ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สองนคราประชาธิปไตย"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 6: | บรรทัดที่ 6: | ||
==ความหมาย== | ==ความหมาย== | ||
สองนคราประชาธิปไตย เป็นทฤษฎีที่นำเสนอโดย เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เพื่อสะท้อนสภาพปรากฏการณ์ทางการเมืองไทยระหว่างปี 2533-2536 พร้อมทั้งเสนอนโยบายปฏิรูปผ่านความเข้าใจสภาพปัญหาจากกรอบทฤษฎี ทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย | สองนคราประชาธิปไตย เป็นทฤษฎีที่นำเสนอโดย [[เอนก เหล่าธรรมทัศน์]] เพื่อสะท้อนสภาพปรากฏการณ์ทางการเมืองไทยระหว่างปี 2533-2536 พร้อมทั้งเสนอนโยบายปฏิรูปผ่านความเข้าใจสภาพปัญหาจากกรอบทฤษฎี ทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย อธิบายว่าความไม่มั่นคงลงตัวของระบอบ[[ประชาธิปไตย]]นับแต่ต้นทศวรรษ 2520 (อันเป็นช่วงที่เรียกว่า “[[ประชาธิปไตยครึ่งใบ]]”) จนกระทั่งกลางทศวรรษ 2530 (ที่มวลชนคนชั้นกลางลุกขึ้นขับไล่[[คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ]] หรือ [[รสช]]. ) เป็นผลมาจาก[[คนชั้นกลาง]]ในเมืองและชาวนาชาวไร่ในชนบท ซึ่งเป็นฐาน[[ความชอบธรรม]]ให้กับการประชันขันแข่งทางการเมืองระหว่างคณะทหารและ[[พรรคการเมือง]] มีโลกทัศน์ต่อ “ประชาธิปไตย” แตกต่างกัน | ||
จนกล่าวได้ว่า คนชนบทเป็นผู้ “ตั้ง” รัฐบาล เพราะเป็น | จนกล่าวได้ว่า คนชนบทเป็นผู้ “ตั้ง” [[รัฐบาล]] เพราะเป็น “[[ฐานเสียง]]” ส่วนใหญ่ของพรรคการเมือง ขณะที่คนชั้นกลางเมืองเป็นผู้ “ล้ม” รัฐบาล เพราะเป็น “[[ฐานนโยบาย]]” ของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลผ่านสื่อมวลชน การเรียกร้องกดดันรัฐบาล ไปจนถึงการเชื้อเชิญให้ทหารแทรกแซงการเมืองโดยการรัฐประหารยึดอำนาจ สำนึกรู้และความเข้าใจ “ประชาธิปไตย” ที่ต่างกันนี้จึงกลายเป็นมูลเหตุให้การเมืองไทย “เหวี่ยงไปมาระหว่างเผด็จการที่ล้าหลังกับประชาธิปไตยที่ขาด[[ความชอบธรรม]]” การก้าวพ้นจากสภาพสองนคราประชาธิปไตยก็คือ การแสวงหามาตรการให้ชั้นกลางไม่เพียงเป็นฐานนโยบายของรัฐบาล หากยังเป็นฐานเสียงของพรรคและนักการเมืองด้วย ในทางกลับกัน ต้องทำให้ผู้ใช้แรงงานในชนบทไม่เป็นเพียงฐานเสียง หากยังเป็นฐานนโยบายได้เช่นกัน | ||
==สาระสำคัญของทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย== | ==สาระสำคัญของทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย== | ||
บรรทัดที่ 14: | บรรทัดที่ 14: | ||
'''สองนครา กับ ทวิลักษณ์ “ประชาธิปไตย”''' | '''สองนครา กับ ทวิลักษณ์ “ประชาธิปไตย”''' | ||
ปัญหาการเมืองไทยช่วงทศวรรษ 2520-2530 ถูกตอกย้ำสม่ำเสมอว่าเป็นผลมาจากการซื้อสิทธิขายเสียงในชนบท | ปัญหาการเมืองไทยช่วงทศวรรษ 2520-2530 ถูกตอกย้ำสม่ำเสมอว่าเป็นผลมาจากการซื้อสิทธิขายเสียงในชนบท ภาพลักษณ์ของ[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]ที่ได้รับเลือกจากเขตเลือกตั้งต่างจังหวัด ในสายตาของคนชั้นกลางเมือง (โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ) ล้วนเต็มไปด้วยภาพประทับของผู้มีอิทธิพล เจ้าพ่อ นักเลง และนายทุนท้องถิ่น ทั้งยังกังขาไปจนถึงตั้งข้อรังเกียจเดียดฉันท์ในความรู้ความสามารถ รสนิยม อากัปริยา และบุคลิกของผู้นำทางการเมือง ภาพประทับเหล่านี้มีมูลฐานจากการมอง “ประชาธิปไตย” ของกลุ่มชนที่มีพื้นเพภูมิหลังทางเศรษฐกิจสังคมที่ต่างกันสองมุมมอง กล่าวคือ “ประชาธิปไตย” ของคนชั้นกลาง และ “ประชาธิปไตย” ของคนชนบท | ||
“ประชาธิปไตย” ของคนชั้นกลางวางอยู่บนฐานประชาธิปไตยตะวันตก ซึ่งหมายความว่าประชาธิปไตยที่ “แท้จริง” จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับอุดมการณ์และนโยบายของผู้สมัคร/พรรคการเมือง ตลอดจนคุณธรรมความสามารถขององค์กรและบุคลากรทางการเมืองในการบริหารปกครองประเทศ ขณะที่ประชาชนแต่ละคนอยู่ในฐานะปัจเจกชนผู้สามารถใช้วิจารณญาณทางการเมืองอย่างอิสระ | “ประชาธิปไตย” ของคนชั้นกลางวางอยู่บนฐานประชาธิปไตยตะวันตก ซึ่งหมายความว่าประชาธิปไตยที่ “แท้จริง” จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับอุดมการณ์และนโยบายของผู้สมัคร/พรรคการเมือง ตลอดจนคุณธรรมความสามารถขององค์กรและบุคลากรทางการเมืองในการบริหารปกครองประเทศ ขณะที่ประชาชนแต่ละคนอยู่ในฐานะปัจเจกชนผู้สามารถใช้วิจารณญาณทางการเมืองอย่างอิสระ [[การลงคะแนนเสียง]]เลือกตั้งจึงไม่ควรกระทำโดยมีพันธะผูกพันในเชิงบุญคุณต่อผู้สมัคร ดังนั้นการรับ[[อามิสสินจ้าง]]เพื่อไปลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครและพรรคการเมืองใดจึงถือเป็นเรื่องผิดบรรทัดฐานประชาธิปไตยของคนชั้นกลาง | ||
“ประชาธิปไตย” ของชาวชนบทวางอยู่บนฐานคิดรูปธรรมมากกว่า เพราะอาศัยวิธีการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือนิยามตนเองเข้ากับผู้มีอำนาจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง การสนับสนุนผู้สมัครคนใดจึงขึ้นอยู่กับบุญคุณของผู้สมัครที่มีต่อตนเองหรือครอบครัวของตนในอดีต รวมถึงความมุ่งหวังที่จะได้รับความอุปถัมภ์ค้ำจุนเกื้อหนุนในอนาคตอีกด้วย สำหรับชาวนาชาวไร่ในชุมชนชนบทที่มีชีวิตแบบรวมหมู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์แล้ว (ซึ่งหมายความว่าไม่ได้มองตนเองเป็นอิสรชน) การรับเงินทองระหว่างช่วงเลือกตั้งจึงไม่ได้มีค่าเท่ากับการรับอามิสสินจ้าง หรือ | “ประชาธิปไตย” ของชาวชนบทวางอยู่บนฐานคิดรูปธรรมมากกว่า เพราะอาศัยวิธีการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือนิยามตนเองเข้ากับผู้มีอำนาจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง การสนับสนุนผู้สมัครคนใดจึงขึ้นอยู่กับบุญคุณของผู้สมัครที่มีต่อตนเองหรือครอบครัวของตนในอดีต รวมถึงความมุ่งหวังที่จะได้รับความอุปถัมภ์ค้ำจุนเกื้อหนุนในอนาคตอีกด้วย สำหรับชาวนาชาวไร่ในชุมชนชนบทที่มีชีวิตแบบรวมหมู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์แล้ว (ซึ่งหมายความว่าไม่ได้มองตนเองเป็นอิสรชน) การรับเงินทองระหว่างช่วงเลือกตั้งจึงไม่ได้มีค่าเท่ากับการรับอามิสสินจ้าง หรือ “[[การขายเสียง]]” แต่อย่างใด | ||
