ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การเสนอชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี (ลำดับขั้นตอน)"
หน้าที่ถูกสร้างด้วย ''''ผู้เรียบเรียง''' นายโชคสุข กรกิตติชัย '''ผู้ทรงคุณ...' |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
(ไม่แสดง 8 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 1 คน) | |||
บรรทัดที่ 7: | บรรทัดที่ 7: | ||
==บทนำ== | ==บทนำ== | ||
นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน | นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยได้มี[[การปกครองระบอบประชาธิปไตย]] โดยมี[[รัฐธรรมนูญ]]เป็น[[กฎหมายสูงสุด]]ของประเทศตลอดมา รัฐธรรมนูญที่มีมาทุกฉบับได้กำหนดรูปแบบการบริหารการปกครองประเทศอยู่ในระบบ[[รัฐสภา]] โดยมีหลักสำคัญในการปกครองว่า '''“[[อำนาจอธิปไตย]]เป็นของปวงชนชาวไทย”''' [[พระมหากษัตริย์]]ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา [[คณะรัฐมนตรี]] และ[[ศาล]] โดยมีการแบ่งแยกองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยออกเป็น ๓ ฝ่าย คือ | ||
๑. | |||
๒. | ๑. รัฐสภาเป็นผู้ใช้[[อำนาจนิติบัญญัติ]]ในการตรากฎหมายต่าง ๆ | ||
๓. | |||
๒. คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้[[อำนาจบริหาร]]ในการบริหารราชการแผ่นดิน สำหรับคณะรัฐมนตรีนั้นประกอบไปด้วย[[นายกรัฐมนตรี]]และ[[รัฐมนตรี]]ตามจำนวนที่รัฐธรรมนูญกำหนด มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตาม[[หลักความรับผิดชอบ]]ร่วมกัน | |||
๓. ศาลเป็นผู้ใช้[[อำนาจตุลาการ]]ในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี<ref>สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, “ระบบงานรัฐสภา ๒๕๕๕”, (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๕, หน้า ๗.</ref> | |||
==ประวัติความเป็นมาของรัฐมนตรี== | ==ประวัติความเป็นมาของรัฐมนตรี== | ||
คณะรัฐมนตรีมีที่มาจากคณะเสนาบดีในอดีต สมัยสุโขทัยมีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก และให้ราษฎรช่วยกัน “ถือบ้านถือเมือง” | คณะรัฐมนตรีมีที่มาจากคณะเสนาบดีในอดีต สมัยสุโขทัยมีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก และให้ราษฎรช่วยกัน '''“ถือบ้านถือเมือง”''' ในสมัยอยุธยามีการตั้งตำแหน่ง[[จตุสดมภ์]] ๔ ตำแหน่ง คือ [[เวียง]] [[วัง]] [[คลัง]] [[นา]] มีเสนาบดีเป็นหัวหน้ารับผิดชอบแต่ละฝ่าย มีสมุหนายกและสมุหกลาโหมเป็นหัวหน้าเสนาบดีสูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง แต่บทบาทเน้นหนักไปในทางการเป็นแม่ทัพใหญ่และรับผิดชอบดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้เป็นสำคัญ<ref>โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน, “สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เล่ม ๒๗”, [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://kanchanapisek.or.th/kp๖/BOOK๒๗/chapter๒/chap๒.htm (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗) </ref> | ||
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังคงจัดการปกครองในลักษณะเดียวกับการปกครองสมัยอยุธยาและธนบุรี | |||
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังคงจัดการปกครองในลักษณะเดียวกับการปกครองสมัยอยุธยาและธนบุรี จนถึงรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ทรงป[[ฏิรูปการปกครอง]]ใหม่ โดยทรงจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of state) และสภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์ (Privy Council) ขึ้น ยกเลิกตำแหน่ง[[สมุหกลาโหม]]และ[[สมุหนายก]] และยกฐานะกรมต่าง ๆ ขึ้นเป็น[[กระทรวง]] มีเสนาบดีเป็นหัวหน้า<ref>สมบัติ ธำรงธัญวงศ์, “การเมืองการปกครองไทย : พ.ศ. ๑๗๖๒–๒๕๐๐”, (กรุงเทพฯ: เสมาธรรม), ๒๕๔๙. หน้า ๓๐๒ - ๓๑๗.</ref> มี[[ปลัดทูลฉลอง]]เป็นผู้กลั่นกรองเรื่องและช่วยราชการภายในกระทรวง มีการประชุมเสนาบดีในทำนองการประชุมคณะรัฐมนตรี แต่ไม่มีหัวหน้าคณะเสนาบดีในทำนองนายกรัฐมนตรี เพราะในการประชุมคณะเสนาบดี พระมหากษัตริย์ประทับเป็นประธานเอง หรือมิฉะนั้นก็ให้ที่ประชุมเลือกประธานเป็นครั้งคราว [[การบริหารราชการแผ่นดิน]]โดยระบบคณะเสนาบดีได้ดำเนินมาจนถึงรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ซึ่งมีการจัดตั้ง[[คณะองคมนตรีสภา]] ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาในการปกครองและการออก[[กฎหมาย]]ทำนองเดียวกับรัฐสภา และมีการจัดตั้งเสนาบดีสภาเป็นที่ประชุมปรึกษาของเสนาบดีทั้งหลาย การบริหารราชการแผ่นดินในอดีตก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงเป็นเรื่องของพระมหากษัตริย์โดยตรง การแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งก็ดี การกำหนดนโยบายในการบริหารก็ดี การควบคุมการบริหารก็ดี เป็นเรื่องตามพระราชอัธยาศัย<ref>โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน, “สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เล่ม ๒๗”, [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://kanchanapisek.or.th/kp๖/BOOK๒๗/chapter๒/chap๒.htm (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗). </ref> | |||
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจาก[[ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์]]มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในวันที่ [[24 มิถุนายน พ.ศ. 2475|๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕]] โดย[[คณะราษฎร]]แล้ว ได้มีการประกาศใช้[[พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕]] ซึ่งกำหนดให้มี '''“[[คณะกรรมการราษฎร]]”''' มีจำนวน ๑๕ คน ทำหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน มี '''“ประธานกรรมการราษฎร”''' เป็นหัวหน้า ในระหว่างที่มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร [[ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร]]ได้[[ลงมติ]]ให้ใช้ คำว่า '''“[[รัฐมนตรี]]”''' แทน '''“[[กรรมการราษฎร]]”''' และใช้คำว่า '''“[[นายกรัฐมนตรี]]”''' แทน '''“[[ประธานคณะกรรมการราษฎร]]”''' และคำว่า '''“[[คณะรัฐมนตรี]]”''' แทนคำ'''[[คณะกรรมการราษฎร]]'''ว่า “” ซึ่งเป็นคำที่ใช้ปรากฏครั้งแรกในรั[[ฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕]] และใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน<ref>นคร พจนวรพงษ์ และอุกฤษ พจนวรพงษ์, “ข้อมูลประวัติศาสตร์การเมืองไทย”, (กรุงเทพฯ : ขวัญนคร), ๒๕๔๙. หน้า ๘๓.</ref> | |||
==ความหมายของรัฐมนตรี== | ==ความหมายของรัฐมนตรี== | ||
“รัฐมนตรี” หมายความถึง | '''“รัฐมนตรี”''' หมายความถึง บุคคลซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงมี[[พระบรมราชโองการ]]โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน รัฐมนตรีมี ๒ ฐานะ ฐานะแรกเป็นสมาชิก คณะรัฐมนตรีซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้า และอีกฐานะหนึ่งเป็นเจ้ากระทรวงผู้มีอำนาจเต็มของส่วนราชการระดับกระทรวงตาม[[พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน]]<ref>คณิน บุญสุวรรณ, ปทานานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทยฉบับสมบูรณ์”, (กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ), ๒๕๔๘. หน้า ๗๕๗.</ref> | ||
ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง ผู้เป็นสมาชิกของคณะรัฐมนตรี หรือ คณะรัฐบาล รับผิดชอบร่วมกับ คณะรัฐมนตรีในนโยบายทั่วไปของรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน, ถ้าเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง หรือทบวง ก็เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในกระทรวงหรือทบวงที่ตนว่าการ และ รับผิดชอบในการบริหารราชการกระทรวงหรือทบวงนั้นด้วยอีกฐานะหนึ่ง (คำว่ารัฐมนตรีนี้ในสมัยโบราณ หมายถึง ที่ปรึกษาราชการบ้านเมืองในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์). รัฐมนตรี (Minister) ของกระทรวงต่างๆ นี้ เมื่อได้รับการแต่งตั้งครบทุกกระทรวงตามจำนวนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อทำหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินร่วมกันนี้ในฐานะผู้นำในการบริหารประเทศ ก็จะเรียกรวมกันว่าเป็น “คณะรัฐมนตรี” | |||
ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง ผู้เป็นสมาชิกของคณะรัฐมนตรี หรือ คณะรัฐบาล รับผิดชอบร่วมกับ คณะรัฐมนตรีในนโยบายทั่วไปของรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน, ถ้าเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง หรือทบวง ก็เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในกระทรวงหรือทบวงที่ตนว่าการ และ รับผิดชอบในการบริหารราชการกระทรวงหรือทบวงนั้นด้วยอีกฐานะหนึ่ง (คำว่ารัฐมนตรีนี้ในสมัยโบราณ หมายถึง ที่ปรึกษาราชการบ้านเมืองในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์).<ref> ราชบัณฑิตยสถาน, “รัฐมนตรี” ใน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2552. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก: http://rirs๓.royin.go.th/new-search/word-search-all-x.asp (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗). </ref> รัฐมนตรี (Minister) ของกระทรวงต่างๆ นี้ เมื่อได้รับการแต่งตั้งครบทุกกระทรวงตามจำนวนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อทำหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินร่วมกันนี้ในฐานะผู้นำในการบริหารประเทศ ก็จะเรียกรวมกันว่าเป็น '''“คณะรัฐมนตรี”'''<ref>สถาบันพระปกเกล้า, โครงการเฉลิมพระเกียรติ สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) : คณะรัฐมนตรี , กรุงเทพฯ : สถาบัน., ๒๕๔๔, หน้า ๑.</ref> | |||
==องค์ประกอบของคณะรัฐมนตรี== | ==องค์ประกอบของคณะรัฐมนตรี== | ||
คณะรัฐมนตรีประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี ๑ คนกับรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกิน ๓๕ คน มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน | คณะรัฐมนตรีประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี ๑ คนกับรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกิน ๓๕ คน มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน รัฐมนตรีจะแต่งตั้งจาก[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]([[ส.ส.]]) หรือจากบุคคลภายนอกก็ได้ แต่จะแต่งตั้งจาก[[สมาชิกวุฒิสภา]]([[ส.ว.]]) ไม่ได้ นายกรัฐมนตรีถือว่าเป็นรัฐมนตรี จึงต้องมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับรัฐมนตรี<ref>The Thai Association of University Women (TAUW), under the Patronage of H.R.H. Princess Galyani Vadhana, Krom Luang Naradhiwas Rajanagarindra, บทที่ ๗ เรื่อง คณะรัฐมนตรี. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : https://sites.google.com/site/tauw๒๔๙๑/sm๔๗ (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗). </ref> | ||
==การเข้าสู่ตำแหน่งของรัฐมนตรี (ขั้นตอนการแต่งตั้งรัฐมนตรี) == | ==การเข้าสู่ตำแหน่งของรัฐมนตรี (ขั้นตอนการแต่งตั้งรัฐมนตรี) == | ||
