ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สมาคมคณะราษฎร"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้าด้วย " เรียบเรียงโดย : ปกรณ์เกียรติ ดีโรจนวานิช ผู้ทรงคุณวุฒ..."
 
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:


เรียบเรียงโดย : ปกรณ์เกียรติ ดีโรจนวานิช
เรียบเรียงโดย : ปกรณ์เกียรติ ดีโรจนวานิช


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต


----
----
บรรทัดที่ 8: บรรทัดที่ 8:
'''สมาคมคณะราษฎร'''
'''สมาคมคณะราษฎร'''


          สมาคมคณะราษฎรถือเป็นองค์กรพรรคการเมืองแห่งแรกของไทย ซึ่งจัดตั้งขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยจดทะเบียนขึ้นเป็นสมาคมเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2475 เพื่อสนับสนุนอุดมการณ์ทางการเมืองของคณะราษฎรที่ต้องการสร้างระบอบการเมืองประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ สมาคมคณะราษฎรประกอบไปด้วยสมาชิกคณะราษฎรและประชาชนทั่วไป ทั้งนี้กิจกรรมของสมาคมคณะราษฎรนั้นมุ่งเน้นการเผยแพร่อุดมการณ์ประชาธิปไตยสู่ประชาชน และผลักดันให้สมาชิกของสมาคมได้ลงสมัครเลือกตั้ง แต่ทว่าสมาคมคณะราษฎรต้องยุติบทบาทลงในเวลาอันสั้น เมื่อรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาประกาศห้ามจัดตั้งพรรคการเมืองในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.2476 จึงเป็นอันสิ้นสุดบทบาทสมาคมคณะราษฎร อย่างไรก็ดีสมาคมคณะราษฎรก็ได้ผันตัวเป็นสโมสรคณะราษฎรซึ่งไม่ใช่องค์กรการเมือง ในขณะที่สมาชิกคณะราษฎรบางส่วนได้สนับสนุนให้มีสมาคมรัฐธรรมนูญแทนที่สมาคมคณะราษฎรที่ยุติบทบาทลง
          สมาคมคณะราษฎรถือเป็นองค์กร[[พรรคการเมือง]]แห่งแรกของไทย ซึ่งจัดตั้งขึ้นภายหลัง[[การเปลี่ยนแปลงการปกครอง_24_มิถุนายน_2475|การเปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475]] โดยจดทะเบียนขึ้นเป็นสมาคมเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2475 เพื่อสนับสนุนอุดมการณ์ทางการเมืองของ[[คณะราษฎร]]ที่ต้องการสร้าง[[ระบอบการเมืองประชาธิปไตย]]ที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ สมาคมคณะราษฎรประกอบไปด้วยสมาชิกคณะราษฎรและประชาชนทั่วไป ทั้งนี้กิจกรรมของสมาคมคณะราษฎรนั้นมุ่งเน้นการเผยแพร่อุดมการณ์ประชาธิปไตยสู่ประชาชน และผลักดันให้สมาชิกของสมาคมได้ลงสมัครเลือกตั้ง แต่ทว่าสมาคมคณะราษฎรต้องยุติบทบาทลงในเวลาอันสั้น เมื่อ[[รัฐบาล]]ของ[[พระยามโนปกรณ์นิติธาดา]]ประกาศห้ามจัดตั้งพรรคการเมืองในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.2476 จึงเป็นอันสิ้นสุดบทบาทสมาคมคณะราษฎร อย่างไรก็ดีสมาคมคณะราษฎรก็ได้ผันตัวเป็น[[สโมสรคณะราษฎร]]ซึ่งไม่ใช่องค์กรการเมือง ในขณะที่สมาชิกคณะราษฎรบางส่วนได้สนับสนุนให้มี[[สมาคมรัฐธรรมนูญ]]แทนที่สมาคมคณะราษฎรที่ยุติบทบาทลง


 
 
บรรทัดที่ 14: บรรทัดที่ 14:
'''ที่มาและจุดประสงค์ของการจัดตั้งสมาคมคณะราษฎร'''
'''ที่มาและจุดประสงค์ของการจัดตั้งสมาคมคณะราษฎร'''


          การจัดตั้งสมาคมคณะราษฎรเป็นหนึ่งในอุดมการณ์ของคณะราษฎรที่ประกาศชัดในระหว่างการปฏิวัติที่ต้องการให้ “ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศนี้เป็นของราษฎร … จงพร้อมใจกันช่วยเหลือคณะราษฎรให้ทำกิจอันจะคงอยู่ชั่วฟ้าดินนี้ให้สำเร็จ”[[#_ftn1|[1]]] ฉะนั้นภายหลังการปฏิวัติคณะราษฎรได้มีการเปิดรับสมัครสมาชิกสมาคมคณะราษฎรในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2475 ซึ่งได้รับความสนใจจากราษฎรล้นหลาม โดยทางคณะราษฎรได้ส่งนายสงวน ตุลารักษ์ สมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือนไปแสดงปาฐกถาที่โรงเรียนกฎหมายเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และในโอกาสเดียวกันได้เชิญชวนให้ผู้ฟังปาฐกถาลงชื่อสมัครสมาชิกสมาคมคณะราษฎร[[#_ftn2|[2]]] และในวันเดียวกันนายทวี บุญยเกตุไปเชิญชวนคนเข้าสมาคมคณะราษฎรที่วังสราญรมย์[[#_ftn3|[3]]] บรรยากาศและความตื่นตัวทางการเมืองของราษฎรทำให้การสมัครสมาชิกสมาคมคณะราษฎรเป็นไปอย่างคึกคัก การตอบรับที่ดีของราษฎรทำให้สมาชิกสมาคมราษฎรมีจำนวนมากถึง 10,000 คน[[#_ftn4|[4]]]
          การจัดตั้งสมาคมคณะราษฎรเป็นหนึ่งในอุดมการณ์ของคณะราษฎรที่ประกาศชัดในระหว่างการปฏิวัติที่ต้องการให้ “ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศนี้เป็นของราษฎร … จงพร้อมใจกันช่วยเหลือคณะราษฎรให้ทำกิจอันจะคงอยู่ชั่วฟ้าดินนี้ให้สำเร็จ”[[#_ftn1|[1]]] ฉะนั้นภายหลังการปฏิวัติคณะราษฎรได้มีการเปิดรับสมัครสมาชิกสมาคมคณะราษฎรในวันที่ [[27_มิถุนายน_พ.ศ._2475|27 มิถุนายน พ.ศ.2475]] ซึ่งได้รับความสนใจจากราษฎรล้นหลาม โดยทางคณะราษฎรได้ส่ง[[สงวน_ตุลารักษ์|นายสงวน ตุลารักษ์]] สมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือนไปแสดงปาฐกถาที่โรงเรียนกฎหมายเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และในโอกาสเดียวกันได้เชิญชวนให้ผู้ฟังปาฐกถาลงชื่อสมัครสมาชิกสมาคมคณะราษฎร[[#_ftn2|[2]]] และในวันเดียวกัน[[ทวี_บุณยเกตุ|นายทวี บุณยเกตุ]]ไปเชิญชวนคนเข้าสมาคมคณะราษฎรที่[[วังสราญรมย์]][[#_ftn3|[3]]] บรรยากาศและความตื่นตัวทางการเมืองของราษฎรทำให้การสมัครสมาชิกสมาคมคณะราษฎรเป็นไปอย่างคึกคัก การตอบรับที่ดีของราษฎรทำให้สมาชิกสมาคมราษฎรมีจำนวนมากถึง 10,000 คน[[#_ftn4|[4]]]


          สมาคมคณะราษฎรถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อสนองตอบต่ออุดมการณ์และนโยบายของคณะราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิทักษ์ระบอบการเมืองใหม่ ทั้งนี้สมาคมคณะราษฎรถูกออกแบบให้เป็นสมาคมการเมืองที่ต้องมีบทบาทในการเป็นกองกำลังให้แก่คณะราษฎรคล้ายกับกองเสือป่า และมีฝ่ายมันสมองทำงานในกองบัญชาการคณะราษฎร[[#_ftn5|[5]]] นอกจากนี้ยังมีหน่วยสืบราชการลับไว้สำหรับสอดแนมศัตรูทางการเมืองของคณะราษฎร[[#_ftn6|[6]]]
          สมาคมคณะราษฎรถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อสนองตอบต่ออุดมการณ์และนโยบายของคณะราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิทักษ์ระบอบการเมืองใหม่ ทั้งนี้สมาคมคณะราษฎรถูกออกแบบให้เป็นสมาคมการเมืองที่ต้องมีบทบาทในการเป็นกองกำลังให้แก่คณะราษฎรคล้ายกับกองเสือป่า และมีฝ่ายมันสมองทำงานในกองบัญชาการคณะราษฎร[[#_ftn5|[5]]] นอกจากนี้ยังมีหน่วยสืบราชการลับไว้สำหรับสอดแนมศัตรูทางการเมืองของคณะราษฎร[[#_ftn6|[6]]]
บรรทัดที่ 22: บรรทัดที่ 22:
          “คณะราษฎร ไม่เพียงจะเป็นองค์กรใหม่ทางการเมือง หากจะยังมีกำลังพลเรือนติดอาวุธคอยทำการปกป้องคณะราษฎร แนวความคิดนี้ ... มาจากพื้นฐานของความไม่มั่นใจว่าจะสามารถยึดกุมกองทัพได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีปลุกราษฎรให้ติดอาวุธไว้ต่อสู้กับศัตรูระบอบใหม่ อย่างไรก็ตามแนวคิดจัดตั้งกองอาสาสมัครและกองพลเรือน ไม่มีผลต่อการจัดตั้งจริง มีเพียงกองนักสืบเท่านั้นที่ได้รับการจัดตั้ง … หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร จำนวนข่าวของนักสืบจะลดน้อยลงอย่างมาก และค่อนข้างเชื่อกันว่าเหตุการณ์ “ได้เรียบร้อยเกือบเป็นปกติแล้วก็ว่าได้ และในกาลต่อไปกองสืบของเราก็อาจจะต้องเลิกล้ม” … หน้าที่ในการสืบข่าวการเมืองจึงเป็นหน้าที่ของกองสันติบาล กรมตำรวจเป็นสำคัญ”[[#_ftn7|[7]]]
          “คณะราษฎร ไม่เพียงจะเป็นองค์กรใหม่ทางการเมือง หากจะยังมีกำลังพลเรือนติดอาวุธคอยทำการปกป้องคณะราษฎร แนวความคิดนี้ ... มาจากพื้นฐานของความไม่มั่นใจว่าจะสามารถยึดกุมกองทัพได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีปลุกราษฎรให้ติดอาวุธไว้ต่อสู้กับศัตรูระบอบใหม่ อย่างไรก็ตามแนวคิดจัดตั้งกองอาสาสมัครและกองพลเรือน ไม่มีผลต่อการจัดตั้งจริง มีเพียงกองนักสืบเท่านั้นที่ได้รับการจัดตั้ง … หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร จำนวนข่าวของนักสืบจะลดน้อยลงอย่างมาก และค่อนข้างเชื่อกันว่าเหตุการณ์ “ได้เรียบร้อยเกือบเป็นปกติแล้วก็ว่าได้ และในกาลต่อไปกองสืบของเราก็อาจจะต้องเลิกล้ม” … หน้าที่ในการสืบข่าวการเมืองจึงเป็นหน้าที่ของกองสันติบาล กรมตำรวจเป็นสำคัญ”[[#_ftn7|[7]]]


          แม้ว่ารูปแบบของสมาคมคณะราษฎรในช่วงแรกของการจัดตั้งจะเป็นไปเพื่อสนับสนุนกิจการของคณะราษฎรในการทำปฏิวัติ แต่เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองในสยามสงบลงภายหลังการประนีประนอมระหว่างฝ่ายคณะราษฎร และผู้นิยมระบอบเก่า เป้าหมายของสมาคมคณะราษฎรจึงแปรเปลี่ยนไป โดยสมาคมคณะราษฎรได้หันไปให้ความสำคัญกับการเมืองในระบบเลือกตั้ง ฉะนั้นสมาคมคณะราษฎรได้พยายามผลักดันให้สมาชิกสมาคมคณะราษฎรลงสมัครเลือกตั้งทั่วทุกเขตโดยมีนายปรีดี พนมยงค์เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการผลักดัน[[#_ftn8|[8]]] ด้วยเหตุนี้สมาคมคณะราษฎรจึงมีผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกสมาคมมากขึ้น รวมไปถึงได้มีการขยายสาขาของสมาคมคณะราษฎรออกไปยังต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นเพื่อเผยแพร่อุดมการณ์ของระบอบใหม่ และเพื่อให้สมาชิกคณะราษฎรได้ลงเลือกตั้งในหลายเขตซึ่งจะทำให้คณะราษฎรมีเสียงข้างมากในรัฐสภา
          แม้ว่ารูปแบบของสมาคมคณะราษฎรในช่วงแรกของการจัดตั้งจะเป็นไปเพื่อสนับสนุนกิจการของคณะราษฎรในการทำปฏิวัติ แต่เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองในสยามสงบลงภายหลัง[[การประนีประนอม]]ระหว่างฝ่ายคณะราษฎร และผู้นิยมระบอบเก่า เป้าหมายของสมาคมคณะราษฎรจึงแปรเปลี่ยนไป โดยสมาคมคณะราษฎรได้หันไปให้ความสำคัญกับการเมืองในระบบเลือกตั้ง ฉะนั้นสมาคมคณะราษฎรได้พยายามผลักดันให้สมาชิกสมาคมคณะราษฎรลงสมัครเลือกตั้งทั่วทุกเขตโดยมี[[ปรีดี_พนมยงค์|นายปรีดี พนมยงค์]]เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการผลักดัน[[#_ftn8|[8]]] ด้วยเหตุนี้สมาคมคณะราษฎรจึงมีผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกสมาคมมากขึ้น รวมไปถึงได้มีการขยายสาขาของสมาคมคณะราษฎรออกไปยังต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นเพื่อเผยแพร่อุดมการณ์ของระบอบใหม่ และเพื่อให้สมาชิกคณะราษฎรได้ลงเลือกตั้งในหลายเขตซึ่งจะทำให้คณะราษฎรมีเสียงข้างมากใน[[รัฐสภา]]