'''การสร้างชนชั้นกลางให้เป็นฐานเสียง''' | '''การสร้างชนชั้นกลางให้เป็นฐานเสียง''' | ||
บรรทัดที่ 24: | บรรทัดที่ 24: | ||
ด้วยเหตุที่ชนชั้นกลางเมืองมีสัดส่วนเป็นจำนวนน้อยแต่มีต้นทุนทางสังคมและมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจมาก จนกระทั่งในยุคหนึ่งกลายเป็นพลังขับเคลื่อนต่อรองเชิงนโยบายรัฐบาล ดังนั้นตราบใดที่ชนชั้นกลางไม่มีส่วนในการตั้งรัฐบาล ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าชนชั้นกลางจะสำนึกถึงความเป็นเจ้าของประชาธิปไตยร่วมกัน แนวทางแก้ไขปัญหาจึงต้องแสวงหามาตรการทางการเมืองให้คนชั้นกลางเมืองเป็น “ฐานเสียง” หรือมีโอกาสกำหนดตัวผู้มีอำนาจในระบบการเมือง | ด้วยเหตุที่ชนชั้นกลางเมืองมีสัดส่วนเป็นจำนวนน้อยแต่มีต้นทุนทางสังคมและมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจมาก จนกระทั่งในยุคหนึ่งกลายเป็นพลังขับเคลื่อนต่อรองเชิงนโยบายรัฐบาล ดังนั้นตราบใดที่ชนชั้นกลางไม่มีส่วนในการตั้งรัฐบาล ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าชนชั้นกลางจะสำนึกถึงความเป็นเจ้าของประชาธิปไตยร่วมกัน แนวทางแก้ไขปัญหาจึงต้องแสวงหามาตรการทางการเมืองให้คนชั้นกลางเมืองเป็น “ฐานเสียง” หรือมีโอกาสกำหนดตัวผู้มีอำนาจในระบบการเมือง | ||
'''มาตรการแรก''' | '''มาตรการแรก''' ใช้[[ระบบเลือกตั้งแบบคัดเอาแต่ผู้ชนะ]] (First-Past-the Post) ตามเดิม แต่ลดขนาดเขตเลือกตั้งลงให้เขต[[เทศบาล]]และเขตปริมณฑลที่คนชั้นกลางอาศัยอยู่หนาแน่นในต่างจังหวัดเป็นหนึ่ง[[เขตเลือกตั้ง]] มีผู้แทนหนึ่งคน เพื่อให้เสียงของ “เมือง” ในต่างจังหวัดรอดพ้นจากเสียงของ “ชนบท” และเพื่อให้ “เมือง” มีโอกาสส่งผู้แทนเข้าไปนั่งในสภาได้บ้าง | ||
'''มาตรการที่สอง''' | '''มาตรการที่สอง''' เปลี่ยนไปใช้[[ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน]] (proportional representation) อาจใช้ทั่วประเทศ หรือแต่ละภูมิภาค (เหนือ กลาง อีสาน ใต้ เป็นต้น) เป็นเขตเลือกตั้ง เพื่อสะสมรวบรวมเสียงของคนชั้นกลางที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศให้สามารถแปรเป็นที่นั่งในสภา และเพิ่มการแข่งขันเชิงนโยบายและหลักการของพรรคการเมืองมากขึ้น | ||
'''การสร้างคนชนบทให้เป็นฐานนโยบาย''' | '''การสร้างคนชนบทให้เป็นฐานนโยบาย''' | ||
บรรทัดที่ 32: | บรรทัดที่ 32: | ||
ชาวนาชาวไร่ในชนบทตกอยู่ภายใต้เครือข่ายสายสัมพันธ์ระบบอุปถัมภ์อันมีรากฐานมาจากสังคมเกษตรแบบดั้งเดิม ชาวชนบทจึงมักลงคะแนนตามคำชี้นำของผู้อุปถัมภ์และตามสินจ้างรางวัลอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา ส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากไม่มีความแตกต่างในการนำเสนอนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ดังนั้นเพื่อให้ระบบอุปถัมภ์และการรับสินจ้างรางวัลลดความสำคัญลง การแก้ไขปัญหาจึงต้องเสาะหาหนทางทางการเมืองให้คนชนบทเป็น “ฐานนโยบาย” คือมีโอกาสได้รับการตอบสนองเชิงนโยบายจากรัฐบาลมากขึ้น | ชาวนาชาวไร่ในชนบทตกอยู่ภายใต้เครือข่ายสายสัมพันธ์ระบบอุปถัมภ์อันมีรากฐานมาจากสังคมเกษตรแบบดั้งเดิม ชาวชนบทจึงมักลงคะแนนตามคำชี้นำของผู้อุปถัมภ์และตามสินจ้างรางวัลอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา ส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากไม่มีความแตกต่างในการนำเสนอนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ดังนั้นเพื่อให้ระบบอุปถัมภ์และการรับสินจ้างรางวัลลดความสำคัญลง การแก้ไขปัญหาจึงต้องเสาะหาหนทางทางการเมืองให้คนชนบทเป็น “ฐานนโยบาย” คือมีโอกาสได้รับการตอบสนองเชิงนโยบายจากรัฐบาลมากขึ้น | ||
'''มาตรการที่แรก''' ให้พรรคและนักการเมืองที่เสนอทางเลือกใหม่เชิงนโยบายได้มีโอกาสพัฒนาตนเองขึ้นโดยง่ายผ่านระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน เพื่อให้พรรคที่ตั้งขึ้นใหม่สามารถเจาะตลาดชาวชนบทได้ | '''มาตรการที่แรก''' ให้พรรคและนักการเมืองที่เสนอทางเลือกใหม่เชิงนโยบายได้มีโอกาสพัฒนาตนเองขึ้นโดยง่ายผ่านระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน เพื่อให้พรรคที่ตั้งขึ้นใหม่สามารถเจาะตลาดชาวชนบทได้ ทั้งยังเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับ[[นักการเมือง]]ที่มุ่งหวังรวมตัวกันเพื่ออุดมการณ์มีความเป็นไปได้ที่จะเข้าสู่ระบบการเมือง ทำให้ชาวชนบทสามารถมองการเมืองผ่านนโยบายและหลักการมากขึ้น | ||
'''มาตรการที่สอง''' | '''มาตรการที่สอง''' ให้ชาวนาชาวไร่ใช้สิทธิตัดสินใจผ่าน[[ประชาธิปไตยทางตรง]] (direct democracy) ในรูปประเด็นสาธารณประโยชน์ โครงการ งบประมาณ ภาษี หรือกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อชาวชนบทโดยตรง โดยอาศัยช่องทางการถอดถอน[[ผู้แทนราษฎร]] (recall) [[การริเริ่มเสนอกฎหมาย]] (initiative) [[การลงประชามติ]]รับไม่รับกฎหมาย (referendum) เพื่อให้ชาวชนบทเข้าใจหลักการและนโยบายมากขึ้น พร้อมทั้งตระหนักว่าการลงคะแนนเสียงเป็นเรื่องความรับผิดชอบต่อส่วนรวม | ||