การแต่งตั้งรัฐมนตรีนั้น นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้นำรายชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งขึ้นกราบบังคม ทูล เพื่อทรงแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี ซึ่งในทางปฏิบัติพระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งรัฐมนตรีตามที่นายกรัฐมนตรี เสนอ รัฐมนตรีจะต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ก่อนเข้ารับหน้าที่ด้วย | การแต่งตั้งรัฐมนตรีนั้น นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้นำรายชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งขึ้นกราบบังคม ทูล เพื่อทรงแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี ซึ่งในทางปฏิบัติพระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งรัฐมนตรีตามที่นายกรัฐมนตรี เสนอ รัฐมนตรีจะต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ก่อนเข้ารับหน้าที่ด้วย<ref>รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐, (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๔. หน้า ๑๒๙.</ref> | ||
ซึ่งการจะเป็นรัฐมนตรีได้นั้น ต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งตามที่ นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำ และลงนามรับผิดชอบเรียกว่า “ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ” | |||
๑. | ซึ่งการจะเป็นรัฐมนตรีได้นั้น ต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งตามที่ นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำ และลงนามรับผิดชอบเรียกว่า “ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ” ส่วนการจะเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งตามที่[[ประธานสภาผู้แทนราษฎร]]ถวายคำแนะนำและลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ สำหรับขั้นตอนในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมีตามลำดับดังนี้ | ||
๒. | |||
๓. | ๑. มี[[การเลือกตั้งทั่วไป]]ซึ่งจะต้องจัดขึ้นในวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร | ||
๔. | |||
๒. [[คณะกรรมการการเลือกตั้ง]]ประกาศผลการเลือกตั้ง | |||
๓. พระมหากษัตริย์ทรงตรา[[พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา]] | |||
๔. พระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงทำ[[รัฐพิธีเปิดประชุมสมัยประชุมสามัญทั่วไป]]ครั้งแรก | |||
๕. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร | ๕. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร | ||
๖. พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร | ๖. พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร | ||
๗. ประธานสภาผู้แทนราษฎรเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล | |||
๗. ประธานสภาผู้แทนราษฎรเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกตามข้อ ๔ การเสนอชื่อผู้ควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๕ ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของ[[สภาผู้แทนราษฎร]]รับรอง (๑ ใน ๕ ของจำนวน ๕๐๐ คน เท่ากับ ๑๐๐ คน) มติเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรต้องกระทำโดย[[การลงคะแนนอย่างเปิดเผย]] และมี[[คะแนนเสียง]]มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร (๒๕๑ คน) แต่ถ้าคะแนนเสียงยังไม่ได้มากกว่ากึ่งหนึ่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎรก็สามารถเรียกประชุมได้อีกจนกว่าจะได้มติเช่นว่านั้น แต่ถ้าพ้นกำหนด ๓๐ วันแล้ว ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรนำชื่อบุคคลผู้ได้คะแนนเสียงสูงสุดขึ้นกราบบังคมทูลภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าว แม้บุคคลนั้นจะได้คะแนนเสียงไม่มากกว่ากึ่งหนึ่งก็ตาม ในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ | |||
๘. พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี | ๘. พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี | ||
๙. นายกรัฐมนตรีคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี แล้วนำความกราบบังคมทูล นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ | ๙. นายกรัฐมนตรีคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี แล้วนำความกราบบังคมทูล นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ | ||
๑๐. พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งรัฐมนตรี | ๑๐. พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งรัฐมนตรี | ||
๑๑. นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ โดยรัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำ<ref> วิษณุ เครืองาม, การเข้าสู่ตำแหน่งของรัฐมนตรี. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://guru.sanook.com/enc_preview.php?id=๑๙๒๐ (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗). </ref> ดังต่อไปนี้ | |||
==คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี== | “ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”<ref>รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐, (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๔. หน้า ๑๒๙.</ref> | ||
๑๒. คณะรัฐมนตรีประชุมปรึกษาเพื่อร่างนโยบายต่อรัฐสภาและชี้แจงการดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ<ref>วิษณุ เครืองาม, การเข้าสู่ตำแหน่งของรัฐมนตรี. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://guru.sanook.com/enc_preview.php?id=๑๙๒๐ (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗).</ref> | |||
ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งด้วยเหตุอื่นที่มิใช่เพราะสภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือมีการ[[ยุบสภาผู้แทนราษฎร]] จะต้องมีการดำเนินการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีตามข้อ ๗ – ๑๒ ใหม่ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๘๐ วรรคสอง | |||
==คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี<ref>รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐, (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๔. หน้า ๑๒๙.</ref>== | |||
[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐]] มาตรา ๑๗๔ ได้กำหนดว่า รัฐมนตรีต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ คือ | |||
๑. มีสัญชาติไทยโดยการเกิด | ๑. มีสัญชาติไทยโดยการเกิด | ||
๒. มีอายุไม่ต่ำกว่า ๓๕ ปีบริบูรณ์ | ๒. มีอายุไม่ต่ำกว่า ๓๕ ปีบริบูรณ์ | ||
๓. สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า | ๓. สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า | ||
๔. ไม่ติดยาเสพติดให้โทษ | ๔. ไม่ติดยาเสพติดให้โทษ | ||
๕. ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต | ๕. ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต | ||
๖. ไม่เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช | ๖. ไม่เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช | ||
๗. | |||
๗. ไม่อยู่ในระหว่าง[[ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง]] | |||
๘. ไม่วิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ | ๘. ไม่วิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ | ||
๙. | |||
๑๐. ไม่เคยถูกไล่ออก ปลดออก | ๙. ไม่ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของ[[ศาล]] | ||
๑๐. ไม่เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจาก[[ราชการ]] [[หน่วยงานของรัฐ]] หรือ[[รัฐวิสาหกิจ]] เพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการ[[ทุจริต]]และ[[ประพฤติมิชอบ]]ในวงราชการ | |||
๑๑. ไม่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เพราะร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ | ๑๑. ไม่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เพราะร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ | ||
๑๒. | |||
๑๓. | ๑๒. ไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำนอกจาก[[ข้าราชการการเมือง]] | ||
๑๓. ไม่เป็น[[สมาชิกสภาท้องถิ่น]]หรือ[[ผู้บริหารท้องถิ่น]] | |||
๑๔. ไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ | ๑๔. ไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ | ||
๑๕. | |||
๑๖. | ๑๕. ไม่เป็น[[ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ]] [[กรรมการการเลือกตั้ง]] [[ผู้ตรวจการแผ่นดิน]] [[กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ]] [[กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน]] หรือ[[กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ]] | ||
๑๗. | |||
๑๘. ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง ๕ ปีก่อนได้รับแต่งตั้ง | ๑๖. ไม่อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเนื่องจากการไม่[[ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน]] หรือยื่น[[บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน]]ไม่ชอบตามกฎหมาย | ||
๑๙. | |||
๑๗. ไม่เคยถูก[[วุฒิสภา]]มีมติให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง | |||
๑๘. ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง ๕ ปีก่อนได้รับแต่งตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือ[[ความผิดลหุโทษ]] | |||
๑๙. ไม่เป็น[[สมาชิกวุฒิสภา]] หรือเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาซึ่งสมาชิกภาพสิ้นสุดลงมาแล้วยังไม่เกิน ๒ ปีนับถึงวันที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี | |||
==อำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรี== | ==อำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรี== | ||
๑. อำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ | '''๑. อำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ'''<ref>เดลินิวส์, อำนาจหน้าที่รัฐมนตรี. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://www.dailynews.co.th (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗). </ref> | ||
๑.๑ จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ | |||
๑.๒ | ๑.๑ จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ปฏิบัติหน้าที่ด้วย[[ความซื่อสัตย์สุจริต]] เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน รักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่ง[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย]] | ||
๑.๓ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ถ้ารัฐมนตรีผู้ใดเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในขณะเดียวกันด้วย | |||
๑.๔ | ๑.๒ มีสิทธิเข้าประชุมและแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นในที่[[ประชุมสภา]] และในกรณีที่[[สภาผู้แทนราษฎร]]หรือ[[วุฒิสภา]]มีมติให้เข้าประชุมในเรื่องใด รัฐมนตรีต้องเข้าร่วมประชุม | ||
๒. อำนาจหน้าที่ตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน | |||
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ | ๑.๓ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ถ้ารัฐมนตรีผู้ใดเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในขณะเดียวกันด้วย ห้ามมิให้รัฐมนตรีผู้นั้น[[ออกเสียงลงคะแนน]]ในเรื่องที่เกี่ยวกับการดำรงตำแหน่ง การปฏิบัติหน้าที่หรือการมีส่วนได้เสียในเรื่องนั้น | ||
๒.๑ เป็นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการในกระทรวง | |||
๒.๒ กำหนดนโยบาย เป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ของงานในกระทรวงให้สอดคล้องกับนโยบายที่คณะรัฐมนตรีแถลงต่อรัฐสภาหรือที่คณะรัฐมนตรีกำหนดหรืออนุมัติ โดยให้มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติราชการแทนก็ได้ ทั้งนี้ การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ | ๑.๔ ใน[[การบริหารราชการแผ่นดิน]] รัฐมนตรีต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรในหน้าที่ของตน และต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภาในนโยบายทั่วไปของคณะรัฐมนตรี | ||
