกล่าวได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทุจริตคอรัปชั่นในรัฐบาลอย่างรุนแรง ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้ออกมาวิจารณ์ “หลังบ้าน”พลเอกชวลิตว่าเป็นตู้เพชร ตู้ทองเคลื่อนที่  หลังจากนั้นไม่นานพลเอกชวลิตก็ลาออกจากตำแหน่งในรัฐบาลพลเอกชาติชายและก่อให้เกิดความขัดแย้งกับกองทัพมากยิ่งขึ้น[[#_ftn8|[8]]]
          พ.ศ.2533 รัฐบาลพลเอก[[ชาติชาย_ชุณหะวัณ]]เริ่มเกิดปัญหากับกองทัพ เมื่อพลเอกชวลิตตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการทหารสูงสุดเข้ารับตำแหน่งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2533  แต่ในระหว่างอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีดังกล่าวได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การ[[ทุจริตคอรัปชั่น]]ในรัฐบาลอย่างรุนแรง ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้ออกมาวิจารณ์ “หลังบ้าน”พลเอกชวลิตว่าเป็นตู้เพชร ตู้ทองเคลื่อนที่  หลังจากนั้นไม่นานพลเอกชวลิตก็ลาออกจากตำแหน่งในรัฐบาลพลเอกชาติชายและก่อให้เกิดความขัดแย้งกับกองทัพมากยิ่งขึ้น[[#_ftn8|[8]]]


          พลเอกชาติชายให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิมติดตามดูว่ามีหน่วยทหารหน่วยใดที่คิดปฏิวัติโดยร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้ใช้รถโมบายยูนิตขององค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ไปดักฟัง วันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2533 กองบัญชาการทหารสูงสุดได้ออกแถลงการณ์ยึดรถโมบายยูนิต ซึ่งจอดอยู่บริเวณวัดไผ่เลี้ยง เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร เพราะต้องสงสัยทำให้ระบบสื่อสารของทหารถูกรบกวน เมื่อองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ได้ขอทวงรถคืน แต่ถูกปฏิเสธจากพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ร้อยตำรวจเอกเฉลิมจึงได้ให้สัมภาษณ์โจมตีพลเอกสุนทร เมื่อมีข่าวแพร่ออกไปว่าพรรคมวลชนทำหนังสือถึงสมาชิกให้เดินทางมาชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้กำลังใจร้อยตำรวจเอกเฉลิม พลเอกสุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารบกได้อาศัยอำนาจของผู้อำนวยการรักษาพระนคร ออกคำสั่งที่ 43/2533 ห้ามชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล[[#_ftn9|[9]]]
          พลเอกชาติชายให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิมติดตามดูว่ามีหน่วยทหารหน่วยใดที่คิดปฏิวัติโดยร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้ใช้รถโมบายยูนิตขององค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ไปดักฟัง วันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2533 กองบัญชาการทหารสูงสุดได้ออกแถลงการณ์ยึดรถโมบายยูนิต ซึ่งจอดอยู่บริเวณวัดไผ่เลี้ยง เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร เพราะต้องสงสัยทำให้ระบบสื่อสารของทหารถูกรบกวน เมื่อองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ได้ขอทวงรถคืน แต่ถูกปฏิเสธจากพลเอก[[สุนทร_คงสมพงษ์]] ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ร้อยตำรวจเอกเฉลิมจึงได้ให้สัมภาษณ์โจมตีพลเอกสุนทร เมื่อมีข่าวแพร่ออกไปว่าพรรคมวลชนทำหนังสือถึงสมาชิกให้เดินทางมาชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้กำลังใจร้อยตำรวจเอกเฉลิม พลเอกสุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารบกได้อาศัยอำนาจของผู้อำนวยการรักษาพระนคร ออกคำสั่งที่ 43/2533 ห้ามชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล[[#_ftn9|[9]]]


          ท่ามกลางความขัดแย้งดังกล่าวมีความพยายามกดดันให้ปรับร้อยตำรวจเอกเฉลิมออกจากคณะรัฐมนตรี ในตอนแรกพลเอกชาติชายรับปากว่าจะให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิมออกจากรัฐบาล แต่การปรับคณะรัฐมนตรีในวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2533 พลเอกชาติชายตัดสินใจปรับร้อยตำรวจเอกเฉลิมไปเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผลการปรับคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ความขัดแย้งระหว่างกองทัพกับรัฐบาลยิ่งขยายตัวออกไป ทำให้พลเอกชาติชายตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2533 ในการจัดคณะรัฐมนตรีชุดใหม่พลเอกชาติชายได้ตัดพรรคมวลชนออกจากการร่วมรัฐบาล[[#_ftn10|[10]]]
          ท่ามกลางความขัดแย้งดังกล่าวมีความพยายามกดดันให้ปรับร้อยตำรวจเอกเฉลิมออกจากคณะรัฐมนตรี ในตอนแรกพลเอกชาติชายรับปากว่าจะให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิมออกจากรัฐบาล แต่การปรับคณะรัฐมนตรีในวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2533 พลเอกชาติชายตัดสินใจปรับร้อยตำรวจเอกเฉลิมไปเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผลการปรับ[[คณะรัฐมนตรี]]ดังกล่าว ความขัดแย้งระหว่างกองทัพกับรัฐบาลยิ่งขยายตัวออกไป ทำให้พลเอกชาติชายตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2533 ในการจัดคณะรัฐมนตรีชุดใหม่พลเอกชาติชายได้ตัดพรรคมวลชนออกจากการร่วมรัฐบาล[[#_ftn10|[10]]]


          วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช.นำโดยพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ได้ทำรัฐประหาร โดยอ้างเหตุผลในการยึดอำนาจ 5 ข้อ เช่น มีการทุจริตคอรัปชั่นของบรรดารัฐมนตรีร่วมรัฐบาลมีความพยายามทำลายสถาบันทหาร[[#_ftn11|[11]]] ทำให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิมต้องลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศเดนมาร์ก
          วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2534 [[คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ]] หรือ[[รสช.|รสช.]]นำโดยพลเอก[[สุนทร_คงสมพงษ์]]ได้ทำ[[รัฐประหาร]] โดยอ้างเหตุผลในการยึดอำนาจ 5 ข้อ เช่น มีการทุจริตคอรัปชั่นของบรรดารัฐมนตรีร่วมรัฐบาลมีความพยายามทำลายสถาบันทหาร[[#_ftn11|[11]]] ทำให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิมต้องลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศเดนมาร์ก


          คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติได้ออกประกาศ ฉบับที่ 26 ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) โดยมีพลเอกสิทธิ จิรโรจน์เป็นประธาน[[#_ftn12|[12]]]ผลจากการตรวจสอบของ คตส.ได้กล่าวหาว่าร้อยตำรวจเอกเฉลิมร่ำรวยผิดปกติ และถูกยึดทรัพย์จำนวน 32 ล้านบาท
          คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติได้ออกประกาศ ฉบับที่ 26 [[ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน]] ([[คตส.]]) โดยมีพลเอก[[สิทธิ_จิรโรจน์]]เป็นประธาน[[#_ftn12|[12]]]ผลจากการตรวจสอบของ คตส.ได้กล่าวหาว่าร้อยตำรวจเอกเฉลิมร่ำรวยผิดปกติ และถูกยึดทรัพย์จำนวน 32 ล้านบาท


          เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2534 ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2534 และกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 22 มีนาคม 2535 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมจึงได้เดินทางกลับประเทศและลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ได้คะแนนเป็นลำดัยที่ 4  โดยแพ้ผู้สมัครรับเลือกตั้งฯ ที่ได้คะแนนลำดับที่ 3 ไป 900 คะแนน[[#_ftn13|[13]]]
          เมื่อ[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พ.ศ._2534|รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2534]] ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2534 และกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 22 มีนาคม 2535 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมจึงได้เดินทางกลับประเทศและลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ได้คะแนนเป็นลำดัยที่ 4  โดยแพ้ผู้สมัครรับเลือกตั้งฯ ที่ได้คะแนนลำดับที่ 3 ไป 900 คะแนน[[#_ftn13|[13]]]


          ภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ได้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 13 กันยายน พ.ศ.2535 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. และพรรคมวลชนได้ที่นั่งในสภาฯจำนวน  4 ที่นั่ง
          ภายหลัง[[เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ]] ได้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 13 กันยายน พ.ศ.2535 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. และพรรคมวลชนได้ที่นั่งในสภาฯจำนวน  4 ที่นั่ง


          การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2538 สมาชิกพรรคมวลชนได้รับการเลือกตั้งจำนวน 3 ที่นั่ง เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาล นายบรรหาร ศิลปอาชาได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม[[#_ftn14|[14]]]
          การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2538 สมาชิกพรรคมวลชนได้รับการเลือกตั้งจำนวน 3 ที่นั่ง เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาล นาย[[บรรหาร_ศิลปอาชา]]ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม[[#_ftn14|[14]]]


          การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 สมาชิกพรรคมวลชนได้รับการเลือกตั้งจำนวน 2 ที่นั่ง เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาล พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
          [[การเลือกตั้งทั่วไป]]ในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 สมาชิกพรรคมวลชนได้รับการเลือกตั้งจำนวน 2 ที่นั่ง เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาล พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย


          การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ.2544 สมาชิกพรรคมวลชนได้ยุบรวมเข้ากับพรรคความหวังใหม่ ซึ่งต่อมาได้พรรคความหวังใหม่ได้ยุบรวมกับพรรคไทยรักไทยในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2545 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมมีความขัดแย้งกับสมาชิกบางกลุ่มในพรรคไทยรักไทย ทำให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิมออกจากพรรคไทยรักไทยแล้วลงสมัครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2547 แต่ได้คะแนนเป็นอันดับที่ 4
          การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ.2544 สมาชิกพรรคมวลชนได้ยุบรวมเข้ากับ[[พรรคความหวังใหม่]] ซึ่งต่อมาได้พรรคความหวังใหม่ได้ยุบรวมกับพรรคไทยรักไทยในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2545 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมมีความขัดแย้งกับสมาชิกบางกลุ่มใน[[พรรคไทยรักไทย]] ทำให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิมออกจากพรรคไทยรักไทยแล้วลงสมัครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2547 แต่ได้คะแนนเป็นอันดับที่ 4


          ระหว่าง พ.ศ.2548 – พ.ศ.2550 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้ถอยออกจากแวดวงการเมืองและไปเรียนหลักสูตรดุษฎีบัณฑิต สาขานิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
          ระหว่าง พ.ศ.2548 – พ.ศ.2550 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้ถอยออกจากแวดวงการเมืองและไปเรียนหลักสูตรดุษฎีบัณฑิต สาขานิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง


          ร้อยตำรวจเอกเฉลิมกลับเข้าสู่แวดวงการเมืองอีกครั้งโดยตัดสินใจเข้าร่วมกับพรรคพลังประชาชนโดยอธิบายว่า ภายหลังรัฐประหาร พ.ศ.2549 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมพร้อมครอบครัวได้เดินทางไปเยี่ยม ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ลี้ภัยอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ดร.ทักษิณได้ชวนเข้าร่วมงานทางการเมืองกับพรรคพลังประชาชน[[#_ftn15|[15]]] ในการเลือกตั้งทั่วไป 23 ธันวาคม พ.ศ.2550  ร้อยตำรวจเอกเฉลิมเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วนลำดับที่ 2 เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2551
          ร้อยตำรวจเอกเฉลิมกลับเข้าสู่แวดวงการเมืองอีกครั้งโดยตัดสินใจเข้าร่วมกับ[[พรรคพลังประชาชน]]โดยอธิบายว่า ภายหลังรัฐประหาร พ.ศ.2549 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมพร้อมครอบครัวได้เดินทางไปเยี่ยม ดร.[[ทักษิณ_ชินวัตร]] ที่ลี้ภัยอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ดร.ทักษิณได้ชวนเข้าร่วมงานทางการเมืองกับพรรคพลังประชาชน[[#_ftn15|[15]]] ในการเลือกตั้งทั่วไป 23 ธันวาคม พ.ศ.2550  ร้อยตำรวจเอกเฉลิมเป็น[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน]]ลำดับที่ 2 เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2551