          โครงสร้างของสมาคมคณะราษฎรได้มีการแบ่งประเภทสมาชิกไว้อย่างคร่าว ๆ เป็น 3 กลุ่มคือ พวกกองอาสาสมัคร พวกกองพลเรือน และพวกกองสอดแนม ซึ่งเป็นฝ่ายปฏิบัติการ ส่วนโครงสร้างขององค์กรฝ่ายบริหารนั้นมี พระยานิติศาสตร์ไพศาลย์ เป็นนายกสมาคมคณะราษฎร นายประยูร ภมรมนตรีเป็นอุปนายก นายสงวน ตุลารักษ์ เป็นเหรัญญิก นายประหยัด ศรีจรูญ เป็นนายทะเบียน นายสุรินทร์ ชิโนทัย เป็นบรรณารักษ์ นายวนิช ปานะนนท์ เป็นเลขาธิการ นายเรือเอก หลวงนิเทศกลกิจ เป็นปฏิคม นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วยกรรมการสมาคมซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในคณะราษฎรชั้นผู้น้อย และผู้ที่ไม่ได้เป็นคณะราษฎร ส่วนกรรมการสมาคมกิติมศักดิ์นั้นจะเป็นบุคคลที่มีอำนาจในคณะราษฎร และผู้ที่เป็น กรรมการราษฎร ของรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา[[#_ftn9|[9]]]
          โครงสร้างของสมาคมคณะราษฎรได้มีการแบ่งประเภทสมาชิกไว้อย่างคร่าว ๆ เป็น 3 กลุ่มคือ พวกกองอาสาสมัคร พวกกองพลเรือน และพวกกองสอดแนม ซึ่งเป็นฝ่ายปฏิบัติการ ส่วนโครงสร้างขององค์กรฝ่ายบริหารนั้นมี [[พระยานิติศาสตร์ไพศาลย์]] เป็นนายกสมาคมคณะราษฎร [[ประยูร_ภมรมนตรี|นายประยูร ภมรมนตรี]]เป็นอุปนายก [[สงวน_ตุลารักษ์|นายสงวน ตุลารักษ์]] เป็นเหรัญญิก [[ประหยัด_ศรีจรูญ|นายประหยัด ศรีจรูญ]] เป็นนายทะเบียน [[สุรินทร์_ชิโนทัย|นายสุรินทร์ ชิโนทัย]] เป็นบรรณารักษ์ [[วนิช_ปานะนนท์|นายวนิช ปานะนนท์]] เป็นเลขาธิการ [[นายเรือเอก_หลวงนิเทศกลกิจ]] เป็นปฏิคม นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วยกรรมการสมาคมซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในคณะราษฎรชั้นผู้น้อย และผู้ที่ไม่ได้เป็นคณะราษฎร ส่วนกรรมการสมาคมกิติมศักดิ์นั้นจะเป็นบุคคลที่มีอำนาจในคณะราษฎร และผู้ที่เป็น กรรมการราษฎร ของรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา[[#_ftn9|[9]]]


 
 
บรรทัดที่ 32: บรรทัดที่ 32:
          สมาคมคณะราษฎรมีจุดประสงค์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนกิจการของคณะราษฎร โดยตลอดระยะเวลาที่รัฐบาลคณะราษฎรปกครองประเทศ สมาคมคณะราษฎรได้มีส่วนอย่างมากในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจต่อระบอบการเมืองใหม่สู่ประชาชน ทั้งในเขตพระนคร และต่างจังหวัดห่างไกล อีกทั้งยังเป็นองค์กรที่สนองตอบต่อนโยบายของรัฐบาลอย่างแข็งขันที่สุด
          สมาคมคณะราษฎรมีจุดประสงค์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนกิจการของคณะราษฎร โดยตลอดระยะเวลาที่รัฐบาลคณะราษฎรปกครองประเทศ สมาคมคณะราษฎรได้มีส่วนอย่างมากในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจต่อระบอบการเมืองใหม่สู่ประชาชน ทั้งในเขตพระนคร และต่างจังหวัดห่างไกล อีกทั้งยังเป็นองค์กรที่สนองตอบต่อนโยบายของรัฐบาลอย่างแข็งขันที่สุด


          โดยมากบทบาทของสมาคมคณะราษฎรจะเป็นการสนับสนุนให้ราษฎรมีความเข้าใจในระบอบการเมืองใหม่มากขึ้น รวมทั้งการเรี่ยไรเงินจากสมาชิกสมาคมเพื่อใช้เป็นเงินทุนในการทำกิจกรรมของสมาคมเอง นอกจากนี้ยังมีการจัดงานมหรสพ งานฤดูหนาว[[#_ftn10|[10]]]  งานแสดงละคร[[#_ftn11|[11]]] รวมไปถึงการจัดร้านขายของในวันฉลองรัฐธรรมนูญโดยแบ่งเป็นแผนกต่าง ๆ เช่น แผนกแสดงศิลปะหัตถกรรมต่าง ๆ แผนกเครื่องสมุนไพร แผนกกีฬา (เช่น ชกมวยเป็นต้น) แผนกร้านเครื่องการเล่น แผนกโขนละคร แผนกหนังสือพิมพ์ แผนกโบราณวัตถุ แผนกหลัก 6 ประการ และแผนกร้านอาหาร[[#_ftn12|[12]]]
          โดยมากบทบาทของสมาคมคณะราษฎรจะเป็นการสนับสนุนให้ราษฎรมีความเข้าใจในระบอบการเมืองใหม่มากขึ้น รวมทั้งการเรี่ยไรเงินจากสมาชิกสมาคมเพื่อใช้เป็นเงินทุนในการทำกิจกรรมของสมาคมเอง นอกจากนี้ยังมีการจัดงานมหรสพ งานฤดูหนาว[[#_ftn10|[10]]]  งานแสดงละคร[[#_ftn11|[11]]] รวมไปถึงการจัดร้านขายของใน[[วันฉลองรัฐธรรมนูญ]]โดยแบ่งเป็นแผนกต่าง ๆ เช่น แผนกแสดงศิลปะหัตถกรรมต่าง ๆ แผนกเครื่องสมุนไพร แผนกกีฬา (เช่น ชกมวยเป็นต้น) แผนกร้านเครื่องการเล่น แผนกโขนละคร แผนกหนังสือพิมพ์ แผนกโบราณวัตถุ แผนก[[หลัก_6_ประการ]] และแผนกร้านอาหาร[[#_ftn12|[12]]]


          นอกจากกิจกรรมจัดงานเผยแพร่แนวคิดระบอบการเมืองใหม่แล้ว การที่สมาคมคณะราษฎรได้เปิดสาขาต่าง ๆ ในต่างจังหวัด[[#_ftn13|[13]]] จึงได้เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนในต่างจังหวัดมีความรู้ความเข้าใจในระบอบการเมืองใหม่มากขึ้น ก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งของสมาคมคณะราษฎรที่ช่วยให้ประชาชนมีสำนึกในประชาธิปไตย
          นอกจากกิจกรรมจัดงานเผยแพร่แนวคิดระบอบการเมืองใหม่แล้ว การที่สมาคมคณะราษฎรได้เปิดสาขาต่าง ๆ ในต่างจังหวัด[[#_ftn13|[13]]] จึงได้เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนในต่างจังหวัดมีความรู้ความเข้าใจในระบอบการเมืองใหม่มากขึ้น ก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งของสมาคมคณะราษฎรที่ช่วยให้ประชาชนมีสำนึกในประชาธิปไตย