๓. อำนาจหน้าที่ตามระเบียบข้าราชการพลเรือน | |||
'''๒. อำนาจหน้าที่ตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน'''<ref>สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน, “แนวทางการบริหารราชการยุคใหม่ของรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง หัวหน้ากลุ่มภารกิจ และอธิบดี”, (กรุงเทพฯ : ฟิสิกส์เซ็นเตอร์), ๒๕๔๕. หน้า ๓๓.</ref> | |||
๔. อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ | |||
พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ กำหนดให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดของส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีหน้าที่รับผิดชอบในการเสนอคำขอตั้งงบประมาณประจำปีของส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจนั้นต่อผู้อำนวยการสำนักงบประมาณภายในเวลาที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกำหนด เป็นผู้รับผิดชอบในการควบคุมงบประมาณให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบหรือข้อบังคับ มีอำนาจในการกำกับตรวจสอบโดยอาจเรียกส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมาเสนอข้อเท็จจริง | [[พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔]] แก้ไขเพิ่มเติมโดย[[พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน(ฉบับที่ ๕)พ.ศ.๒๕๔๕]] ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของ[[รัฐมนตรีว่าการกระทรวง]] ดังนี้ | ||
๕. อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายอื่น | |||
๒.๑ เป็นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการในกระทรวง และของส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็น[[กรม]] หน่วยงานของรัฐในกำกับและความรับผิดชอบในสังกัดกระทรวง เช่น รัฐวิสาหกิจ [[องค์การมหาชน]] เป็นต้น โดยรัฐมนตรีว่าการอาจมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงปฏิบัติราชการแทนก็ได้ | |||
๒.๒ กำหนดนโยบาย เป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ของงานในกระทรวงให้สอดคล้องกับนโยบายที่คณะรัฐมนตรีแถลงต่อรัฐสภาหรือที่คณะรัฐมนตรีกำหนดหรืออนุมัติ โดยให้มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติราชการแทนก็ได้ ทั้งนี้ [[การสั่งการ]] [[การอนุญาต]] [[การอนุมัติ]] [[การปฏิบัติราชการของรัฐมนตรีว่าการ]]กระทรวง ให้เป็นไปภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย [[ข้อบังคับ]] [[ระเบียบ]] และ[[คำสั่ง]]ที่เกี่ยวข้อง หรือตามมติคณะรัฐมนตรี | |||
'''๓. อำนาจหน้าที่ตามระเบียบข้าราชการพลเรือน'''<ref>พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕ ตอนที่ ๒๒ ก, ๒๕ มกราคม ๒๕๕๑.</ref> | |||
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมีอำนาจหน้าที่ด้าน[[การบริหารงานบุคคล]] การบรรจุแต่งตั้ง การเลื่อนขั้นเงินเดือน และการดำเนินการทางวินัยข้าราชการพลเรือนผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง และข้าราชการประจำสำนักงานรัฐมนตรี ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ | |||
'''๔. อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ'''<ref>สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน, “แนวทางการบริหารราชการยุคใหม่ของรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง หัวหน้ากลุ่มภารกิจ และอธิบดี”, (กรุงเทพฯ : ฟิสิกส์เซ็นเตอร์), ๒๕๔๕. หน้า ๓๕.</ref> | |||
[[พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒]] กำหนดให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดของส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีหน้าที่รับผิดชอบในการเสนอคำขอตั้งงบประมาณประจำปีของส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจนั้นต่อผู้อำนวยการสำนักงบประมาณภายในเวลาที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกำหนด เป็นผู้รับผิดชอบในการควบคุมงบประมาณให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบหรือข้อบังคับ มีอำนาจในการกำกับตรวจสอบโดยอาจเรียกส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมาเสนอข้อเท็จจริง และมีหน้าที่ในการประกาศรายงานรับจ่ายเงินประจำปีเมื่อสิ้นปีงบประมาณใน[[ราชกิจจานุเบกษา]] | |||
'''๕. อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายอื่น'''<ref> เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๖.</ref> | |||
๕.๑ มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดในกฎหมายอื่น ๆ ของกระทรวงและหรือส่วนราชการหรือหน่วยงานที่อยู่ในกำกับหรือความรับผิดชอบของกระทรวงที่ระบุให้เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรี | ๕.๑ มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดในกฎหมายอื่น ๆ ของกระทรวงและหรือส่วนราชการหรือหน่วยงานที่อยู่ในกำกับหรือความรับผิดชอบของกระทรวงที่ระบุให้เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรี | ||
๕.๒ เสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ข้าราชการการเมืองในสังกัดตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย พ.ศ. ๒๕๓๖ | ๕.๒ เสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ข้าราชการการเมืองในสังกัดตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย พ.ศ. ๒๕๓๖ | ||
๕.๓ สนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินการของกระทรวงและหน่วยงานในสังกัดในการปฏิบัติตามกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เช่น ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๒ | |||
๖. อำนาจหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี | ๕.๓ สนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินการของกระทรวงและหน่วยงานในสังกัดในการปฏิบัติตามกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เช่น [[ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๒]] | ||
'''๖. อำนาจหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี'''<ref>เรื่องเดียวกัน หน้า ๓๖.</ref> | |||
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาจได้รับมอบหมายอำนาจหน้าที่จากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการในเรื่องอื่น ๆ ตามความจำเป็น | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาจได้รับมอบหมายอำนาจหน้าที่จากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการในเรื่องอื่น ๆ ตามความจำเป็น | ||
==ความรับผิดชอบของรัฐมนตรี== | ==ความรับผิดชอบของรัฐมนตรี<ref>อัครเมศวร์ ทองนวล, “สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่อง ๑๐. คณะรัฐมนตรี, (กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา), ๒๕๔๔. หน้า ๙.</ref>== | ||
'''๑. ความรับผิดชอบร่วมกันของรัฐมนตรีทั้งคณะ''' | |||
ความรับผิดชอบร่วมกันของรัฐมนตรีทั้งคณะ เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของรัฐมนตรีทั้งคณะต่อรัฐสภาในการบริหารราชการตามนโยบายทั่วไปของคณะรัฐมนตรี ไม่ว่าการบริหารราชการนั้นจะเกิดผลประการใดก็ตาม แต่ถ้าการบริหารราชการนั้นเกิดผลเสียหายต่อส่วนรวม นายกรัฐมนตรีก็อาจถูกตั้ง[[กระทู้ถาม]] หรือถูกเสนอ[[ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป]]เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจได้ | |||
ความรับผิดชอบร่วมกันของรัฐมนตรีทั้งคณะนี้ จะครอบคลุมทุกเรื่องของคณะรัฐมนตรี เช่น เรื่องนโยบายของคณะรัฐมนตรี เรื่อง[[การเสนอร่างพระราชบัญญัติ]] [[การออกพระราชกำหนด]] [[การออกพระราชกฤษฎีกา]] เป็นต้น ความรับผิดชอบร่วมกันจะมีที่มาจากการมีมติในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี | |||
'''๒. ความรับผิดชอบเฉพาะตัวของรัฐมนตรี''' | |||
๒. ความรับผิดชอบเฉพาะตัวของรัฐมนตรี | |||
ความรับผิดชอบเฉพาะตัวของรัฐมนตรี เป็นความรับผิดชอบของรัฐมนตรีที่เข้าไปดำรงตำแหน่งในกระทรวงต่าง ๆ ต่อสภาผู้แทนราษฎรในการบริหารราชการในหน้าที่ของตนไม่ว่าการบริหารราชการนั้นจะเกิดผลประการใดก็ตาม แต่ถ้าการบริหารราชการนั้นเกิดผลเสียหายต่อส่วนรวม รัฐมนตรีคนนั้นก็อาจถูกตั้งกระทู้ถาม หรือถูกเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจได้ | ความรับผิดชอบเฉพาะตัวของรัฐมนตรี เป็นความรับผิดชอบของรัฐมนตรีที่เข้าไปดำรงตำแหน่งในกระทรวงต่าง ๆ ต่อสภาผู้แทนราษฎรในการบริหารราชการในหน้าที่ของตนไม่ว่าการบริหารราชการนั้นจะเกิดผลประการใดก็ตาม แต่ถ้าการบริหารราชการนั้นเกิดผลเสียหายต่อส่วนรวม รัฐมนตรีคนนั้นก็อาจถูกตั้งกระทู้ถาม หรือถูกเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจได้ | ||
ความรับผิดชอบเฉพาะตัวของรัฐมนตรีจะครอบคลุมทุกเรื่องของแต่ละกระทรวง เช่น เรื่องนโยบายของกระทรวง การออกกฎหมายหรือกฎระเบียบ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ เป็นต้น | ความรับผิดชอบเฉพาะตัวของรัฐมนตรีจะครอบคลุมทุกเรื่องของแต่ละกระทรวง เช่น เรื่องนโยบายของกระทรวง การออกกฎหมายหรือกฎระเบียบ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ เป็นต้น | ||
==การพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี== | ==การพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี<ref>รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐, (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๔. หน้า ๑๓๑ – ๑๓๔.</ref>== | ||
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ได้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีไว้ ๒ กรณี คือ | [[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐]] ได้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีไว้ ๒ กรณี คือ | ||
๑. การพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีทั้งคณะ | |||
'''๑. การพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีทั้งคณะ''' | |||
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๘๐ ได้กำหนดให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ | รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๘๐ ได้กำหนดให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ | ||
๑) ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง | ๑) ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง | ||
๒) อายุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร | ๒) อายุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร | ||
๓) คณะรัฐมนตรีลาออก | ๓) คณะรัฐมนตรีลาออก | ||
๒. การพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะตัว | |||
'''๒. การพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะตัว''' | |||
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๘๒ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อ | รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๘๒ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อ | ||
๑) ตาย | ๑) ตาย | ||
๒) ลาออก | ๒) ลาออก | ||
๓) ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นกรณีที่คดียังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษหรือความผิดฐานหมิ่นประมาท | ๓) ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นกรณีที่คดียังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษหรือความผิดฐานหมิ่นประมาท | ||