          นโยบายของร้อยตำรวจเอกเฉลิมหลายนโยบายถูกวิพากษ์วิจารณ์ เช่น นโยบาย ผู้ว่า 1 คน 1 วัน โดยกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมาพบที่บ้านพักย่านบางบอนในตอนเช้าก่อนจะนั่งรถไปทำงานที่กระทรวงมหาดไทยด้วยกัน   ระหว่างที่เดินทางก็ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด พูดถึงสภาพเศรษฐกิจสังคมว่ามีปัญหาอุปสรรคอะไรใส่เทป เพื่อนำมาเป็นนโยบายของกระทรวงมหาดไทย[[#_ftn16|[16]]] ร้อยตำรวจเอกเฉลิมพ้นจากตำแหน่ง ในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2551 เมื่อนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีปรับคณะรัฐมนตรี
          นโยบายของร้อยตำรวจเอกเฉลิมหลายนโยบายถูกวิพากษ์วิจารณ์ เช่น นโยบาย ผู้ว่า 1 คน 1 วัน โดยกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมาพบที่บ้านพักย่านบางบอนในตอนเช้าก่อนจะนั่งรถไปทำงานที่กระทรวงมหาดไทยด้วยกัน   ระหว่างที่เดินทางก็ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด พูดถึงสภาพเศรษฐกิจสังคมว่ามีปัญหาอุปสรรคอะไรใส่เทป เพื่อนำมาเป็นนโยบายของกระทรวงมหาดไทย[[#_ftn16|[16]]] ร้อยตำรวจเอกเฉลิมพ้นจากตำแหน่ง ในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2551 เมื่อนาย[[สมัคร_สุนทรเวช]] นายกรัฐมนตรีปรับคณะรัฐมนตรี


          เมื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี วันที่ 18 กันยายน พ.ศ.2551 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จนถึงวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติให้ยุบพรรคพลังประชาชนอันเนื่องมาจากกรณีทุจริตการเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ส่งผลให้นายสมชายถูกตัดสิทธิทางการเมืองต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
          เมื่อนาย[[สมชาย_วงศ์สวัสดิ์]]เป็นนายกรัฐมนตรี วันที่ 18 กันยายน พ.ศ.2551 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จนถึงวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ที่ตุลาการ[[ศาลรัฐธรรมนูญ]]ได้มีมติให้[[ยุบพรรคพลังประชาชน]]อันเนื่องมาจากกรณีทุจริตการเลือกตั้งของนาย[[ยงยุทธ_ติยะไพรัช]] ส่งผลให้นายสมชายถูก[[ตัดสิทธิทางการเมือง]]ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี


          เมื่อพรรคพลังประชาชนถูกยุบ สมาชิกของพรรคได้มาตั้งพรรคการเมืองใหม่ชื่อพรรคเพื่อไทย โดยได้มีการปรับโครงสร้างหลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ในวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2552 ที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทยมีมติเลือกร้อยตำรวจเอกเฉลิมเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคและประธานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทย ทำหน้าที่คล้ายกับผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร[[#_ftn17|[17]]]
          เมื่อพรรคพลังประชาชนถูกยุบ สมาชิกของพรรคได้มาตั้งพรรคการเมืองใหม่ชื่อ[[พรรคเพื่อไทย]] โดยได้มีการปรับโครงสร้างหลังจากที่พรรค[[พรรคประชาธิปัตย์|ประชาธิปัตย์]]สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ในวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2552 ที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทยมีมติเลือกร้อยตำรวจเอกเฉลิมเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคและประธานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทย ทำหน้าที่คล้ายกับ[[ผู้นำฝ่ายค้าน]]ใน[[สภาผู้แทนราษฎร]][[#_ftn17|[17]]]


          การเลือกตั้งทั่วไปในอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 พรรคเพื่อไทยได้รับการเลือกตั้งมากที่สุดและสามารถจัดตั้งรัฐบาล โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี โดยได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ[[#_ftn18|[18]]] เมื่อมีการปรับคณะรัฐมนตรีในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2556 ร้อยตำรวจเอก เฉลิม ถูกปรับให้ไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน[[#_ftn19|[19]]]
          การเลือกตั้งทั่วไปในอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 พรรคเพื่อไทยได้รับการเลือกตั้งมากที่สุดและสามารถจัดตั้งรัฐบาล โดยนางสาว[[ยิ่งลักษณ์_ชินวัตร]]เป็นนายกรัฐมนตรี ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี โดยได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ[[#_ftn18|[18]]] เมื่อมีการปรับคณะรัฐมนตรีในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2556 ร้อยตำรวจเอก เฉลิม ถูกปรับให้ไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน[[#_ftn19|[19]]]


          ในระหว่างการชุมนุมของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  (กปปส.) ซึ่งเริ่มชุมนุมตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2556 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้กำกับการปฏิบัติงานของหัวหน้าผู้รับผิดชอบและพนักงานเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในสถานการณ์ฉุกเฉินตามคําสั่งนายกรัฐมนตรีที่พิเศษ 2/2557[[#_ftn20|[20]]] ในวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557 ถึง วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2557
          ในระหว่างการชุมนุมของ[[คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข]]  ([[กปปส.]]) ซึ่งเริ่มชุมนุมตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2556 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้กำกับการปฏิบัติงานของหัวหน้าผู้รับผิดชอบและพนักงานเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในสถานการณ์ฉุกเฉินตามคําสั่งนายกรัฐมนตรีที่พิเศษ 2/2557[[#_ftn20|[20]]] ในวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557 ถึง วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2557


          วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ.2557 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัย กรณีการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรีของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่ารัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการลงมติโยกย้ายแต่งตั้งนายถวิลต้องถือว่ากระทำการโดยมิชอบ ดังนั้น ความเป็นรัฐมนตรีของรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็จะต้องสิ้นสุดเฉพาะตัวลงด้วยเช่นกัน ทำให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุงต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีรักษาการ[[#_ftn21|[21]]] ซึ่งก่อให้เกิดสุญญากาศในการใช้อำนาจทางการเมืองเพราะรัฐบาลไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้และคณะรัฐมนตรีรักษาการต้องพ้นจากตำแหน่ง จนนำไปสู่วิกฤติการณ์ทางการเมืองและการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในวันที่  22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
          วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ.2557 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัย กรณีการโยกย้ายนาย[[ถวิล_เปลี่ยนศรี]]ของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่ารัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการลงมติโยกย้ายแต่งตั้งนายถวิลต้องถือว่ากระทำการโดยมิชอบ ดังนั้น ความเป็นรัฐมนตรีของรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็จะต้องสิ้นสุดเฉพาะตัวลงด้วยเช่นกัน ทำให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุงต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีรักษาการ[[#_ftn21|[21]]] ซึ่งก่อให้เกิดสุญญากาศในการใช้อำนาจทางการเมืองเพราะรัฐบาลไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้และคณะรัฐมนตรีรักษาการต้องพ้นจากตำแหน่ง จนนำไปสู่วิกฤติการณ์ทางการเมืองและการยึดอำนาจของ[[คณะรักษาความสงบแห่งชาติ]]ในวันที่  22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557


 
 
บรรทัดที่ 74: บรรทัดที่ 74:
'''หนังสือแนะนำ'''
'''หนังสือแนะนำ'''


อนุสรณ์ ศิริชาติ'''.'''(2555).'''ฉะเหลิม คนรักต้องอ่าน คนไม่รักยิ่งต้องอ่าน.'''กรุงเทพฯ : บริษัทอินอินจำกัด.
อนุสรณ์ ศิริชาติ'''.'''(2555).'''ฉะเหลิม คนรักต้องอ่าน คนไม่รักยิ่งต้องอ่าน.'''กรุงเทพฯ : บริษัทอินอินจำกัด.


 
 
บรรทัดที่ 80: บรรทัดที่ 80:
'''บรรณานุกรม'''
'''บรรณานุกรม'''


กองบรรณาธิการมติชน.'''289 ข่าวดัง 3 ทศวรรษหนังสือพิมพ์มติชน.'''(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.2550.พิมพ์ครั้งที่ 2) หน้า 54.
กองบรรณาธิการมติชน.'''289 ข่าวดัง 3 ทศวรรษหนังสือพิมพ์มติชน.'''(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.2550.พิมพ์ครั้งที่ 2) หน้า 54.


ไทยรัฐออนไลน์,'''เปิดรายชื่อ รมต. ตกเก้าอี้ พร้อม ยิ่งลักษณ์'''. เข้าถึงจากhttp://www.thairath.co.th/content/421277.เมื่อ 10 กันยายน 2559.
ไทยรัฐออนไลน์,'''เปิดรายชื่อ รมต. ตกเก้าอี้ พร้อม ยิ่งลักษณ์'''. เข้าถึงจากhttp://www.thairath.co.th/content/421277.เมื่อ 10 กันยายน 2559.
บรรทัดที่ 86: บรรทัดที่ 86:
ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 108 ตอนที่ 34 หน้า 2 ลงวันที่25 กุมภาพันธ์ 2534
ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 108 ตอนที่ 34 หน้า 2 ลงวันที่25 กุมภาพันธ์ 2534


ศูนย์ข้อมูลมติชน,'''บันทึกประเทศไทย ปี 2552''',(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.2553), หน้า 40.
ศูนย์ข้อมูลมติชน,'''บันทึกประเทศไทย ปี 2552''',(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.2553), หน้า 40.


ศูนย์ข้อมูลมติชน,'''บันทึกประเทศไทย ปี 2554''',(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.2555), หน้า 273.
ศูนย์ข้อมูลมติชน,'''บันทึกประเทศไทย ปี 2554''',(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.2555), หน้า 273.


ศูนย์ข้อมูลมติชน,'''บันทึกประเทศไทย ปี 2556''',(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.2557), หน้า 222.
ศูนย์ข้อมูลมติชน,'''บันทึกประเทศไทย ปี 2556''',(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.2557), หน้า 222.


ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 131 ตอนพิเศษ 13 ง หน้า 8 ลงวันที่ 21 มกราคม 2557
ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 131 ตอนพิเศษ 13 ง หน้า 8 ลงวันที่ 21 มกราคม 2557


อนุสรณ์ ศิริชาติ'''.ฉะเหลิม คนรักต้องอ่าน คนไม่รักยิ่งต้องอ่าน.'''(กรุงเทพฯ : บริษัทอินอินจำกัด.2555).หน้า 38.
อนุสรณ์ ศิริชาติ'''.ฉะเหลิม คนรักต้องอ่าน คนไม่รักยิ่งต้องอ่าน.'''(กรุงเทพฯ : บริษัทอินอินจำกัด.2555).หน้า 38.


