ผลต่างระหว่างรุ่นของ "รัฐประหาร พ.ศ. 2514"
หน้าที่ถูกสร้างด้วย ''''ผู้เรียบเรียง''' ชาติชาย มุกสง ---- '''ผู้ทรงคุณวุฒิป...' |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
(ไม่แสดง 3 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 1 คน) | |||
บรรทัดที่ 8: | บรรทัดที่ 8: | ||
==รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2514== | ==รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2514== | ||
การ[[รัฐประหาร]]ที่เกิดขึ้นในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 นับเป็นการรัฐประหารอีกครั้งหนึ่งของประเทศไทย แต่เป็นรัฐประหารเงียบในรูปแบบของ[[การยึดอำนาจ]]ตัวเองของ[[รัฐบาลทหาร]] เหมือนกันกับรัฐประหาร พ.ศ. 2494 ของ[[แปลก พิบูลสงคราม|จอมพล ป. พิบูลสงคราม]] และได้นำการปกครองกลับไปอยู่ภายใต้[[เผด็จการ]]ทหารอีกครั้ง | |||
==ลำดับเหตุการณ์การปฏิวัติยึดอำนาจ== | ==ลำดับเหตุการณ์การปฏิวัติยึดอำนาจ== | ||
การปฏิวัติเกิดขึ้นเมื่อเวลา 19.00 น. ของวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 จอมพลถนอม | การปฏิวัติเกิดขึ้นเมื่อเวลา 19.00 น. ของวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 [[ถนอม กิตติขจร|จอมพลถนอม กิตติขจร]]ได้นำ[[คณะปฏิวัติ]]ซึ่งประกอบด้วยทหารตำรวจและพลเรือนเข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศจาก[[รัฐบาล]]ของตนเอง โดยได้ยกเลิกการประกาศใช้[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511]] ให้[[วุฒิสภา]]และ[[สภาผู้แทนราษฎร]]สิ้นสุดลงและประกาศใช้[[กฎอัยการศึก]]ทั่วประเทศ ตั้งแต่เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป โดยเหตุการณ์เป็นไปอย่างราบรื่นปราศจากการขัดขวางจากบุคคลใดๆ โดยคณะปฏิวัติได้ทยอยอ่านแถลงการณ์ผ่านทางวิทยุกระจายเสียงตั้งแต่เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป | ||
ภายหลังการปฏิวัติราวสามชั่วโมงคือเวลา 22.50 น.คณะปฏิวัติโดยการนำของจอมพลถนอม กิตติขจรหัวหน้าคณะปฏิวัติได้คณะปฏิวัติซึ่งประกอบด้วย พล.อ. ประภาส จารุเสถียร นายพจน์ สารสิน พล.ต.อ. ประเสริฐ รุจิรวงศ์ | ภายหลังการปฏิวัติราวสามชั่วโมงคือเวลา 22.50 น.คณะปฏิวัติโดยการนำของจอมพลถนอม กิตติขจรหัวหน้าคณะปฏิวัติได้คณะปฏิวัติซึ่งประกอบด้วย [[ประภาส จารุเสถียร|พล.อ. ประภาส จารุเสถียร]] [[พจน์ สารสิน|นายพจน์ สารสิน]] [[ประเสริฐ รุจิรวงศ์|พล.ต.อ. ประเสริฐ รุจิรวงศ์]] และ[[ทวี จุลละทรัพย์|พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์]]เข้า[[เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท]] [[พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว]] ณ [[ตำหนักจิตรลดารโหฐาน]]เพื่อกราบบังคมทูลให้ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทเกี่ยวกับความจำเป็นที่คณะปฏิวัติซึ่งประกอบด้วยทหารตำรวจและพลเรือนต้องดำเนินการปฏิวัติในครั้งนี้ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่คณะที่เข้าเฝ้าทูลธุลีละอองพระบาทและทรงหวังว่าการดำเนินงานของคณะปฏิวัติครั้งนี้จะนำความเจริญและความปลอดภัยมาสู่ประเทศชาติ และต่อมาใน[[หนังสือพิมพ์ชาวไทย]]ก็ปรากฏ[[พระราชหัตถเลขา]] ''“ขอให้คณะปฏิวัติจงรักษาและปฏิบัติตามปณิธานที่ตั้งไว้ให้จงดี”''<ref>ชาวไทย, ปีที่ 22 ฉบับที่ 6464 (วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2514), หน้า 1, ชาวไทย, ปีที่ 22 ฉบับที่ 6472 (วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2514), หน้า 1</ref> | ||
ต่อมาในเช้าวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 คณะปฏิวัติได้เรียกประชุม[[ข้าราชการ]]ชั้นผู้ใหญ่ระดับปลัดกระทรวง อธิบดีและหัวหน้าส่วนราชการที่กองบัญชาการคณะปฏิวัติที่สนามเสือป่าเพื่อชี้แจงนโยบายของคณะปฏิวัติให้ข้าราชการนำไปปฏิบัติและได้ชี้แจง “เหตุผลที่แท้จริงของการปฏิวัติครั้งนี้ ก็เพื่อความอยู่รอด ความเป็น[[เอกราช]]ของประเทศ และการเทิดทูนไว้ซึ่ง[[ราชบัลลังก์]] เนื่องจากขณะนี้ได้มีเหตุการณ์ผันผวนของโลกทั้งประเทศข้างเคียงและในประเทศเราเอง เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ระหว่างประเทศ โดยรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เข้าเป็นสมาชิก[[สหประชาชาติ]]และเป็น[[คณะมนตรีความมั่นคง]]”<ref>ชาวไทย, ปีที่ 22 ฉบับที่ 6465 (วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2514), หน้า 1</ref> | |||