๔) สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี หรือสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล | ๔) สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี หรือสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล | ||
๕) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ | ๕) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ | ||
๖) | |||
๗) ดำรงตำแหน่งหรือหน้าที่ใดในหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น ข้าราชการส่วนท้องถิ่น เว้นแต่เป็นการดำรงตำแหน่งหรือดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย | ๖) มี[[พระบรมราชโองการ]]ให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี | ||
๗) ดำรงตำแหน่งหรือหน้าที่ใดในหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น [[ข้าราชการส่วนท้องถิ่น]] เว้นแต่เป็นการดำรงตำแหน่งหรือดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย | |||
๘) รับหรือแทรกแซงหรือก้าวก่ายการรับสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ อันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม เว้นแต่เป็นการดำรงตำแหน่งหรือดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย | ๘) รับหรือแทรกแซงหรือก้าวก่ายการรับสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ อันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม เว้นแต่เป็นการดำรงตำแหน่งหรือดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย | ||
๙) รับเงินหรือประโยชน์ใดๆ จากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เป็นพิเศษนอกเหนือไปจากที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ปฏิบัติต่อบุคคลอื่นๆ ในธุรกิจการงานตามปกติ เว้นแต่เป็นการดำรงตำแหน่งหรือดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย | ๙) รับเงินหรือประโยชน์ใดๆ จากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เป็นพิเศษนอกเหนือไปจากที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ปฏิบัติต่อบุคคลอื่นๆ ในธุรกิจการงานตามปกติ เว้นแต่เป็นการดำรงตำแหน่งหรือดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย | ||
๑๐) เป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือโทรคมนาคม ไม่ว่าในนามของตนเองหรือให้ผู้อื่นเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นแทน หรือดำเนินการโดยวิธีการอื่นไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมที่สามารถบริหารกิจการดังกล่าวได้ในทำนองเดียวกับการเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการดังกล่าว เว้นแต่เป็นการดำรงตำแหน่งหรือดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย | ๑๐) เป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือโทรคมนาคม ไม่ว่าในนามของตนเองหรือให้ผู้อื่นเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นแทน หรือดำเนินการโดยวิธีการอื่นไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมที่สามารถบริหารกิจการดังกล่าวได้ในทำนองเดียวกับการเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการดังกล่าว เว้นแต่เป็นการดำรงตำแหน่งหรือดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย | ||
๑๑) ดำรงตำแหน่งใดในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใด | ๑๑) ดำรงตำแหน่งใดในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใด | ||
๑๒) ใช้สถานะหรือตำแหน่งก้าวก่ายหรือแทรกแซงกิจการในเรื่องต่อไปนี้ เพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม เว้นแต่เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภาหรือตามที่กฎหมายบัญญัติ | ๑๒) ใช้สถานะหรือตำแหน่งก้าวก่ายหรือแทรกแซงกิจการในเรื่องต่อไปนี้ เพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม เว้นแต่เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภาหรือตามที่กฎหมายบัญญัติ | ||
(๑) การปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ | |||
(๑) การปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือ[[ราชการส่วนท้องถิ่น]] | |||
(๒) การบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย โอน เลื่อนตำแหน่งและเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำและมิใช่ข้าราชการการเมือง พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น | (๒) การบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย โอน เลื่อนตำแหน่งและเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำและมิใช่ข้าราชการการเมือง พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น | ||
(๓) การให้ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำและมิใช่ข้าราชการการเมือง พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น พ้นจากตำแหน่ง | (๓) การให้ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำและมิใช่ข้าราชการการเมือง พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น พ้นจากตำแหน่ง | ||
๑๓) เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือคงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไปตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติ | |||
๑๔) วุฒิสภามีมติให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง | ๑๓) เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือคงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไปตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติ เว้นแต่จะได้แจ้งให้[[ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ]]ทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งว่าประสงค์จะได้รับประโยชน์จากกรณีดังกล่าวต่อไป และได้โอนหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทดังกล่าวให้นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ตามที่กฎหมายบัญญัติ | ||
๑๔) วุฒิสภามีมติให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง | |||
๑๕) ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อดำรงตำแหน่งติดต่อกันครบกำหนดเวลา ๘ ปี | ๑๕) ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อดำรงตำแหน่งติดต่อกันครบกำหนดเวลา ๘ ปี | ||
==การกระทำอันต้องห้ามของรัฐมนตรี<ref>The Thai Association of University Women (TAUW), under the Patronage of H.R.H. Princess Galyani Vadhana, Krom Luang Naradhiwas Rajanagarindra, บทที่ ๗ เรื่อง คณะรัฐมนตรี. [ออนไลน์] สืบค้นจาก : https://sites.google.com/site/tauw๒๔๙๑/sm๔๗ (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗). </ref>== | |||
ในขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีจะต้องไม่กระทำการอันต้องห้าม ต่อไปนี้ | |||
๑. เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ นอกจากข้าราชการการเมือง | ๑. เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ นอกจากข้าราชการการเมือง | ||
๒. ดำรงตำแหน่งหรือหน้าที่ใดในหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น เว้นแต่ตำแหน่งข้าราชการการเมืองอื่นๆหรือตำแหน่งที่ต้องดำรงตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และจะดำรงตำแหน่งในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจ โดยมุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใดก็มิได้ด้วย | ๒. ดำรงตำแหน่งหรือหน้าที่ใดในหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น เว้นแต่ตำแหน่งข้าราชการการเมืองอื่นๆหรือตำแหน่งที่ต้องดำรงตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และจะดำรงตำแหน่งในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจ โดยมุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใดก็มิได้ด้วย | ||
๓. รับเงินหรือประโยชน์ใดๆจากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเป็นพิเศษนอกเหนือไปจากที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจปฏิบัติกับบุคคลอื่นๆในธุรกิจการงานตามปกติทั้งนี้ไม่รวมถึงกับการเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ | |||
๓. รับเงินหรือประโยชน์ใดๆจากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเป็นพิเศษนอกเหนือไปจากที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจปฏิบัติกับบุคคลอื่นๆในธุรกิจการงานตามปกติทั้งนี้ไม่รวมถึงกับการเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ เงินปี[[พระบรมวงศานุวงศ์]] หรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกัน | |||
๔. รับสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ อันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน หรือเป็นหุ้นส่วนหรือ ผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว | ๔. รับสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ อันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน หรือเป็นหุ้นส่วนหรือ ผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว | ||
๕. เป็นหุ้นส่วน หรือเป็นผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือยังคงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไป ทั้งนี้ ตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติ ในกรณีที่รัฐมนตรี ผู้ใดประสงค์จะได้รับประโยชน์จากกรณีดังกล่าวต่อไป ให้รัฐมนตรีผู้นั้นแจ้งให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง และให้รัฐมนตรีผู้นั้นโอนหุ้นให้นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ และห้ามมิให้รัฐมนตรีผู้นั้น กระทำการใดอันมีลักษณะเป็นการเข้าไปบริหารหรือจัดการใดๆเกี่ยวกับหุ้น หรือกิจการของห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทดังกล่าว | ๕. เป็นหุ้นส่วน หรือเป็นผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือยังคงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไป ทั้งนี้ ตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติ ในกรณีที่รัฐมนตรี ผู้ใดประสงค์จะได้รับประโยชน์จากกรณีดังกล่าวต่อไป ให้รัฐมนตรีผู้นั้นแจ้งให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง และให้รัฐมนตรีผู้นั้นโอนหุ้นให้นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ และห้ามมิให้รัฐมนตรีผู้นั้น กระทำการใดอันมีลักษณะเป็นการเข้าไปบริหารหรือจัดการใดๆเกี่ยวกับหุ้น หรือกิจการของห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทดังกล่าว | ||
<center>'''ตารางเปรียบเทียบบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540 กับ รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ในประเด็นเรื่องการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร'''</center> | |||
ตำแหน่ง อัตราเงินเดือน (บาท) | |||
นายกรัฐมนตรี ๗๕,๕๙๐ ๕๐,๐๐๐ ๑๒๕,๕๙๐ | |||
รองนายกรัฐมนตรี ๗๔,๔๒๐ ๔๕,๕๐๐ ๑๑๙,๙๒๐ | {| border="1" align="center" | ||
รัฐมนตรีว่าการของทุกกระทรวง และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ๗๓,๒๔๐ ๔๒,๕๐๐ ๑๑๕,๗๔๐ | |- | ||
รัฐมนตรีช่วยว่าการทุกกระทรวง ๗๒,๐๖๐ ๔๑,๕๐๐ ๑๑๓,๕๖๐ | !width="100" style="background:#87cefa;" | '''ตำแหน่ง''' | ||
!width="100" style="background:#87cefa;" | '''อัตราเงินเดือน(บาท)'''<ref> พระราชกฤษฎีกาการปรับอัตราเงินเดือนของข้าราชการ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๔, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๒๒ ก, ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔, หน้าบัญชีอัตราตำแหน่งและเงินเดือนข้าราชการการเมือง.</ref> | |||