 
 
บรรทัดที่ 102: บรรทัดที่ 102:
----
----
<div id="ftn1">
<div id="ftn1">
[[#_ftnref1|[1]]] อนุสรณ์ ศิริชาติ'''.ฉะเหลิม คนรักต้องอ่าน คนไม่รักยิ่งต้องอ่าน.'''(กรุงเทพฯ : บริษัทอินอินจำกัด.2555).หน้า 38
[[#_ftnref1|[1]]] อนุสรณ์ ศิริชาติ'''.ฉะเหลิม คนรักต้องอ่าน คนไม่รักยิ่งต้องอ่าน.'''(กรุงเทพฯ&nbsp;: บริษัทอินอินจำกัด.2555).หน้า 38
</div> <div id="ftn2">
</div> <div id="ftn2">
[[#_ftnref2|[2]]] อนุสรณ์ ศิริชาติ.หน้า 31.
[[#_ftnref2|[2]]] อนุสรณ์ ศิริชาติ.หน้า 31.
บรรทัดที่ 110: บรรทัดที่ 110:
[[#_ftnref4|[4]]] อนุสรณ์ ศิริชาติ.หน้า 75.
[[#_ftnref4|[4]]] อนุสรณ์ ศิริชาติ.หน้า 75.
</div> <div id="ftn5">
</div> <div id="ftn5">
[[#_ftnref5|[5]]] กองบรรณาธิการมติชน.'''289 ข่าวดัง 3 ทศวรรษหนังสือพิมพ์มติชน.'''(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.2550.พิมพ์ครั้งที่ 2) หน้า 54.
[[#_ftnref5|[5]]] กองบรรณาธิการมติชน.'''289 ข่าวดัง 3 ทศวรรษหนังสือพิมพ์มติชน.'''(กรุงเทพฯ&nbsp;: สำนักพิมพ์มติชน.2550.พิมพ์ครั้งที่ 2) หน้า 54.
</div> <div id="ftn6">
</div> <div id="ftn6">
[[#_ftnref6|[6]]] อนุสรณ์ ศิริชาติ.หน้า 89.
[[#_ftnref6|[6]]] อนุสรณ์ ศิริชาติ.หน้า 89.
บรรทัดที่ 134: บรรทัดที่ 134:
[[#_ftnref16|[16]]] อนุสรณ์ ศิริชาติ''','''หน้า 269.
[[#_ftnref16|[16]]] อนุสรณ์ ศิริชาติ''','''หน้า 269.
</div> <div id="ftn17">
</div> <div id="ftn17">
[[#_ftnref17|[17]]] ศูนย์ข้อมูลมติชน,'''บันทึกประเทศไทย ปี 2552''',(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.2553), หน้า 40.
[[#_ftnref17|[17]]] ศูนย์ข้อมูลมติชน,'''บันทึกประเทศไทย ปี 2552''',(กรุงเทพฯ&nbsp;: สำนักพิมพ์มติชน.2553), หน้า 40.
</div> <div id="ftn18">
</div> <div id="ftn18">
[[#_ftnref18|[18]]] ศูนย์ข้อมูลมติชน,'''บันทึกประเทศไทย ปี 2554''',(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.2555), หน้า 273.
[[#_ftnref18|[18]]] ศูนย์ข้อมูลมติชน,'''บันทึกประเทศไทย ปี 2554''',(กรุงเทพฯ&nbsp;: สำนักพิมพ์มติชน.2555), หน้า 273.
</div> <div id="ftn19">
</div> <div id="ftn19">
[[#_ftnref19|[19]]] ศูนย์ข้อมูลมติชน,'''บันทึกประเทศไทย ปี 2556''',(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.2557), หน้า 222.
[[#_ftnref19|[19]]] ศูนย์ข้อมูลมติชน,'''บันทึกประเทศไทย ปี 2556''',(กรุงเทพฯ&nbsp;: สำนักพิมพ์มติชน.2557), หน้า 222.
</div> <div id="ftn20">
</div> <div id="ftn20">
[[#_ftnref20|[20]]] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 131 ตอนพิเศษ 13 ง หน้า 8 ลงวันที่ 21 มกราคม 2557
[[#_ftnref20|[20]]] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 131 ตอนพิเศษ 13 ง หน้า 8 ลงวันที่ 21 มกราคม 2557

รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:56, 4 กรกฎาคม 2561

ผู้เรียบเรียง : ดร.บุญเกียรติ การะเวกพันธุ์

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ :  รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


เฉลิม อยู่บำรุง

          ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคมวลชน เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นดาวสภาที่มีฝีปากกล้า

 

ประวัติส่วนบุคคล

          ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง เกิดเมื่อเดือน พฤษภาคม พ.ศ.2490โดยไม่ทราบวันเกิดแน่นอน เป็นบุตรคนที่ 2 จากพี่น้องทั้งหมด 7 คนของร้อยตำรวจตรีแฉล้มและนางลั้ง อยู่บำรุง เข้าศึกษาในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึง 4 ที่โรงเรียนวัดบางบอนจากนั้นไปศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดสิงห์ โดยในระหว่างที่ศึกษาที่โรงเรียนวัดสิงห์ได้อาศัยอยู่ที่วัดกำแพง[1]  จากนั้นเข้าโรงเรียนนายสิบทหารบก เหล่าสารวัตรทหาร สอบจบได้เป็นลำดับที่ 12

          ในภายหลังร้อยตำรวจเอกเฉลิมเข้าศึกษาต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง จนสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี โท และเอก

 

เหตุการณ์สำคัญ

          หลังจบการศึกษาจากโรงเรียนนายสิบทหารบก ร้อยตำรวจเอกเฉลิม ได้เข้ารับราชการในกรมสารวัตรทหารบก  โดยในระหว่างที่เป็นสารวัตรทหารได้มีโอกาสฝึกฝนวิชายูโดกับการต่อสู้ด้วยมือเปล่ากับรอยัล สคริปต์ ทหารสหรัฐอเมริกา ที่มาประจำคณะที่ปรึกษาทางการทหารสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย (จัสแม็ก) จนได้รับประกาศนียบัตร ความรู้ดังกล่าวทำให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิมโอนย้ายเข้าเป็นตำรวจโดยใช้วิชายูโดเข้าเป็นผู้บังคับหมู่ในแผนก 5 กองกำกับการ 2 กองปราบปราม หรือหน่วยคอมมานโด ครองยศสิบตำรวจเอก ในเวลาต่อมาได้สอบเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร โดยติดยศร้อยตำรวจตรีในพ.ศ. 2516 ในกองบังคับการกองปราบปราม จนดำรงตำแหน่งสารวัตรแผนก 4 กองกำกับการ 2 กองปราบปราม ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญที่เรียกว่าสารวัตรประเทศไทย[2]

