ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การยุบสภา พ.ศ. 2481"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 1 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน)
บรรทัดที่ 11: บรรทัดที่ 11:
==การถ่วงดุลอำนาจระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับคณะรัฐมนตรี  ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม  พุทธศักราช 2475==
==การถ่วงดุลอำนาจระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับคณะรัฐมนตรี  ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม  พุทธศักราช 2475==


จาก[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475]]  ได้กำหนดกลไกในตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจระหว่างคณะรัฐมนตรี(ฝ่ายบริหาร)กับสภาผู้แทนราษฎร(ฝ่าย[[นิติบัญญัติ]])  ได้แก่  ให้อำนาจแก่ฝ่ายนิติบัญญัติในการ[[ตั้งกระทู้]]ถามและ[[การลงมติไม่ไว้วางใจ]]  ขณะที่ฝ่ายบริหารมีอำนาจในการยุบสภา
จาก[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475| รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475]]  ได้กำหนดกลไกในตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจระหว่างคณะรัฐมนตรี(ฝ่ายบริหาร)กับสภาผู้แทนราษฎร(ฝ่าย[[นิติบัญญัติ]])  ได้แก่  ให้อำนาจแก่ฝ่ายนิติบัญญัติในการ[[ตั้งกระทู้]]ถามและ[[การลงมติไม่ไว้วางใจ]]  ขณะที่ฝ่ายบริหารมีอำนาจในการยุบสภา


'''1.  การตั้งกระทู้ถาม'''
'''1.  การตั้งกระทู้ถาม'''
บรรทัดที่ 27: บรรทัดที่ 27:
รัฐธรรมนูญได้บัญญัติเรื่องการยุบสภาไว้ในมาตรา  35  ว่า
รัฐธรรมนูญได้บัญญัติเรื่องการยุบสภาไว้ในมาตรา  35  ว่า


“พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งสมาชิกใหม่ ในพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภาเช่นนี้ต้องมีกำหนดให้เลือกตั้งสมาชิกใหม่ภายในเก้าสิบวัน” <ref>เรื่องเดียวกัน,  หน้า  542.</ref> ซึ่งในการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม  พุทธศักราช  2475  อนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรในเรื่องการยุบสภาว่า
“[[พระมหากษัตริย์]]ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งสมาชิกใหม่ ในพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภาเช่นนี้ต้องมีกำหนดให้เลือกตั้งสมาชิกใหม่ภายในเก้าสิบวัน” <ref>เรื่องเดียวกัน,  หน้า  542.</ref> ซึ่งในการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม  พุทธศักราช  2475  อนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรในเรื่องการยุบสภาว่า


“...พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาได้  แต่ว่าในการยุบนี้จะต้องทำเป็นพระราชกฤษฎีกา และพระราชกฤษฎีกานั้นก็ต้องนำผ่านคณะกรรมการราษฎร  และการยุบสภานั้นก็มาจากคณะกรรมการราษฎรนั่นเอง...” <ref>รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร  ครั้งที่  37/2475  วันที่  26  พฤศจิกายน  พ.ศ.2475,  หน้า  480.</ref>  (คำว่า “คณะกรรมการราษฎร” ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นคำว่า “รัฐมนตรี”)
“...พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาได้  แต่ว่าในการยุบนี้จะต้องทำเป็น[[พระราชกฤษฎีกา]] และพระราชกฤษฎีกานั้นก็ต้องนำผ่านคณะกรรมการราษฎร  และการยุบสภานั้นก็มาจากคณะกรรมการราษฎรนั่นเอง...” <ref>รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร  ครั้งที่  37/2475  วันที่  26  พฤศจิกายน  พ.ศ.2475,  หน้า  480.</ref>  (คำว่า “[[คณะกรรมการราษฎร]]” ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นคำว่า “รัฐมนตรี”)


จากคำแถลงข้างต้นได้สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญว่ามีวัตถุประสงค์ที่จะให้อำนาจในการยุบสภาเป็นของคณะรัฐมนตรี  เพื่อเป็นการถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายนิติบัญญัติโดยฝ่ายบริหาร
จากคำแถลงข้างต้นได้สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญว่ามีวัตถุประสงค์ที่จะให้อำนาจในการยุบสภาเป็นของคณะรัฐมนตรี  เพื่อเป็นการถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายนิติบัญญัติโดยฝ่ายบริหาร
บรรทัดที่ 35: บรรทัดที่ 35:
==ความสัมพันธ์ระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับคณะรัฐมนตรี  ในสมัยรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา==
==ความสัมพันธ์ระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับคณะรัฐมนตรี  ในสมัยรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา==


ความสัมพันธ์ระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับคณะรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา(พ.ศ.2476- 2481)  ฝ่ายสภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกสองประเภทจำนวนเท่ากัน  คือ  สมาชิกประเภทที่ 1  ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน  กับสมาชิกประเภทที่  2  ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาล  ซึ่งล้วนแต่เป็นพรรคพวกของคณะราษฎรเกือบทั้งสิ้น ดังนั้นจึงทำให้รัฐบาลมีอิทธิพลต่อสภาผู้แทนราษฎรอยู่ในระดับหนึ่ง
ความสัมพันธ์ระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับคณะรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา(พ.ศ.2476- 2481)  ฝ่ายสภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกสองประเภทจำนวนเท่ากัน  คือ  [[สมาชิกประเภทที่ 1]] ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน  กับ[[สมาชิกประเภทที่ 2]] ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาล  ซึ่งล้วนแต่เป็นพรรคพวกของ[[คณะราษฎร]]เกือบทั้งสิ้น ดังนั้นจึงทำให้รัฐบาลมีอิทธิพลต่อสภาผู้แทนราษฎรอยู่ในระดับหนึ่ง


ถึงแม้ว่าสมาชิกในสภาผู้แทนราษฎรจะมีที่มาจากการแต่งตั้งจากรัฐบาลถึงครึ่งหนึ่ง  แต่สภาผู้แทนราษฎรก็ได้แสดงบทบาทในการควบคุมและตรวจสอบการทำงานของฝ่ายรัฐบาลอย่างแข็งขัน  ตามหลักการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร  อันเป็นวิถีทางของระบอบรัฐธรรมนูญ  โดยเฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งได้ปฏิบัติตนเสมือนเป็นฝ่ายค้านในสภา โดยได้แสดงบทบาทในการตัดสินปัญหาเกี่ยวกับนโยบายที่สำคัญ ๆอย่างเป็นอิสระ<ref>  ประชัน  รักพงษ์,  การศึกษาบทบาททางการเมืองในระบบรัฐสภาของรัฐบาลทหารและรัฐบาลพลเรือนในประเทศไทย(พ.ศ.2481 - 2500)  วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,  2520,  หน้า  55 – 56.</ref>  มีการตั้งกระทู้ถามคณะรัฐมนตรีเป็นประจำ รวมถึงมีการเสนอญัตติเพื่อขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะเป็นจำนวนทั้งสิ้นถึง 12  ครั้งคือ  ในปีพ.ศ.2477  จำนวน  5  ครั้ง  พ.ศ. 2478  จำนวน  3  ครั้ง  พ.ศ. 2479  จำนวน  1  ครั้ง  พ.ศ. 2480  จำนวน  2  ครั้ง  และพ.ศ. 2481  จำนวน  1  ครั้ง<ref>ทวีพงศ์ แสงสุวรรณ,  ผลกระทบของระบบ 2 สภาต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทย พ.ศ. 2475 - 2527  วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,  2530,  หน้า  103.</ref>   
ถึงแม้ว่าสมาชิกในสภาผู้แทนราษฎรจะมีที่มาจากการแต่งตั้งจากรัฐบาลถึงครึ่งหนึ่ง  แต่สภาผู้แทนราษฎรก็ได้แสดงบทบาทในการควบคุมและตรวจสอบการทำงานของฝ่ายรัฐบาลอย่างแข็งขัน  ตามหลักการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร  อันเป็นวิถีทางของระบอบรัฐธรรมนูญ  โดยเฉพาะ[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1]] ซึ่งมาจากการเลือกตั้งได้ปฏิบัติตนเสมือนเป็น[[ฝ่ายค้าน]]ในสภา โดยได้แสดงบทบาทในการตัดสินปัญหาเกี่ยวกับนโยบายที่สำคัญ ๆอย่างเป็นอิสระ<ref>  ประชัน  รักพงษ์,  การศึกษาบทบาททางการเมืองในระบบรัฐสภาของรัฐบาลทหารและรัฐบาลพลเรือนในประเทศไทย(พ.ศ.2481 - 2500)  วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,  2520,  หน้า  55 – 56.</ref>  มีการตั้ง[[กระทู้ถาม]]คณะรัฐมนตรีเป็นประจำ รวมถึงมี[[การเสนอญัตติ]]เพื่อขอเปิด[[อภิปรายไม่ไว้วางใจ]]รัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะเป็นจำนวนทั้งสิ้นถึง 12  ครั้งคือ  ในปีพ.ศ.2477  จำนวน  5  ครั้ง  พ.ศ. 2478  จำนวน  3  ครั้ง  พ.ศ. 2479  จำนวน  1  ครั้ง  พ.ศ. 2480  จำนวน  2  ครั้ง  และพ.ศ. 2481  จำนวน  1  ครั้ง<ref>ทวีพงศ์ แสงสุวรรณ,  ผลกระทบของระบบ 2 สภาต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทย พ.ศ. 2475 - 2527  วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,  2530,  หน้า  103.</ref>   