'''มาตรการที่สาม''' สนับสนุนชุมชนทางการเมือง (political community) ที่ใกล้ชิดกับชีวิตและการทำงานของชาวชนบท ด้วยการสร้างประชาธิปไตยระดับกลุ่มให้สังคมพยายามทำอะไรด้วยตนเอง เช่นกลุ่มช่วยแรงงาน กลุ่มเหมืองฝาย กลุ่มอุบาสกอุบาสิกา กาลุ่มสหกรณ์ กลุ่มฝึกอาชีพ กลุ่มสตรี กลุ่มเยาวชน เป็นต้น | '''มาตรการที่สาม''' สนับสนุนชุมชนทางการเมือง (political community) ที่ใกล้ชิดกับชีวิตและการทำงานของชาวชนบท ด้วยการสร้างประชาธิปไตยระดับกลุ่มให้สังคมพยายามทำอะไรด้วยตนเอง เช่นกลุ่มช่วยแรงงาน กลุ่มเหมืองฝาย กลุ่มอุบาสกอุบาสิกา กาลุ่มสหกรณ์ กลุ่มฝึกอาชีพ กลุ่มสตรี กลุ่มเยาวชน เป็นต้น รวมถึงการสร้างประชาธิปไตยที่ระดับ[[การปกครองท้องถิ่น]]เป็นเครื่องมือพัฒนาภูมิภาคและท้องถิ่น เพื่อลดสภาพ “รัฐรวมศูนย์-ผูกขาดอธิปัตย์” | ||
'''การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อประชาธิปไตย''' | '''การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อประชาธิปไตย''' | ||
การปฏิรูปการเมืองทั้งมิติการสร้างชนชั้นกลางให้เป็นฐานเสียงและการสร้างคนชนบทให้เป็นฐานนโยบาย จำเป็นที่จะต้องปฏิรูปเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจการเกษตรที่ล้าหลังให้เป็นเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า แปรหมู่บ้านให้กลายเป็นเมืองขนาดเล็กและเมืองขนาดกลางระดับภูมิภาค | การปฏิรูปการเมืองทั้งมิติการสร้างชนชั้นกลางให้เป็นฐานเสียงและการสร้างคนชนบทให้เป็นฐานนโยบาย จำเป็นที่จะต้องปฏิรูปเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจการเกษตรที่ล้าหลังให้เป็นเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า แปรหมู่บ้านให้กลายเป็นเมืองขนาดเล็กและเมืองขนาดกลางระดับภูมิภาค ให้คนส่วนใหญ่ของประเทศหลุดพ้นจากสายสัมพันธ์ของ[[ระบบอุปถัมภ์]] ทั้งหมดนี้ก็เพื่อมุ่งหวังให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระยะยาว ดังนี้ | ||
'''ประการแรก''' ต้องดึงคนออกจากชนบทและภาคการเกษตรล้าหลังซึ่งมีขนาดใหญ่ เพื่อสร้างให้เกิดปัจเจกชนที่มีความเป็นอิสระ จากข้อมูลจากธนาคารโลกได้ชี้ให้เห็นว่าในปี 2533 ประเทศไทยมีประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองเพียงร้อยละ 23 ของทั้งประเทศ ดังนั้นการที่ชาวนาชาวไร่ต้องเข้าสู่ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์อันเป็นต้นเหตุแห่งการเลือกผู้แทนโดยคำนึงถึงบุญคุณ ก็เพราะบรรดาผู้อุปถัมภ์ในท้องถิ่นล้วนผูกขาดช่องทางและโอกาสในการทำมาหากิน การดึงคนออกจากชนบทจึงไม่ได้เหมือนกับการอพยพชาวชนบทที่ล้าหลังเข้าสู่เมืองที่ห่างไกล แต่เป็นการโยกย้ายคน/แรงงานในสภาพที่ชนบทได้รับการทำนุบำรุง กลายเป็นชนบทที่คนมีการศึกษา มีวิชาชีพ และมีฐานเศรษฐกิจพอสมควร เพื่อเข้าไปหางานที่ดีในเมืองใกล้ๆ | '''ประการแรก''' ต้องดึงคนออกจากชนบทและภาคการเกษตรล้าหลังซึ่งมีขนาดใหญ่ เพื่อสร้างให้เกิดปัจเจกชนที่มีความเป็นอิสระ จากข้อมูลจากธนาคารโลกได้ชี้ให้เห็นว่าในปี 2533 ประเทศไทยมีประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองเพียงร้อยละ 23 ของทั้งประเทศ ดังนั้นการที่ชาวนาชาวไร่ต้องเข้าสู่ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์อันเป็นต้นเหตุแห่งการเลือกผู้แทนโดยคำนึงถึงบุญคุณ ก็เพราะบรรดาผู้อุปถัมภ์ในท้องถิ่นล้วนผูกขาดช่องทางและโอกาสในการทำมาหากิน การดึงคนออกจากชนบทจึงไม่ได้เหมือนกับการอพยพชาวชนบทที่ล้าหลังเข้าสู่เมืองที่ห่างไกล แต่เป็นการโยกย้ายคน/แรงงานในสภาพที่ชนบทได้รับการทำนุบำรุง กลายเป็นชนบทที่คนมีการศึกษา มีวิชาชีพ และมีฐานเศรษฐกิจพอสมควร เพื่อเข้าไปหางานที่ดีในเมืองใกล้ๆ | ||
บรรทัดที่ 50: | บรรทัดที่ 50: | ||
==บริบทแวดล้อมและรากฐานความเป็นมาของสองนคราประชาธิปไตย== | ==บริบทแวดล้อมและรากฐานความเป็นมาของสองนคราประชาธิปไตย== | ||
ภายหลัง[[การชุมนุมประท้วง]]และขับไล่รัฐบาล พล.อ.[[สุจินดา คราประยูร]] ในเดือน[[พฤษภาคม 2535]] สังคมการเมืองไทยอยู่ในสภาวะแห่งการแสวงหาแนวทางปฏิรูปประเทศ กลุ่มนักวิชาการ ปัญญาชน นักกิจกรรม และผู้มีบทบาททางสังคมจำนวนมากต่างนำเสนอแนวทางการปฏิรูปประเทศ ทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยถูกนำเสนอครั้งแรก ณ ที่ประชุมประจำปีสมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย วันที่ 28 สิงหาคม 2537 ต่อมาจึงตีพิมพ์เป็นบทความในหนังสือ วิพากษ์สังคมไทย ท่ามกลางบรรยากาศของการปฏิรูป โดยตั้งชื่อล้อกับงานวรรณกรรมอันโด่งของนักประพันธ์ชาวอังกฤษ ชาร์ลส์ ดิกเก้นส์ (Charles Dickens) เรื่อง A Tale of Two Cities ("เรื่องของสองนคร") | |||
เกษียร เตชะพีระ อธิบายถึงที่มาของชื่อเรียก “สองนคราประชาธิปไตย” ว่า “ตอนแรกอาจารย์เอนกคงคิดเป็นภาษาฝรั่ง | เกษียร เตชะพีระ อธิบายถึงที่มาของชื่อเรียก “สองนคราประชาธิปไตย” ว่า “ตอนแรกอาจารย์เอนกคงคิดเป็นภาษาฝรั่ง คือปิ๊งขึ้นมาหลังจากเห็น[[พฤษภาทมิฬ]] พอเห็นชื่อนิยายของชาร์ลส์ ดิกเก้นส์ (Charles Dickens) เรื่องการปฏิวัติฝรั่งเศส ที่คนรู้จักกันเยอะในเรื่อง A Tale of Two Cities เลยตั้งชื่อแนวคิดว่า A Tale of Two Democracy เปลี่ยนคำว่า cities เป็น democracies หลังเห็นเหตุการณ์พฤษภา” | ||