          บทบาทของสมาคมคณะราษฎรที่สำคัญที่สุดคือการสร้างฐานมวลชนของคณะราษฎรที่ใช้ในการเลือกตั้งสมาชิกสมาคมคณะราษฎรเข้าสู่รัฐสภา ทั้งนี้สมาชิกของสมาคมคณะราษฎรมีจำนวนราว 10,000 คน[[#_ftn14|[14]]] และเพิ่มจำนวนมากขึ้นในเวลาต่อมาถึง 60,000 คน[[#_ftn15|[15]]] โดยในจำนวนนี้เป็นสมาชิกคณะราษฎรส่วนหนึ่ง ในขณะที่สมาชิกที่มาจากการเปิดรับสมัครของสมาคมคณะราษฎรโดยมากก็เป็นข้าราชการ นายทหาร ครู รวมถึงประชาชนทั่วไป[[#_ftn16|[16]]] ซึ่งสมาชิกคณะราษฎรเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นฐานเสียงของนายปรีดี พนมยงค์ในการสนับสนุนเค้าโครงเศรษฐกิจซึ่งเป็นที่หวาดกลัวของพวกหัวเก่า[[#_ftn17|[17]]] และในขณะนั้นมีเพียงสมาคมคณะราษฎรเท่านั้นที่เป็นสมาคมการเมืองจึงทำให้เป็นที่หวั่นเกรงของขุนนางระบอบเก่าว่าคณะราษฎรจะกุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพียงคณะเดียว อย่างไรก็ตามแม้ว่ามีความพยายามของกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาในการจัดตั้งพรรคการเมืองที่เรียกว่า “คณะชาติ” แต่ก็ถูกห้ามปรามโดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่ไม่ทรงต้องการให้มีพรรคการเมืองในสยามแม้ว่าในภายหลังพระองค์จะผลักดันให้มีพรรคการเมืองในสยามก็ตาม[[#_ftn18|[18]]] และด้วยเหตุนี้เองฝ่ายขุนนางระบอบเก่าจึงได้พยายามขัดขวางกิจการของสมาคมคณะราษฎร เพื่อป้องกันไม่ให้คณะราษฎรครองอำนาจการเมืองอยู่ฝ่ายเดียวจนนำไปสู่การยุติบทบาทของสมาคมคณะราษฎรในฐานะเป็นพรรคการเมืองแห่งแรกของสยาม ไปเป็นสโมสรคณะราษฎรที่เป็นเพียงสมาคมในการทำหน้าที่สนับสนุนคณะราษฎรแต่ไม่ใช่องค์กรพรรคการเมือง
          บทบาทของสมาคมคณะราษฎรที่สำคัญที่สุดคือการสร้างฐานมวลชนของคณะราษฎรที่ใช้ในการเลือกตั้งสมาชิกสมาคมคณะราษฎรเข้าสู่รัฐสภา ทั้งนี้สมาชิกของสมาคมคณะราษฎรมีจำนวนราว 10,000 คน[[#_ftn14|[14]]] และเพิ่มจำนวนมากขึ้นในเวลาต่อมาถึง 60,000 คน[[#_ftn15|[15]]] โดยในจำนวนนี้เป็นสมาชิกคณะราษฎรส่วนหนึ่ง ในขณะที่สมาชิกที่มาจากการเปิดรับสมัครของสมาคมคณะราษฎรโดยมากก็เป็นข้าราชการ นายทหาร ครู รวมถึงประชาชนทั่วไป[[#_ftn16|[16]]] ซึ่งสมาชิกคณะราษฎรเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นฐานเสียงของนายปรีดี พนมยงค์ในการสนับสนุนเค้าโครงเศรษฐกิจซึ่งเป็นที่หวาดกลัวของพวกหัวเก่า[[#_ftn17|[17]]] และในขณะนั้นมีเพียงสมาคมคณะราษฎรเท่านั้นที่เป็นสมาคมการเมืองจึงทำให้เป็นที่หวั่นเกรงของขุนนางระบอบเก่าว่าคณะราษฎรจะกุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพียงคณะเดียว อย่างไรก็ตามแม้ว่ามีความพยายามของกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาในการจัดตั้งพรรคการเมืองที่เรียกว่า “[[คณะชาติ]]” แต่ก็ถูกห้ามปรามโดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่ไม่ทรงต้องการให้มีพรรคการเมืองในสยามแม้ว่าในภายหลังพระองค์จะผลักดันให้มีพรรคการเมืองในสยามก็ตาม[[#_ftn18|[18]]] และด้วยเหตุนี้เองฝ่ายขุนนางระบอบเก่าจึงได้พยายามขัดขวางกิจการของสมาคมคณะราษฎร เพื่อป้องกันไม่ให้คณะราษฎรครองอำนาจการเมืองอยู่ฝ่ายเดียวจนนำไปสู่การยุติบทบาทของสมาคมคณะราษฎรในฐานะเป็นพรรคการเมืองแห่งแรกของสยาม ไปเป็นสโมสรคณะราษฎรที่เป็นเพียงสมาคมในการทำหน้าที่สนับสนุนคณะราษฎรแต่ไม่ใช่องค์กรพรรคการเมือง


 
 
บรรทัดที่ 42: บรรทัดที่ 42:
'''ความขัดแย้งทางการเมืองอันนำไปสู่การห้ามจัดตั้งพรรคการเมืองในสยาม'''
'''ความขัดแย้งทางการเมืองอันนำไปสู่การห้ามจัดตั้งพรรคการเมืองในสยาม'''


          ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม พ.ศ. 2475 แม้ในชั้นต้นของการปฏิวัติคณะราษฎรจะมีท่าทีเกรี้ยวกราดต่อระบอบเก่าดังจะเห็นได้จากประกาศคณะราษฎร แต่ในเวลาต่อมาคณะราษฎรและระบอบเก่าสามารถประนีประนอมกันได้ ดังจะเห็นได้จากการเลือกเอาพระยามโนปกรณ์นิติธาดาผู้เป็นขุนนางในระบอบเก่าและมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และการขอนิรโทษกรรมของคณะราษฎร สถานการณ์ทางการเมืองในระยะแรกของการเมืองระบอบใหม่มีท่าทีประนีประนอมกันอย่างเห็นได้ชัด
          ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม พ.ศ. 2475 แม้ในชั้นต้นของการปฏิวัติคณะราษฎรจะมีท่าทีเกรี้ยวกราดต่อระบอบเก่าดังจะเห็นได้จากประกาศคณะราษฎร แต่ในเวลาต่อมาคณะราษฎรและระบอบเก่าสามารถประนีประนอมกันได้ ดังจะเห็นได้จากการเลือกเอาพระยามโนปกรณ์นิติธาดาผู้เป็นขุนนางในระบอบเก่าและมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และการขอ[[นิรโทษกรรม]]ของคณะราษฎร สถานการณ์ทางการเมืองในระยะแรกของการเมืองระบอบใหม่มีท่าทีประนีประนอมกันอย่างเห็นได้ชัด