          พ.ศ.2523 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมเข้าจับกุมบ่อนแห่งหนึ่งในพื้นที่สถานีตำรวจพลับพลาไชย เขต 2 ตามคำสั่งรองอธิบดีกรมตำรวจ และถูกพลเอกเล็ก แนวมาลีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นย้ายไปรับตำแหน่งหัวหน้าแผนก 8 กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต 8 อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช จนเมื่อเกิดกรณีการเสียชีวิตของพันโทชายชาญ เทียนประภาส  ในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ.2523 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมจึงถูกเรียกกลับกองปราบปรามเพื่อทำคดี[3]

          หลังจากนั้นได้ย้ายไปอยู่แผนก 5 กองกำกับการ 7 กองบังคับการปราบปรามดูแลยาเสพติดในพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ก่อนจะย้ายกลับมาเป็นสารวัตรแผนก 4 กองกำกับการ 2 อีกครั้งแล้วเข้าร่วมยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพลเอกเปรม_ติณสูลานนท์ร่วมกับกลุ่มทหารหนุ่มในระหว่างวันที่ 1 – 3 เมษายน พ.ศ.2524 โดยนำกำลังตำรวจจำนวน 370 นาย เข้ายึดสถานที่สำคัญในกรุงเทพฯ เป้าหมายคือ กรมประชาสัมพันธ์ กองกษาปณ์ การไฟฟ้านครหลวง สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 และ ช่อง 3[4] แต่การยึดอำนาจไม่สำเร็จ ทำให้ถูกจับกุมในข้อหากบฏและถูกปลดออกจากราชการ แม้ภายหลังรัฐบาลจะออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้ก่อความไม่สงบเพื่อยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินระหว่างวันที่ 31 มีนาคม ถึงวันที่ 3 เมษายน พ.ศ.2524 ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2524 แต่ร้อยตำรวจเอกเฉลิมไม่ได้กลับเข้ารับราชการและตัดสินใจเข้าสู่วงการเมือง

          วันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2524 ได้เกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์แบบเบลล์ 205 ของกรมตำรวจ ที่นำสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเดินทางไปเยี่ยมชมโครงการหลวง ที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ตกในหุบเขา ตำบลแม่สูน อำเภอฝาง ทำให้พันตำรวจเอก กฤช สังขทรัพย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายชัยทิพย์ น่วมอนงค์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานครเสียชีวิต[5] ร้อยตำรวจเฉลิมได้ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมแทนตำแหน่งที่ว่าง ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าได้ลำดับที่ 2 ด้วยคะแนน  29,276 แพ้กำนันปลิว ม่วงศิริ ผู้สมัครจากพรรคประชากรไทย [6]คะแนนที่ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับจากการเลือกตั้งซ่อมทำให้นายพิชัย_รัตตกุลหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้มาชวนให้เข้าพรรคประชาธิปัตย์

          เมื่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ยุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ.2526 โดยกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ.2526 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้ลงสมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์และได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรก ได้รับตำแหน่งทางการเมืองเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร้อยตำรวจเอกเฉลิมเห็นว่าเส้นทางการเติบโตในพรรคประชาธิปัตย์มีน้อยมากอันเนื่องจากวัฒนธรรมของพรรค ดังนั้นร้อยตำรวจเอกเฉลิมจึงได้จดทะเบียนตั้งพรรคมวลชนในวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2528  โดยในระยะแรกให้นายสมศักดิ์ ภาคีโพธิ์ เป็นหัวหน้าพรรค จนเมื่อพลเอกเปรมได้ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2529 และกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2529 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคมวลชนและได้ที่นั่งในสภาฯจำนวน 3 ที่นั่ง[7] โดยเป็นพรรคฝ่ายค้าน

          เมื่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ประกาศยุบสภาในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2531 อันเนื่องจากความขัดแย้งกันเองของพรรครัฐบาลและกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2531 ในการเลือกตั้งดังกล่าวพรรคมวลชนได้ที่นั่งในสภาฯจำนวน 5 ที่นั่ง และพรรคมวลชนได้เข้าร่วมรัฐบาล ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายให้ดูแล การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สำนักงบประมาณและองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.)

          พ.ศ.2533 รัฐบาลพลเอกชาติชาย_ชุณหะวัณเริ่มเกิดปัญหากับกองทัพ เมื่อพลเอกชวลิตตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการทหารสูงสุดเข้ารับตำแหน่งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2533  แต่ในระหว่างอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีดังกล่าวได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทุจริตคอรัปชั่นในรัฐบาลอย่างรุนแรง ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้ออกมาวิจารณ์ “หลังบ้าน”พลเอกชวลิตว่าเป็นตู้เพชร ตู้ทองเคลื่อนที่  หลังจากนั้นไม่นานพลเอกชวลิตก็ลาออกจากตำแหน่งในรัฐบาลพลเอกชาติชายและก่อให้เกิดความขัดแย้งกับกองทัพมากยิ่งขึ้น[8]