ทั้งนี้บทบาทของสภาผู้แทนราษฎรสามารถทำให้รัฐบาลต้องลาออกถึง  2  ครั้งได้แก่  ครั้งแรก  จากการที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่ให้ความเห็นชอบการทำสนธิสัญญาจำกัดยางกับต่างประเทศของฝ่ายรัฐบาลเป็นเหตุให้รัฐบาลลาออก นับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา  กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ  เมื่อเดือนกันยายน  2477<ref>ประชัน  รักพงษ์,  การศึกษาบทบาททางการเมืองในระบบรัฐสภาของรัฐบาลทหารและรัฐบาลพลเรือนในประเทศไทย(พ.ศ.2481 - 2500),  หน้า  56.</ref>
ทั้งนี้บทบาทของสภาผู้แทนราษฎรสามารถทำให้รัฐบาลต้องลาออกถึง  2  ครั้งได้แก่  ครั้งแรก  จากการที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่ให้ความเห็นชอบการทำ[[สนธิสัญญา]]จำกัดยางกับต่างประเทศของฝ่ายรัฐบาลเป็นเหตุให้รัฐบาลลาออก นับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา  กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ  เมื่อเดือนกันยายน  2477<ref>ประชัน  รักพงษ์,  การศึกษาบทบาททางการเมืองในระบบรัฐสภาของรัฐบาลทหารและรัฐบาลพลเรือนในประเทศไทย(พ.ศ.2481 - 2500),  หน้า  56.</ref>
    
    
ครั้งที่สอง จากการตั้งกระทู้ถามรัฐบาลของนายเลียง ไชยกาล ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี  ในวันที่  27  กรกฎาคม  พ.ศ.2480  กรณีสงสัยว่ารัฐบาลมีการทุจริตในการซื้อขายที่ดินของพระคลังข้างที่เนื่องจากเอื้อประโยชน์ให้กับคณะราษฎรและบุคคลในคณะรัฐบาล ซึ่งผลจากการตั้งกระทู้และการเปิดอภิปรายทั่วไปครั้งนั้นได้สร้างแรงกดดันให้แก่รัฐบาลอย่างมาก  จนทำให้พระยาพหลพลพยุหเสนาตัดสินใจลาออกในวันที่  9  สิงหาคม พ.ศ. 2480  ส่วนคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งรู้เห็นยินยอมในการซื้อขายที่ดินพระคลังข้างที่ถูกอภิปรายอย่างหนักจนต้องลาออกไปด้วย<ref>ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน  วิเทศกรณีย์,  “ล้มรัฐบาล”  ใน  อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพนายเลียง  ไชยกาล  (กรุงเทพฯ:  โรงพิมพ์คุรุสภา,  2529),  หน้า 16 - 37.  (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพนายเลียง  ไชยกาล  ณ เมรุวัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร  วันที่ 18  สิงหาคม  พ.ศ.2519)  และ “กระทู้ถาม เรื่อง ที่ดินของพระมหากษัตริย์”  ใน  รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร,  ครั้งที่  12/2480  สมัยวิสามัญ  (27  กรกฎาคม  พ.ศ.2480).</ref>
ครั้งที่สอง จากการตั้งกระทู้ถามรัฐบาลของ[[นายเลียง ไชยกาล]] ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี  ในวันที่  27  กรกฎาคม  พ.ศ.2480  กรณีสงสัยว่ารัฐบาลมี[[การทุจริต]]ในการซื้อขายที่ดินของพระคลังข้างที่เนื่องจากเอื้อประโยชน์ให้กับคณะราษฎรและบุคคลในคณะรัฐบาล ซึ่งผลจากการตั้งกระทู้และการเปิดอภิปรายทั่วไปครั้งนั้นได้สร้างแรงกดดันให้แก่รัฐบาลอย่างมาก  จนทำให้พระยาพหลพลพยุหเสนาตัดสินใจลาออกในวันที่  9  สิงหาคม พ.ศ. 2480  ส่วนคณะ[[ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์]] ซึ่งรู้เห็นยินยอมในการซื้อขายที่ดินพระคลังข้างที่ถูกอภิปรายอย่างหนักจนต้องลาออกไปด้วย<ref>ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน  วิเทศกรณีย์,  “ล้มรัฐบาล”  ใน  อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพนายเลียง  ไชยกาล  (กรุงเทพฯ:  โรงพิมพ์คุรุสภา,  2529),  หน้า 16 - 37.  (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพนายเลียง  ไชยกาล  ณ เมรุวัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร  วันที่ 18  สิงหาคม  พ.ศ.2519)  และ “กระทู้ถาม เรื่อง ที่ดินของพระมหากษัตริย์”  ใน  รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร,  ครั้งที่  12/2480  สมัยวิสามัญ  (27  กรกฎาคม  พ.ศ.2480).</ref>
   
   
ถึงแม้ว่าการลาออกทั้งสองครั้งของพระยาพหลพลพยุหเสนาภายหลังจะได้รับความไว้วางใจจากสภาให้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีก แต่ก็แสดงให้เห็นว่าฝ่ายสภาผู้แทนราษฎรบางส่วนมีความเป็นอิสระจากการครอบงำของฝ่ายรัฐบาลอยู่พอสมควร  จึงสามารถแสดงบทบาทถ่วงดุลรัฐบาลได้  ขณะเดียวกันถึงแม้ว่าบทบาทการถ่วงดุลอำนาจของสภาผู้แทนราษฎรจะทำให้การบริหารงานของรัฐบาลไม่ราบรื่นเท่าที่ควร  แต่รัฐบาลของพระยาพหลพลพยุหเสนาก็ยอมรับฟังและยอมรับผลการวินิจฉัยชี้ขาดของสภาผู้แทนราษฎร  อันสะท้อนถึงความพยายามวางรากฐานของระบอบรัฐธรรมนูญในสมัยรัฐบาลคณะราษฎรช่วงแรก
ถึงแม้ว่าการลาออกทั้งสองครั้งของ[[พระยาพหลพลพยุหเสนา]]ภายหลังจะได้รับความไว้วางใจจากสภาให้กลับมาดำรงตำแหน่ง[[นายกรัฐมนตรี]]อีก แต่ก็แสดงให้เห็นว่าฝ่ายสภาผู้แทนราษฎรบางส่วนมีความเป็นอิสระจากการครอบงำของฝ่ายรัฐบาลอยู่พอสมควร  จึงสามารถแสดงบทบาทถ่วงดุลรัฐบาลได้  ขณะเดียวกันถึงแม้ว่าบทบาทการถ่วงดุลอำนาจของสภาผู้แทนราษฎรจะทำให้การบริหารงานของรัฐบาลไม่ราบรื่นเท่าที่ควร  แต่รัฐบาลของพระยาพหลพลพยุหเสนาก็ยอมรับฟังและยอมรับผลการวินิจฉัยชี้ขาดของสภาผู้แทนราษฎร  อันสะท้อนถึงความพยายามวางรากฐานของระบอบรัฐธรรมนูญในสมัยรัฐบาล[[คณะราษฎร]]ช่วงแรก