ทั้งนี้ข้อเสนอของ เอนก วางอยู่บนความคิดเชิงทฤษฎีที่เชื่อว่าการพัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม (economic development) จะนำไปสู่กระบวนการทำให้เกิดประชาธิปไตย (democratization) ในแง่ที่ว่าเศรษฐกิจทุนนิยมจะสร้างคนกลุ่มใหม่ นั่นคือ ชนชั้นกลาง-กระฎุมพี ที่มีปัจเจกภาพ และมาพร้อมกับสำนึกคิด วัฒนธรรมการเมือง วิถีชีวิต และโลกทัศน์อันเกื้อกูลต่อประชาธิปไตย สอดคล้องกับข้อเขียนของ Barrington Moore ที่ศึกษาการเกิดประชาธิปไตยและเผด็จการในหนังสือ Social Origin of Dictatorship and Democracy โดยอาศัยวิธีวิทยาการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์ (historical analysis method) ที่ชี้ให้เห็นว่าการเกิดเมืองและทุนนิยมเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เกิดประชาธิปไตยแบบกระฎุมพี (bourgeois democracy) ในวลีที่โด่งดังว่า “หากไม่มีกระฎุมพี ก็ไม่มีประชาธิปไตย” (No bourgeoisie, no democracy) เพราะการเปลี่ยนแปลงเชิงเศรษฐกิจการเมืองในหมู่บ้านชนบท ซึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบเจ้าที่ดินกับชาวนา เป็นจุดชี้ขาดชัยชนะประชาธิปไตย | ทั้งนี้ข้อเสนอของ เอนก วางอยู่บนความคิดเชิงทฤษฎีที่เชื่อว่าการพัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม (economic development) จะนำไปสู่กระบวนการทำให้เกิดประชาธิปไตย (democratization) ในแง่ที่ว่าเศรษฐกิจทุนนิยมจะสร้างคนกลุ่มใหม่ นั่นคือ ชนชั้นกลาง-กระฎุมพี ที่มีปัจเจกภาพ และมาพร้อมกับสำนึกคิด วัฒนธรรมการเมือง วิถีชีวิต และโลกทัศน์อันเกื้อกูลต่อประชาธิปไตย สอดคล้องกับข้อเขียนของ Barrington Moore ที่ศึกษาการเกิดประชาธิปไตยและเผด็จการในหนังสือ Social Origin of Dictatorship and Democracy โดยอาศัยวิธีวิทยาการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์ (historical analysis method) ที่ชี้ให้เห็นว่าการเกิดเมืองและทุนนิยมเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เกิดประชาธิปไตยแบบกระฎุมพี (bourgeois democracy) ในวลีที่โด่งดังว่า “หากไม่มีกระฎุมพี ก็ไม่มีประชาธิปไตย” (No bourgeoisie, no democracy) เพราะการเปลี่ยนแปลงเชิงเศรษฐกิจการเมืองในหมู่บ้านชนบท ซึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบเจ้าที่ดินกับชาวนา เป็นจุดชี้ขาดชัยชนะประชาธิปไตย | ||
บรรทัดที่ 60: | บรรทัดที่ 60: | ||
==ข้อวิจารณ์สองนคราประชาธิปไตย== | ==ข้อวิจารณ์สองนคราประชาธิปไตย== | ||
อย่างไรก็ตาม สองนคราประชาธิปไตย ใช้อธิบายสภาพการเมืองไทยในช่วงเวลาที่จำกัดเท่านั้น กล่าวคือ | อย่างไรก็ตาม สองนคราประชาธิปไตย ใช้อธิบายสภาพการเมืองไทยในช่วงเวลาที่จำกัดเท่านั้น กล่าวคือ สามารถอธิบายเหตุแห่งการล้มรัฐบาลนับแต่ยุคหลังพลเอก[[เปรม ติณสูลานนท์]] จนถึงปีพ.ศ. 2540 ซึ่งสภาพการณ์เมืองตกอยู่ในเงื่อนไขใหม่ภายใต้[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540]] โดยยกชูแนวคิดการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล (accountability) ระบบ[[รัฐสภา]]ที่เป็นเหตุเป็นผล (rational parliament) ขณะเดียวกันก็เน้นความสำคัญของ[[ฝ่ายบริหารเข้มแข็ง]] (strong executive) แต่[[พรรคการเมือง]]อ่อน นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ตั้งข้อสังเกตว่า “หนังสืออาจารย์เอนกได้ให้ภาพสังคมไทยในช่วงหนึ่งได้ชัด แต่สิ่งที่ในหนังสือไม่ได้พูดคือประชาธิปไตยในยุคโบราณ เช่น ประชาธิปไตยที่มาจากการพระราชทาน (ซึ่งเชื่อในแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ทรงได้รับมอบอำนาจมาจากชุมชนทางการเมืองตามหลักการเรื่อง “เอนกชนนิกรสโมสรสมมติ” ดังนั้นสถานะของ[[รัฐธรรมนูญ]]จึงเกิดจากการ “พระราชทาน”—ผู้เรียบเรียง) และประชาธิปไตยหลังปี 2540 เป็นต้นมาซึ่งเป็นอีกชนิด คือ กึ่งประธานาธิบดี (ซึ่งให้อำนาจเกือบเบ็ดเสร็จแก่หัวหน้าฝ่ายบริหารอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน—ผู้เรียบเรียง)” ดังนั้นประชาธิปไตยช่วงต้นสมัยรัฐธรรมนูญ (2475-2490) และหลังทศวรรษ 2530 จึงเป็นประชาธิปไตยอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งพ้นไปจากสองนคราประชาธิปไตย | ||
ในแง่นี้สองนคราประชาธิปไตย จึงให้ภาพสะท้อนทัศนะที่มีต่อ “ประชาธิปไตย” แบบคู่ตรงข้ามระหว่างประชาธิปไตยของ “เมือง” กับประชาธิปไตยของ “ชนบท” แต่ละเลยมิติที่ซ้อนทับของผู้คนอันหลากหลาย เช่น คนชนบทที่อพยพเข้าสู่เมืองมีความเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการเมือง สำนึกคิด และโลกทัศน์ที่มีต่อประชาธิปไตยจริงหรือไม่ และในระดับใด แรงงานระดับล่างในเมืองมีพฤติกรรมทางการเมืองเฉกเช่นเดียวกับคนชั้นกลางเมืองมากน้อยเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้นการมองว่าชาวบ้านในชนบทอ่อนแอและไม่มีสำนึกทางการเมืองแบบประชาธิปไตยก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นมายาคติของนักรัฐศาสตร์กระแสหลัก ประภาส ปิ่นตกแต่ง วิจารณ์ว่าทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยตอกย้ำคำอธิบายที่ดำรงอยู่ก่อนหน้าโดยปราศจากข้อมูลเชิงประจักษ์ที่หนักแน่นเพียงพอ เพราะตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาชนบทเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ชาวบ้านมีการรวมกลุ่มเพื่อผลประโยชน์ผ่านการต่อสู้ด้วยขบวนการภาคประชาชน เพื่อนำเสนอประเด็นความเดือดร้อน ในชนบทเองก็เกี่ยวข้องกับการเมืองมากขึ้น เพราะได้เชื่อมร้อยเข้ากับบุคคลภายนอก เช่น นักการเมือง หัวคะแนน เอ็นจีโอ ทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวขยายปริมณฑลการต่อสู้ออกไป ตัวอย่างเช่น สมัชชาคนจน เป็นการต่อสู้ของคนจนเพราะถูกคุกคามจากนโยบายรัฐส่วนกลาง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเขื่อน เหมืองแร่ นิคมอุตสาหกรรม การสนับสนุนการปลูกพืชเศรษฐกิจ และการแบ่งแย่งทรัพยากรในชนบท จึงเกิดการรวมตัวกันระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จนกระทั่งกลายเป็นเครือข่ายใหญ่ระดับประเทศ | ในแง่นี้สองนคราประชาธิปไตย จึงให้ภาพสะท้อนทัศนะที่มีต่อ “ประชาธิปไตย” แบบคู่ตรงข้ามระหว่างประชาธิปไตยของ “เมือง” กับประชาธิปไตยของ “ชนบท” แต่ละเลยมิติที่ซ้อนทับของผู้คนอันหลากหลาย เช่น คนชนบทที่อพยพเข้าสู่เมืองมีความเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการเมือง สำนึกคิด และโลกทัศน์ที่มีต่อประชาธิปไตยจริงหรือไม่ และในระดับใด