!width="100" style="background:#87cefa;" | '''อัตราเงินประจำตำแหน่ง(บาท/เดือน)'''<ref>สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร,“สิทธิประโยชน์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๒๕๕๔”, (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๔. หน้า ๔๖.</ref> | |||
!width="100" style="background:#87cefa;" | '''รวม(บาท/เดือน)''' | |||
|- | |||
|align="center" |นายกรัฐมนตรี | |||
|align="center" |๗๕,๕๙๐ | |||
|align="center" |๕๐,๐๐๐ | |||
|align="center" |'''๑๒๕,๕๙๐''' | |||
|- | |||
|align="center" |รองนายกรัฐมนตรี | |||
|align="center" |๗๔,๔๒๐ | |||
|align="center" |๔๕,๕๐๐ | |||
|align="center" |'''๑๑๙,๙๒๐''' | |||
|- | |||
|align="center" |รัฐมนตรีว่าการของทุกกระทรวง และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี | |||
|align="center" |๗๓,๒๔๐ | |||
|align="center" |๔๒,๕๐๐ | |||
|align="center" |'''๑๑๕,๗๔๐''' | |||
|- | |||
|align="center" |รัฐมนตรีช่วยว่าการทุกกระทรวง | |||
|align="center" |๗๒,๐๖๐ | |||
|align="center" |๔๑,๕๐๐ | |||
|align="center" |'''๑๑๓,๕๖๐''' | |||
|- | |||
|} | |||
==อ้างอิง== | ==อ้างอิง== | ||
บรรทัดที่ 156: | บรรทัดที่ 270: | ||
==หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ== | ==หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ== | ||
๑. นคร พจนวรพงษ์ และอุกฤษ พจนวรพงษ์. ข้อมูลประวัติศาสตร์การเมืองไทย. (กรุงเทพฯ : ขวัญนคร), ๒๕๔๙. | ๑. นคร พจนวรพงษ์ และอุกฤษ พจนวรพงษ์. '''ข้อมูลประวัติศาสตร์การเมืองไทย'''. (กรุงเทพฯ : ขวัญนคร), ๒๕๔๙. | ||
๒. สมบัติ ธำรงธัญวงศ์. การเมืองการปกครองไทย : พ.ศ. ๑๗๖๑-๒๕๐๐. (กรุงเทพฯ : เสมาธรรม), ๒๕๔๙. | |||
๓. สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน. แนวทางการบริหารราชการยุคใหม่ของรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง หัวหน้ากลุ่มภารกิจ และอธิบดี, (กรุงเทพฯ : ฟิสิกส์เซ็นเตอร์), ๒๕๔๕. | ๒. สมบัติ ธำรงธัญวงศ์. '''การเมืองการปกครองไทย : พ.ศ. ๑๗๖๑-๒๕๐๐'''. (กรุงเทพฯ : เสมาธรรม), ๒๕๔๙. | ||
๔. อัครเมศวร์ ทองนวล. สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) หมวด องค์กรทางการเมือง เรื่อง ๑๐. คณะรัฐมนตรี. (กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา), ๒๕๔๔. | |||
๓. สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน. '''แนวทางการบริหารราชการยุคใหม่ของรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง หัวหน้ากลุ่มภารกิจ และอธิบดี''', (กรุงเทพฯ : ฟิสิกส์เซ็นเตอร์), ๒๕๔๕. | |||
๔. อัครเมศวร์ ทองนวล. '''สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) หมวด องค์กรทางการเมือง เรื่อง ๑๐. คณะรัฐมนตรี'''. (กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา), ๒๕๔๔. | |||
==บรรณานุกรม== | ==บรรณานุกรม== | ||
คณิน บุญสุวรรณ. ปทานานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทยฉบับสมบูรณ์. (กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ), ๒๕๔๘. | คณิน บุญสุวรรณ. '''ปทานานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทยฉบับสมบูรณ์'''. (กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ), ๒๕๔๘. | ||
โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน. สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เล่ม ๒๗. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://kanchanapisek.or.th/kp๖/BOOK๒๗/chapter๒/chap๒.htm. (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗). | |||
เดลินิวส์, อำนาจหน้าที่รัฐมนตรี. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://www.dailynews.co.th (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗). | โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน. '''สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เล่ม ๒๗'''. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://kanchanapisek.or.th/kp๖/BOOK๒๗/chapter๒/chap๒.htm. (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗). | ||
นคร พจนวรพงษ์ และอุกฤษ พจนวรพงษ์. ข้อมูลประวัติศาสตร์การเมืองไทย. (กรุงเทพฯ : | |||
พระราชกฤษฎีกาการปรับอัตราเงินเดือนของข้าราชการ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๔, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๒๒ ก, ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔, หน้าบัญชีอัตราตำแหน่งและเงินเดือนข้าราชการการเมือง. | เดลินิวส์, '''อำนาจหน้าที่รัฐมนตรี'''. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://www.dailynews.co.th (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗). | ||
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕ ตอนที่ ๒๒ ก, ๒๕ มกราคม ๒๕๕๑. | |||
ราชบัณฑิตยสถาน, “รัฐมนตรี” ใน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๒. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://rirs๓.royin.go.th/new-search/word-search-all-x.asp (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗). | นคร พจนวรพงษ์ และอุกฤษ พจนวรพงษ์. '''ข้อมูลประวัติศาสตร์การเมืองไทย'''. (กรุงเทพฯ : ขวัญนคร), ๒๕๔๙. | ||
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐, (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๔. | |||
วิษณุ เครืองาม, การเข้าสู่ตำแหน่งของรัฐมนตรี. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://guru.sanook.com/enc_preview.php?id=๑๙๒๐ (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗). | พระราชกฤษฎีกาการปรับอัตราเงินเดือนของข้าราชการ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๔, '''ราชกิจจานุเบกษา''' เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๒๒ ก, ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔, หน้าบัญชีอัตราตำแหน่งและเงินเดือนข้าราชการการเมือง. | ||
สถาบันพระปกเกล้า, โครงการเฉลิมพระเกียรติ สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) : คณะรัฐมนตรี , กรุงเทพฯ : สถาบัน., ๒๕๔๔. | |||
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน. แนวทางการบริหารราชการยุคใหม่ของรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง หัวหน้ากลุ่มภารกิจ และอธิบดี. (กรุงเทพฯ : ฟิสิกส์เซ็นเตอร์), ๒๕๔๕. | พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑, '''ราชกิจจานุเบกษา''' เล่ม ๑๒๕ ตอนที่ ๒๒ ก, ๒๕ มกราคม ๒๕๕๑. | ||
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, “ระบบงานรัฐสภา ๒๕๕๕”, (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๕. | |||
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร,“สิทธิประโยชน์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๒๕๕๔”, (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๔. | ราชบัณฑิตยสถาน, “รัฐมนตรี” ใน '''พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๒'''. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://rirs๓.royin.go.th/new-search/word-search-all-x.asp (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗). | ||
สมบัติ ธำรงธัญวงศ์. การเมืองการปกครองไทย : พ.ศ. ๑๗๖๒-๒๕๐๐. (กรุงเทพฯ : เสมาธรรม), ๒๕๔๙. | |||
อัครเมศวร์ ทองนวล. สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่อง ๑๐. คณะรัฐมนตรี. (กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา), ๒๕๔๔. | '''รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐''', (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๔. | ||
The Thai Association of University Women (TAUW), under the Patronage of H.R.H. Princess Galyani Vadhana, Krom Luang Naradhiwas Rajanagarindra, บทที่ ๗ เรื่อง คณะรัฐมนตรี. [ออนไลน์] สืบค้นจาก : https://sites.google.com/site/tauw๒๔๙๑/sm๔๗ (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗). | |||
วิษณุ เครืองาม, '''การเข้าสู่ตำแหน่งของรัฐมนตรี'''. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://guru.sanook.com/enc_preview.php?id=๑๙๒๐ (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗). | |||
สถาบันพระปกเกล้า, '''โครงการเฉลิมพระเกียรติ สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐)''' : คณะรัฐมนตรี , กรุงเทพฯ : สถาบัน., ๒๕๔๔. | |||
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน. '''แนวทางการบริหารราชการยุคใหม่ของรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง หัวหน้ากลุ่มภารกิจ และอธิบดี'''. (กรุงเทพฯ : ฟิสิกส์เซ็นเตอร์), ๒๕๔๕. | |||
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, '''“ระบบงานรัฐสภา ๒๕๕๕”''', (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๕. | |||
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร,'''“สิทธิประโยชน์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๒๕๕๔”''', (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๔. | |||
สมบัติ ธำรงธัญวงศ์. '''การเมืองการปกครองไทย : พ.ศ. ๑๗๖๒-๒๕๐๐'''. (กรุงเทพฯ : เสมาธรรม), ๒๕๔๙. | |||
อัครเมศวร์ ทองนวล. '''สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่อง ๑๐. คณะรัฐมนตรี'''. (กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา), ๒๕๔๔. | |||
The Thai Association of University Women (TAUW), under the Patronage of H.R.H. Princess Galyani Vadhana, Krom Luang Naradhiwas Rajanagarindra, '''บทที่ ๗ เรื่อง คณะรัฐมนตรี'''. [ออนไลน์] สืบค้นจาก : https://sites.google.com/site/tauw๒๔๙๑/sm๔๗ (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗). | |||
==ดูเพิ่มเติม== | ==ดูเพิ่มเติม== | ||
• การบริหารราชการแผ่นดิน | • การบริหารราชการแผ่นดิน | ||
• คณะรัฐมนตรี | • คณะรัฐมนตรี | ||
• ฝ่ายบริหาร | • ฝ่ายบริหาร | ||
[[หมวดหมู่:สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]] | |||
[[หมวดหมู่: |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 13:09, 16 ตุลาคม 2557
ผู้เรียบเรียง นายโชคสุข กรกิตติชัย
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง
บทนำ
นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยได้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศตลอดมา รัฐธรรมนูญที่มีมาทุกฉบับได้กำหนดรูปแบบการบริหารการปกครองประเทศอยู่ในระบบรัฐสภา โดยมีหลักสำคัญในการปกครองว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล โดยมีการแบ่งแยกองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยออกเป็น ๓ ฝ่าย คือ
๑. รัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติในการตรากฎหมายต่าง ๆ
๒. คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารในการบริหารราชการแผ่นดิน สำหรับคณะรัฐมนตรีนั้นประกอบไปด้วยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีตามจำนวนที่รัฐธรรมนูญกำหนด มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน
๓. ศาลเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี[1]
ประวัติความเป็นมาของรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีที่มาจากคณะเสนาบดีในอดีต สมัยสุโขทัยมีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก และให้ราษฎรช่วยกัน “ถือบ้านถือเมือง” ในสมัยอยุธยามีการตั้งตำแหน่งจตุสดมภ์ ๔ ตำแหน่ง คือ เวียง วัง คลัง นา มีเสนาบดีเป็นหัวหน้ารับผิดชอบแต่ละฝ่าย มีสมุหนายกและสมุหกลาโหมเป็นหัวหน้าเสนาบดีสูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง แต่บทบาทเน้นหนักไปในทางการเป็นแม่ทัพใหญ่และรับผิดชอบดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้เป็นสำคัญ[2]