==การยุบสภา  พ.ศ.2481==
==การยุบสภา  พ.ศ.2481==


การยุบสภา  พ.ศ.2481  เป็นผลมาจากความเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับคณะรัฐมนตรี  อันเนื่องมาจากการเสนอญัตติของนายถวิล อุดม  ผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด  เมื่อวันที่  10  กันยายน  พ.ศ. 2481  เรื่อง “ญัตติข้อบังคับการประชุมและการปรึกษาของสภาผู้แทนราษฎร”  โดยญัตติดังกล่าวเป็นการขอแก้ข้อบังคับการปรึกษาของสภาผู้แทนราษฎร  พุทธศักราช  2477  ข้อ  68  เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรได้ทราบรายการและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ในงบประมาณแผ่นดินให้ละเอียดยิ่งกว่าที่เป็นอยู่  อันจะทำให้การพิจารณางบประมาณของสภารวดเร็วยิ่งขึ้น<ref>  เสน่ห์  จันทร์กระจ่าง,  “การยุบสภาผู้แทนฯในไทย”  รัฐสภาสาร  ปีที่  24  ฉบับที่  2  (กุมภาพันธ์  2519):  11.</ref>  โดยสาระสำคัญในการแก้ไขมีดังนี้   
การยุบสภา  พ.ศ.2481  เป็นผลมาจากความเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับคณะรัฐมนตรี  อันเนื่องมาจากการเสนอญัตติของนายถวิล อุดม  ผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด  เมื่อวันที่  10  กันยายน  พ.ศ. 2481  เรื่อง “ญัตติข้อบังคับการประชุมและการปรึกษาของสภาผู้แทนราษฎร”  โดยญัตติดังกล่าวเป็นการขอแก้ข้อบังคับการปรึกษาของสภาผู้แทนราษฎร  พุทธศักราช  2477  ข้อ  68  เพื่อให้[[สภาผู้แทนราษฎร]]ได้ทราบรายการและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ในงบประมาณแผ่นดินให้ละเอียดยิ่งกว่าที่เป็นอยู่  อันจะทำให้การพิจารณางบประมาณของสภารวดเร็วยิ่งขึ้น<ref>  เสน่ห์  จันทร์กระจ่าง,  “การยุบสภาผู้แทนฯในไทย”  รัฐสภาสาร  ปีที่  24  ฉบับที่  2  (กุมภาพันธ์  2519):  11.</ref>  โดยสาระสำคัญในการแก้ไขมีดังนี้   


“ข้อ  68  การเสนอญัตติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณนั้น ให้ยื่นตามแบบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะพิจารณาเห็นสมควรแก่การพิจารณาของสภาและให้แสดงบัญชีรายละเอียดประกอบพร้อมบันทึกคำชี้แจงต่อไปนี้
“ข้อ  68  การเสนอ[[ญัตติ]]ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณนั้น ให้ยื่นตามแบบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะพิจารณาเห็นสมควรแก่การพิจารณาของสภาและให้แสดงบัญชีรายละเอียดประกอบพร้อมบันทึกคำชี้แจงต่อไปนี้


ก.  การตั้งประเภทเงินรายได้  ให้ลดจำนวนรับทั้งสิ้นโดยไม่หักรายจ่ายใด ๆ  และมีบันทึกแสดงหลักเกณฑ์การคำนวณ  เป็นต้น  อัตราที่จัดเก็บสถิติต่าง ๆที่วางเป็นหลักเก็บ  แสดงจำนวนเงินที่ประมาณจะเก็บได้ในปีแห่งงบประมาณเงินค้างเก่าประมาณจะเก็บได้ในปีแห่งงบประมาณ  และเงินที่ตั้งเก็บจะมีค้างยกไปเก็บในปีต่อ ๆ ไป ให้แยกรายการประมาณละเอียดเป็นประเภทของเงินรายได้
ก.  การตั้งประเภทเงินรายได้  ให้ลดจำนวนรับทั้งสิ้นโดยไม่หักรายจ่ายใด ๆ  และมีบันทึกแสดงหลักเกณฑ์การคำนวณ  เป็นต้น  อัตราที่จัดเก็บสถิติต่าง ๆที่วางเป็นหลักเก็บ  แสดงจำนวนเงินที่ประมาณจะเก็บได้ในปีแห่งงบประมาณเงินค้างเก่าประมาณจะเก็บได้ในปีแห่งงบประมาณ  และเงินที่ตั้งเก็บจะมีค้างยกไปเก็บในปีต่อ ๆ ไป ให้แยกรายการประมาณละเอียดเป็นประเภทของเงินรายได้


ข.  คำขอตั้งเงินจ่ายประจำให้แยกเป็นรายกระทรวงและกรมในกรมหนึ่ง ๆ ต้องมีรายละเอียดดังนี้   
ข.  คำขอตั้งเงินจ่ายประจำให้แยกเป็นรายกระทรวงและกรมใดกรมหนึ่ง ๆ ต้องมีรายละเอียดดังนี้   


::(1)  ประเภทและลักษณะเงินคือเงินเดือนค่าใช้สอย  และจราจร
::(1)  ประเภทและลักษณะเงินคือเงินเดือนค่าใช้สอย  และจราจร
บรรทัดที่ 61: บรรทัดที่ 61:
เงินเดือนให้แสดงอัตราจำนวนคนและจำนวนเงินเป็นรายตำแหน่งตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน  
เงินเดือนให้แสดงอัตราจำนวนคนและจำนวนเงินเป็นรายตำแหน่งตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน  


ค่าใช้สอย  ให้แสดงลักษณะของจำนวนเงินที่จะจ่ายตามแบบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะเห็นสมควรแก่การพิจารณาของสภา
ค่าใช้สอย  ให้แสดงลักษณะของจำนวนเงินที่จะจ่ายตามแบบที่[[รัฐมนตรี]]ว่าการกระทรวงการคลังจะเห็นสมควรแก่การพิจารณาของสภา


การจร  ให้แสดงว่าจะทำอะไร  ถ้าทำเสร็จจะเป็นเงินเท่าใดปีแห่งงบประมาณนี้จะทำเพียงใดและจ่ายเงินเท่าใด  ในปีต่อไปจะจ่ายอีกเท่าใด
การจร  ให้แสดงว่าจะทำอะไร  ถ้าทำเสร็จจะเป็นเงินเท่าใดปีแห่งงบประมาณนี้จะทำเพียงใดและจ่ายเงินเท่าใด  ในปีต่อไปจะจ่ายอีกเท่าใด
บรรทัดที่ 70: บรรทัดที่ 70:
ในอภิปรายญัตตินี้นายถวิล  อุดม  ผู้เสนอญัตติได้กล่าวชี้แจงมีใจความสำคัญคือ  “ในการเสนอญัตตินี้ก็เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาอันเนื่องมาจากความไม่เข้าใจในตัวเลขแห่งงบประมาณ  ซึ่งรัฐบาลได้เสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาอย่างคลุมเครือไม่ชัดแจ้ง  จนเป็นปัญหาว่าสภาผู้แทนราษฎรไม่อาจจะพิจารณาในหลักการแห่งงบประมาณนั้นได้  เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้จึงได้เสนอญัตติฉบับนี้ขึ้นมาโดยมีหลักการว่า  การทำงบประมาณนั้นขอให้รัฐบาลเสนอมาโดยมีรายละเอียดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นทั้งสามด้านได้แก่  อ่านรายจ่ายประจำ  รายรับและรายจ่ายพิเศษ” <ref>สรรเสริญ  สืบสหการ และ สานิตย์  โลหะชาละ,  “การยุบสภา”  รัฐสภาสาร  ปีที่  34  ฉบับที่  6  (มิถุนายน  2529):  69.</ref>
ในอภิปรายญัตตินี้นายถวิล  อุดม  ผู้เสนอญัตติได้กล่าวชี้แจงมีใจความสำคัญคือ  “ในการเสนอญัตตินี้ก็เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาอันเนื่องมาจากความไม่เข้าใจในตัวเลขแห่งงบประมาณ  ซึ่งรัฐบาลได้เสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาอย่างคลุมเครือไม่ชัดแจ้ง  จนเป็นปัญหาว่าสภาผู้แทนราษฎรไม่อาจจะพิจารณาในหลักการแห่งงบประมาณนั้นได้  เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้จึงได้เสนอญัตติฉบับนี้ขึ้นมาโดยมีหลักการว่า  การทำงบประมาณนั้นขอให้รัฐบาลเสนอมาโดยมีรายละเอียดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นทั้งสามด้านได้แก่  อ่านรายจ่ายประจำ  รายรับและรายจ่ายพิเศษ” <ref>สรรเสริญ  สืบสหการ และ สานิตย์  โลหะชาละ,  “การยุบสภา”  รัฐสภาสาร  ปีที่  34  ฉบับที่  6  (มิถุนายน  2529):  69.</ref>


ทางรัฐบาลโดยพระยาไชยยศสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า  “ไม่สามารถจะทำได้ตามที่สมาชิกต้องการ  เพราะรายละเอียดตามงบประมาณนั้นมีมาก จะต้องทำสำเนาเอกสารเป็นจำนวนมาก  ไม่มีเวลาพอที่จะจัดการให้ทันตามกำหนดเวลาเสนองบประมาณ  ทั้งจะต้องสิ้นเปลืองรายจ่ายในการดำเนินการเป็นอันมาก”<ref>  ประเสริฐ  ปัทมะสุคนธ์,  รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี(2475 - 2517) (กรุงเทพฯ:  ห้างหุ้นส่วนจำกัด ช. ชุมนุมช่าง,  2517),  หน้า  271.</ref>   
ทางรัฐบาลโดย[[พระยาไชยยศสมบัติ]] รัฐมนตรีว่าการ[[กระทรวงการคลัง]] ได้ชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า  “ไม่สามารถจะทำได้ตามที่สมาชิกต้องการ  เพราะรายละเอียดตามงบประมาณนั้นมีมาก จะต้องทำสำเนาเอกสารเป็นจำนวนมาก  ไม่มีเวลาพอที่จะจัดการให้ทันตามกำหนดเวลาเสนองบประมาณ  ทั้งจะต้องสิ้นเปลืองรายจ่ายในการดำเนินการเป็นอันมาก”<ref>  ประเสริฐ  ปัทมะสุคนธ์,  รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี(2475 - 2517) (กรุงเทพฯ:  ห้างหุ้นส่วนจำกัด ช. ชุมนุมช่าง,  2517),  หน้า  271.</ref>   