แรงงานระดับล่างในเมืองมีพฤติกรรมทางการเมืองเฉกเช่นเดียวกับคนชั้นกลางเมืองมากน้อยเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้นการมองว่าชาวบ้านในชนบทอ่อนแอและไม่มีสำนึกทางการเมืองแบบประชาธิปไตยก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นมายาคติของนักรัฐศาสตร์กระแสหลัก ประภาส ปิ่นตกแต่ง วิจารณ์ว่าทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยตอกย้ำคำอธิบายที่ดำรงอยู่ก่อนหน้าโดยปราศจากข้อมูลเชิงประจักษ์ที่หนักแน่นเพียงพอ เพราะตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาชนบทเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ชาวบ้านมีการรวมกลุ่มเพื่อผลประโยชน์ผ่านการต่อสู้ด้วยขบวนการภาคประชาชน เพื่อนำเสนอประเด็นความเดือดร้อน ในชนบทเองก็เกี่ยวข้องกับการเมืองมากขึ้น เพราะได้เชื่อมร้อยเข้ากับบุคคลภายนอก เช่น นักการเมือง หัวคะแนน เอ็นจีโอ ทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวขยายปริมณฑลการต่อสู้ออกไป ตัวอย่างเช่น สมัชชาคนจน เป็นการต่อสู้ของคนจนเพราะถูกคุกคามจากนโยบายรัฐส่วนกลาง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเขื่อน เหมืองแร่ นิคมอุตสาหกรรม การสนับสนุนการปลูกพืชเศรษฐกิจ และการแบ่งแย่งทรัพยากรในชนบท จึงเกิดการรวมตัวกันระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จนกระทั่งกลายเป็นเครือข่ายใหญ่ระดับประเทศ |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:50, 22 มิถุนายน 2558
ผู้เรียบเรียง : ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศ.นรนิติ เศรษฐบุตร
ความหมาย
สองนคราประชาธิปไตย เป็นทฤษฎีที่นำเสนอโดย เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เพื่อสะท้อนสภาพปรากฏการณ์ทางการเมืองไทยระหว่างปี 2533-2536 พร้อมทั้งเสนอนโยบายปฏิรูปผ่านความเข้าใจสภาพปัญหาจากกรอบทฤษฎี ทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย อธิบายว่าความไม่มั่นคงลงตัวของระบอบประชาธิปไตยนับแต่ต้นทศวรรษ 2520 (อันเป็นช่วงที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยครึ่งใบ”) จนกระทั่งกลางทศวรรษ 2530 (ที่มวลชนคนชั้นกลางลุกขึ้นขับไล่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. ) เป็นผลมาจากคนชั้นกลางในเมืองและชาวนาชาวไร่ในชนบท ซึ่งเป็นฐานความชอบธรรมให้กับการประชันขันแข่งทางการเมืองระหว่างคณะทหารและพรรคการเมือง มีโลกทัศน์ต่อ “ประชาธิปไตย” แตกต่างกัน
จนกล่าวได้ว่า คนชนบทเป็นผู้ “ตั้ง” รัฐบาล เพราะเป็น “ฐานเสียง” ส่วนใหญ่ของพรรคการเมือง ขณะที่คนชั้นกลางเมืองเป็นผู้ “ล้ม” รัฐบาล เพราะเป็น “ฐานนโยบาย” ของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลผ่านสื่อมวลชน การเรียกร้องกดดันรัฐบาล ไปจนถึงการเชื้อเชิญให้ทหารแทรกแซงการเมืองโดยการรัฐประหารยึดอำนาจ สำนึกรู้และความเข้าใจ “ประชาธิปไตย” ที่ต่างกันนี้จึงกลายเป็นมูลเหตุให้การเมืองไทย “เหวี่ยงไปมาระหว่างเผด็จการที่ล้าหลังกับประชาธิปไตยที่ขาดความชอบธรรม” การก้าวพ้นจากสภาพสองนคราประชาธิปไตยก็คือ การแสวงหามาตรการให้ชั้นกลางไม่เพียงเป็นฐานนโยบายของรัฐบาล หากยังเป็นฐานเสียงของพรรคและนักการเมืองด้วย ในทางกลับกัน ต้องทำให้ผู้ใช้แรงงานในชนบทไม่เป็นเพียงฐานเสียง หากยังเป็นฐานนโยบายได้เช่นกัน
สาระสำคัญของทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย
สองนครา กับ ทวิลักษณ์ “ประชาธิปไตย”
ปัญหาการเมืองไทยช่วงทศวรรษ 2520-2530 ถูกตอกย้ำสม่ำเสมอว่าเป็นผลมาจากการซื้อสิทธิขายเสียงในชนบท ภาพลักษณ์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกจากเขตเลือกตั้งต่างจังหวัด ในสายตาของคนชั้นกลางเมือง (โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ) ล้วนเต็มไปด้วยภาพประทับของผู้มีอิทธิพล เจ้าพ่อ นักเลง และนายทุนท้องถิ่น ทั้งยังกังขาไปจนถึงตั้งข้อรังเกียจเดียดฉันท์ในความรู้ความสามารถ รสนิยม อากัปริยา และบุคลิกของผู้นำทางการเมือง ภาพประทับเหล่านี้มีมูลฐานจากการมอง “ประชาธิปไตย” ของกลุ่มชนที่มีพื้นเพภูมิหลังทางเศรษฐกิจสังคมที่ต่างกันสองมุมมอง กล่าวคือ “ประชาธิปไตย” ของคนชั้นกลาง และ “ประชาธิปไตย” ของคนชนบท
“ประชาธิปไตย” ของคนชั้นกลางวางอยู่บนฐานประชาธิปไตยตะวันตก ซึ่งหมายความว่าประชาธิปไตยที่ “แท้จริง” จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับอุดมการณ์และนโยบายของผู้สมัคร/พรรคการเมือง ตลอดจนคุณธรรมความสามารถขององค์กรและบุคลากรทางการเมืองในการบริหารปกครองประเทศ ขณะที่ประชาชนแต่ละคนอยู่ในฐานะปัจเจกชนผู้สามารถใช้วิจารณญาณทางการเมืองอย่างอิสระ การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจึงไม่ควรกระทำโดยมีพันธะผูกพันในเชิงบุญคุณต่อผู้สมัคร ดังนั้นการรับอามิสสินจ้างเพื่อไปลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครและพรรคการเมืองใดจึงถือเป็นเรื่องผิดบรรทัดฐานประชาธิปไตยของคนชั้นกลาง
“ประชาธิปไตย” ของชาวชนบทวางอยู่บนฐานคิดรูปธรรมมากกว่า เพราะอาศัยวิธีการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือนิยามตนเองเข้ากับผู้มีอำนาจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง การสนับสนุนผู้สมัครคนใดจึงขึ้นอยู่กับบุญคุณของผู้สมัครที่มีต่อตนเองหรือครอบครัวของตนในอดีต รวมถึงความมุ่งหวังที่จะได้รับความอุปถัมภ์ค้ำจุนเกื้อหนุนในอนาคตอีกด้วย สำหรับชาวนาชาวไร่ในชุมชนชนบทที่มีชีวิตแบบรวมหมู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์แล้ว (ซึ่งหมายความว่าไม่ได้มองตนเองเป็นอิสรชน) การรับเงินทองระหว่างช่วงเลือกตั้งจึงไม่ได้มีค่าเท่ากับการรับอามิสสินจ้าง หรือ “การขายเสียง” แต่อย่างใด
การสร้างชนชั้นกลางให้เป็นฐานเสียง