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังคงจัดการปกครองในลักษณะเดียวกับการปกครองสมัยอยุธยาและธนบุรี จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิรูปการปกครองใหม่ โดยทรงจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of state) และสภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์ (Privy Council) ขึ้น ยกเลิกตำแหน่งสมุหกลาโหมและสมุหนายก และยกฐานะกรมต่าง ๆ ขึ้นเป็นกระทรวง มีเสนาบดีเป็นหัวหน้า[3] มีปลัดทูลฉลองเป็นผู้กลั่นกรองเรื่องและช่วยราชการภายในกระทรวง มีการประชุมเสนาบดีในทำนองการประชุมคณะรัฐมนตรี แต่ไม่มีหัวหน้าคณะเสนาบดีในทำนองนายกรัฐมนตรี เพราะในการประชุมคณะเสนาบดี พระมหากษัตริย์ประทับเป็นประธานเอง หรือมิฉะนั้นก็ให้ที่ประชุมเลือกประธานเป็นครั้งคราว การบริหารราชการแผ่นดินโดยระบบคณะเสนาบดีได้ดำเนินมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีการจัดตั้งคณะองคมนตรีสภา ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาในการปกครองและการออกกฎหมายทำนองเดียวกับรัฐสภา และมีการจัดตั้งเสนาบดีสภาเป็นที่ประชุมปรึกษาของเสนาบดีทั้งหลาย การบริหารราชการแผ่นดินในอดีตก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงเป็นเรื่องของพระมหากษัตริย์โดยตรง การแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งก็ดี การกำหนดนโยบายในการบริหารก็ดี การควบคุมการบริหารก็ดี เป็นเรื่องตามพระราชอัธยาศัย[4]
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ โดยคณะราษฎรแล้ว ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ ซึ่งกำหนดให้มี “คณะกรรมการราษฎร” มีจำนวน ๑๕ คน ทำหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน มี “ประธานกรรมการราษฎร” เป็นหัวหน้า ในระหว่างที่มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติให้ใช้ คำว่า “รัฐมนตรี” แทน “กรรมการราษฎร” และใช้คำว่า “นายกรัฐมนตรี” แทน “ประธานคณะกรรมการราษฎร” และคำว่า “คณะรัฐมนตรี” แทนคำคณะกรรมการราษฎรว่า “” ซึ่งเป็นคำที่ใช้ปรากฏครั้งแรกในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ และใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน[5]
ความหมายของรัฐมนตรี
“รัฐมนตรี” หมายความถึง บุคคลซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน รัฐมนตรีมี ๒ ฐานะ ฐานะแรกเป็นสมาชิก คณะรัฐมนตรีซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้า และอีกฐานะหนึ่งเป็นเจ้ากระทรวงผู้มีอำนาจเต็มของส่วนราชการระดับกระทรวงตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน[6]
ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง ผู้เป็นสมาชิกของคณะรัฐมนตรี หรือ คณะรัฐบาล รับผิดชอบร่วมกับ คณะรัฐมนตรีในนโยบายทั่วไปของรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน, ถ้าเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง หรือทบวง ก็เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในกระทรวงหรือทบวงที่ตนว่าการ และ รับผิดชอบในการบริหารราชการกระทรวงหรือทบวงนั้นด้วยอีกฐานะหนึ่ง (คำว่ารัฐมนตรีนี้ในสมัยโบราณ หมายถึง ที่ปรึกษาราชการบ้านเมืองในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์).[7] รัฐมนตรี (Minister) ของกระทรวงต่างๆ นี้ เมื่อได้รับการแต่งตั้งครบทุกกระทรวงตามจำนวนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อทำหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินร่วมกันนี้ในฐานะผู้นำในการบริหารประเทศ ก็จะเรียกรวมกันว่าเป็น “คณะรัฐมนตรี”[8]
องค์ประกอบของคณะรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี ๑ คนกับรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกิน ๓๕ คน มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน รัฐมนตรีจะแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) หรือจากบุคคลภายนอกก็ได้ แต่จะแต่งตั้งจากสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) ไม่ได้ นายกรัฐมนตรีถือว่าเป็นรัฐมนตรี จึงต้องมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับรัฐมนตรี[9]
การเข้าสู่ตำแหน่งของรัฐมนตรี (ขั้นตอนการแต่งตั้งรัฐมนตรี)
การแต่งตั้งรัฐมนตรีนั้น นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้นำรายชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งขึ้นกราบบังคม ทูล เพื่อทรงแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี ซึ่งในทางปฏิบัติพระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งรัฐมนตรีตามที่นายกรัฐมนตรี เสนอ รัฐมนตรีจะต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ก่อนเข้ารับหน้าที่ด้วย[10]
ซึ่งการจะเป็นรัฐมนตรีได้นั้น ต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งตามที่ นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำ และลงนามรับผิดชอบเรียกว่า “ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ” ส่วนการจะเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งตามที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรถวายคำแนะนำและลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ สำหรับขั้นตอนในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมีตามลำดับดังนี้
๑. มีการเลือกตั้งทั่วไปซึ่งจะต้องจัดขึ้นในวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร
๒. คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการเลือกตั้ง
๓. พระมหากษัตริย์ทรงตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา
๔. พระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงทำรัฐพิธีเปิดประชุมสมัยประชุมสามัญทั่วไปครั้งแรก
๕. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร
๖. พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร
๗. ประธานสภาผู้แทนราษฎรเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกตามข้อ ๔ การเสนอชื่อผู้ควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๕ ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรรับรอง (๑ ใน ๕ ของจำนวน ๕๐๐ คน เท่ากับ ๑๐๐ คน) มติเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรต้องกระทำโดยการลงคะแนนอย่างเปิดเผย และมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร (๒๕๑ คน) แต่ถ้าคะแนนเสียงยังไม่ได้มากกว่ากึ่งหนึ่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎรก็สามารถเรียกประชุมได้อีกจนกว่าจะได้มติเช่นว่านั้น แต่ถ้าพ้นกำหนด ๓๐ วันแล้ว ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรนำชื่อบุคคลผู้ได้คะแนนเสียงสูงสุดขึ้นกราบบังคมทูลภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าว แม้บุคคลนั้นจะได้คะแนนเสียงไม่มากกว่ากึ่งหนึ่งก็ตาม ในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
๘. พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
๙. นายกรัฐมนตรีคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี แล้วนำความกราบบังคมทูล นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
๑๐. พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งรัฐมนตรี
๑๑. นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ โดยรัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำ[11] ดังต่อไปนี้
“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”[12]
๑๒. คณะรัฐมนตรีประชุมปรึกษาเพื่อร่างนโยบายต่อรัฐสภาและชี้แจงการดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ[13]
ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งด้วยเหตุอื่นที่มิใช่เพราะสภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร จะต้องมีการดำเนินการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีตามข้อ ๗ – ๑๒ ใหม่ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๘๐ วรรคสอง
คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี[14]
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๗๔ ได้กำหนดว่า รัฐมนตรีต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ คือ
๑. มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
๒. มีอายุไม่ต่ำกว่า ๓๕ ปีบริบูรณ์
๓. สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
๔. ไม่ติดยาเสพติดให้โทษ
๕. ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต
๖. ไม่เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช
๗. ไม่อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
๘. ไม่วิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
๙. ไม่ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล
๑๐. ไม่เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ
๑๑. ไม่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เพราะร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ
๑๒. ไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำนอกจากข้าราชการการเมือง
๑๓. ไม่เป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
๑๔. ไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ
๑๕. ไม่เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน หรือกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๑๖. ไม่อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเนื่องจากการไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน หรือยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินไม่ชอบตามกฎหมาย
๑๗. ไม่เคยถูกวุฒิสภามีมติให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง
๑๘. ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง ๕ ปีก่อนได้รับแต่งตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
๑๙. ไม่เป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาซึ่งสมาชิกภาพสิ้นสุดลงมาแล้วยังไม่เกิน ๒ ปีนับถึงวันที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี
อำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรี
๑. อำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ[15]
๑.๑ จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน รักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
๑.๒ มีสิทธิเข้าประชุมและแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมสภา และในกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภามีมติให้เข้าประชุมในเรื่องใด รัฐมนตรีต้องเข้าร่วมประชุม
๑.๓ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ถ้ารัฐมนตรีผู้ใดเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในขณะเดียวกันด้วย ห้ามมิให้รัฐมนตรีผู้นั้นออกเสียงลงคะแนนในเรื่องที่เกี่ยวกับการดำรงตำแหน่ง การปฏิบัติหน้าที่หรือการมีส่วนได้เสียในเรื่องนั้น
๑.๔ ในการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐมนตรีต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรในหน้าที่ของตน และต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภาในนโยบายทั่วไปของคณะรัฐมนตรี
๒. อำนาจหน้าที่ตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน[16]
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน(ฉบับที่ ๕)พ.ศ.๒๕๔๕ ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ดังนี้