          พลเอกชาติชายให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิมติดตามดูว่ามีหน่วยทหารหน่วยใดที่คิดปฏิวัติโดยร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้ใช้รถโมบายยูนิตขององค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ไปดักฟัง วันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2533 กองบัญชาการทหารสูงสุดได้ออกแถลงการณ์ยึดรถโมบายยูนิต ซึ่งจอดอยู่บริเวณวัดไผ่เลี้ยง เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร เพราะต้องสงสัยทำให้ระบบสื่อสารของทหารถูกรบกวน เมื่อองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ได้ขอทวงรถคืน แต่ถูกปฏิเสธจากพลเอกสุนทร_คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ร้อยตำรวจเอกเฉลิมจึงได้ให้สัมภาษณ์โจมตีพลเอกสุนทร เมื่อมีข่าวแพร่ออกไปว่าพรรคมวลชนทำหนังสือถึงสมาชิกให้เดินทางมาชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้กำลังใจร้อยตำรวจเอกเฉลิม พลเอกสุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารบกได้อาศัยอำนาจของผู้อำนวยการรักษาพระนคร ออกคำสั่งที่ 43/2533 ห้ามชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล[9]

          ท่ามกลางความขัดแย้งดังกล่าวมีความพยายามกดดันให้ปรับร้อยตำรวจเอกเฉลิมออกจากคณะรัฐมนตรี ในตอนแรกพลเอกชาติชายรับปากว่าจะให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิมออกจากรัฐบาล แต่การปรับคณะรัฐมนตรีในวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2533 พลเอกชาติชายตัดสินใจปรับร้อยตำรวจเอกเฉลิมไปเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผลการปรับคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ความขัดแย้งระหว่างกองทัพกับรัฐบาลยิ่งขยายตัวออกไป ทำให้พลเอกชาติชายตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2533 ในการจัดคณะรัฐมนตรีชุดใหม่พลเอกชาติชายได้ตัดพรรคมวลชนออกจากการร่วมรัฐบาล[10]

          วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือรสช.นำโดยพลเอกสุนทร_คงสมพงษ์ได้ทำรัฐประหาร โดยอ้างเหตุผลในการยึดอำนาจ 5 ข้อ เช่น มีการทุจริตคอรัปชั่นของบรรดารัฐมนตรีร่วมรัฐบาลมีความพยายามทำลายสถาบันทหาร[11] ทำให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิมต้องลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศเดนมาร์ก

          คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติได้ออกประกาศ ฉบับที่ 26 ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) โดยมีพลเอกสิทธิ_จิรโรจน์เป็นประธาน[12]ผลจากการตรวจสอบของ คตส.ได้กล่าวหาว่าร้อยตำรวจเอกเฉลิมร่ำรวยผิดปกติ และถูกยึดทรัพย์จำนวน 32 ล้านบาท

          เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2534 ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2534 และกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 22 มีนาคม 2535 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมจึงได้เดินทางกลับประเทศและลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ได้คะแนนเป็นลำดัยที่ 4  โดยแพ้ผู้สมัครรับเลือกตั้งฯ ที่ได้คะแนนลำดับที่ 3 ไป 900 คะแนน[13]

          ภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ได้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 13 กันยายน พ.ศ.2535 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. และพรรคมวลชนได้ที่นั่งในสภาฯจำนวน  4 ที่นั่ง

          การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2538 สมาชิกพรรคมวลชนได้รับการเลือกตั้งจำนวน 3 ที่นั่ง เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาล นายบรรหาร_ศิลปอาชาได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม[14]

          การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 สมาชิกพรรคมวลชนได้รับการเลือกตั้งจำนวน 2 ที่นั่ง เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาล พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

          การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ.2544 สมาชิกพรรคมวลชนได้ยุบรวมเข้ากับพรรคความหวังใหม่ ซึ่งต่อมาได้พรรคความหวังใหม่ได้ยุบรวมกับพรรคไทยรักไทยในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2545 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมมีความขัดแย้งกับสมาชิกบางกลุ่มในพรรคไทยรักไทย ทำให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิมออกจากพรรคไทยรักไทยแล้วลงสมัครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2547 แต่ได้คะแนนเป็นอันดับที่ 4

          ระหว่าง พ.ศ.2548 – พ.ศ.2550 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้ถอยออกจากแวดวงการเมืองและไปเรียนหลักสูตรดุษฎีบัณฑิต สาขานิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง

          ร้อยตำรวจเอกเฉลิมกลับเข้าสู่แวดวงการเมืองอีกครั้งโดยตัดสินใจเข้าร่วมกับพรรคพลังประชาชนโดยอธิบายว่า ภายหลังรัฐประหาร พ.ศ.2549 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมพร้อมครอบครัวได้เดินทางไปเยี่ยม ดร.ทักษิณ_ชินวัตร ที่ลี้ภัยอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ดร.ทักษิณได้ชวนเข้าร่วมงานทางการเมืองกับพรรคพลังประชาชน[15] ในการเลือกตั้งทั่วไป 23 ธันวาคม พ.ศ.2550  ร้อยตำรวจเอกเฉลิมเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วนลำดับที่ 2 เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2551

          นโยบายของร้อยตำรวจเอกเฉลิมหลายนโยบายถูกวิพากษ์วิจารณ์ เช่น นโยบาย ผู้ว่า 1 คน 1 วัน โดยกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมาพบที่บ้านพักย่านบางบอนในตอนเช้าก่อนจะนั่งรถไปทำงานที่กระทรวงมหาดไทยด้วยกัน   ระหว่างที่เดินทางก็ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด พูดถึงสภาพเศรษฐกิจสังคมว่ามีปัญหาอุปสรรคอะไรใส่เทป เพื่อนำมาเป็นนโยบายของกระทรวงมหาดไทย[16] ร้อยตำรวจเอกเฉลิมพ้นจากตำแหน่ง ในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2551 เมื่อนายสมัคร_สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีปรับคณะรัฐมนตรี

          เมื่อนายสมชาย_วงศ์สวัสดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี วันที่ 18 กันยายน พ.ศ.2551 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จนถึงวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติให้ยุบพรรคพลังประชาชนอันเนื่องมาจากกรณีทุจริตการเลือกตั้งของนายยงยุทธ_ติยะไพรัช ส่งผลให้นายสมชายถูกตัดสิทธิทางการเมืองต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