นอกจากนี้พระยาพหลพลพยุหเสนา  นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้กล่าวชี้แจงต่อที่ประชุมว่า  “ข้าพเจ้าขอกล่าวโดยสุจริตใจว่าข้อบังคับอันนี้รัฐบาลรับไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะลงมติไปว่าให้รับหลักการแห่งร่างข้อบังคับนี้  แต่รัฐบาลเห็นว่าเป็นการผูกมัดเกินไป  และไม่มีใครเขาทำกันในโลกนี้  เพราะฉะนั้นถ้ารัฐบาลต้องรับร่างข้อบังคับนี้ไปแล้ว  เมื่อไม่สามารถกระทำได้  ข้าพเจ้าเห็นว่าคณะรัฐบาลจะลาออกหมด”<ref>สรรเสริญ  สืบสหการ และ สานิตย์  โลหะชาละ,  “การยุบสภา” :  70 – 71.</ref>  
นอกจากนี้พระยาพหลพลพยุหเสนา  นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้กล่าวชี้แจงต่อที่ประชุมว่า  “ข้าพเจ้าขอกล่าวโดยสุจริตใจว่าข้อบังคับอันนี้รัฐบาลรับไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะลงมติไปว่าให้รับหลักการแห่งร่างข้อบังคับนี้  แต่รัฐบาลเห็นว่าเป็นการผูกมัดเกินไป  และไม่มีใครเขาทำกันในโลกนี้  เพราะฉะนั้นถ้ารัฐบาลต้องรับร่างข้อบังคับนี้ไปแล้ว  เมื่อไม่สามารถกระทำได้  ข้าพเจ้าเห็นว่าคณะรัฐบาลจะลาออกหมด”<ref>สรรเสริญ  สืบสหการ และ สานิตย์  โลหะชาละ,  “การยุบสภา” :  70 – 71.</ref>  
เมื่อมีการลงมติผลปรากฏว่า ที่ประชุมลงมติด้วยคะแนนเสียง 45 ต่อ 31  เป็นอันว่ารัฐบาลพ่ายแพ้ในญัตติดังกล่าว  ทั้งนี้เพราะว่าสมาชิกประเภทที่  2  ซึ่งสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลอยู่ในห้องประชุมน้อย  นอกจากนี้ภายหลังการลงมติได้เกิดเหตุการณ์ที่สะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่างสมาชิกประเภทที่ 1  ที่เสนอญัตติดังกล่าว กับรัฐบาลและสมาชิกประเภทที่  2  ซึ่งสนับสนุนรัฐบาล  กล่าวคือ  ในการพิจารณาเรื่องจะส่งร่างข้อบังคับดังกล่าวให้กรรมาธิการคณะใดตรวจแก้นั้น  รัฐบาลไม่ยินยอมปรึกษาพิจารณาด้วย  แม้ฝ่ายรัฐบาลมีสมาชิกประเภทที่  2  รัฐมนตรีตลอดจนนายกรัฐมนตรี  จะได้รับการเสนอแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการวิสามัญ ท่านนั้น ๆ ก็ปฏิเสธสิ้น  ที่สุดแล้วสภาผู้แทนราษฎรจึงตั้งกรรมาธิการวิสามัญ  7  นาย จากสมาชิกประเภทที่  1 ล้วน ๆ ขึ้นพิจารณาเรื่องดังกล่าว<ref>ไทยน้อย,  พระยาพหล  (พระนคร:  แพร่พิทยา,  2497),  หน้า  398 – 399.</ref>  
เมื่อมีการลงมติผลปรากฏว่า ที่ประชุมลงมติด้วยคะแนนเสียง 45 ต่อ 31  เป็นอันว่ารัฐบาลพ่ายแพ้ในญัตติดังกล่าว  ทั้งนี้เพราะว่าสมาชิกประเภทที่  2  ซึ่งสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลอยู่ในห้องประชุมน้อย  นอกจากนี้ภายหลังการลงมติได้เกิดเหตุการณ์ที่สะท้อนถึง[[ความขัดแย้ง]]ระหว่างสมาชิกประเภทที่ 1  ที่เสนอญัตติดังกล่าว กับรัฐบาลและสมาชิกประเภทที่  2  ซึ่งสนับสนุนรัฐบาล  กล่าวคือ  ในการพิจารณาเรื่องจะส่งร่างข้อบังคับดังกล่าวให้กรรมาธิการคณะใดตรวจแก้นั้น  รัฐบาลไม่ยินยอมปรึกษาพิจารณาด้วย  แม้ฝ่ายรัฐบาลมีสมาชิกประเภทที่  2  รัฐมนตรีตลอดจนนายกรัฐมนตรี  จะได้รับการเสนอแต่งตั้งเป็น[[กรรมาธิการวิสามัญ]] ท่านนั้น ๆ ก็ปฏิเสธสิ้น  ที่สุดแล้วสภาผู้แทนราษฎรจึงตั้งกรรมาธิการวิสามัญ  7  นาย จากสมาชิกประเภทที่  1 ล้วน ๆ ขึ้นพิจารณาเรื่องดังกล่าว<ref>ไทยน้อย,  พระยาพหล  (พระนคร:  แพร่พิทยา,  2497),  หน้า  398 – 399.</ref>  


จากความพ่ายแพ้ของรัฐบาลในญัตติดังกล่าว  พระยาพหลพลพยุหเสนาจึงได้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อปรึกษาถึงการลาออก  แต่ที่ประชุมเห็นว่าควรจะยุบสภามากกว่า  เพราะถ้าลาออกก็จะไม่มีคณะรัฐมนตรีชุดใดปฏิบัติตามความประสงค์ของรัฐสภาได้<ref>เสน่ห์  จันทร์กระจ่าง,  “การยุบสภาผู้แทนฯในไทย”  รัฐสภาสาร  ปีที่  24  ฉบับที่  2  (กุมภาพันธ์  2519):  11.</ref>  แต่ที่ประชุมก็ยอมลาออกจากตำแหน่งตามความต้องการของนายกรัฐมนตรี  อย่างไรก็ตามเมื่อนายกรัฐมนตรีได้ถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งต่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  ปรากฏว่าคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไม่เห็นชอบด้วย  โดยเห็นว่ารัฐบาลควรบริหารราชการต่อไปเพราะสถานการณ์ในโลกขณะนั้นกำลังปั่นป่วน  และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลกำลังจะนิวัติกลับประเทศสยาม ดังนั้นรัฐบาลจึงประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร  ด้วยการมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร  เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สมาชิกประเภทที่ 1)ใหม่  ลงวันที่  11  กันยายน  พ.ศ.2481  ความว่า
จากความพ่ายแพ้ของรัฐบาลในญัตติดังกล่าว  พระยาพหลพลพยุหเสนาจึงได้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อปรึกษาถึงการลาออก  แต่ที่ประชุมเห็นว่าควรจะยุบสภามากกว่า  เพราะถ้าลาออกก็จะไม่มีคณะรัฐมนตรีชุดใดปฏิบัติตามความประสงค์ของรัฐสภาได้<ref>เสน่ห์  จันทร์กระจ่าง,  “การยุบสภาผู้แทนฯในไทย”  รัฐสภาสาร  ปีที่  24  ฉบับที่  2  (กุมภาพันธ์  2519):  11.</ref>  แต่ที่ประชุมก็ยอมลาออกจากตำแหน่งตามความต้องการของนายกรัฐมนตรี  อย่างไรก็ตามเมื่อนายกรัฐมนตรีได้ถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งต่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  ปรากฏว่าคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไม่เห็นชอบด้วย  โดยเห็นว่ารัฐบาลควรบริหารราชการต่อไปเพราะสถานการณ์ในโลกขณะนั้นกำลังปั่นป่วน  และ[[พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล]]กำลังจะนิวัติกลับประเทศสยาม ดังนั้นรัฐบาลจึงประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร  ด้วยการมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร  เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สมาชิกประเภทที่ 1)ใหม่  ลงวันที่  11  กันยายน  พ.ศ.2481  ความว่า


<center>''พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร  ''
<center>''พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร  ''
บรรทัดที่ 96: บรรทัดที่ 96:
''ตราไว้ณวันที่  11  กันยายน  พุทธศักราช  2481''
''ตราไว้ณวันที่  11  กันยายน  พุทธศักราช  2481''