ด้วยเหตุที่ชนชั้นกลางเมืองมีสัดส่วนเป็นจำนวนน้อยแต่มีต้นทุนทางสังคมและมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจมาก จนกระทั่งในยุคหนึ่งกลายเป็นพลังขับเคลื่อนต่อรองเชิงนโยบายรัฐบาล ดังนั้นตราบใดที่ชนชั้นกลางไม่มีส่วนในการตั้งรัฐบาล ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าชนชั้นกลางจะสำนึกถึงความเป็นเจ้าของประชาธิปไตยร่วมกัน แนวทางแก้ไขปัญหาจึงต้องแสวงหามาตรการทางการเมืองให้คนชั้นกลางเมืองเป็น “ฐานเสียง” หรือมีโอกาสกำหนดตัวผู้มีอำนาจในระบบการเมือง
มาตรการแรก ใช้ระบบเลือกตั้งแบบคัดเอาแต่ผู้ชนะ (First-Past-the Post) ตามเดิม แต่ลดขนาดเขตเลือกตั้งลงให้เขตเทศบาลและเขตปริมณฑลที่คนชั้นกลางอาศัยอยู่หนาแน่นในต่างจังหวัดเป็นหนึ่งเขตเลือกตั้ง มีผู้แทนหนึ่งคน เพื่อให้เสียงของ “เมือง” ในต่างจังหวัดรอดพ้นจากเสียงของ “ชนบท” และเพื่อให้ “เมือง” มีโอกาสส่งผู้แทนเข้าไปนั่งในสภาได้บ้าง
มาตรการที่สอง เปลี่ยนไปใช้ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน (proportional representation) อาจใช้ทั่วประเทศ หรือแต่ละภูมิภาค (เหนือ กลาง อีสาน ใต้ เป็นต้น) เป็นเขตเลือกตั้ง เพื่อสะสมรวบรวมเสียงของคนชั้นกลางที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศให้สามารถแปรเป็นที่นั่งในสภา และเพิ่มการแข่งขันเชิงนโยบายและหลักการของพรรคการเมืองมากขึ้น
การสร้างคนชนบทให้เป็นฐานนโยบาย
ชาวนาชาวไร่ในชนบทตกอยู่ภายใต้เครือข่ายสายสัมพันธ์ระบบอุปถัมภ์อันมีรากฐานมาจากสังคมเกษตรแบบดั้งเดิม ชาวชนบทจึงมักลงคะแนนตามคำชี้นำของผู้อุปถัมภ์และตามสินจ้างรางวัลอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา ส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากไม่มีความแตกต่างในการนำเสนอนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ดังนั้นเพื่อให้ระบบอุปถัมภ์และการรับสินจ้างรางวัลลดความสำคัญลง การแก้ไขปัญหาจึงต้องเสาะหาหนทางทางการเมืองให้คนชนบทเป็น “ฐานนโยบาย” คือมีโอกาสได้รับการตอบสนองเชิงนโยบายจากรัฐบาลมากขึ้น
มาตรการที่แรก ให้พรรคและนักการเมืองที่เสนอทางเลือกใหม่เชิงนโยบายได้มีโอกาสพัฒนาตนเองขึ้นโดยง่ายผ่านระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน เพื่อให้พรรคที่ตั้งขึ้นใหม่สามารถเจาะตลาดชาวชนบทได้ ทั้งยังเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับนักการเมืองที่มุ่งหวังรวมตัวกันเพื่ออุดมการณ์มีความเป็นไปได้ที่จะเข้าสู่ระบบการเมือง ทำให้ชาวชนบทสามารถมองการเมืองผ่านนโยบายและหลักการมากขึ้น
มาตรการที่สอง ให้ชาวนาชาวไร่ใช้สิทธิตัดสินใจผ่านประชาธิปไตยทางตรง (direct democracy) ในรูปประเด็นสาธารณประโยชน์ โครงการ งบประมาณ ภาษี หรือกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อชาวชนบทโดยตรง โดยอาศัยช่องทางการถอดถอนผู้แทนราษฎร (recall) การริเริ่มเสนอกฎหมาย (initiative) การลงประชามติรับไม่รับกฎหมาย (referendum) เพื่อให้ชาวชนบทเข้าใจหลักการและนโยบายมากขึ้น พร้อมทั้งตระหนักว่าการลงคะแนนเสียงเป็นเรื่องความรับผิดชอบต่อส่วนรวม
มาตรการที่สาม สนับสนุนชุมชนทางการเมือง (political community) ที่ใกล้ชิดกับชีวิตและการทำงานของชาวชนบท ด้วยการสร้างประชาธิปไตยระดับกลุ่มให้สังคมพยายามทำอะไรด้วยตนเอง เช่นกลุ่มช่วยแรงงาน กลุ่มเหมืองฝาย กลุ่มอุบาสกอุบาสิกา กาลุ่มสหกรณ์ กลุ่มฝึกอาชีพ กลุ่มสตรี กลุ่มเยาวชน เป็นต้น รวมถึงการสร้างประชาธิปไตยที่ระดับการปกครองท้องถิ่นเป็นเครื่องมือพัฒนาภูมิภาคและท้องถิ่น เพื่อลดสภาพ “รัฐรวมศูนย์-ผูกขาดอธิปัตย์”
การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อประชาธิปไตย
การปฏิรูปการเมืองทั้งมิติการสร้างชนชั้นกลางให้เป็นฐานเสียงและการสร้างคนชนบทให้เป็นฐานนโยบาย จำเป็นที่จะต้องปฏิรูปเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจการเกษตรที่ล้าหลังให้เป็นเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า แปรหมู่บ้านให้กลายเป็นเมืองขนาดเล็กและเมืองขนาดกลางระดับภูมิภาค ให้คนส่วนใหญ่ของประเทศหลุดพ้นจากสายสัมพันธ์ของระบบอุปถัมภ์ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อมุ่งหวังให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระยะยาว ดังนี้
ประการแรก ต้องดึงคนออกจากชนบทและภาคการเกษตรล้าหลังซึ่งมีขนาดใหญ่ เพื่อสร้างให้เกิดปัจเจกชนที่มีความเป็นอิสระ จากข้อมูลจากธนาคารโลกได้ชี้ให้เห็นว่าในปี 2533 ประเทศไทยมีประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองเพียงร้อยละ 23 ของทั้งประเทศ ดังนั้นการที่ชาวนาชาวไร่ต้องเข้าสู่ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์อันเป็นต้นเหตุแห่งการเลือกผู้แทนโดยคำนึงถึงบุญคุณ ก็เพราะบรรดาผู้อุปถัมภ์ในท้องถิ่นล้วนผูกขาดช่องทางและโอกาสในการทำมาหากิน การดึงคนออกจากชนบทจึงไม่ได้เหมือนกับการอพยพชาวชนบทที่ล้าหลังเข้าสู่เมืองที่ห่างไกล แต่เป็นการโยกย้ายคน/แรงงานในสภาพที่ชนบทได้รับการทำนุบำรุง กลายเป็นชนบทที่คนมีการศึกษา มีวิชาชีพ และมีฐานเศรษฐกิจพอสมควร เพื่อเข้าไปหางานที่ดีในเมืองใกล้ๆ
ประการที่สอง สร้างเมืองขนาดเล็กและขนาดกลาง อาศัยเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในภูมิภาคเพิ่มขึ้นและเพื่อรองรับคนที่ออกจากชนบทเป็นหลัก (ภาคเมืองต้องสามารถให้ชีวิตที่ดีแก่ผู้อยู่อาศัยด้วย) มีหมู่บ้านที่ล้าหลังยากจนและกรุงเทพฯ เป็นส่วนประกอบเท่านั้น โดยการพัฒนาหมู่บ้านควบคู่ไปกับการสร้างเมืองและอาชีพอื่นๆ นอกภาคการเกษตร กอปรกับต้องมีการกระจายอำนาจการปกครองให้หน่วยการปกครองท้องถิ่นได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ชาวเมืองในต่างจังหวัดและเกษตรกรในชนบทจึงจะสามารถกลายเป็นพลังทางการเมืองที่สามารถตัดสินชีวิตของตนเองได้