ต่อมาในช่วงบ่ายวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 จอมพลถนอม กิตติขจรหัวหน้าคณะปฏิวัติได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนครั้งแรกที่กองบัญชาการคณะปฏิวัติสนามเสือป่าโดยมี พล.อ. ประภาส จารุเสถียรรองหัวหน้าคณะปฏิวัติ พล.ต.อ. ประเสริฐ รุจิรวงศ์ ผู้อำนวยการกองอำนวยการฝ่ายพลเรือน พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ รองผู้อำนวยการกองอำนวยการฝ่ายพลเรือนร่วมอยู่ด้วย โดยได้แถลงสาเหตุของการปฏิวัติว่า “มีเหตุผลจากทั้งภายนอกและภายในประเทศ ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงอย่างยิ่งต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติ ราชบัลลังก์ | ต่อมาในช่วงบ่ายวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 จอมพลถนอม กิตติขจรหัวหน้าคณะปฏิวัติได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนครั้งแรกที่กองบัญชาการคณะปฏิวัติสนามเสือป่าโดยมี พล.อ. ประภาส จารุเสถียรรองหัวหน้าคณะปฏิวัติ พล.ต.อ. ประเสริฐ รุจิรวงศ์ ผู้อำนวยการกองอำนวยการฝ่ายพลเรือน พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ รองผู้อำนวยการกองอำนวยการฝ่ายพลเรือนร่วมอยู่ด้วย โดยได้แถลงสาเหตุของการปฏิวัติว่า ''“มีเหตุผลจากทั้งภายนอกและภายในประเทศ ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงอย่างยิ่งต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติ ราชบัลลังก์ ตลอดจนเป็นอุปสรรคขัดขวาง[[การบริหารงานราชการแผ่นดิน]]มิให้ก้าวหน้าไปได้ตามแผนการที่ได้วางไว้แล้ว”''<ref>ชาวไทย, ปีที่ 22 ฉบับที่ 6466 (วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน 2514), หน้า 1,16.</ref> | ||
ในคณะปฏิวัติมีสมาชิกทั้งทหารและพลเรือนที่เป็นบุคคลชั้นมันสมองจำนวน 16 คน ดังต่อไปนี้ | ในคณะปฏิวัติมีสมาชิกทั้งทหารและพลเรือนที่เป็นบุคคลชั้นมันสมองจำนวน 16 คน ดังต่อไปนี้<ref>ชาวไทย, ปีที่ 22 ฉบับที่ 6566 (วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน 2514), หน้า 1.</ref> | ||
1) จอมพลถนอม กิตติขจร | 1) จอมพลถนอม กิตติขจร | ||
บรรทัดที่ 54: | บรรทัดที่ 54: | ||
16) นายกมล วรรณประภา | 16) นายกมล วรรณประภา | ||
จากนั้นมีประกาศของคณะปฏิวัติได้สั่งให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2511 ที่ใช้อยู่ก่อนหน้านั้น | จากนั้นมีประกาศของคณะปฏิวัติได้สั่งให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2511 ที่ใช้อยู่ก่อนหน้านั้น และยกเลิก[[รัฐสภา]] ยกเลิก[[พรรคการเมือง]] และประกาศห้ามมั่วสุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และให้ใช้ประกาศคณะปฏิวัติเป็น[[กฎหมาย]]ในการปกครองประเทศแทน ซึ่งได้ประกาศออกมาหลายฉบับ เช่น ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 10 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2514 ซึ่งเป็นการประกาศใช้[[พระราชบัญญัติ]]งบประมาณประจำปี 2515 ให้ใช้ย้อนหลังมาตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2514 | ||
เนื่องจากสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของการ[[รัฐประหาร]]ครั้งนี้คือการต่อรองของ ส.ส.ในการสนับสนุนพระราชบัญญัติงบประมาณ ต้องรอปี 2515 รัฐบาลจึงได้ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองประเทศแทนรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลอ้างว่ากำลังร่างอยู่ ต่อมาจึงประกาศ[[นิรโทษกรรม]]คณะรัฐประหารโดยการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการปฏิวัติเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2514 ประกาศใช้ในวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2515 ให้มิให้เอาผิดแก่ผู้ทำการรัฐประหารครั้งนั้น | |||
==สาเหตุของการรัฐประหาร== | ==สาเหตุของการรัฐประหาร== | ||
หลังจาก[[จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ถึงแก่อสัญกรรม|การอสัญกรรมของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์]]คณะรัฐบาลทหารที่นำโดยจอมพลถนอม กิตติขจรก็ได้ปกครองประเทศภายใต้คณะปฏิวัติที่ไม่มีทั้ง[[รัฐธรรมนูญ]]และ[[รัฐสภา]] จวบจนการร่างรัฐธรรมนูญสำเร็จและประกาศใช้ในปี พ.ศ. 2511 จึงทำให้เกิดการเลือกตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2512 อันถือเป็นการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นหลังจากทิ้งช่วงไปนานกว่า 10 ปี หลังการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 หลังการเลือกตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของจอมพลถนอม กิตติขจรในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็กลับมาบริหารประเทศจากการสนับสนุนของพรรคสหประชาไทยที่จอมพลถนอมตั้งขึ้น ทั้งนี้จอมพล ถนอม กิตติขจรยังได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ[[กระทรวงกลาโหม]] และ[[ผู้บัญชาการทหารสูงสุด]]ขณะที่ พล.อ.ประภาส จารุเสถียร คือรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการ[[กระทรวงมหาดไทย]] และดำรงตำแหน่งเป็น [[ผู้บัญชาการทหารบก]] | |||
การทำรัฐประหารตัวเองมีสาเหตุสืบเนื่องจากการที่สมาชิก[[พรรคสหประชาไทย]]ที่มาจากการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2512 ได้เรียกร้องผลประโยชน์ตอบแทนต่าง ๆ ตามที่จอมพลถนอมได้เคยสัญญาไว้ในช่วงเลือกตั้ง เมื่อไม่ได้รับการตอบแทนดังที่สัญญาไว้ ส.ส.เหล่านี้ได้ต่างพากันเรียกร้องต่าง ๆ นานา บ้างก็ขู่ว่าจะลาออก เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้ จอมพลถนอม [[หัวหน้าพรรค]]และ[[นายกรัฐมนตรี]]ซึ่งได้รับฉายาสมัยนั้นว่า "นายกฯ คนซื่อ" ไม่อาจควบคุมสถานการณ์ในสภาฯ ได้ จึงทำการยึดอำนาจตนเองขึ้น โดยไม่มีชื่อเรียกคณะรัฐประหารในครั้งนี้โดยเฉพาะเหมือนการรัฐประหารที่เคยมีมาในอดีต แต่เรียกตัวเองเพียงแค่ว่า คณะปฏิวัติ<ref>ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 6 ใน ประชาธิปไตย, วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2514 หน้า 1,16.</ref> | |||