''เป็นปีที่  5  ในรัชชกาลปัจจุบัน'' </center>
''เป็นปีที่  5  ในรัชกาลปัจจุบัน'' </center>




''โดยที่ทรงพระราชดำริเห็นว่า เป็นการสมควรที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งสมาชิกประเภทที่  1  ขึ้นใหม่  ''
''โดยที่ทรง[[พระราชดำริ]]เห็นว่า เป็นการสมควรที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งสมาชิกประเภทที่  1  ขึ้นใหม่  ''


''คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาศัยอำนาจตามมาตรา  35  แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม  จึ่งให้ตราพระราชกฤษฎีกาดั่งต่อไปนี้''
''คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  ใน[[พระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว]] อาศัยอำนาจตามมาตรา  35  แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม  จึ่งให้ตราพระราชกฤษฎีกาดั่งต่อไปนี้''
''มาตรา 1  พระราชกฤษฎีกานี้ให้เรียกว่า  “พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร  พุทธศักราช 2481”''
''มาตรา 1  พระราชกฤษฎีกานี้ให้เรียกว่า  “[[พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2481]]”''
''มาตรา 2  ให้ใช้พระราชกฤษฎีกานี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป''
''มาตรา 2  ให้ใช้พระราชกฤษฎีกานี้ตั้งแต่วันประกาศใน[[ราชกิจจานุเบกษา]]เป็นต้นไป''
''มาตรา 3  ให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งสมาชิกประเภทที่  1  ขึ้นมาใหม่มีกำหนดภายในเก้าสิบวัน  นับแต่วันใช้พระราชกฤษฎีกานี้เป็นต้นไป''
''มาตรา 3  ให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งสมาชิกประเภทที่  1  ขึ้นมาใหม่มีกำหนดภายในเก้าสิบวัน  นับแต่วันใช้พระราชกฤษฎีกานี้เป็นต้นไป''
บรรทัดที่ 111: บรรทัดที่ 111:
''มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่รักษาการให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกานี้  ''
''มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่รักษาการให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกานี้  ''


''ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ''
''ผู้รับสนอง[[พระบรมราชโองกา]]ร''


:::::''พ.อ.  พหลพลพยุหเสนา''
:::::''พ.อ.  พหลพลพยุหเสนา''
บรรทัดที่ 125: บรรทัดที่ 125:
ภายหลังการยุบสภาครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย  ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่  1  ในวันที่  12  พฤศจิกายน  พ.ศ.2481  การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งโดยตรง  คือ  ราษฎรเลือกผู้แทนราษฎรเอง  ด้วยวิธีแบ่งเขต  แต่ละเขตให้เลือกผู้แทนราษฎรได้  1  คน  และถือจำนวนราษฎรสองแสนคนต่อผู้แทนราษฎรหนึ่งคน  ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกตั้งมีทั้งสิ้น  91  คนเท่ากับจำนวนผู้แทนราษฎรชุดก่อน<ref>ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน  ประเสริฐ  ปัทมะสุคนธ์,  รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี(2475 - 2517) (กรุงเทพฯ:  ห้างหุ้นส่วนจำกัด ช. ชุมนุมช่าง,  2517),  หน้า  274 - 277.</ref>  
ภายหลังการยุบสภาครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย  ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่  1  ในวันที่  12  พฤศจิกายน  พ.ศ.2481  การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งโดยตรง  คือ  ราษฎรเลือกผู้แทนราษฎรเอง  ด้วยวิธีแบ่งเขต  แต่ละเขตให้เลือกผู้แทนราษฎรได้  1  คน  และถือจำนวนราษฎรสองแสนคนต่อผู้แทนราษฎรหนึ่งคน  ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกตั้งมีทั้งสิ้น  91  คนเท่ากับจำนวนผู้แทนราษฎรชุดก่อน<ref>ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน  ประเสริฐ  ปัทมะสุคนธ์,  รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี(2475 - 2517) (กรุงเทพฯ:  ห้างหุ้นส่วนจำกัด ช. ชุมนุมช่าง,  2517),  หน้า  274 - 277.</ref>  
ผลของการเลือกตั้งปรากฏว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลเวลานั้นได้รับเลือกเข้ามาเต็มสภา  โดยในวันที่  15  ธันวาคม  ประธานสภาได้เชิญสมาชิกทั้งสองประเภทหารือเป็นการภายใน  เพื่อสอบถามความเห็นว่าผู้ใดควรจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป  ก่อนประชุมพระยาพหลพลพยุหเสนา  ได้ขอพบประธานสภาและขอร้องให้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ท่านไม่ยอมรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเด็ดขาด  เนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพ พร้อมกับเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติไว้วางใจให้  หลวงพิบูลสงคราม  เป็นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสืบต่อมา  ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเห็นชอบด้วย  เมื่อวันที่  16 ธันวาคม  พ.ศ.2481<ref>ราชกิจจานุเบกษา  เล่ม  55  วันที่  16  ธันวาคม  พ.ศ.2481,  หน้า  706 – 707.</ref>  
ผลของการเลือกตั้งปรากฏว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลเวลานั้นได้รับเลือกเข้ามาเต็มสภา  โดยในวันที่  15  ธันวาคม  ประธานสภาได้เชิญสมาชิกทั้งสองประเภทหารือเป็นการภายใน  เพื่อสอบถามความเห็นว่าผู้ใดควรจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป  ก่อนประชุมพระยาพหลพลพยุหเสนา  ได้ขอพบ[[ประธานสภา]]และขอร้องให้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ท่านไม่ยอมรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเด็ดขาด  เนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพ พร้อมกับเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติไว้วางใจให้  [[หลวงพิบูลสงคราม]] เป็นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสืบต่อมา  ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเห็นชอบด้วย  เมื่อวันที่  16 ธันวาคม  พ.ศ.2481<ref>ราชกิจจานุเบกษา  เล่ม  55  วันที่  16  ธันวาคม  พ.ศ.2481,  หน้า  706 – 707.</ref>  
ทั้งนี้การยุบสภาในปี พ.ศ.2481 ถือเป็นการยุบสภาครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย  เนื่องมาจากความเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างรัฐบาลกับสภาผู้แทนราษฎร  การยุบสภาครั้งนี้ได้ส่งผลให้พระยาพหลพลพยุหเสนา ยุติบทบาททางการเมืองในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเด็ดขาด ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดสมัยของรัฐบาลคณะราษฎรช่วงแรก  อันเปิดโอกาสให้แก่กลุ่มผู้นำคณะราษฎรรุ่นหนุ่มเข้ามาบริหารประเทศ  ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีหลวงพิบูลสงคราม
ทั้งนี้การยุบสภาในปี พ.ศ.2481 ถือเป็นการยุบสภาครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย  เนื่องมาจากความเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างรัฐบาลกับสภาผู้แทนราษฎร  การยุบสภาครั้งนี้ได้ส่งผลให้พระยาพหลพลพยุหเสนา ยุติบทบาททางการเมืองในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเด็ดขาด ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดสมัยของรัฐบาลคณะราษฎรช่วงแรก  อันเปิดโอกาสให้แก่กลุ่มผู้นำคณะราษฎรรุ่นหนุ่มเข้ามาบริหารประเทศ  ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีหลวงพิบูลสงคราม

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 11:50, 26 พฤษภาคม 2554

ผู้เรียบเรียง ศรัญญู เทพสงเคราะห์


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


การยุบสภา พ.ศ.2481 เป็นการยุบสภาผู้แทนราษฎรของรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา ซึ่งถือได้ว่าเป็นการยุบสภาครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ด้วยการมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2481 เนื่องมาจากความเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างสภาสภาผู้แทนราษฎรกับคณะรัฐมนตรี โดยการยุบสภาครั้งนี้เป็นวิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

การถ่วงดุลอำนาจระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับคณะรัฐมนตรี ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475

จาก รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ได้กำหนดกลไกในตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจระหว่างคณะรัฐมนตรี(ฝ่ายบริหาร)กับสภาผู้แทนราษฎร(ฝ่ายนิติบัญญัติ) ได้แก่ ให้อำนาจแก่ฝ่ายนิติบัญญัติในการตั้งกระทู้ถามและการลงมติไม่ไว้วางใจ ขณะที่ฝ่ายบริหารมีอำนาจในการยุบสภา

1. การตั้งกระทู้ถาม

สภาผู้แทนราษฎรสามารถควบคุมการดำเนินงานของรัฐบาลได้จาก “การตั้งกระทู้ถาม” อันปรากฏในมาตรา 40 ว่า “สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจควบคุมราชการแผ่นดินในที่ประชุม สมาชิกทุกคนมีสิทธิตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีในข้อความใด ๆ อันเกี่ยวกับการงานในหน้าที่ได้ แต่รัฐมนตรีย่อมทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะไม่ตอบ เมื่อเห็นว่าข้อความนั้น ๆ ยังไม่ควรเปิดเผยเพราะเกี่ยวกับความปลอดภัยหรือประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน”[1]