          คณะราษฎรไม่ได้ทำการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากมือชนชั้นสูงมาสู่มือของตนเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของราษฎรสยามให้ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงนำไปสู่การเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค์ ที่จะรื้อรากระบบเศรษฐกิจสยามใหม่ให้ราษฎรมีความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ แต่ทว่าเค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดีถูกโจมตีอย่างหนักจากทั้งคณะราษฎรด้วยกันเอง และขุนนางระบอบเก่า รวมไปถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ว่าเป็นระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์[[#_ftn19|[19]]] จึงนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหม่ ความขัดแย้งนี้ได้ฉีกทำลายความสมัครสมานของคณะราษฎรกับพวกขุนนางในระบอบเก่า จนนำไปสู่การจัดการกับนายปรีดี พนมยงค์โดยถูกพวกขุนนางในระบอบเก่ามองว่าเป็นตัวอันตรายและมีผู้สนับสนุนอยู่เป็นจำนวนมาก
          คณะราษฎรไม่ได้ทำการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากมือชนชั้นสูงมาสู่มือของตนเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของราษฎรสยามให้ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงนำไปสู่การเสนอ[[เค้าโครงเศรษฐกิจ]]ของนายปรีดี พนมยงค์ ที่จะรื้อรากระบบเศรษฐกิจสยามใหม่ให้ราษฎรมีความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ แต่ทว่า[[เค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดี]]ถูกโจมตีอย่างหนักจากทั้งคณะราษฎรด้วยกันเอง และขุนนางระบอบเก่า รวมไปถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ว่าเป็นระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์[[#_ftn19|[19]]] จึงนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหม่ ความขัดแย้งนี้ได้ฉีกทำลายความสมัครสมานของคณะราษฎรกับพวกขุนนางในระบอบเก่า จนนำไปสู่การจัดการกับนายปรีดี พนมยงค์โดยถูกพวกขุนนางในระบอบเก่ามองว่าเป็นตัวอันตรายและมีผู้สนับสนุนอยู่เป็นจำนวนมาก


          อย่างไรก็ตามการพยายามให้ยุบเลิกสมาคมคณะราษฎรมีมาตั้งแต่ปลาย พ.ศ. 2475 (นับตามปฏิทินแบบเก่า) แล้ว โดยขณะนั้นกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาได้พยายามจัดตั้งองค์กรพรรคการเมืองของตนเองขึ้น โดยได้ขอให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงอนุญาตให้มีพรรคการเมืองแต่พระองค์ไม่เห็นด้วย และในเวลาต่อมาพระองค์ยังได้แนะนำให้พระยามโนปกรณ์นิติธาดายุบเลิกสมาคมคณะราษฎรเสีย[[#_ftn20|[20]]] แม้ว่าในภายหลังจากที่สมาคมคณะราษฎรได้ยุบเลิกไปพระองค์มีพระประสงค์ให้มีการจัดตั้งสมาคมการเมืองขึ้นอีก[[#_ftn21|[21]]] ซึ่งการเคลื่อนไหวของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ มีผลทำให้มีมติคณะรัฐมนตรีออกมาห้ามไม่ให้ข้าราชการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง[[#_ftn22|[22]]]อันเป็นการทำลายฐานมวลชนของสมาคมคณะราษฎร และทำลายฐานอำนาจของนายปรีดี พนมยงค์ไปพร้อมกัน
          อย่างไรก็ตามการพยายามให้ยุบเลิกสมาคมคณะราษฎรมีมาตั้งแต่ปลาย พ.ศ. 2475 (นับตามปฏิทินแบบเก่า) แล้ว โดยขณะนั้นกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาได้พยายามจัดตั้งองค์กรพรรคการเมืองของตนเองขึ้น โดยได้ขอให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงอนุญาตให้มีพรรคการเมืองแต่พระองค์ไม่เห็นด้วย และในเวลาต่อมาพระองค์ยังได้แนะนำให้พระยามโนปกรณ์นิติธาดายุบเลิกสมาคมคณะราษฎรเสีย[[#_ftn20|[20]]] แม้ว่าในภายหลังจากที่สมาคมคณะราษฎรได้ยุบเลิกไปพระองค์มีพระประสงค์ให้มีการจัดตั้งสมาคมการเมืองขึ้นอีก[[#_ftn21|[21]]] ซึ่งการเคลื่อนไหวของ[[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ]] มีผลทำให้มีมติคณะรัฐมนตรีออกมาห้ามไม่ให้ข้าราชการเป็น[[สมาชิกพรรคการเมือง]][[#_ftn22|[22]]]อันเป็นการทำลายฐานมวลชนของสมาคมคณะราษฎร และทำลายฐานอำนาจของนายปรีดี พนมยงค์ไปพร้อมกัน


          แม้ว่านายกสมาคมคณะราษฎร พระยานิติศาสตร์ไพศาลย์ จะได้คัดค้านสภาผู้แทนราษฎรว่าการห้ามไม่ให้ข้าราชการเป็นสมาชิกสมาคมการเมืองเป็นสิ่งที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่ทว่าสภาผู้แทนราษฎรได้มีการลงมติลับด้วยเสียงข้างมาก 38 ต่อ 11 ให้ยกเลิกคำสั่งรัฐบาลที่ห้ามข้าราชการเข้าเป็นสมาชิกสมาคมการเมือง แต่ให้ออกเป็นกฎหมายบังคับใช้แทน  ซึ่งทำให้รัฐบาลพ่ายแพ้ยับเยินในสภา จนนำไปสู่การรัฐประหารตัวเองของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เพื่อจัดการกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นฐานเสียงของนายปรีดี พนมยงค์ เมื่อพระยามโนปกรณ์นิติธาดาตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้มีการปลดรัฐมนตรีที่สนับสนุนนายปรีดีออกจากรัฐบาล รวมไปถึงการประกาศใช้พระราชบัญญัติการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ และการประกาศห้ามจัดตั้งสมาคมการเมือง[[#_ftn23|[23]]]
          แม้ว่านายกสมาคมคณะราษฎร พระยานิติศาสตร์ไพศาลย์ จะได้คัดค้านสภาผู้แทนราษฎรว่าการห้ามไม่ให้ข้าราชการเป็นสมาชิกสมาคมการเมืองเป็นสิ่งที่ขัดต่อ[[รัฐธรรมนูญ]] แต่ทว่าสภาผู้แทนราษฎรได้มี[[การลงมติลับ]]ด้วย[[เสียงข้างมาก]] 38 ต่อ 11 ให้ยกเลิกคำสั่งรัฐบาลที่ห้ามข้าราชการเข้าเป็นสมาชิกสมาคมการเมือง แต่ให้ออกเป็นกฎหมายบังคับใช้แทน  ซึ่งทำให้รัฐบาลพ่ายแพ้ยับเยินในสภา จนนำไปสู่การรัฐประหารตัวเองของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เพื่อจัดการกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็น[[ฐานเสียง]]ของนายปรีดี พนมยงค์ เมื่อพระยามโนปกรณ์นิติธาดาตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้มีการปลดรัฐมนตรีที่สนับสนุนนายปรีดีออกจากรัฐบาล รวมไปถึงการประกาศใช้[[พระราชบัญญัติ]]การกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ และการประกาศห้ามจัดตั้งสมาคมการเมือง[[#_ftn23|[23]]]


          การรัฐประหารของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาครั้งนี้นอกจากจะเป็นการกำจัดนายปรีดี พนมยงค์ แล้วยังได้กำจัดพวกที่สนับสนุนนายปรีดีด้วย จึงมีผลทำให้นายปรีดี พนมยงค์ต้องออกจากประเทศ และสมาคมคณะราษฎรต้องยุติบทบาทในฐานะองค์กรพรรคการเมือง และแปรผันเป็นสโมสรคณะราษฎรซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่มีจุดประสงค์ทางการเมือง
          การรัฐประหารของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาครั้งนี้นอกจากจะเป็นการกำจัดนายปรีดี พนมยงค์ แล้วยังได้กำจัดพวกที่สนับสนุนนายปรีดีด้วย จึงมีผลทำให้นายปรีดี พนมยงค์ต้องออกจากประเทศ และสมาคมคณะราษฎรต้องยุติบทบาทในฐานะองค์กรพรรคการเมือง และแปรผันเป็นสโมสรคณะราษฎรซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่มีจุดประสงค์ทางการเมือง