โดยมากเห็นว่าสาเหตุสำคัญของการปฏิวัติครั้งนี้มาจากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมเสียง[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]] (ส.ส.) ฝ่าย[[รัฐบาล]]ได้ และเพื่อเป็นการตัดอำนาจต่อรองของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรออกไปจากการบริหารงานของรัฐบาล ดังปรากฏให้เห็นในประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 6 ออกประกาศเมื่อ เวลา 24.40 ของวันที่ 17 ที่คณะปฏิวัติขอชี้แจงเหตุถึงความจำเป็นในการยึดอำนาจครั้งนี้ดังต่อไปนี้ “...นับแต่ประเทศไทยได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2511 และได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ปรากฏว่าได้มีบุคคลบางจำพวกอาศัยสิทธิตามรัฐธรรมนูญยุยงบ่อนทำลายใช้อิทธิพลทั้งภายในและภายนอก[[สภานิติบัญญัติ]] ก่อกวน[[การบริหารราชการ]]ของรัฐบาลให้ดำเนินไปด้วยความยากลำบากและล่าช้าไม่ทันต่อเหตุการณ์” | |||
จากการศึกษาของธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ได้สรุปสาเหตุของการรัฐประหารครั้งนี้เอาไว้ 4 ประการด้วยกัน ได้แก่ 1) | |||
จากการศึกษาของธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ได้สรุปสาเหตุของการรัฐประหารครั้งนี้เอาไว้ 4 ประการด้วยกัน ได้แก่ | |||
1) [[ความขัดแย้ง]]พื้นฐานระหว่างผู้นำทหารแบบ[[คณาธิปไตย]]กับ[[ระบอบประชาธิปไตย]]แบมีสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีขึ้นหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2511 และทำให้รัฐบาลทหารทำงานลำบากเมื่อมีสภาจากการเลือกตั้ง | |||
2) ปัจจัยทางด้านการเมืองเรื่องการต่ออายุราชการทหารของจอมพลถนอม กิติขจร และพล.อ. ประภาส จารุเสถียร ซึ่งจะเกษียณในปี 2514 และ 2515 ตามลำดับ โดยการเกษียณอายุจากตำแหน่งทางทหารจะทำให้อำนาจการเมืองสั่นคลอน จึงต้องหาทางหนีทีไล่ที่จะต่ออายุราชการต่อไปโดยไม่ให้มีการขัดขวางซึ่งในที่นี้คือสภาผู้แทนราษฎรที่อาจจะขวางการต่ออายุราชการได้ | |||
3)ความขัดแย้งภายในคณะรัฐมนตรีซึ่งสาเหตุหนึ่งเกิดจากการต้องคุมเสียงส.ส. ทำให้รัฐมนตรีแต่ละคนต้องสร้างฐานเสียงของเองจนเกิดความขัดแย้งกัน | |||
4) นโยบายต่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงจากการเมืองระหว่างประเทศที่สหรัฐอเมริกาไปหนุนจีนแผ่นดินใหญ่เป็นสมาชิกสหประชาชาติ แต่ไทยปรับเปลี่ยนนโยบายยากเพราะต้องพึ่งสหรัฐในด้านงบประมาณทางทหารในการปราบ[[คอมมิวนิสต์]] ซึ่งหากจะหันไปคบจีนก็จะทำให้เงินสนับสนุนหายไป แต่การวิจารณ์ของ ส.ส. ทำให้รัฐบาลเห็นว่าจะทำให้ดำเนินการนโยบายต่างประเทศจะยากลำบาก <ref> ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์, “บทบาททางการเมืองของจอมพลถนอม กิตติขจร พ.ศ. 2506-2516”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (ประวัติศาสตร์) คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2550. หน้า 519-528.</ref> | |||
==ผลของการรัฐประหาร== | ==ผลของการรัฐประหาร== | ||
หลังจากการรัฐประหารเกิดการต่อต้านและแสดงความไม่เห็นด้วยจากประชาชนและสื่อมวลชนอย่างกว้างขวาง และได้แสดงออกต่างๆ กันไป แต่กรณีที่โด่งดังและกล่าวขวัญกันมากคือ กรณี นายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์จากจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยอดีต ส.ส. พรรคเดียวกัน อีก 2 คน คือ นายอนันต์ ภักดิ์ประไพ จากพิษณุโลก และนายบุญเกิด หิรัญคำจังหวัดชัยภูมิ | หลังจากการรัฐประหารเกิดการต่อต้านและแสดงความไม่เห็นด้วยจากประชาชนและสื่อมวลชนอย่างกว้างขวาง และได้แสดงออกต่างๆ กันไป แต่กรณีที่โด่งดังและกล่าวขวัญกันมากคือ กรณี [[อุทัย พิมพ์ใจชน|นายอุทัย พิมพ์ใจชน]] อดีตส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์จากจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยอดีต ส.ส. พรรคเดียวกัน อีก 2 คน คือ นายอนันต์ ภักดิ์ประไพ จากพิษณุโลก และนายบุญเกิด หิรัญคำจังหวัดชัยภูมิ ได้ยื่นฟ้องต่อ[[ศาลอาญา]]ในวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2515 ให้ดำเนินคดีต่อคณะปฏิวัติในข้อหากบฏต่อแผ่นดินล้มล้างรัฐธรรมนูญในกรณีที่ปฏิวัติตนเอง ถือเป็นท้าทายอำนาจของผู้มีอำนาจอย่างตรงไปตรงมา แต่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวทันทีแล้วคณะปฏิวัติได้ใช้มาตรา 17 สั่งให้จำคุกอุทัยเป็นเวลา 10 ปี ส่วนอนันต์และบุญเกิดให้จำคุก 7 ปี แต่ทั้งหมดได้ถูกปล่อยตัวหลังรัฐบาล[[สัญญา ธรรมศักดิ์]] ออกกฎหมายอภัยโทษลงวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2517<ref>วิรัตน์ โตอารีย์มิตร. พิมพ์ไว้ในใจชน: มุมมองความคิดและชีวิตการเมืองของอุทัย พิมพ์ใจชน. กรุงเทพฯ: บีเยศ, 2545, หน้า 57.</ref> | ||