2. การลงมติไม่ไว้วางใจ

รัฐธรรมนูญได้กำหนดมาตรการสำคัญในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่อคณะรัฐบาลคือ “การลงมติไม่ไว้วางใจ” ในมาตรา 41 ว่า “สภาย่อมทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะลงมติความไว้ใจในรัฐมนตรีรายตัวหรือทั้งคณะ ญัตติความไว้ใจนั้น ท่านมิให้ลงมติในวันเดียวกันกับวันที่ปรึกษา” [2]

3. การยุบสภา

รัฐธรรมนูญได้บัญญัติเรื่องการยุบสภาไว้ในมาตรา 35 ว่า

พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งสมาชิกใหม่ ในพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภาเช่นนี้ต้องมีกำหนดให้เลือกตั้งสมาชิกใหม่ภายในเก้าสิบวัน” [3] ซึ่งในการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 อนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรในเรื่องการยุบสภาว่า

“...พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาได้ แต่ว่าในการยุบนี้จะต้องทำเป็นพระราชกฤษฎีกา และพระราชกฤษฎีกานั้นก็ต้องนำผ่านคณะกรรมการราษฎร และการยุบสภานั้นก็มาจากคณะกรรมการราษฎรนั่นเอง...” [4] (คำว่า “คณะกรรมการราษฎร” ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นคำว่า “รัฐมนตรี”)

จากคำแถลงข้างต้นได้สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญว่ามีวัตถุประสงค์ที่จะให้อำนาจในการยุบสภาเป็นของคณะรัฐมนตรี เพื่อเป็นการถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายนิติบัญญัติโดยฝ่ายบริหาร

ความสัมพันธ์ระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับคณะรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา

ความสัมพันธ์ระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับคณะรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา(พ.ศ.2476- 2481) ฝ่ายสภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกสองประเภทจำนวนเท่ากัน คือ สมาชิกประเภทที่ 1 ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน กับสมาชิกประเภทที่ 2 ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาล ซึ่งล้วนแต่เป็นพรรคพวกของคณะราษฎรเกือบทั้งสิ้น ดังนั้นจึงทำให้รัฐบาลมีอิทธิพลต่อสภาผู้แทนราษฎรอยู่ในระดับหนึ่ง

ถึงแม้ว่าสมาชิกในสภาผู้แทนราษฎรจะมีที่มาจากการแต่งตั้งจากรัฐบาลถึงครึ่งหนึ่ง แต่สภาผู้แทนราษฎรก็ได้แสดงบทบาทในการควบคุมและตรวจสอบการทำงานของฝ่ายรัฐบาลอย่างแข็งขัน ตามหลักการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร อันเป็นวิถีทางของระบอบรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ซึ่งมาจากการเลือกตั้งได้ปฏิบัติตนเสมือนเป็นฝ่ายค้านในสภา โดยได้แสดงบทบาทในการตัดสินปัญหาเกี่ยวกับนโยบายที่สำคัญ ๆอย่างเป็นอิสระ[5] มีการตั้งกระทู้ถามคณะรัฐมนตรีเป็นประจำ รวมถึงมีการเสนอญัตติเพื่อขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะเป็นจำนวนทั้งสิ้นถึง 12 ครั้งคือ ในปีพ.ศ.2477 จำนวน 5 ครั้ง พ.ศ. 2478 จำนวน 3 ครั้ง พ.ศ. 2479 จำนวน 1 ครั้ง พ.ศ. 2480 จำนวน 2 ครั้ง และพ.ศ. 2481 จำนวน 1 ครั้ง[6]

ทั้งนี้บทบาทของสภาผู้แทนราษฎรสามารถทำให้รัฐบาลต้องลาออกถึง 2 ครั้งได้แก่ ครั้งแรก จากการที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่ให้ความเห็นชอบการทำสนธิสัญญาจำกัดยางกับต่างประเทศของฝ่ายรัฐบาลเป็นเหตุให้รัฐบาลลาออก นับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ เมื่อเดือนกันยายน 2477[7]

ครั้งที่สอง จากการตั้งกระทู้ถามรัฐบาลของนายเลียง ไชยกาล ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี ในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2480 กรณีสงสัยว่ารัฐบาลมีการทุจริตในการซื้อขายที่ดินของพระคลังข้างที่เนื่องจากเอื้อประโยชน์ให้กับคณะราษฎรและบุคคลในคณะรัฐบาล ซึ่งผลจากการตั้งกระทู้และการเปิดอภิปรายทั่วไปครั้งนั้นได้สร้างแรงกดดันให้แก่รัฐบาลอย่างมาก จนทำให้พระยาพหลพลพยุหเสนาตัดสินใจลาออกในวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2480 ส่วนคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งรู้เห็นยินยอมในการซื้อขายที่ดินพระคลังข้างที่ถูกอภิปรายอย่างหนักจนต้องลาออกไปด้วย[8]

ถึงแม้ว่าการลาออกทั้งสองครั้งของพระยาพหลพลพยุหเสนาภายหลังจะได้รับความไว้วางใจจากสภาให้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีก แต่ก็แสดงให้เห็นว่าฝ่ายสภาผู้แทนราษฎรบางส่วนมีความเป็นอิสระจากการครอบงำของฝ่ายรัฐบาลอยู่พอสมควร จึงสามารถแสดงบทบาทถ่วงดุลรัฐบาลได้ ขณะเดียวกันถึงแม้ว่าบทบาทการถ่วงดุลอำนาจของสภาผู้แทนราษฎรจะทำให้การบริหารงานของรัฐบาลไม่ราบรื่นเท่าที่ควร แต่รัฐบาลของพระยาพหลพลพยุหเสนาก็ยอมรับฟังและยอมรับผลการวินิจฉัยชี้ขาดของสภาผู้แทนราษฎร อันสะท้อนถึงความพยายามวางรากฐานของระบอบรัฐธรรมนูญในสมัยรัฐบาลคณะราษฎรช่วงแรก

การยุบสภา พ.ศ.2481

การยุบสภา พ.ศ.2481 เป็นผลมาจากความเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับคณะรัฐมนตรี อันเนื่องมาจากการเสนอญัตติของนายถวิล อุดม ผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2481 เรื่อง “ญัตติข้อบังคับการประชุมและการปรึกษาของสภาผู้แทนราษฎร” โดยญัตติดังกล่าวเป็นการขอแก้ข้อบังคับการปรึกษาของสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2477 ข้อ 68 เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรได้ทราบรายการและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ในงบประมาณแผ่นดินให้ละเอียดยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ อันจะทำให้การพิจารณางบประมาณของสภารวดเร็วยิ่งขึ้น[9] โดยสาระสำคัญในการแก้ไขมีดังนี้

“ข้อ 68 การเสนอญัตติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณนั้น ให้ยื่นตามแบบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะพิจารณาเห็นสมควรแก่การพิจารณาของสภาและให้แสดงบัญชีรายละเอียดประกอบพร้อมบันทึกคำชี้แจงต่อไปนี้

ก. การตั้งประเภทเงินรายได้ ให้ลดจำนวนรับทั้งสิ้นโดยไม่หักรายจ่ายใด ๆ และมีบันทึกแสดงหลักเกณฑ์การคำนวณ เป็นต้น อัตราที่จัดเก็บสถิติต่าง ๆที่วางเป็นหลักเก็บ แสดงจำนวนเงินที่ประมาณจะเก็บได้ในปีแห่งงบประมาณเงินค้างเก่าประมาณจะเก็บได้ในปีแห่งงบประมาณ และเงินที่ตั้งเก็บจะมีค้างยกไปเก็บในปีต่อ ๆ ไป ให้แยกรายการประมาณละเอียดเป็นประเภทของเงินรายได้

ข. คำขอตั้งเงินจ่ายประจำให้แยกเป็นรายกระทรวงและกรมใดกรมหนึ่ง ๆ ต้องมีรายละเอียดดังนี้

(1) ประเภทและลักษณะเงินคือเงินเดือนค่าใช้สอย และจราจร
(2) แสดงรายละเอียด กล่าวคือ

เงินเดือนให้แสดงอัตราจำนวนคนและจำนวนเงินเป็นรายตำแหน่งตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน

ค่าใช้สอย ให้แสดงลักษณะของจำนวนเงินที่จะจ่ายตามแบบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะเห็นสมควรแก่การพิจารณาของสภา

การจร ให้แสดงว่าจะทำอะไร ถ้าทำเสร็จจะเป็นเงินเท่าใดปีแห่งงบประมาณนี้จะทำเพียงใดและจ่ายเงินเท่าใด ในปีต่อไปจะจ่ายอีกเท่าใด