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 17:02, 15 มกราคม 2561

เรียบเรียงโดย : ปกรณ์เกียรติ ดีโรจนวานิช

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต


สมาคมคณะราษฎร

          สมาคมคณะราษฎรถือเป็นองค์กรพรรคการเมืองแห่งแรกของไทย ซึ่งจัดตั้งขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยจดทะเบียนขึ้นเป็นสมาคมเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2475 เพื่อสนับสนุนอุดมการณ์ทางการเมืองของคณะราษฎรที่ต้องการสร้างระบอบการเมืองประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ สมาคมคณะราษฎรประกอบไปด้วยสมาชิกคณะราษฎรและประชาชนทั่วไป ทั้งนี้กิจกรรมของสมาคมคณะราษฎรนั้นมุ่งเน้นการเผยแพร่อุดมการณ์ประชาธิปไตยสู่ประชาชน และผลักดันให้สมาชิกของสมาคมได้ลงสมัครเลือกตั้ง แต่ทว่าสมาคมคณะราษฎรต้องยุติบทบาทลงในเวลาอันสั้น เมื่อรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาประกาศห้ามจัดตั้งพรรคการเมืองในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.2476 จึงเป็นอันสิ้นสุดบทบาทสมาคมคณะราษฎร อย่างไรก็ดีสมาคมคณะราษฎรก็ได้ผันตัวเป็นสโมสรคณะราษฎรซึ่งไม่ใช่องค์กรการเมือง ในขณะที่สมาชิกคณะราษฎรบางส่วนได้สนับสนุนให้มีสมาคมรัฐธรรมนูญแทนที่สมาคมคณะราษฎรที่ยุติบทบาทลง

 

ที่มาและจุดประสงค์ของการจัดตั้งสมาคมคณะราษฎร

          การจัดตั้งสมาคมคณะราษฎรเป็นหนึ่งในอุดมการณ์ของคณะราษฎรที่ประกาศชัดในระหว่างการปฏิวัติที่ต้องการให้ “ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศนี้เป็นของราษฎร … จงพร้อมใจกันช่วยเหลือคณะราษฎรให้ทำกิจอันจะคงอยู่ชั่วฟ้าดินนี้ให้สำเร็จ”[1] ฉะนั้นภายหลังการปฏิวัติคณะราษฎรได้มีการเปิดรับสมัครสมาชิกสมาคมคณะราษฎรในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2475 ซึ่งได้รับความสนใจจากราษฎรล้นหลาม โดยทางคณะราษฎรได้ส่งนายสงวน ตุลารักษ์ สมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือนไปแสดงปาฐกถาที่โรงเรียนกฎหมายเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และในโอกาสเดียวกันได้เชิญชวนให้ผู้ฟังปาฐกถาลงชื่อสมัครสมาชิกสมาคมคณะราษฎร[2] และในวันเดียวกันนายทวี บุณยเกตุไปเชิญชวนคนเข้าสมาคมคณะราษฎรที่วังสราญรมย์[3] บรรยากาศและความตื่นตัวทางการเมืองของราษฎรทำให้การสมัครสมาชิกสมาคมคณะราษฎรเป็นไปอย่างคึกคัก การตอบรับที่ดีของราษฎรทำให้สมาชิกสมาคมราษฎรมีจำนวนมากถึง 10,000 คน[4]

          สมาคมคณะราษฎรถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อสนองตอบต่ออุดมการณ์และนโยบายของคณะราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิทักษ์ระบอบการเมืองใหม่ ทั้งนี้สมาคมคณะราษฎรถูกออกแบบให้เป็นสมาคมการเมืองที่ต้องมีบทบาทในการเป็นกองกำลังให้แก่คณะราษฎรคล้ายกับกองเสือป่า และมีฝ่ายมันสมองทำงานในกองบัญชาการคณะราษฎร[5] นอกจากนี้ยังมีหน่วยสืบราชการลับไว้สำหรับสอดแนมศัตรูทางการเมืองของคณะราษฎร[6]

          ผศ.ดร. ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ ได้อธิบายถึงรูปแบบของสมาคมคณะราษฎรไว้ในหนังสือ ปฏิวัติ 2475 ว่า

          “คณะราษฎร ไม่เพียงจะเป็นองค์กรใหม่ทางการเมือง หากจะยังมีกำลังพลเรือนติดอาวุธคอยทำการปกป้องคณะราษฎร แนวความคิดนี้ ... มาจากพื้นฐานของความไม่มั่นใจว่าจะสามารถยึดกุมกองทัพได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีปลุกราษฎรให้ติดอาวุธไว้ต่อสู้กับศัตรูระบอบใหม่ อย่างไรก็ตามแนวคิดจัดตั้งกองอาสาสมัครและกองพลเรือน ไม่มีผลต่อการจัดตั้งจริง มีเพียงกองนักสืบเท่านั้นที่ได้รับการจัดตั้ง … หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร จำนวนข่าวของนักสืบจะลดน้อยลงอย่างมาก และค่อนข้างเชื่อกันว่าเหตุการณ์ “ได้เรียบร้อยเกือบเป็นปกติแล้วก็ว่าได้ และในกาลต่อไปกองสืบของเราก็อาจจะต้องเลิกล้ม” … หน้าที่ในการสืบข่าวการเมืองจึงเป็นหน้าที่ของกองสันติบาล กรมตำรวจเป็นสำคัญ”[7]

          แม้ว่ารูปแบบของสมาคมคณะราษฎรในช่วงแรกของการจัดตั้งจะเป็นไปเพื่อสนับสนุนกิจการของคณะราษฎรในการทำปฏิวัติ แต่เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองในสยามสงบลงภายหลังการประนีประนอมระหว่างฝ่ายคณะราษฎร และผู้นิยมระบอบเก่า เป้าหมายของสมาคมคณะราษฎรจึงแปรเปลี่ยนไป โดยสมาคมคณะราษฎรได้หันไปให้ความสำคัญกับการเมืองในระบบเลือกตั้ง ฉะนั้นสมาคมคณะราษฎรได้พยายามผลักดันให้สมาชิกสมาคมคณะราษฎรลงสมัครเลือกตั้งทั่วทุกเขตโดยมีนายปรีดี พนมยงค์เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการผลักดัน[8] ด้วยเหตุนี้สมาคมคณะราษฎรจึงมีผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกสมาคมมากขึ้น รวมไปถึงได้มีการขยายสาขาของสมาคมคณะราษฎรออกไปยังต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นเพื่อเผยแพร่อุดมการณ์ของระบอบใหม่ และเพื่อให้สมาชิกคณะราษฎรได้ลงเลือกตั้งในหลายเขตซึ่งจะทำให้คณะราษฎรมีเสียงข้างมากในรัฐสภา