๒.๑ เป็นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการในกระทรวง และของส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม หน่วยงานของรัฐในกำกับและความรับผิดชอบในสังกัดกระทรวง เช่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน เป็นต้น โดยรัฐมนตรีว่าการอาจมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงปฏิบัติราชการแทนก็ได้
๒.๒ กำหนดนโยบาย เป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ของงานในกระทรวงให้สอดคล้องกับนโยบายที่คณะรัฐมนตรีแถลงต่อรัฐสภาหรือที่คณะรัฐมนตรีกำหนดหรืออนุมัติ โดยให้มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติราชการแทนก็ได้ ทั้งนี้ การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การปฏิบัติราชการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ให้เป็นไปภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบ และคำสั่งที่เกี่ยวข้อง หรือตามมติคณะรัฐมนตรี
๓. อำนาจหน้าที่ตามระเบียบข้าราชการพลเรือน[17]
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมีอำนาจหน้าที่ด้านการบริหารงานบุคคล การบรรจุแต่งตั้ง การเลื่อนขั้นเงินเดือน และการดำเนินการทางวินัยข้าราชการพลเรือนผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง และข้าราชการประจำสำนักงานรัฐมนตรี ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
๔. อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ[18]
พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ กำหนดให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดของส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีหน้าที่รับผิดชอบในการเสนอคำขอตั้งงบประมาณประจำปีของส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจนั้นต่อผู้อำนวยการสำนักงบประมาณภายในเวลาที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกำหนด เป็นผู้รับผิดชอบในการควบคุมงบประมาณให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบหรือข้อบังคับ มีอำนาจในการกำกับตรวจสอบโดยอาจเรียกส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมาเสนอข้อเท็จจริง และมีหน้าที่ในการประกาศรายงานรับจ่ายเงินประจำปีเมื่อสิ้นปีงบประมาณในราชกิจจานุเบกษา
๕. อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายอื่น[19]
๕.๑ มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดในกฎหมายอื่น ๆ ของกระทรวงและหรือส่วนราชการหรือหน่วยงานที่อยู่ในกำกับหรือความรับผิดชอบของกระทรวงที่ระบุให้เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรี
๕.๒ เสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ข้าราชการการเมืองในสังกัดตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย พ.ศ. ๒๕๓๖
๕.๓ สนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินการของกระทรวงและหน่วยงานในสังกัดในการปฏิบัติตามกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เช่น ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๒
๖. อำนาจหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี[20]
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาจได้รับมอบหมายอำนาจหน้าที่จากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการในเรื่องอื่น ๆ ตามความจำเป็น
ความรับผิดชอบของรัฐมนตรี[21]
๑. ความรับผิดชอบร่วมกันของรัฐมนตรีทั้งคณะ
ความรับผิดชอบร่วมกันของรัฐมนตรีทั้งคณะ เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของรัฐมนตรีทั้งคณะต่อรัฐสภาในการบริหารราชการตามนโยบายทั่วไปของคณะรัฐมนตรี ไม่ว่าการบริหารราชการนั้นจะเกิดผลประการใดก็ตาม แต่ถ้าการบริหารราชการนั้นเกิดผลเสียหายต่อส่วนรวม นายกรัฐมนตรีก็อาจถูกตั้งกระทู้ถาม หรือถูกเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจได้
ความรับผิดชอบร่วมกันของรัฐมนตรีทั้งคณะนี้ จะครอบคลุมทุกเรื่องของคณะรัฐมนตรี เช่น เรื่องนโยบายของคณะรัฐมนตรี เรื่องการเสนอร่างพระราชบัญญัติ การออกพระราชกำหนด การออกพระราชกฤษฎีกา เป็นต้น ความรับผิดชอบร่วมกันจะมีที่มาจากการมีมติในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
๒. ความรับผิดชอบเฉพาะตัวของรัฐมนตรี
ความรับผิดชอบเฉพาะตัวของรัฐมนตรี เป็นความรับผิดชอบของรัฐมนตรีที่เข้าไปดำรงตำแหน่งในกระทรวงต่าง ๆ ต่อสภาผู้แทนราษฎรในการบริหารราชการในหน้าที่ของตนไม่ว่าการบริหารราชการนั้นจะเกิดผลประการใดก็ตาม แต่ถ้าการบริหารราชการนั้นเกิดผลเสียหายต่อส่วนรวม รัฐมนตรีคนนั้นก็อาจถูกตั้งกระทู้ถาม หรือถูกเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจได้
ความรับผิดชอบเฉพาะตัวของรัฐมนตรีจะครอบคลุมทุกเรื่องของแต่ละกระทรวง เช่น เรื่องนโยบายของกระทรวง การออกกฎหมายหรือกฎระเบียบ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ เป็นต้น
การพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี[22]
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ได้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีไว้ ๒ กรณี คือ
๑. การพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีทั้งคณะ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๘๐ ได้กำหนดให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
๑) ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง
๒) อายุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร
๓) คณะรัฐมนตรีลาออก
๒. การพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะตัว
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๘๒ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อ
๑) ตาย
๒) ลาออก
๓) ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นกรณีที่คดียังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษหรือความผิดฐานหมิ่นประมาท
๔) สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี หรือสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
๕) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ
๖) มีพระบรมราชโองการให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
๗) ดำรงตำแหน่งหรือหน้าที่ใดในหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น ข้าราชการส่วนท้องถิ่น เว้นแต่เป็นการดำรงตำแหน่งหรือดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
๘) รับหรือแทรกแซงหรือก้าวก่ายการรับสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ อันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม เว้นแต่เป็นการดำรงตำแหน่งหรือดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
๙) รับเงินหรือประโยชน์ใดๆ จากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เป็นพิเศษนอกเหนือไปจากที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ปฏิบัติต่อบุคคลอื่นๆ ในธุรกิจการงานตามปกติ เว้นแต่เป็นการดำรงตำแหน่งหรือดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
๑๐) เป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือโทรคมนาคม ไม่ว่าในนามของตนเองหรือให้ผู้อื่นเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นแทน หรือดำเนินการโดยวิธีการอื่นไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมที่สามารถบริหารกิจการดังกล่าวได้ในทำนองเดียวกับการเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการดังกล่าว เว้นแต่เป็นการดำรงตำแหน่งหรือดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
๑๑) ดำรงตำแหน่งใดในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใด
๑๒) ใช้สถานะหรือตำแหน่งก้าวก่ายหรือแทรกแซงกิจการในเรื่องต่อไปนี้ เพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม เว้นแต่เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภาหรือตามที่กฎหมายบัญญัติ
(๑) การปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น
(๒) การบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย โอน เลื่อนตำแหน่งและเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำและมิใช่ข้าราชการการเมือง พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น
(๓) การให้ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำและมิใช่ข้าราชการการเมือง พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น พ้นจากตำแหน่ง
๑๓) เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือคงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไปตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติ เว้นแต่จะได้แจ้งให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งว่าประสงค์จะได้รับประโยชน์จากกรณีดังกล่าวต่อไป และได้โอนหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทดังกล่าวให้นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ตามที่กฎหมายบัญญัติ
๑๔) วุฒิสภามีมติให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง
๑๕) ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อดำรงตำแหน่งติดต่อกันครบกำหนดเวลา ๘ ปี
การกระทำอันต้องห้ามของรัฐมนตรี[23]
ในขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีจะต้องไม่กระทำการอันต้องห้าม ต่อไปนี้
๑. เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ นอกจากข้าราชการการเมือง
๒. ดำรงตำแหน่งหรือหน้าที่ใดในหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น เว้นแต่ตำแหน่งข้าราชการการเมืองอื่นๆหรือตำแหน่งที่ต้องดำรงตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และจะดำรงตำแหน่งในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจ โดยมุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใดก็มิได้ด้วย
๓. รับเงินหรือประโยชน์ใดๆจากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเป็นพิเศษนอกเหนือไปจากที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจปฏิบัติกับบุคคลอื่นๆในธุรกิจการงานตามปกติทั้งนี้ไม่รวมถึงกับการเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ เงินปีพระบรมวงศานุวงศ์ หรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกัน
๔. รับสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ อันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน หรือเป็นหุ้นส่วนหรือ ผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว
๕. เป็นหุ้นส่วน หรือเป็นผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือยังคงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไป ทั้งนี้ ตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติ ในกรณีที่รัฐมนตรี ผู้ใดประสงค์จะได้รับประโยชน์จากกรณีดังกล่าวต่อไป ให้รัฐมนตรีผู้นั้นแจ้งให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง และให้รัฐมนตรีผู้นั้นโอนหุ้นให้นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ และห้ามมิให้รัฐมนตรีผู้นั้น กระทำการใดอันมีลักษณะเป็นการเข้าไปบริหารหรือจัดการใดๆเกี่ยวกับหุ้น หรือกิจการของห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทดังกล่าว
ตำแหน่ง | อัตราเงินเดือน(บาท)[24] | อัตราเงินประจำตำแหน่ง(บาท/เดือน)[25] | รวม(บาท/เดือน) |
---|---|---|---|
นายกรัฐมนตรี | ๗๕,๕๙๐ | ๕๐,๐๐๐ | ๑๒๕,๕๙๐ |
รองนายกรัฐมนตรี | ๗๔,๔๒๐ | ๔๕,๕๐๐ | ๑๑๙,๙๒๐ |
รัฐมนตรีว่าการของทุกกระทรวง และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี | ๗๓,๒๔๐ | ๔๒,๕๐๐ | ๑๑๕,๗๔๐ |
รัฐมนตรีช่วยว่าการทุกกระทรวง | ๗๒,๐๖๐ | ๔๑,๕๐๐ | ๑๑๓,๕๖๐ |
อ้างอิง
- ↑ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, “ระบบงานรัฐสภา ๒๕๕๕”, (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๕, หน้า ๗.