          เมื่อพรรคพลังประชาชนถูกยุบ สมาชิกของพรรคได้มาตั้งพรรคการเมืองใหม่ชื่อพรรคเพื่อไทย โดยได้มีการปรับโครงสร้างหลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ในวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2552 ที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทยมีมติเลือกร้อยตำรวจเอกเฉลิมเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคและประธานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทย ทำหน้าที่คล้ายกับผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร[17]

          การเลือกตั้งทั่วไปในอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 พรรคเพื่อไทยได้รับการเลือกตั้งมากที่สุดและสามารถจัดตั้งรัฐบาล โดยนางสาวยิ่งลักษณ์_ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี โดยได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ[18] เมื่อมีการปรับคณะรัฐมนตรีในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2556 ร้อยตำรวจเอก เฉลิม ถูกปรับให้ไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน[19]

          ในระหว่างการชุมนุมของ[[คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข]]  (กปปส.) ซึ่งเริ่มชุมนุมตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2556 ร้อยตำรวจเอกเฉลิมได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้กำกับการปฏิบัติงานของหัวหน้าผู้รับผิดชอบและพนักงานเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในสถานการณ์ฉุกเฉินตามคําสั่งนายกรัฐมนตรีที่พิเศษ 2/2557[20] ในวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557 ถึง วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2557

          วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ.2557 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัย กรณีการโยกย้ายนายถวิล_เปลี่ยนศรีของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่ารัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการลงมติโยกย้ายแต่งตั้งนายถวิลต้องถือว่ากระทำการโดยมิชอบ ดังนั้น ความเป็นรัฐมนตรีของรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็จะต้องสิ้นสุดเฉพาะตัวลงด้วยเช่นกัน ทำให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุงต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีรักษาการ[21] ซึ่งก่อให้เกิดสุญญากาศในการใช้อำนาจทางการเมืองเพราะรัฐบาลไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้และคณะรัฐมนตรีรักษาการต้องพ้นจากตำแหน่ง จนนำไปสู่วิกฤติการณ์ทางการเมืองและการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในวันที่  22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

 

หนังสือแนะนำ

อนุสรณ์ ศิริชาติ.(2555).ฉะเหลิม คนรักต้องอ่าน คนไม่รักยิ่งต้องอ่าน.กรุงเทพฯ : บริษัทอินอินจำกัด.

 

บรรณานุกรม

กองบรรณาธิการมติชน.289 ข่าวดัง 3 ทศวรรษหนังสือพิมพ์มติชน.(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.2550.พิมพ์ครั้งที่ 2) หน้า 54.

ไทยรัฐออนไลน์,เปิดรายชื่อ รมต. ตกเก้าอี้ พร้อม ยิ่งลักษณ์. เข้าถึงจากhttp://www.thairath.co.th/content/421277.เมื่อ 10 กันยายน 2559.

ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 108 ตอนที่ 34 หน้า 2 ลงวันที่25 กุมภาพันธ์ 2534

ศูนย์ข้อมูลมติชน,บันทึกประเทศไทย ปี 2552,(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.2553), หน้า 40.

ศูนย์ข้อมูลมติชน,บันทึกประเทศไทย ปี 2554,(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.2555), หน้า 273.

ศูนย์ข้อมูลมติชน,บันทึกประเทศไทย ปี 2556,(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.2557), หน้า 222.

ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 131 ตอนพิเศษ 13 ง หน้า 8 ลงวันที่ 21 มกราคม 2557

อนุสรณ์ ศิริชาติ.ฉะเหลิม คนรักต้องอ่าน คนไม่รักยิ่งต้องอ่าน.(กรุงเทพฯ : บริษัทอินอินจำกัด.2555).หน้า 38.

 

อ้างอิง


[1] อนุสรณ์ ศิริชาติ.ฉะเหลิม คนรักต้องอ่าน คนไม่รักยิ่งต้องอ่าน.(กรุงเทพฯ : บริษัทอินอินจำกัด.2555).หน้า 38

[2] อนุสรณ์ ศิริชาติ.หน้า 31.

[3] อนุสรณ์ ศิริชาติ.หน้า 67.

[4] อนุสรณ์ ศิริชาติ.หน้า 75.

[5] กองบรรณาธิการมติชน.289 ข่าวดัง 3 ทศวรรษหนังสือพิมพ์มติชน.(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.2550.พิมพ์ครั้งที่ 2) หน้า 54.

[6] อนุสรณ์ ศิริชาติ.หน้า 89.

[7] อนุสรณ์ ศิริชาติ.หน้า 106.

[8] อนุสรณ์ ศิริชาติ.หน้า 115.

[9] กองบรรณาธิการมติชน.หน้า 165.

[10] กองบรรณาธิการมติชน.หน้า 168.

[11] กองบรรณาธิการมติชน.หน้า 183.

[12] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 108 ตอนที่ 34 หน้า 2 ลงวันที่25 กุมภาพันธ์ 2534

[13] อนุสรณ์ ศิริชาติ.หน้า 179.

[14] อนุสรณ์ ศิริชาติ,หน้า 185.

[15] อนุสรณ์ ศิริชาติ,หน้า 251.

[16] อนุสรณ์ ศิริชาติ,หน้า 269.

[17] ศูนย์ข้อมูลมติชน,บันทึกประเทศไทย ปี 2552,(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.2553), หน้า 40.

[18] ศูนย์ข้อมูลมติชน,บันทึกประเทศไทย ปี 2554,(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.2555), หน้า 273.

[19] ศูนย์ข้อมูลมติชน,บันทึกประเทศไทย ปี 2556,(กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.2557), หน้า 222.

[20] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 131 ตอนพิเศษ 13 ง หน้า 8 ลงวันที่ 21 มกราคม 2557

[21] ไทยรัฐออนไลน์,เปิดรายชื่อ รมต. ตกเก้าอี้ พร้อม ยิ่งลักษณ์. เข้าถึงจากhttp://www.thairath.co.th/content/421277.เมื่อ 10 กันยายน 2559.