ค. คำขอตั้งเงินจ่ายพิเศษนั้น ให้แยกเป็นรายการสิ่งที่พึงทำการขอจ่ายเงินประเภทนี้ต้องมีบันทึกโครงการโดยละเอียด แสดงจำนวนเงินที่จะต้องการจ่ายว่าจะจ่ายอย่างไร กิจการที่ทำนั้นจะสำเร็จตามโครงการในปีแห่งงบประมาณนั้นหรือไม่ ถ้าไม่สำเร็จจะเหลื่อมไปจ่ายในปีต่อ ๆ ไปปีละเท่าไรจนกว่าจะเสร็จถ้าเป็นเงินขอจ่ายสำหรับกิจการที่ทำยังไม่แล้วเสร็จในปีก่อนซึ่งต้องเหลื่อมมาจ่ายในปีแห่งงบประมาณนี้ ก็ต้องชี้แจงให้ทราบว่าได้จ่ายมาตั้งแต่ต้นอย่างไร อนึ่งให้ชี้แจงด้วยว่าเมื่อการจ่ายเงินประเภทนี้ได้เสร็จลงตามโครงการนั้นแล้ว ผลประโยชน์ที่ได้รับตอบแทนโดยตรงนั้นมีอย่างไร ความในข้อ ก. และ ข. นั้น มิให้ใช้บังคับสำหรับกิจการที่รัฐบาลเห็นว่าควรสงวนเป็นความลับ” [10]

ในอภิปรายญัตตินี้นายถวิล อุดม ผู้เสนอญัตติได้กล่าวชี้แจงมีใจความสำคัญคือ “ในการเสนอญัตตินี้ก็เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาอันเนื่องมาจากความไม่เข้าใจในตัวเลขแห่งงบประมาณ ซึ่งรัฐบาลได้เสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาอย่างคลุมเครือไม่ชัดแจ้ง จนเป็นปัญหาว่าสภาผู้แทนราษฎรไม่อาจจะพิจารณาในหลักการแห่งงบประมาณนั้นได้ เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้จึงได้เสนอญัตติฉบับนี้ขึ้นมาโดยมีหลักการว่า การทำงบประมาณนั้นขอให้รัฐบาลเสนอมาโดยมีรายละเอียดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นทั้งสามด้านได้แก่ อ่านรายจ่ายประจำ รายรับและรายจ่ายพิเศษ” [11]

ทางรัฐบาลโดยพระยาไชยยศสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า “ไม่สามารถจะทำได้ตามที่สมาชิกต้องการ เพราะรายละเอียดตามงบประมาณนั้นมีมาก จะต้องทำสำเนาเอกสารเป็นจำนวนมาก ไม่มีเวลาพอที่จะจัดการให้ทันตามกำหนดเวลาเสนองบประมาณ ทั้งจะต้องสิ้นเปลืองรายจ่ายในการดำเนินการเป็นอันมาก”[12]

นอกจากนี้พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้กล่าวชี้แจงต่อที่ประชุมว่า “ข้าพเจ้าขอกล่าวโดยสุจริตใจว่าข้อบังคับอันนี้รัฐบาลรับไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะลงมติไปว่าให้รับหลักการแห่งร่างข้อบังคับนี้ แต่รัฐบาลเห็นว่าเป็นการผูกมัดเกินไป และไม่มีใครเขาทำกันในโลกนี้ เพราะฉะนั้นถ้ารัฐบาลต้องรับร่างข้อบังคับนี้ไปแล้ว เมื่อไม่สามารถกระทำได้ ข้าพเจ้าเห็นว่าคณะรัฐบาลจะลาออกหมด”[13]

เมื่อมีการลงมติผลปรากฏว่า ที่ประชุมลงมติด้วยคะแนนเสียง 45 ต่อ 31 เป็นอันว่ารัฐบาลพ่ายแพ้ในญัตติดังกล่าว ทั้งนี้เพราะว่าสมาชิกประเภทที่ 2 ซึ่งสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลอยู่ในห้องประชุมน้อย นอกจากนี้ภายหลังการลงมติได้เกิดเหตุการณ์ที่สะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่างสมาชิกประเภทที่ 1 ที่เสนอญัตติดังกล่าว กับรัฐบาลและสมาชิกประเภทที่ 2 ซึ่งสนับสนุนรัฐบาล กล่าวคือ ในการพิจารณาเรื่องจะส่งร่างข้อบังคับดังกล่าวให้กรรมาธิการคณะใดตรวจแก้นั้น รัฐบาลไม่ยินยอมปรึกษาพิจารณาด้วย แม้ฝ่ายรัฐบาลมีสมาชิกประเภทที่ 2 รัฐมนตรีตลอดจนนายกรัฐมนตรี จะได้รับการเสนอแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการวิสามัญ ท่านนั้น ๆ ก็ปฏิเสธสิ้น ที่สุดแล้วสภาผู้แทนราษฎรจึงตั้งกรรมาธิการวิสามัญ 7 นาย จากสมาชิกประเภทที่ 1 ล้วน ๆ ขึ้นพิจารณาเรื่องดังกล่าว[14]

จากความพ่ายแพ้ของรัฐบาลในญัตติดังกล่าว พระยาพหลพลพยุหเสนาจึงได้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อปรึกษาถึงการลาออก แต่ที่ประชุมเห็นว่าควรจะยุบสภามากกว่า เพราะถ้าลาออกก็จะไม่มีคณะรัฐมนตรีชุดใดปฏิบัติตามความประสงค์ของรัฐสภาได้[15] แต่ที่ประชุมก็ยอมลาออกจากตำแหน่งตามความต้องการของนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตามเมื่อนายกรัฐมนตรีได้ถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งต่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ปรากฏว่าคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไม่เห็นชอบด้วย โดยเห็นว่ารัฐบาลควรบริหารราชการต่อไปเพราะสถานการณ์ในโลกขณะนั้นกำลังปั่นป่วน และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลกำลังจะนิวัติกลับประเทศสยาม ดังนั้นรัฐบาลจึงประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ด้วยการมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สมาชิกประเภทที่ 1)ใหม่ ลงวันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2481 ความว่า

พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร

พุทธศักราช 2481

ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล

คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

(ตามประกาศประธานสภาผู้แทนราษฎรลงวันที่ 4 สิงหาคม พุทธศักราช 2480)

อาทิตย์ทิพอาภา

เจ้าพระยายมราช

พล.อ.เจ้าพระยาพิชเยนทร์โยธิน

ตราไว้ณวันที่ 11 กันยายน พุทธศักราช 2481

เป็นปีที่ 5 ในรัชกาลปัจจุบัน


โดยที่ทรงพระราชดำริเห็นว่า เป็นการสมควรที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งสมาชิกประเภทที่ 1 ขึ้นใหม่

คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาศัยอำนาจตามมาตรา 35 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม จึ่งให้ตราพระราชกฤษฎีกาดั่งต่อไปนี้

มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้ให้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2481

มาตรา 2 ให้ใช้พระราชกฤษฎีกานี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา 3 ให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งสมาชิกประเภทที่ 1 ขึ้นมาใหม่มีกำหนดภายในเก้าสิบวัน นับแต่วันใช้พระราชกฤษฎีกานี้เป็นต้นไป

มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่รักษาการให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกานี้

ผู้รับสนองพระบรมราชโองกา

พ.อ. พหลพลพยุหเสนา
นายกรัฐมนตรี [16]

ทั้งนี้ภายหลังการยุบสภา รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์แสดงเหตุผลและความจำเป็นของการยุบสภาผู้แทนราษฎร[17] ซึ่งเนื้อความบางตอนสะท้อนถึงความเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างสภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาล ดังที่ปรากฏในแถลงการณ์ว่า “...รัฐบาลได้พยายามร่วมมือกับผู้แทนราษฎรโดยจริงใจ แต่ผู้แทนราษฎรหาได้ให้ความร่วมมือแก่รัฐบาลตามสมควรไม่ โดยเฉพาะ การพิจารณาญัตติแก้ไขข้อบังคับการประชุมปรึกษาของสภาผู้แทนราษฎร ข้อ 68 นี้ ได้เริ่มอภิปรายมาจนหมดเวลาประชุมตามปกติ มีสมาชิกอยู่ประชุมเป็นส่วนน้อยแล้ว และสภาฯ ก็เห็นเป็นเรื่องสำคัญ สภาฯ น่าจะให้การประชุมปรึกษาเป็นไปตามระเบียบ คือ อภิปรายต่อไปในวันหลัง เพื่อให้โอกาสสมาชิกฯ ส่วนมากได้ฟังเหตุผลและใช้ดุลพินิจโดยรอบคอบ แต่สมาชิกฝ่ายผู้แทนราษฎรก็เสนอญัตติให้รวบรัดการพิจารณา และเสนอให้ลงมติโดยไม่ให้โอกาสรัฐบาลแถลงชี้แจงอีก วิธีการดั่งนี้เป็นวิธีช่วงชิงเอาเปรียบโดยไม่เป็นธรรม ในที่สุดสภาฯ ได้ลงมติรับหลักการแห่งร่างข้อบังคับนั้น รัฐบาลเห็นว่า ความเป็นไปในสภาผู้แทนราษฎรในเรื่องนี้ และเรื่องอื่น ๆหลายเรื่องที่แล้วมา ผู้แทนราษฎรชุดนี้เป็นอันมากไม่สนใจฟังคำชี้แจงหรือเหตุผลทางรัฐบาล และมิได้คำนึงถึงความเสียหายอันจะพึงมีแก่ประเทศชาติ...” [18]