นอกจากนี้ยังมีบุคคลหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหารตนเองของจอมพลถนอม กิตติขจรทั้งที่เป็น นักการเมือง นักวิชาการและข้าราชการระดับสูงที่เคยทำงานให้กับรัฐบาลมาก่อนแต่ก็ไม่มีใครแสดงออกในสาธารณะได้อย่างเปิดเผยเท่ากับ[[การประท้วง]]ของ[[ป๋วย อึ้งภากรณ์|นายป๋วย อึ้งภากรณ์]]<ref>ดูจดหมายฉบับนี้จากการตีพิมพ์ครั้งแรกใน เศรษฐศาสตร์สาร ฉบับชาวบ้าน ปีที่ 1 ฉบับที่ 3 มีนาคม 2515; และดูใน ป๋วย อึ้งภากรณ์. สันติประชาธรรม. กรุงเทพฯ: เคล็ดไทย, 2516, หน้า 52-57. </ref> ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยและคณบดีเศรษฐศาสตร์ [[มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์]]ที่ได้เขียนจดหมายฉบับประวัติศาสตร์ลงวันที่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 ประท้วงการรัฐประหารมาจากประเทศอังกฤษในนามของนายเข้ม เย็นยิ่ง อันเป็นชื่อรหัสสมัยเป็นเสรีไทย โดยจดหมายฉบับนี้เขียนถึงผู้ใหญ่บ้านชื่อทำนุ เกียรติก้อง ซึ่งหมายถึงจอมพลถนอม เรียกร้องให้จอมพลถนอมที่ทำ[[การยึดอำนาจการปกครอง]]ด้วยการล้มล้าง[[รัฐธรรมนูญ]]และ[[รัฐสภา]]ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน รีบคืนอำนาจให้แก่ประชาชนด้วยการประกาศใช้รัฐธรรมนูญและจัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว ดังข้อความในจดหมายตอนหนึ่งว่า "ผมจึงขอเรียนวิงวอนให้ได้โปรดเร่งให้มีกติกาหมู่บ้านขึ้นเถิดโดยเร็วที่สุด ในกลางปี 2515 หรืออย่างช้าก็อย่าให้ข้ามปีไป โปรดอำนวยให้ชาวบ้านไทยเจริญมีสิทธิเสรีภาพตาม[[หลักประชาธรรม]] สามารถเลือกตั้ง[[สมัชชา]]ขึ้นโดยเร็ว" จดหมายฉบับนี้ สร้างความไม่พอใจให้กับผู้มีอำนาจเป็นอย่างยิ่ง อาจารย์ป๋วยถือว่าเป็นข้าราชการ ชั้นผู้ใหญ่คนแรก ที่กล้าลุกขึ้นวิพากษ์วิจารณ์เผด็จการทหารอย่างตรงไปตรงมา โดยอาจารย์ป๋วยได้ชี้แจงอยางชัดเจนว่าแรงจูงใจของการเขียนจดหมายนั้นเกิดจากความต้องการเป็นตัวแทนคนไทยเรียกร้องสิทธิเสรีภาพให้กลับคืนมาโดยเร็ว<ref> ป๋วย อึ้งภากรณ์. สันติประชาธรรม. กรุงเทพฯ: เคล็ดไทย, 2516,หน้า 58.</ref> | |||
==สถานการณ์ทางการเมืองหลังรัฐประหาร== | ==สถานการณ์ทางการเมืองหลังรัฐประหาร== | ||
ภายหลังการปฏิวัติเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 แล้ว คณะปฏิวัติได้ประกาศยกเลิกสภานิติบัญญัติ ยกเลิกพรรคการเมือง ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 และประกาศใช้ | ภายหลังการปฏิวัติเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 แล้ว คณะปฏิวัติได้ประกาศยกเลิกสภานิติบัญญัติ ยกเลิกพรรคการเมือง ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 และประกาศใช้ “[[ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515]]” แทน เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2515 โดยที่ธรรมนูญการปกครองฉบับนี้มีมาตรา 17 ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีสั่งการใด ๆ ได้เพื่อประโยชน์ในการป้องกันราชอาณาจักรโดยถือว่าคำสั่งนั้นชอบด้วยกฎหมาย หลังจากได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกนิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว ได้มีการแต่งตั้งจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2515 | ||
คณะปฏิวัติได้ครองอำนาจมาถึงวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2515 จึงประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2515 | คณะปฏิวัติได้ครองอำนาจมาถึงวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2515 จึงประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2515 ให้ข้าราชการประจำดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้และตั้ง[[สภานิติบัญญัติแห่งชาติ]] มี[[มติ]]ให้จอมพลถนอมเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งในธรรมนูญการปกครองฯ ฉบับนี้มีการนำเอามาตรา 17 กลับมาใช้อีกครั้งเหมือนยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีเต็มที่ในการสั่งการใด ๆ อันเนื่องจากเหตุที่กระทบต่อความมั่นคงของราชอาณาจักร โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของสภาฯ หรือ มีกฎหมายฉบับใด ๆ มารองรับ | ||
จอมพลถนอม กิตติขจร ได้รวบอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว ท่ามกลางความไม่พอใจของนิสิต นักศึกษาและประชาชนโดยทั่วไป ที่ไม่มีรัฐธรรมนูญการปกครองอย่างถาวรมาตั้งแต่การยึดอำนาจของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี พ.ศ. 2501 แล้ว ซึ่งกว่าที่รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2511 ที่ถูกยกเลิกไปในการรัฐประหารก็ต้องใช้เวลาร่างนานถึง 10 ปี ประกอบกับเหตุการณ์ทุจริตต่าง ๆ ในรัฐบาล และความเหลวแหลกของรัฐบาลในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและการไม่ตอบสนองต่อสิทธิทางการเมืองของประชาชน ทำให้เกิดการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ในอีก 2 ปี ต่อมาและเป็นการสิ้นสุดจากอำนาจของจอมพลถนอมไปในที่สุด | จอมพลถนอม กิตติขจร ได้รวบอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว ท่ามกลางความไม่พอใจของนิสิต นักศึกษาและประชาชนโดยทั่วไป ที่ไม่มีรัฐธรรมนูญการปกครองอย่างถาวรมาตั้งแต่การยึดอำนาจของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี พ.ศ. 2501 แล้ว ซึ่งกว่าที่รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2511 ที่ถูกยกเลิกไปในการรัฐประหารก็ต้องใช้เวลาร่างนานถึง 10 ปี ประกอบกับเหตุการณ์ทุจริตต่าง ๆ ในรัฐบาล และความเหลวแหลกของรัฐบาลในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและการไม่ตอบสนองต่อสิทธิทางการเมืองของประชาชน ทำให้เกิดการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ในอีก 2 ปี ต่อมาและเป็นการสิ้นสุดจากอำนาจของจอมพลถนอมไปในที่สุด | ||