ประการที่สาม พัฒนาชนบทที่เหลืออยู่ให้เป็นเมืองขนาดเล็กซึ่งมีเกษตรกรรมทันสมัยและมีอุตสาหกรรมท้องถิ่นขนาดเล็ก ทำให้เกิดการเปลี่ยนชาวนาเป็นเกษตรกรชนชั้นกลางหรือแรงงานอิสระที่มีรายได้พอเลี้ยงตัว เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมาพลังการผลิตของชนบทไทยอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั้งในด้านประสิทธิภาพการใช้แรงงาน (labor productivity) และการใช้ที่ดิน (land productivity) ดังนั้นรัฐจึงต้องทุ่มเทงบประมาณและกำลังคนเพื่อพัฒนาชีวิตและการศึกษาของชาวชนบท ตลอดจนให้ความสำคัญกับการปฏิรูปที่ดินและปรับปรุงการผลิต
บริบทแวดล้อมและรากฐานความเป็นมาของสองนคราประชาธิปไตย
ภายหลังการชุมนุมประท้วงและขับไล่รัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร ในเดือนพฤษภาคม 2535 สังคมการเมืองไทยอยู่ในสภาวะแห่งการแสวงหาแนวทางปฏิรูปประเทศ กลุ่มนักวิชาการ ปัญญาชน นักกิจกรรม และผู้มีบทบาททางสังคมจำนวนมากต่างนำเสนอแนวทางการปฏิรูปประเทศ ทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยถูกนำเสนอครั้งแรก ณ ที่ประชุมประจำปีสมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย วันที่ 28 สิงหาคม 2537 ต่อมาจึงตีพิมพ์เป็นบทความในหนังสือ วิพากษ์สังคมไทย ท่ามกลางบรรยากาศของการปฏิรูป โดยตั้งชื่อล้อกับงานวรรณกรรมอันโด่งของนักประพันธ์ชาวอังกฤษ ชาร์ลส์ ดิกเก้นส์ (Charles Dickens) เรื่อง A Tale of Two Cities ("เรื่องของสองนคร")
เกษียร เตชะพีระ อธิบายถึงที่มาของชื่อเรียก “สองนคราประชาธิปไตย” ว่า “ตอนแรกอาจารย์เอนกคงคิดเป็นภาษาฝรั่ง คือปิ๊งขึ้นมาหลังจากเห็นพฤษภาทมิฬ พอเห็นชื่อนิยายของชาร์ลส์ ดิกเก้นส์ (Charles Dickens) เรื่องการปฏิวัติฝรั่งเศส ที่คนรู้จักกันเยอะในเรื่อง A Tale of Two Cities เลยตั้งชื่อแนวคิดว่า A Tale of Two Democracy เปลี่ยนคำว่า cities เป็น democracies หลังเห็นเหตุการณ์พฤษภา”
ทั้งนี้ข้อเสนอของ เอนก วางอยู่บนความคิดเชิงทฤษฎีที่เชื่อว่าการพัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม (economic development) จะนำไปสู่กระบวนการทำให้เกิดประชาธิปไตย (democratization) ในแง่ที่ว่าเศรษฐกิจทุนนิยมจะสร้างคนกลุ่มใหม่ นั่นคือ ชนชั้นกลาง-กระฎุมพี ที่มีปัจเจกภาพ และมาพร้อมกับสำนึกคิด วัฒนธรรมการเมือง วิถีชีวิต และโลกทัศน์อันเกื้อกูลต่อประชาธิปไตย สอดคล้องกับข้อเขียนของ Barrington Moore ที่ศึกษาการเกิดประชาธิปไตยและเผด็จการในหนังสือ Social Origin of Dictatorship and Democracy โดยอาศัยวิธีวิทยาการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์ (historical analysis method) ที่ชี้ให้เห็นว่าการเกิดเมืองและทุนนิยมเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เกิดประชาธิปไตยแบบกระฎุมพี (bourgeois democracy) ในวลีที่โด่งดังว่า “หากไม่มีกระฎุมพี ก็ไม่มีประชาธิปไตย” (No bourgeoisie, no democracy) เพราะการเปลี่ยนแปลงเชิงเศรษฐกิจการเมืองในหมู่บ้านชนบท ซึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบเจ้าที่ดินกับชาวนา เป็นจุดชี้ขาดชัยชนะประชาธิปไตย
กระบวนการเกิดเติบใหญ่ของประชาธิปไตยจึงต้องดำเนินควบคู่กับการเกิดเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรม และเกษตรกรรมที่ทันสมัย ในแง่นี้ภารกิจประชาธิปไตยในไทยจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงภาคเกษตรและชนบทอันล้าหลัง เพื่อให้ชาวนาชาวไร่หลุดพ้นจากพันธนาการของระบบอุปถัมภ์ของผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น ซึ่งจะขุดรากถอนโคนกลุ่มนักธุรกิจและนักการเมืองที่หากินกับการเมืองอันเป็นอุปสรรคขัดขวางประชาธิปไตย
ข้อวิจารณ์สองนคราประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม สองนคราประชาธิปไตย ใช้อธิบายสภาพการเมืองไทยในช่วงเวลาที่จำกัดเท่านั้น กล่าวคือ สามารถอธิบายเหตุแห่งการล้มรัฐบาลนับแต่ยุคหลังพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จนถึงปีพ.ศ. 2540 ซึ่งสภาพการณ์เมืองตกอยู่ในเงื่อนไขใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 โดยยกชูแนวคิดการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล (accountability) ระบบรัฐสภาที่เป็นเหตุเป็นผล (rational parliament) ขณะเดียวกันก็เน้นความสำคัญของฝ่ายบริหารเข้มแข็ง (strong executive) แต่พรรคการเมืองอ่อน นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ตั้งข้อสังเกตว่า “หนังสืออาจารย์เอนกได้ให้ภาพสังคมไทยในช่วงหนึ่งได้ชัด แต่สิ่งที่ในหนังสือไม่ได้พูดคือประชาธิปไตยในยุคโบราณ เช่น ประชาธิปไตยที่มาจากการพระราชทาน (ซึ่งเชื่อในแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ทรงได้รับมอบอำนาจมาจากชุมชนทางการเมืองตามหลักการเรื่อง “เอนกชนนิกรสโมสรสมมติ” ดังนั้นสถานะของรัฐธรรมนูญจึงเกิดจากการ “พระราชทาน”—ผู้เรียบเรียง) และประชาธิปไตยหลังปี 2540 เป็นต้นมาซึ่งเป็นอีกชนิด คือ กึ่งประธานาธิบดี (ซึ่งให้อำนาจเกือบเบ็ดเสร็จแก่หัวหน้าฝ่ายบริหารอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน—ผู้เรียบเรียง)” ดังนั้นประชาธิปไตยช่วงต้นสมัยรัฐธรรมนูญ (2475-2490) และหลังทศวรรษ 2530 จึงเป็นประชาธิปไตยอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งพ้นไปจากสองนคราประชาธิปไตย