นอกจากนี้จากแถลงการณ์ของรัฐบาลยังได้สะท้อนถึงวิธีคิดในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา ซึ่งถือเป็นความพยายามในการวางรากฐานการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญของคณะราษฎร ดังที่กล่าวไว้ว่า “...ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลนี้มิได้มุ่งหมายที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือไปจากวิถีทางรัฐธรรมนูญ การลาออกของคณะรัฐมนตรีก็ดี การยุบสภาฯ ก็ดี เป็นเหตุการณ์ตามสถานการณ์แห่งการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจึงขอให้ประชาชนตั้งอยู่ในความสงบ อย่าได้มีความหวั่นไหวตกใจอย่างหนึ่งอย่างใด รัฐบาลอยู่ในฐานะที่จะรักษาความปลอดภัยของประชาชน และความสงบเรียบร้อยของประเทศอยู่เสมอ”[19]

การตั้งรัฐบาลใหม่

ภายหลังการยุบสภาครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ในวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ.2481 การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งโดยตรง คือ ราษฎรเลือกผู้แทนราษฎรเอง ด้วยวิธีแบ่งเขต แต่ละเขตให้เลือกผู้แทนราษฎรได้ 1 คน และถือจำนวนราษฎรสองแสนคนต่อผู้แทนราษฎรหนึ่งคน ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกตั้งมีทั้งสิ้น 91 คนเท่ากับจำนวนผู้แทนราษฎรชุดก่อน[20]

ผลของการเลือกตั้งปรากฏว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลเวลานั้นได้รับเลือกเข้ามาเต็มสภา โดยในวันที่ 15 ธันวาคม ประธานสภาได้เชิญสมาชิกทั้งสองประเภทหารือเป็นการภายใน เพื่อสอบถามความเห็นว่าผู้ใดควรจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป ก่อนประชุมพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ขอพบประธานสภาและขอร้องให้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ท่านไม่ยอมรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเด็ดขาด เนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพ พร้อมกับเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติไว้วางใจให้ หลวงพิบูลสงคราม เป็นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสืบต่อมา ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเห็นชอบด้วย เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2481[21]

ทั้งนี้การยุบสภาในปี พ.ศ.2481 ถือเป็นการยุบสภาครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย เนื่องมาจากความเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างรัฐบาลกับสภาผู้แทนราษฎร การยุบสภาครั้งนี้ได้ส่งผลให้พระยาพหลพลพยุหเสนา ยุติบทบาททางการเมืองในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเด็ดขาด ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดสมัยของรัฐบาลคณะราษฎรช่วงแรก อันเปิดโอกาสให้แก่กลุ่มผู้นำคณะราษฎรรุ่นหนุ่มเข้ามาบริหารประเทศ ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีหลวงพิบูลสงคราม

ที่มา

ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม. “พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เชษฐบุรุษของไทย (ตอนที่ 4)” รัฐสภาสาร ปีที่ 33 ฉบับที่ 9 (กันยายน 2528): 81 – 94.

ทวีพงศ์ แสงสุวรรณ. ผลกระทบของระบบ 2 สภาต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทย พ.ศ. 2475-2527 วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2530. ไทยน้อย. พระยาพหล. พระนคร: แพร่พิทยา, 2497.

ประชัน รักพงษ์. การศึกษาบทบาททางการเมืองในระบบรัฐสภาของรัฐบาลทหารและรัฐบาลพลเรือนในประเทศไทย(พ.ศ.2481 - 2500) วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2520.

ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์. รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี(2475 - 2517). กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ช. ชุมนุมช่าง, 2517.

ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 49 วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2475.

ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 55 วันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2481.

ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 55 วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2481.

รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร. ครั้งที่ 37/2475 วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475.

รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร. ครั้งที่ 12/2480 สมัยวิสามัญ วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2480.

รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร. ครั้งที่ 21/2481 สมัยสามัญ วันที่ 10 กันยายน พ.ศ.2481.

วิเทศกรณีย์. “ล้มรัฐบาล” ใน อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพนายเลียง ไชยกาล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภา, 2529. (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพนายเลียง ไชยกาล ณ เมรุวัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2519)

สรรเสริญ สืบสหการ และ สานิตย์ โลหะชาละ. “การยุบสภา” รัฐสภาสาร ปีที่ 34 ฉบับที่ 6 (มิถุนายน 2529): 61 - 100.

เสน่ห์ จันทร์กระจ่าง. “การยุบสภาผู้แทนฯในไทย” รัฐสภาสาร ปีที่ 24 ฉบับที่ 2 (กุมภาพันธ์ 2519): 6 - 41.

อ้างอิง

  1. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 49 วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2475, หน้า 543. หรือ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2475/A/529.PDF
  2. เรื่องเดียวกัน, หน้า 543.
  3. เรื่องเดียวกัน, หน้า 542.
  4. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 37/2475 วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2475, หน้า 480.
  5. ประชัน รักพงษ์, การศึกษาบทบาททางการเมืองในระบบรัฐสภาของรัฐบาลทหารและรัฐบาลพลเรือนในประเทศไทย(พ.ศ.2481 - 2500) วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2520, หน้า 55 – 56.
  6. ทวีพงศ์ แสงสุวรรณ, ผลกระทบของระบบ 2 สภาต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทย พ.ศ. 2475 - 2527 วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2530, หน้า 103.
  7. ประชัน รักพงษ์, การศึกษาบทบาททางการเมืองในระบบรัฐสภาของรัฐบาลทหารและรัฐบาลพลเรือนในประเทศไทย(พ.ศ.2481 - 2500), หน้า 56.
  8. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน วิเทศกรณีย์, “ล้มรัฐบาล” ใน อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพนายเลียง ไชยกาล (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภา, 2529), หน้า 16 - 37. (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพนายเลียง ไชยกาล ณ เมรุวัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2519) และ “กระทู้ถาม เรื่อง ที่ดินของพระมหากษัตริย์” ใน รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร, ครั้งที่ 12/2480 สมัยวิสามัญ (27 กรกฎาคม พ.ศ.2480).
  9. เสน่ห์ จันทร์กระจ่าง, “การยุบสภาผู้แทนฯในไทย” รัฐสภาสาร ปีที่ 24 ฉบับที่ 2 (กุมภาพันธ์ 2519): 11.
  10. “(สำเนา)ร่างข้อบังคับการประชุมและการปรึกษาของสภาผู้แทนราษฎร (ฉะบับที่...) พุทธศักราช 2481” ใน เสน่ห์ จันทร์กระจ่าง, “การยุบสภาผู้แทนฯในไทย” รัฐสภาสาร ปีที่ 24 ฉบับที่ 2 (กุมภาพันธ์ 2519): 24 - 25.
  11. สรรเสริญ สืบสหการ และ สานิตย์ โลหะชาละ, “การยุบสภา” รัฐสภาสาร ปีที่ 34 ฉบับที่ 6 (มิถุนายน 2529): 69.
  12. ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี(2475 - 2517) (กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ช. ชุมนุมช่าง, 2517), หน้า 271.
  13. สรรเสริญ สืบสหการ และ สานิตย์ โลหะชาละ, “การยุบสภา” : 70 – 71.
  14. ไทยน้อย, พระยาพหล (พระนคร: แพร่พิทยา, 2497), หน้า 398 – 399.
  15. เสน่ห์ จันทร์กระจ่าง, “การยุบสภาผู้แทนฯในไทย” รัฐสภาสาร ปีที่ 24 ฉบับที่ 2 (กุมภาพันธ์ 2519): 11.
  16. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 55 วันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2481, หน้า 405 – 406.
  17. ดูรายละเอียดคำแถลงการณ์ของรัฐบาล ได้ใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 55 วันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2481, หน้า 407 – 412. หรือ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2481/A/405.PDF
  18. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 55 วันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2481, หน้า 410 - 411.
  19. เรื่องเดียวกัน, หน้า 411 - 412.
  20. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี(2475 - 2517) (กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ช. ชุมนุมช่าง, 2517), หน้า 274 - 277.
  21. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 55 วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2481, หน้า 706 – 707.