บรรทัดที่ 83: | บรรทัดที่ 92: | ||
==สรุป== | ==สรุป== | ||
มีหลายความเห็นที่ต่างเสนอว่าการเกิดรัฐประหารในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 นับเป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของระบอบเผด็จการทหารที่ครองอำนาจในการเมืองไทยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2501 เพราะหลังจากการรัฐประหารครั้งนั้นรัฐบาลไม่สามารถจัดการให้อำนาจอยู่ในมือของตนอีกต่อไป และเป็นการปลุกเร้าให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลได้ดำเนินการต่อสู้ทางการเมือง จนทำให้กลุ่มนักศึกษาประชาชนไม่พอใจจึงออกมาเดินขบวนเรียกร้องให้ลาออก จนเกิดการปะทะนองเลือดกลายเป็น[[เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516]] จนจอมพลถนอม กิติขจรจึงต้องลี้ภัยออกจากประเทศ | |||
==ที่มา== | ==ที่มา== | ||
บรรทัดที่ 103: | บรรทัดที่ 112: | ||
ประชาธิปไตย, (วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2514). | ประชาธิปไตย, (วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2514). | ||
==อ้างอิง== | ==อ้างอิง== | ||
<references/> | <references/> | ||
[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2501-2519]] | [[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2501-2519]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 16:33, 16 สิงหาคม 2556
ผู้เรียบเรียง ชาติชาย มุกสง
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2514
การรัฐประหารที่เกิดขึ้นในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 นับเป็นการรัฐประหารอีกครั้งหนึ่งของประเทศไทย แต่เป็นรัฐประหารเงียบในรูปแบบของการยึดอำนาจตัวเองของรัฐบาลทหาร เหมือนกันกับรัฐประหาร พ.ศ. 2494 ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม และได้นำการปกครองกลับไปอยู่ภายใต้เผด็จการทหารอีกครั้ง
ลำดับเหตุการณ์การปฏิวัติยึดอำนาจ
การปฏิวัติเกิดขึ้นเมื่อเวลา 19.00 น. ของวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 จอมพลถนอม กิตติขจรได้นำคณะปฏิวัติซึ่งประกอบด้วยทหารตำรวจและพลเรือนเข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศจากรัฐบาลของตนเอง โดยได้ยกเลิกการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 ให้วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงและประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศ ตั้งแต่เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป โดยเหตุการณ์เป็นไปอย่างราบรื่นปราศจากการขัดขวางจากบุคคลใดๆ โดยคณะปฏิวัติได้ทยอยอ่านแถลงการณ์ผ่านทางวิทยุกระจายเสียงตั้งแต่เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป
ภายหลังการปฏิวัติราวสามชั่วโมงคือเวลา 22.50 น.คณะปฏิวัติโดยการนำของจอมพลถนอม กิตติขจรหัวหน้าคณะปฏิวัติได้คณะปฏิวัติซึ่งประกอบด้วย พล.อ. ประภาส จารุเสถียร นายพจน์ สารสิน พล.ต.อ. ประเสริฐ รุจิรวงศ์ และพล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ ตำหนักจิตรลดารโหฐานเพื่อกราบบังคมทูลให้ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทเกี่ยวกับความจำเป็นที่คณะปฏิวัติซึ่งประกอบด้วยทหารตำรวจและพลเรือนต้องดำเนินการปฏิวัติในครั้งนี้ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่คณะที่เข้าเฝ้าทูลธุลีละอองพระบาทและทรงหวังว่าการดำเนินงานของคณะปฏิวัติครั้งนี้จะนำความเจริญและความปลอดภัยมาสู่ประเทศชาติ และต่อมาในหนังสือพิมพ์ชาวไทยก็ปรากฏพระราชหัตถเลขา “ขอให้คณะปฏิวัติจงรักษาและปฏิบัติตามปณิธานที่ตั้งไว้ให้จงดี”[1]
ต่อมาในเช้าวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 คณะปฏิวัติได้เรียกประชุมข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ระดับปลัดกระทรวง อธิบดีและหัวหน้าส่วนราชการที่กองบัญชาการคณะปฏิวัติที่สนามเสือป่าเพื่อชี้แจงนโยบายของคณะปฏิวัติให้ข้าราชการนำไปปฏิบัติและได้ชี้แจง “เหตุผลที่แท้จริงของการปฏิวัติครั้งนี้ ก็เพื่อความอยู่รอด ความเป็นเอกราชของประเทศ และการเทิดทูนไว้ซึ่งราชบัลลังก์ เนื่องจากขณะนี้ได้มีเหตุการณ์ผันผวนของโลกทั้งประเทศข้างเคียงและในประเทศเราเอง เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ระหว่างประเทศ โดยรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติและเป็นคณะมนตรีความมั่นคง”[2]