- ↑ โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน, “สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เล่ม ๒๗”, [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://kanchanapisek.or.th/kp๖/BOOK๒๗/chapter๒/chap๒.htm (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗)
- ↑ สมบัติ ธำรงธัญวงศ์, “การเมืองการปกครองไทย : พ.ศ. ๑๗๖๒–๒๕๐๐”, (กรุงเทพฯ: เสมาธรรม), ๒๕๔๙. หน้า ๓๐๒ - ๓๑๗.
- ↑ โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน, “สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เล่ม ๒๗”, [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://kanchanapisek.or.th/kp๖/BOOK๒๗/chapter๒/chap๒.htm (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗).
- ↑ นคร พจนวรพงษ์ และอุกฤษ พจนวรพงษ์, “ข้อมูลประวัติศาสตร์การเมืองไทย”, (กรุงเทพฯ : ขวัญนคร), ๒๕๔๙. หน้า ๘๓.
- ↑ คณิน บุญสุวรรณ, ปทานานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทยฉบับสมบูรณ์”, (กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ), ๒๕๔๘. หน้า ๗๕๗.
- ↑ ราชบัณฑิตยสถาน, “รัฐมนตรี” ใน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2552. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก: http://rirs๓.royin.go.th/new-search/word-search-all-x.asp (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗).
- ↑ สถาบันพระปกเกล้า, โครงการเฉลิมพระเกียรติ สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) : คณะรัฐมนตรี , กรุงเทพฯ : สถาบัน., ๒๕๔๔, หน้า ๑.
- ↑ The Thai Association of University Women (TAUW), under the Patronage of H.R.H. Princess Galyani Vadhana, Krom Luang Naradhiwas Rajanagarindra, บทที่ ๗ เรื่อง คณะรัฐมนตรี. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : https://sites.google.com/site/tauw๒๔๙๑/sm๔๗ (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗).
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐, (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๔. หน้า ๑๒๙.
- ↑ วิษณุ เครืองาม, การเข้าสู่ตำแหน่งของรัฐมนตรี. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://guru.sanook.com/enc_preview.php?id=๑๙๒๐ (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗).
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐, (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๔. หน้า ๑๒๙.
- ↑ วิษณุ เครืองาม, การเข้าสู่ตำแหน่งของรัฐมนตรี. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://guru.sanook.com/enc_preview.php?id=๑๙๒๐ (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗).
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐, (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๔. หน้า ๑๒๙.
- ↑ เดลินิวส์, อำนาจหน้าที่รัฐมนตรี. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://www.dailynews.co.th (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗).
- ↑ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน, “แนวทางการบริหารราชการยุคใหม่ของรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง หัวหน้ากลุ่มภารกิจ และอธิบดี”, (กรุงเทพฯ : ฟิสิกส์เซ็นเตอร์), ๒๕๔๕. หน้า ๓๓.
- ↑ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕ ตอนที่ ๒๒ ก, ๒๕ มกราคม ๒๕๕๑.
- ↑ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน, “แนวทางการบริหารราชการยุคใหม่ของรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง หัวหน้ากลุ่มภารกิจ และอธิบดี”, (กรุงเทพฯ : ฟิสิกส์เซ็นเตอร์), ๒๕๔๕. หน้า ๓๕.
- ↑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๖.
- ↑ เรื่องเดียวกัน หน้า ๓๖.
- ↑ อัครเมศวร์ ทองนวล, “สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่อง ๑๐. คณะรัฐมนตรี, (กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา), ๒๕๔๔. หน้า ๙.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐, (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๔. หน้า ๑๓๑ – ๑๓๔.
- ↑ The Thai Association of University Women (TAUW), under the Patronage of H.R.H. Princess Galyani Vadhana, Krom Luang Naradhiwas Rajanagarindra, บทที่ ๗ เรื่อง คณะรัฐมนตรี. [ออนไลน์] สืบค้นจาก : https://sites.google.com/site/tauw๒๔๙๑/sm๔๗ (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗).
- ↑ พระราชกฤษฎีกาการปรับอัตราเงินเดือนของข้าราชการ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๔, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๒๒ ก, ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔, หน้าบัญชีอัตราตำแหน่งและเงินเดือนข้าราชการการเมือง.
- ↑ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร,“สิทธิประโยชน์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๒๕๕๔”, (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๔. หน้า ๔๖.
หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ
๑. นคร พจนวรพงษ์ และอุกฤษ พจนวรพงษ์. ข้อมูลประวัติศาสตร์การเมืองไทย. (กรุงเทพฯ : ขวัญนคร), ๒๕๔๙.
๒. สมบัติ ธำรงธัญวงศ์. การเมืองการปกครองไทย : พ.ศ. ๑๗๖๑-๒๕๐๐. (กรุงเทพฯ : เสมาธรรม), ๒๕๔๙.
๓. สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน. แนวทางการบริหารราชการยุคใหม่ของรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง หัวหน้ากลุ่มภารกิจ และอธิบดี, (กรุงเทพฯ : ฟิสิกส์เซ็นเตอร์), ๒๕๔๕.
๔. อัครเมศวร์ ทองนวล. สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) หมวด องค์กรทางการเมือง เรื่อง ๑๐. คณะรัฐมนตรี. (กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา), ๒๕๔๔.
บรรณานุกรม
คณิน บุญสุวรรณ. ปทานานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทยฉบับสมบูรณ์. (กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ), ๒๕๔๘.
โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน. สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เล่ม ๒๗. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://kanchanapisek.or.th/kp๖/BOOK๒๗/chapter๒/chap๒.htm. (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗).
เดลินิวส์, อำนาจหน้าที่รัฐมนตรี. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://www.dailynews.co.th (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗).
นคร พจนวรพงษ์ และอุกฤษ พจนวรพงษ์. ข้อมูลประวัติศาสตร์การเมืองไทย. (กรุงเทพฯ : ขวัญนคร), ๒๕๔๙.
พระราชกฤษฎีกาการปรับอัตราเงินเดือนของข้าราชการ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๔, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๒๒ ก, ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔, หน้าบัญชีอัตราตำแหน่งและเงินเดือนข้าราชการการเมือง.
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕ ตอนที่ ๒๒ ก, ๒๕ มกราคม ๒๕๕๑.
ราชบัณฑิตยสถาน, “รัฐมนตรี” ใน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๒. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://rirs๓.royin.go.th/new-search/word-search-all-x.asp (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗).
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐, (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๔.
วิษณุ เครืองาม, การเข้าสู่ตำแหน่งของรัฐมนตรี. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://guru.sanook.com/enc_preview.php?id=๑๙๒๐ (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗).
สถาบันพระปกเกล้า, โครงการเฉลิมพระเกียรติ สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) : คณะรัฐมนตรี , กรุงเทพฯ : สถาบัน., ๒๕๔๔.
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน. แนวทางการบริหารราชการยุคใหม่ของรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง หัวหน้ากลุ่มภารกิจ และอธิบดี. (กรุงเทพฯ : ฟิสิกส์เซ็นเตอร์), ๒๕๔๕.
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, “ระบบงานรัฐสภา ๒๕๕๕”, (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๕.
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร,“สิทธิประโยชน์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๒๕๕๔”, (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๔.
สมบัติ ธำรงธัญวงศ์. การเมืองการปกครองไทย : พ.ศ. ๑๗๖๒-๒๕๐๐. (กรุงเทพฯ : เสมาธรรม), ๒๕๔๙.
อัครเมศวร์ ทองนวล. สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่อง ๑๐. คณะรัฐมนตรี. (กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา), ๒๕๔๔.
The Thai Association of University Women (TAUW), under the Patronage of H.R.H. Princess Galyani Vadhana, Krom Luang Naradhiwas Rajanagarindra, บทที่ ๗ เรื่อง คณะรัฐมนตรี. [ออนไลน์] สืบค้นจาก : https://sites.google.com/site/tauw๒๔๙๑/sm๔๗ (เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗).
ดูเพิ่มเติม
• การบริหารราชการแผ่นดิน
• คณะรัฐมนตรี
• ฝ่ายบริหาร