ในแง่นี้สองนคราประชาธิปไตย จึงให้ภาพสะท้อนทัศนะที่มีต่อ “ประชาธิปไตย” แบบคู่ตรงข้ามระหว่างประชาธิปไตยของ “เมือง” กับประชาธิปไตยของ “ชนบท” แต่ละเลยมิติที่ซ้อนทับของผู้คนอันหลากหลาย เช่น คนชนบทที่อพยพเข้าสู่เมืองมีความเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการเมือง สำนึกคิด และโลกทัศน์ที่มีต่อประชาธิปไตยจริงหรือไม่ และในระดับใด แรงงานระดับล่างในเมืองมีพฤติกรรมทางการเมืองเฉกเช่นเดียวกับคนชั้นกลางเมืองมากน้อยเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้นการมองว่าชาวบ้านในชนบทอ่อนแอและไม่มีสำนึกทางการเมืองแบบประชาธิปไตยก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นมายาคติของนักรัฐศาสตร์กระแสหลัก ประภาส ปิ่นตกแต่ง วิจารณ์ว่าทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยตอกย้ำคำอธิบายที่ดำรงอยู่ก่อนหน้าโดยปราศจากข้อมูลเชิงประจักษ์ที่หนักแน่นเพียงพอ เพราะตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาชนบทเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ชาวบ้านมีการรวมกลุ่มเพื่อผลประโยชน์ผ่านการต่อสู้ด้วยขบวนการภาคประชาชน เพื่อนำเสนอประเด็นความเดือดร้อน ในชนบทเองก็เกี่ยวข้องกับการเมืองมากขึ้น เพราะได้เชื่อมร้อยเข้ากับบุคคลภายนอก เช่น นักการเมือง หัวคะแนน เอ็นจีโอ ทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวขยายปริมณฑลการต่อสู้ออกไป ตัวอย่างเช่น สมัชชาคนจน เป็นการต่อสู้ของคนจนเพราะถูกคุกคามจากนโยบายรัฐส่วนกลาง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเขื่อน เหมืองแร่ นิคมอุตสาหกรรม การสนับสนุนการปลูกพืชเศรษฐกิจ และการแบ่งแย่งทรัพยากรในชนบท จึงเกิดการรวมตัวกันระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จนกระทั่งกลายเป็นเครือข่ายใหญ่ระดับประเทศ
ประการสุดท้าย ก็คือ ทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย ถูกใช้เพื่อสร้างความจริงทางสังคมขึ้นมาแบบหนึ่ง ยังผลให้เกิดการตอกย้ำซ้ำเติมสภาพด้อยพัฒนาของชนบท ขณะเดียวกันก็ยกชูความเหนือกว่าของคนชั้นกลางเมือง (โดยเฉพาะกรุงเทพฯ) จนกลายเป็นข้ออ้างเพื่อล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งสม่ำเสมอ ดังที่สุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ขณะรณรงค์ขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในปลายปี พ.ศ. 2548 อธิบายว่าทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยยังคงใช้อธิบายการเมืองไทยอยู่เสมอ "สถานการณ์ตอนนี้คนกรุงหรือชนชั้นกลางอาจยังไม่มีพลังพอที่จะโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ แต่รัฐบาลอย่าท้าทาย หรือปรามาส เพราะปรากฏการณ์สนธิ ผมคิดว่าเป็นเพียงการนับหนึ่งภายใต้ทฤษฎีเปิดโปง ซึ่งที่ผ่านมาปรากฏการณ์สนธิ สามารถสร้างกระบวนการเปิดโปงได้ทั้งในหมู่ชนชั้นกลาง และเริ่มได้รับกระแสตอบรับจากคนชนบท ผ่านสื่อในเครือผู้จัดการทั้งเคเบิลทีวี หนังสือพิมพ์ วิทยุ ซีดี และวารสาร ซึ่งพบว่าคนต่างจังหวัดให้การต้อนรับมาก เพราะเขาอยากรู้ความจริง จนเป็นเหตุให้สื่อแขนงอื่นเป็นแนวร่วมกับปรากฏการณ์สนธิไปด้วย"
บรรณานุกรม
เก่งกิจ กิติเรียงลาภและเควิน ฮิววิสัน (2552). "บทวิพากษ์ "การเมืองภาคประชาชน" ในประเทศไทย: ข้อจำกัดของการวิเคราะห์และยุทธศาสตร์การเมืองแบบ "ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบใหม่"." ฟ้าเดียวกัน, 7, (2), 120-155.
ฉลอง สุนทราวาณิชย์. บรรณาธิการ, (2538). วิพากษ์สังคมไทย. กรุงเทพฯ: สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย.
นิธิ เอียวศรีวงศ์ (2552). "ซื้อสิทธิ์ขายเสียง." รากหญ้าสร้างบ้าน ชนชั้นกลางสร้างเมือง. กรุงเทพฯ: มติชน.
บรรหาร ศิลปอาชา. “ความในใจบรรหาร จากหลงจู๊สู่ผู้นำประเทศ.” มติชนรายวัน. (20 กุมภาพันธ์ 2539).
ประภาส ปิ่นตบแต่ง (2540). การเมืองบนท้องถนน 99 วันสมัชชาคนจน. กรุงเทพฯ: ศูนย์วิจัยและผลิตตำรามหาวิทยาลัยเกริก.
“พิสูจน์ ทฤษฎี 2 นครา ประชาธิปไตย พฤศจิกายน 56." มติชนรายวัน. (26 พฤศจิกายน 2556).
ลิขิต ธีรเวคิน. "อมาตยาธิปไตย-ประชาธิปไตยครึ่งใบ-การปฏิรูปการเมือง-การเมืองปัจจุบัน." รัฐศาสตร์สาร. 24, ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2546), 28-75.
สุริยะใส กตะศิลา. "ชี้ปรากฏการณ์สนธิขย่ม ทรท. ปลุกคนเมือง-ชนบทไล่รัฐบาล." ผู้จัดการรายวัน. (20 ธันวาคม 2548).
เอนก เหล่าธรรมทัศน์ (2556). สองนคราประชาธิปไตย: แนวทางปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ เพื่อประชาธิปไตย. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ: คบไฟ.
Moore, Barrington (1966). Social Origin of Dictatorship and Democracy. Boston: Beacon Press.
Dickens, Charles (1949). A Tale of Two Cities. London: Oxford University Press.
McCargo, Duncan. ed., (2002). Reforming Thai politics. Copenhagen: NIAS.
Somchai Phatharathananunth (2006). Civil Society and Democracy: Social Movements in Northeast Thailand. Copenhagen: NIAS Press.
Nishizaki, Yoshinori (2011). Political Authority and Provincial Identity in Thailand: The Making of Banharn-Buri. New York: Southeast Asia Program Publications, Southeast Asia Program, Cornell University.
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
เอนก เหล่าธรรมทัศน์ (2536). ม็อบมือถือ: ชนชั้นกลางและนักธุรกิจกับพัฒนาการประชาธิปไตย. กรุงเทพฯ: มติชน.
Anek Laothamatas (1996). "A Tale of Two Democracies: Conflicting Perceptions of Elections and Democracy in Thailand." in The Politics of Elections in Southeast Asia, Edited by R. H. Taylor. Cambridge: Cambridge University Press.
Anek Laothamatas. ed., (1997). Democratization in Southeast and East Asia. Singapore: Institute of Southeast Asian studies.
Held, David (2006). Models of Democracy. 3rd edition. Cambridge: Polity Press.