ต่อมาในช่วงบ่ายวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 จอมพลถนอม กิตติขจรหัวหน้าคณะปฏิวัติได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนครั้งแรกที่กองบัญชาการคณะปฏิวัติสนามเสือป่าโดยมี พล.อ. ประภาส จารุเสถียรรองหัวหน้าคณะปฏิวัติ พล.ต.อ. ประเสริฐ รุจิรวงศ์ ผู้อำนวยการกองอำนวยการฝ่ายพลเรือน พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ รองผู้อำนวยการกองอำนวยการฝ่ายพลเรือนร่วมอยู่ด้วย โดยได้แถลงสาเหตุของการปฏิวัติว่า “มีเหตุผลจากทั้งภายนอกและภายในประเทศ ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงอย่างยิ่งต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติ ราชบัลลังก์ ตลอดจนเป็นอุปสรรคขัดขวางการบริหารงานราชการแผ่นดินมิให้ก้าวหน้าไปได้ตามแผนการที่ได้วางไว้แล้ว”[3]
ในคณะปฏิวัติมีสมาชิกทั้งทหารและพลเรือนที่เป็นบุคคลชั้นมันสมองจำนวน 16 คน ดังต่อไปนี้[4]
1) จอมพลถนอม กิตติขจร
2) พล.อ. ประภาส จารุเสถียร
3) นายพจน์ สารสิน
4) พล.ต.อ. ประเสริฐ รุจิรวงศ์
5) พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์
6) พล.อ.อ. บุญชู จันทรุเบกษา
7) พล.ร.อ. ถวิล รายนานนท์
8) พล.อ. กฤษณ์ สีวะรา
9) พล.อ. สุรกิจ มัยลาภ
10) พล.ร.อ. กมล สีตะกลิน
11) พล.อ.อ. ศิร เมืองมณี
12) พล.อ.อ. กมล เตชะตุงคะ
13) พล.ร.ท. จิตต์ สังขดุลย์
14) หลวงจำรูญเนติศาสตร์
15) นายสมภพ โหตระกิตย์
16) นายกมล วรรณประภา
จากนั้นมีประกาศของคณะปฏิวัติได้สั่งให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2511 ที่ใช้อยู่ก่อนหน้านั้น และยกเลิกรัฐสภา ยกเลิกพรรคการเมือง และประกาศห้ามมั่วสุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และให้ใช้ประกาศคณะปฏิวัติเป็นกฎหมายในการปกครองประเทศแทน ซึ่งได้ประกาศออกมาหลายฉบับ เช่น ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 10 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2514 ซึ่งเป็นการประกาศใช้พระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี 2515 ให้ใช้ย้อนหลังมาตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2514
เนื่องจากสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของการรัฐประหารครั้งนี้คือการต่อรองของ ส.ส.ในการสนับสนุนพระราชบัญญัติงบประมาณ ต้องรอปี 2515 รัฐบาลจึงได้ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองประเทศแทนรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลอ้างว่ากำลังร่างอยู่ ต่อมาจึงประกาศนิรโทษกรรมคณะรัฐประหารโดยการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการปฏิวัติเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2514 ประกาศใช้ในวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2515 ให้มิให้เอาผิดแก่ผู้ทำการรัฐประหารครั้งนั้น
สาเหตุของการรัฐประหาร
หลังจากการอสัญกรรมของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์คณะรัฐบาลทหารที่นำโดยจอมพลถนอม กิตติขจรก็ได้ปกครองประเทศภายใต้คณะปฏิวัติที่ไม่มีทั้งรัฐธรรมนูญและรัฐสภา จวบจนการร่างรัฐธรรมนูญสำเร็จและประกาศใช้ในปี พ.ศ. 2511 จึงทำให้เกิดการเลือกตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2512 อันถือเป็นการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นหลังจากทิ้งช่วงไปนานกว่า 10 ปี หลังการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 หลังการเลือกตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของจอมพลถนอม กิตติขจรในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็กลับมาบริหารประเทศจากการสนับสนุนของพรรคสหประชาไทยที่จอมพลถนอมตั้งขึ้น ทั้งนี้จอมพล ถนอม กิตติขจรยังได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุดขณะที่ พล.อ.ประภาส จารุเสถียร คือรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และดำรงตำแหน่งเป็น ผู้บัญชาการทหารบก
การทำรัฐประหารตัวเองมีสาเหตุสืบเนื่องจากการที่สมาชิกพรรคสหประชาไทยที่มาจากการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2512 ได้เรียกร้องผลประโยชน์ตอบแทนต่าง ๆ ตามที่จอมพลถนอมได้เคยสัญญาไว้ในช่วงเลือกตั้ง เมื่อไม่ได้รับการตอบแทนดังที่สัญญาไว้ ส.ส.เหล่านี้ได้ต่างพากันเรียกร้องต่าง ๆ นานา บ้างก็ขู่ว่าจะลาออก เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้ จอมพลถนอม หัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับฉายาสมัยนั้นว่า "นายกฯ คนซื่อ" ไม่อาจควบคุมสถานการณ์ในสภาฯ ได้ จึงทำการยึดอำนาจตนเองขึ้น โดยไม่มีชื่อเรียกคณะรัฐประหารในครั้งนี้โดยเฉพาะเหมือนการรัฐประหารที่เคยมีมาในอดีต แต่เรียกตัวเองเพียงแค่ว่า คณะปฏิวัติ[5]
โดยมากเห็นว่าสาเหตุสำคัญของการปฏิวัติครั้งนี้มาจากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ฝ่ายรัฐบาลได้ และเพื่อเป็นการตัดอำนาจต่อรองของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรออกไปจากการบริหารงานของรัฐบาล ดังปรากฏให้เห็นในประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 6 ออกประกาศเมื่อ เวลา 24.40 ของวันที่ 17 ที่คณะปฏิวัติขอชี้แจงเหตุถึงความจำเป็นในการยึดอำนาจครั้งนี้ดังต่อไปนี้ “...นับแต่ประเทศไทยได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2511 และได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ปรากฏว่าได้มีบุคคลบางจำพวกอาศัยสิทธิตามรัฐธรรมนูญยุยงบ่อนทำลายใช้อิทธิพลทั้งภายในและภายนอกสภานิติบัญญัติ ก่อกวนการบริหารราชการของรัฐบาลให้ดำเนินไปด้วยความยากลำบากและล่าช้าไม่ทันต่อเหตุการณ์”
จากการศึกษาของธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ได้สรุปสาเหตุของการรัฐประหารครั้งนี้เอาไว้ 4 ประการด้วยกัน ได้แก่
1) ความขัดแย้งพื้นฐานระหว่างผู้นำทหารแบบคณาธิปไตยกับระบอบประชาธิปไตยแบมีสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีขึ้นหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2511 และทำให้รัฐบาลทหารทำงานลำบากเมื่อมีสภาจากการเลือกตั้ง
2) ปัจจัยทางด้านการเมืองเรื่องการต่ออายุราชการทหารของจอมพลถนอม กิติขจร และพล.อ. ประภาส จารุเสถียร ซึ่งจะเกษียณในปี 2514 และ 2515 ตามลำดับ โดยการเกษียณอายุจากตำแหน่งทางทหารจะทำให้อำนาจการเมืองสั่นคลอน จึงต้องหาทางหนีทีไล่ที่จะต่ออายุราชการต่อไปโดยไม่ให้มีการขัดขวางซึ่งในที่นี้คือสภาผู้แทนราษฎรที่อาจจะขวางการต่ออายุราชการได้
3)ความขัดแย้งภายในคณะรัฐมนตรีซึ่งสาเหตุหนึ่งเกิดจากการต้องคุมเสียงส.ส. ทำให้รัฐมนตรีแต่ละคนต้องสร้างฐานเสียงของเองจนเกิดความขัดแย้งกัน
4) นโยบายต่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงจากการเมืองระหว่างประเทศที่สหรัฐอเมริกาไปหนุนจีนแผ่นดินใหญ่เป็นสมาชิกสหประชาชาติ แต่ไทยปรับเปลี่ยนนโยบายยากเพราะต้องพึ่งสหรัฐในด้านงบประมาณทางทหารในการปราบคอมมิวนิสต์ ซึ่งหากจะหันไปคบจีนก็จะทำให้เงินสนับสนุนหายไป แต่การวิจารณ์ของ ส.ส. ทำให้รัฐบาลเห็นว่าจะทำให้ดำเนินการนโยบายต่างประเทศจะยากลำบาก [6]
ผลของการรัฐประหาร
หลังจากการรัฐประหารเกิดการต่อต้านและแสดงความไม่เห็นด้วยจากประชาชนและสื่อมวลชนอย่างกว้างขวาง และได้แสดงออกต่างๆ กันไป แต่กรณีที่โด่งดังและกล่าวขวัญกันมากคือ กรณี นายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์จากจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยอดีต ส.ส. พรรคเดียวกัน อีก 2 คน คือ นายอนันต์ ภักดิ์ประไพ จากพิษณุโลก และนายบุญเกิด หิรัญคำจังหวัดชัยภูมิ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาในวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2515 ให้ดำเนินคดีต่อคณะปฏิวัติในข้อหากบฏต่อแผ่นดินล้มล้างรัฐธรรมนูญในกรณีที่ปฏิวัติตนเอง ถือเป็นท้าทายอำนาจของผู้มีอำนาจอย่างตรงไปตรงมา แต่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวทันทีแล้วคณะปฏิวัติได้ใช้มาตรา 17 สั่งให้จำคุกอุทัยเป็นเวลา 10 ปี ส่วนอนันต์และบุญเกิดให้จำคุก 7 ปี แต่ทั้งหมดได้ถูกปล่อยตัวหลังรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ ออกกฎหมายอภัยโทษลงวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2517[7]
นอกจากนี้ยังมีบุคคลหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหารตนเองของจอมพลถนอม กิตติขจรทั้งที่เป็น นักการเมือง นักวิชาการและข้าราชการระดับสูงที่เคยทำงานให้กับรัฐบาลมาก่อนแต่ก็ไม่มีใครแสดงออกในสาธารณะได้อย่างเปิดเผยเท่ากับการประท้วงของนายป๋วย อึ้งภากรณ์[8] ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยและคณบดีเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ได้เขียนจดหมายฉบับประวัติศาสตร์ลงวันที่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 ประท้วงการรัฐประหารมาจากประเทศอังกฤษในนามของนายเข้ม เย็นยิ่ง อันเป็นชื่อรหัสสมัยเป็นเสรีไทย โดยจดหมายฉบับนี้เขียนถึงผู้ใหญ่บ้านชื่อทำนุ เกียรติก้อง ซึ่งหมายถึงจอมพลถนอม เรียกร้องให้จอมพลถนอมที่ทำการยึดอำนาจการปกครองด้วยการล้มล้างรัฐธรรมนูญและรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน รีบคืนอำนาจให้แก่ประชาชนด้วยการประกาศใช้รัฐธรรมนูญและจัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว ดังข้อความในจดหมายตอนหนึ่งว่า "ผมจึงขอเรียนวิงวอนให้ได้โปรดเร่งให้มีกติกาหมู่บ้านขึ้นเถิดโดยเร็วที่สุด ในกลางปี 2515 หรืออย่างช้าก็อย่าให้ข้ามปีไป โปรดอำนวยให้ชาวบ้านไทยเจริญมีสิทธิเสรีภาพตามหลักประชาธรรม สามารถเลือกตั้งสมัชชาขึ้นโดยเร็ว" จดหมายฉบับนี้ สร้างความไม่พอใจให้กับผู้มีอำนาจเป็นอย่างยิ่ง อาจารย์ป๋วยถือว่าเป็นข้าราชการ ชั้นผู้ใหญ่คนแรก ที่กล้าลุกขึ้นวิพากษ์วิจารณ์เผด็จการทหารอย่างตรงไปตรงมา โดยอาจารย์ป๋วยได้ชี้แจงอยางชัดเจนว่าแรงจูงใจของการเขียนจดหมายนั้นเกิดจากความต้องการเป็นตัวแทนคนไทยเรียกร้องสิทธิเสรีภาพให้กลับคืนมาโดยเร็ว[9]
สถานการณ์ทางการเมืองหลังรัฐประหาร
ภายหลังการปฏิวัติเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 แล้ว คณะปฏิวัติได้ประกาศยกเลิกสภานิติบัญญัติ ยกเลิกพรรคการเมือง ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 และประกาศใช้ “ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515” แทน เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2515 โดยที่ธรรมนูญการปกครองฉบับนี้มีมาตรา 17 ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีสั่งการใด ๆ ได้เพื่อประโยชน์ในการป้องกันราชอาณาจักรโดยถือว่าคำสั่งนั้นชอบด้วยกฎหมาย หลังจากได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกนิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว ได้มีการแต่งตั้งจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2515