          โครงสร้างของสมาคมคณะราษฎรได้มีการแบ่งประเภทสมาชิกไว้อย่างคร่าว ๆ เป็น 3 กลุ่มคือ พวกกองอาสาสมัคร พวกกองพลเรือน และพวกกองสอดแนม ซึ่งเป็นฝ่ายปฏิบัติการ ส่วนโครงสร้างขององค์กรฝ่ายบริหารนั้นมี พระยานิติศาสตร์ไพศาลย์ เป็นนายกสมาคมคณะราษฎร นายประยูร ภมรมนตรีเป็นอุปนายก นายสงวน ตุลารักษ์ เป็นเหรัญญิก นายประหยัด ศรีจรูญ เป็นนายทะเบียน นายสุรินทร์ ชิโนทัย เป็นบรรณารักษ์ นายวนิช ปานะนนท์ เป็นเลขาธิการ นายเรือเอก_หลวงนิเทศกลกิจ เป็นปฏิคม นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วยกรรมการสมาคมซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในคณะราษฎรชั้นผู้น้อย และผู้ที่ไม่ได้เป็นคณะราษฎร ส่วนกรรมการสมาคมกิติมศักดิ์นั้นจะเป็นบุคคลที่มีอำนาจในคณะราษฎร และผู้ที่เป็น กรรมการราษฎร ของรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา[9]

 

บทบาทของสมาคมคณะราษฎรก่อนการประกาศห้ามจัดตั้งพรรคการเมือง พ.ศ. 2476

          สมาคมคณะราษฎรมีจุดประสงค์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนกิจการของคณะราษฎร โดยตลอดระยะเวลาที่รัฐบาลคณะราษฎรปกครองประเทศ สมาคมคณะราษฎรได้มีส่วนอย่างมากในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจต่อระบอบการเมืองใหม่สู่ประชาชน ทั้งในเขตพระนคร และต่างจังหวัดห่างไกล อีกทั้งยังเป็นองค์กรที่สนองตอบต่อนโยบายของรัฐบาลอย่างแข็งขันที่สุด

          โดยมากบทบาทของสมาคมคณะราษฎรจะเป็นการสนับสนุนให้ราษฎรมีความเข้าใจในระบอบการเมืองใหม่มากขึ้น รวมทั้งการเรี่ยไรเงินจากสมาชิกสมาคมเพื่อใช้เป็นเงินทุนในการทำกิจกรรมของสมาคมเอง นอกจากนี้ยังมีการจัดงานมหรสพ งานฤดูหนาว[10]  งานแสดงละคร[11] รวมไปถึงการจัดร้านขายของในวันฉลองรัฐธรรมนูญโดยแบ่งเป็นแผนกต่าง ๆ เช่น แผนกแสดงศิลปะหัตถกรรมต่าง ๆ แผนกเครื่องสมุนไพร แผนกกีฬา (เช่น ชกมวยเป็นต้น) แผนกร้านเครื่องการเล่น แผนกโขนละคร แผนกหนังสือพิมพ์ แผนกโบราณวัตถุ แผนกหลัก_6_ประการ และแผนกร้านอาหาร[12]

          นอกจากกิจกรรมจัดงานเผยแพร่แนวคิดระบอบการเมืองใหม่แล้ว การที่สมาคมคณะราษฎรได้เปิดสาขาต่าง ๆ ในต่างจังหวัด[13] จึงได้เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนในต่างจังหวัดมีความรู้ความเข้าใจในระบอบการเมืองใหม่มากขึ้น ก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งของสมาคมคณะราษฎรที่ช่วยให้ประชาชนมีสำนึกในประชาธิปไตย

          บทบาทของสมาคมคณะราษฎรที่สำคัญที่สุดคือการสร้างฐานมวลชนของคณะราษฎรที่ใช้ในการเลือกตั้งสมาชิกสมาคมคณะราษฎรเข้าสู่รัฐสภา ทั้งนี้สมาชิกของสมาคมคณะราษฎรมีจำนวนราว 10,000 คน[14] และเพิ่มจำนวนมากขึ้นในเวลาต่อมาถึง 60,000 คน[15] โดยในจำนวนนี้เป็นสมาชิกคณะราษฎรส่วนหนึ่ง ในขณะที่สมาชิกที่มาจากการเปิดรับสมัครของสมาคมคณะราษฎรโดยมากก็เป็นข้าราชการ นายทหาร ครู รวมถึงประชาชนทั่วไป[16] ซึ่งสมาชิกคณะราษฎรเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นฐานเสียงของนายปรีดี พนมยงค์ในการสนับสนุนเค้าโครงเศรษฐกิจซึ่งเป็นที่หวาดกลัวของพวกหัวเก่า[17] และในขณะนั้นมีเพียงสมาคมคณะราษฎรเท่านั้นที่เป็นสมาคมการเมืองจึงทำให้เป็นที่หวั่นเกรงของขุนนางระบอบเก่าว่าคณะราษฎรจะกุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพียงคณะเดียว อย่างไรก็ตามแม้ว่ามีความพยายามของกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาในการจัดตั้งพรรคการเมืองที่เรียกว่า “คณะชาติ” แต่ก็ถูกห้ามปรามโดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่ไม่ทรงต้องการให้มีพรรคการเมืองในสยามแม้ว่าในภายหลังพระองค์จะผลักดันให้มีพรรคการเมืองในสยามก็ตาม[18] และด้วยเหตุนี้เองฝ่ายขุนนางระบอบเก่าจึงได้พยายามขัดขวางกิจการของสมาคมคณะราษฎร เพื่อป้องกันไม่ให้คณะราษฎรครองอำนาจการเมืองอยู่ฝ่ายเดียวจนนำไปสู่การยุติบทบาทของสมาคมคณะราษฎรในฐานะเป็นพรรคการเมืองแห่งแรกของสยาม ไปเป็นสโมสรคณะราษฎรที่เป็นเพียงสมาคมในการทำหน้าที่สนับสนุนคณะราษฎรแต่ไม่ใช่องค์กรพรรคการเมือง

 

ความขัดแย้งทางการเมืองอันนำไปสู่การห้ามจัดตั้งพรรคการเมืองในสยาม

          ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม พ.ศ. 2475 แม้ในชั้นต้นของการปฏิวัติคณะราษฎรจะมีท่าทีเกรี้ยวกราดต่อระบอบเก่าดังจะเห็นได้จากประกาศคณะราษฎร แต่ในเวลาต่อมาคณะราษฎรและระบอบเก่าสามารถประนีประนอมกันได้ ดังจะเห็นได้จากการเลือกเอาพระยามโนปกรณ์นิติธาดาผู้เป็นขุนนางในระบอบเก่าและมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และการขอนิรโทษกรรมของคณะราษฎร สถานการณ์ทางการเมืองในระยะแรกของการเมืองระบอบใหม่มีท่าทีประนีประนอมกันอย่างเห็นได้ชัด

          คณะราษฎรไม่ได้ทำการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากมือชนชั้นสูงมาสู่มือของตนเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของราษฎรสยามให้ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงนำไปสู่การเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค์ ที่จะรื้อรากระบบเศรษฐกิจสยามใหม่ให้ราษฎรมีความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ แต่ทว่าเค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดีถูกโจมตีอย่างหนักจากทั้งคณะราษฎรด้วยกันเอง และขุนนางระบอบเก่า รวมไปถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ว่าเป็นระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์[19] จึงนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหม่ ความขัดแย้งนี้ได้ฉีกทำลายความสมัครสมานของคณะราษฎรกับพวกขุนนางในระบอบเก่า จนนำไปสู่การจัดการกับนายปรีดี พนมยงค์โดยถูกพวกขุนนางในระบอบเก่ามองว่าเป็นตัวอันตรายและมีผู้สนับสนุนอยู่เป็นจำนวนมาก