คณะปฏิวัติได้ครองอำนาจมาถึงวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2515 จึงประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2515 ให้ข้าราชการประจำดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้และตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีมติให้จอมพลถนอมเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งในธรรมนูญการปกครองฯ ฉบับนี้มีการนำเอามาตรา 17 กลับมาใช้อีกครั้งเหมือนยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีเต็มที่ในการสั่งการใด ๆ อันเนื่องจากเหตุที่กระทบต่อความมั่นคงของราชอาณาจักร โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของสภาฯ หรือ มีกฎหมายฉบับใด ๆ มารองรับ
จอมพลถนอม กิตติขจร ได้รวบอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว ท่ามกลางความไม่พอใจของนิสิต นักศึกษาและประชาชนโดยทั่วไป ที่ไม่มีรัฐธรรมนูญการปกครองอย่างถาวรมาตั้งแต่การยึดอำนาจของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี พ.ศ. 2501 แล้ว ซึ่งกว่าที่รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2511 ที่ถูกยกเลิกไปในการรัฐประหารก็ต้องใช้เวลาร่างนานถึง 10 ปี ประกอบกับเหตุการณ์ทุจริตต่าง ๆ ในรัฐบาล และความเหลวแหลกของรัฐบาลในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและการไม่ตอบสนองต่อสิทธิทางการเมืองของประชาชน ทำให้เกิดการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ในอีก 2 ปี ต่อมาและเป็นการสิ้นสุดจากอำนาจของจอมพลถนอมไปในที่สุด
สรุป
มีหลายความเห็นที่ต่างเสนอว่าการเกิดรัฐประหารในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 นับเป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของระบอบเผด็จการทหารที่ครองอำนาจในการเมืองไทยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2501 เพราะหลังจากการรัฐประหารครั้งนั้นรัฐบาลไม่สามารถจัดการให้อำนาจอยู่ในมือของตนอีกต่อไป และเป็นการปลุกเร้าให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลได้ดำเนินการต่อสู้ทางการเมือง จนทำให้กลุ่มนักศึกษาประชาชนไม่พอใจจึงออกมาเดินขบวนเรียกร้องให้ลาออก จนเกิดการปะทะนองเลือดกลายเป็นเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จนจอมพลถนอม กิติขจรจึงต้องลี้ภัยออกจากประเทศ
ที่มา
ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์. “บทบาททางการเมืองของจอมพลถนอม กิตติขจร พ.ศ. 2506-2516”. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (ประวัติศาสตร์) คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2550.
ป๋วย อึ้งภากรณ์. สันติประชาธรรม. กรุงเทพฯ: เคล็ดไทย, 2516,
วิรัตน์ โตอารีย์มิตร. พิมพ์ไว้ในใจชน: มุมมองความคิดและชีวิตการเมืองของอุทัย พิมพ์ใจชน. กรุงเทพฯ: บีเยศ, 2545.
ชาวไทย, ปีที่ 22 ฉบับที่ 6464 (วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2514).
ชาวไทย, ปีที่ 22 ฉบับที่ 6472 (วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2514).
ชาวไทย, ปีที่ 22 ฉบับที่ 6465 (วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2514).
ชาวไทย, ปีที่ 22 ฉบับที่ 6466 (วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน 2514).
ชาวไทย, ปีที่ 22 ฉบับที่ 6566 (วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน 2514).
ประชาธิปไตย, (วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2514).
อ้างอิง
- ↑ ชาวไทย, ปีที่ 22 ฉบับที่ 6464 (วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2514), หน้า 1, ชาวไทย, ปีที่ 22 ฉบับที่ 6472 (วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2514), หน้า 1
- ↑ ชาวไทย, ปีที่ 22 ฉบับที่ 6465 (วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2514), หน้า 1
- ↑ ชาวไทย, ปีที่ 22 ฉบับที่ 6466 (วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน 2514), หน้า 1,16.
- ↑ ชาวไทย, ปีที่ 22 ฉบับที่ 6566 (วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน 2514), หน้า 1.
- ↑ ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 6 ใน ประชาธิปไตย, วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2514 หน้า 1,16.
- ↑ ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์, “บทบาททางการเมืองของจอมพลถนอม กิตติขจร พ.ศ. 2506-2516”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (ประวัติศาสตร์) คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2550. หน้า 519-528.
- ↑ วิรัตน์ โตอารีย์มิตร. พิมพ์ไว้ในใจชน: มุมมองความคิดและชีวิตการเมืองของอุทัย พิมพ์ใจชน. กรุงเทพฯ: บีเยศ, 2545, หน้า 57.
- ↑ ดูจดหมายฉบับนี้จากการตีพิมพ์ครั้งแรกใน เศรษฐศาสตร์สาร ฉบับชาวบ้าน ปีที่ 1 ฉบับที่ 3 มีนาคม 2515; และดูใน ป๋วย อึ้งภากรณ์. สันติประชาธรรม. กรุงเทพฯ: เคล็ดไทย, 2516, หน้า 52-57.
- ↑ ป๋วย อึ้งภากรณ์. สันติประชาธรรม. กรุงเทพฯ: เคล็ดไทย, 2516,หน้า 58.