          อย่างไรก็ตามการพยายามให้ยุบเลิกสมาคมคณะราษฎรมีมาตั้งแต่ปลาย พ.ศ. 2475 (นับตามปฏิทินแบบเก่า) แล้ว โดยขณะนั้นกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาได้พยายามจัดตั้งองค์กรพรรคการเมืองของตนเองขึ้น โดยได้ขอให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงอนุญาตให้มีพรรคการเมืองแต่พระองค์ไม่เห็นด้วย และในเวลาต่อมาพระองค์ยังได้แนะนำให้พระยามโนปกรณ์นิติธาดายุบเลิกสมาคมคณะราษฎรเสีย[20] แม้ว่าในภายหลังจากที่สมาคมคณะราษฎรได้ยุบเลิกไปพระองค์มีพระประสงค์ให้มีการจัดตั้งสมาคมการเมืองขึ้นอีก[21] ซึ่งการเคลื่อนไหวของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ มีผลทำให้มีมติคณะรัฐมนตรีออกมาห้ามไม่ให้ข้าราชการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง[22]อันเป็นการทำลายฐานมวลชนของสมาคมคณะราษฎร และทำลายฐานอำนาจของนายปรีดี พนมยงค์ไปพร้อมกัน

          แม้ว่านายกสมาคมคณะราษฎร พระยานิติศาสตร์ไพศาลย์ จะได้คัดค้านสภาผู้แทนราษฎรว่าการห้ามไม่ให้ข้าราชการเป็นสมาชิกสมาคมการเมืองเป็นสิ่งที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่ทว่าสภาผู้แทนราษฎรได้มีการลงมติลับด้วยเสียงข้างมาก 38 ต่อ 11 ให้ยกเลิกคำสั่งรัฐบาลที่ห้ามข้าราชการเข้าเป็นสมาชิกสมาคมการเมือง แต่ให้ออกเป็นกฎหมายบังคับใช้แทน  ซึ่งทำให้รัฐบาลพ่ายแพ้ยับเยินในสภา จนนำไปสู่การรัฐประหารตัวเองของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เพื่อจัดการกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นฐานเสียงของนายปรีดี พนมยงค์ เมื่อพระยามโนปกรณ์นิติธาดาตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้มีการปลดรัฐมนตรีที่สนับสนุนนายปรีดีออกจากรัฐบาล รวมไปถึงการประกาศใช้พระราชบัญญัติการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ และการประกาศห้ามจัดตั้งสมาคมการเมือง[23]

          การรัฐประหารของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาครั้งนี้นอกจากจะเป็นการกำจัดนายปรีดี พนมยงค์ แล้วยังได้กำจัดพวกที่สนับสนุนนายปรีดีด้วย จึงมีผลทำให้นายปรีดี พนมยงค์ต้องออกจากประเทศ และสมาคมคณะราษฎรต้องยุติบทบาทในฐานะองค์กรพรรคการเมือง และแปรผันเป็นสโมสรคณะราษฎรซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่มีจุดประสงค์ทางการเมือง

 

บรรณานุกรม

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์.  (2552).  ปฏิวัติ 2475.  พิมพ์ครั้งที่ 2.  กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์.

ณัฐพล ใจจริง.  (2556).  ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ.  นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน.

บัทสัน, เบนจามิน เอ.  (2555).  อวสานสมบูรณาญาสิทธิราชย์.  แปลโดย กาญจนี ละอองศรี และยุพา ชุมจันทร์, บรรณาธิการ.  กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.

มูลนิธิปรีดี พนมยงค์.  (2553).  แนวความคิดประชาธิปไตยของปรีดี พนมยงค์.  กรุงเทพฯ: สุขภาพใจ.

เสทื้อน ศุภโสภณ.  (2535).  ชีวิตและการต่อสู้ของพระยาทรงสุรเดช.  กรุงเทพฯ: คณะอนุกรรมการ จัดพิมพ์หนังสือโครงการ 60 ปีประชาธิปไตย.

 

หนังสือพิมพ์

คณะราษฎรจะมีงานฤดูหนาว ประชุมกันเมื่อวันที่ 1.  (2475, 3 พฤศจิกายน).  ชาติไทย.  หน้า 1.

ประกาศสมาคมคณะราษฎร ไทยเขษมเล่นละครบทพระราชนิพนธ์.  (2475, 19 พฤศจิกายน).  ชาติไทย.  หน้า 1.

สนุกในวันฉลองรัฐธรรมนูญ จะมีการสหรสพอย่างเช่น โขน ละคร ภาพยนตร์ จำอวด เป็นต้น ประชุมนายอำเภอให้จัดหามหรสพ.  (2475, 26 พฤศจิกายน).  ชาติไทย.  หน้า 1.

 

อ้างอิง

          [1] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์.  (2552).  ปฏิวัติ 2475.  หน้า 499 – 501.

          [2] เสทื้อน ศุภโสภณ.  (2535).  ชีวิตและการต่อสู้ของพระยาทรงสุรเดช.  หน้า 117.

          [3] มูลนิธิปรีดี พนมยงค์.  (2553).  แนวความคิดประชาธิปไตยของปรีดี พนมยงค์.  หน้า 35.

          [4] เบนจามิน เอ. บัทสัน.  (2555).  อวสานสมบูรณาญาสิทธิราชย์.  แปลโดย กาญจนี ละอองศรี และ     ยุพา ชุมจันทร์, บรรณาธิการ.  หน้า 386.

          [5] เสทื้อน ศุภโสภณ.  (2535).  เล่มเดิม.  หน้า 117.

          [6] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์.  (2552).  เล่มเดิม.  หน้า 297.

          [7] แหล่งเดิม.  หน้า 297 – 298.

          [8] แหล่งเดิม.  หน้า 299.

          [9] แหล่งเดิม.  หน้า 298.

          [10] คณะราษฎรจะมีงานฤดูหนาว ประชุมกันเมื่อวันที่ 1.  (2475, 3 พฤศจิกายน).  ชาติไทย.  หน้า 1.

          [11] ประกาศสมาคมคณะราษฎร ไทยเขษมเล่นละครบทพระราชนิพนธ์.  (2475, 19 พฤศจิกายน).  ชาติไทย.  หน้า 1.

          [12] สนุกในวันฉลองรัฐธรรมนูญ จะมีการสหรสพอย่างเช่น โขน ละคร ภาพยนตร์ จำอวด เป็นต้น ประชุมนายอำเภอให้จัดหามหรสพ.  (2475, 26 พฤศจิกายน).  ชาติไทย.  หน้า 1.

          [13] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์.  (2552).  เล่มเดิม.  หน้า 300.

          [14] เบนจามิน เอ. บัทสัน.  (2555).  เล่มเดิม.  หน้า 386.

          [15] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์.  (2552).  เล่มเดิม.  หน้า 300.

          [16] แหล่งเดิม.  หน้า 300.

          [17] แหล่งเดิม.  หน้า 300.

          [18] ณัฐพล ใจจริง.  (2556).  ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ.  หน้า 22.

          [19] แหล่งเดิม.  หน้า 250 – 251.

          [20] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์.  (2552).  เล่มเดิม.  หน้า 493.

          [21] ณัฐพล ใจจริง.  (2556).  เล่มเดิม.  หน้า 22.

          [22] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์.  (2552).  เล่มเดิม.  หน้า 493.

          [23] แหล่งเดิม.  หน้า 494.