เอกราช

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต



พรรคเอกราช (2549)

พรรคเอกราชจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2549[1] โดยมีนายวรวุฒิ ผการัตน์[2] ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรค ต่อมาเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2550 พรรคเอกราชได้มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรคทั้งคณะเนื่องมาจากนายวรวุฒิ ผการัตน์[3] ได้ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งนั่นก็เป็นการทำให้กรรมการบริหารพรรคพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ตามข้อบังคับพรรคเอกราช หลังจากนั้นไม่นานที่ประชุมใหญ่ของพรรคก็ได้มีมติให้เลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ซึ่งในครั้งนี้ได้ทำให้นายวีระพล ทองประไพ[4] ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเอกราชในเวลาต่อมา

ในการเข้าร่วมการเมืองอย่างเป็นทางการของพรรคเอกราชนั้น เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 พรรคได้เข้าร่วมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในแบบสัดส่วนจำนวน 10 คนและแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 14 คน ซึ่งสุดท้ายแล้วในการเลือกตั้งครั้งดังกล่าวผู้สมัครในนามของพรรคเอกราชก็ไม่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเลยแม้แต่ผู้เดียว

รายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายและการดำเนินการที่สำคัญมีดังต่อไปนี้คือ[5]


ด้านการเมืองภายในประเทศ

1.สร้างระบบพรรคให้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง

2.ส่งเสริมบทบาทของสื่อสารมวลชน

3.สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างข้าราชการกับนักการเมืองอาชีพ

4.ประกันความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ

5.ส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพ

6.แก้ไขกฎหมายที่ล้าหลังและไม่เป็นประชาธิปไตย

7.ให้ข้าราชการประจำได้มีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างเหมาะสม

8.กระจายอำนาจการปกครอง

9.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบในวงราชการ


ด้านการเมืองระหว่างประเทศ

1.ยึดหลักความเป็นอิสระ

2.ดำเนินนโยบายเป็นมิตร ไม่แทรกแซงการเมืองระหว่างประเทศ

3.ส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

4.ป้องกันพฤติกรรมทั้งปวงจากต่างชาติที่จะมีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ

5.ผสานงานการค้าเข้ากับงานการทูตอย่างมีประสิทธิภาพ

6.ปรับปรุงและแก้ไขสนธิสัญญา และการตกลงต่าง ๆ ที่ส่งผลเสียต่อประเทศชาติ


ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน

1.ปรับปรุงขอบเขตอำนาจหน้าที่และวิธีการดำเนินงานของส่วนต่าง ๆ ให้มีความชัดเจนและแน่นอน

2.พัฒนาและปรับปรุงระบบโครงสร้างการจัดการของส่วนราชการ

3.ปรับปรุงและจัดการพัฒนาบุคคลากรของหน่วยงานราชการให้มีประสิทธิภาพ

4.กระจายอำนาจการบริหารให้ส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นได้มีบทบาทในการบริหารงานด้วยตนเองมากขึ้น


ด้านการเศรษฐกิจ

1.ปรับปรุงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

2.มีการกระจายทุนไปสู่ประชาชนมากขึ้น

3.ส่งเสริมรัฐวิสาหกิจกับวิสาหกิจเอกชน ให้มีบทบาทต่อการสร้างระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมของประเทศ

4.พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม

5.สร้างความสัมพันธ์ระหว่างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจกับการขยายตัวของประชากรให้ได้สมดุลกัน


ด้านเกษตรและอุตสาหกรรม

1.ประกันการผลิตและราคาผลิตผลของการเกษตร

2.ปลดเปลื้องภาระหนี้สินของเกษตรกร

3.สนับสนุนสถาบันการเกษตรให้มีประสิทธิภาพและมีบทบาทเข้มแข็งขึ้น

4.ปรับอัตราภาษีเครื่องจักรกล เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรให้มีราคาถูกและมีคุณภาพ

5.ส่งเสริมและสนับสนุนโครงการเกษตรกรรายย่อยในชนบทของประชาชน

6.ส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับอารยประเทศ

7.ส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการส่งออกอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม

8.เร่งรัดการสร้างระบบสาธารณูปโภคให้พอเพียงสอดคล้องกับความต้องการในการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ

9.ควบคุมมลภาวะที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด


ด้านการสังคม

1.ดำเนินการแก้ปัญหาสังคมบนพื้นฐานของการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ

2.ส่งเสริมให้มีการประกันสังคมแก่ประชาชนทุกคน

3.สนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาเยาวชนของชาติ

4.ปลูกฝังจิตสำนึกและอุดมการณ์ประชาธิปไตยแก่ประชาชน


ด้านวัฒนธรรม

1.ส่งเสริมและเชิดชูวัฒนธรรมไทย

2.ปลูกฝังชาตินิยมให้แก่ประชาชน

3.ส่งเสริมและรักษาความบริสุทธิ์ของพุทธศาสนาและศาสนาอื่น


ด้านการศึกษา

1.ให้องค์กรปกครองท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา

2.ขยายการศึกษาภาคบังคับให้สูงขึ้น

3.สนับสนุนให้มีการผลิตบุคลากร ในสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลน

4.สนับสนุนให้ผู้ที่ด้อยโอกาสมีโอกาสเข้าศึกษาได้


ด้านแรงงานและสวัสดิการสังคม

1.ปรับปรุงกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับแรงงาน

2.ขยายการจ้างงานทั้งภาครัฐและเอกชน

3.เพิ่มความมั่นคงและหลักประกันในการทำงานแก่ผู้ใช้แรงงาน

4.สนับสนุนการจัดตั้งสหภาพแรงงาน

5.สนับสนุนการฝึกอาชีพแก่ประชาชน

6.จัดตั้งศูนย์สารนิเทศและสวัสดิการให้เป็นศูนย์ข้อมูลในการจัดหางาน


ด้านการกีฬา

1.ส่งเสริมให้ประชาชนออกกำลังกาย

2.ส่งเสริมให้มีกีฬาพื้นฐานเพื่อการแข่งขันสมัครเล่นและอาชีพ

3.สร้างขวัญและกำลังใจแก่นักกีฬาที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศ


ด้านสาธารณสุข

1.จัดสรรงบประมาณด้านสาธารณสุข

2.ส่งเสริมภาคเอกชนให้มีส่วนร่วมบริการสาธารณสุข

3.เร่งรัดการผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข

4.เร่งขยายโรงพยาบาลและสถานีอนามัยในชนบท

5.ส่งเสริมการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ

6.สนับสนุนการจัดตั้งกองทุนสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในรูปสหกรณ์

7.ส่งเสริมโครงการกระจายแพทย์สู่ชนบทที่ห่างไกล


ด้านความปลอดภัยและกระบวนการยุติธรรม

1.ปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม

2.เผยแพร่การศึกษากฎหมายและกฎ ระเบียบที่จำเป็นแก่ประชาชน

3.สนับสนุนการจัดตั้งศาลจราจร

4.ปรับปรุงระบบศาลยุติธรรม

5.สนับสนุนการจัดตั้งศาลปกครอง

6.ควบคุมการครอบครองอาวุธของประชาชน

7.ปรับปรุงเรือนจำ และสถานที่คุมขังต่างๆ


ด้านสตรี เด็ก เยาวชน คนพิการและผู้ด้อยโอกาส

1.ส่งเสริมสิทธิความเท่าเทียมระหว่างหญิงและชาย

2.ให้ความคุ้มครอง สวัสดิภาพและสนับสนุนการจัดตั้งกลุ่มชมรมของเด็ก เยาวชน คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส


ด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม

1.กำหนดแผนการใช้และพิทักษ์ทรัพยากร

2.พัฒนาการใช้พลังงานจากธรรมชาติและทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

3.ฟื้นฟู ปรับปรุงสภาพแวดล้อม


ด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคง

1.ปรับปรุงและพัฒนากองทัพ

2.จัดให้กองทัพช่วยพัฒนาประเทศ

3.ปรับปรุงด้านสวัสดิการของกองทัพ

4.สร้างและพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ขึ้นใช้เอง


ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

1.ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาบุคคลกรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

2.สนับสนุนการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีกับต่างชาติ

อ้างอิง

  1. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 123 ตอนที่ 87ง หน้า 30
  2. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 123 ตอนที่ 87ง หน้า 77
  3. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอนที่ 86ง หน้า 58
  4. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอนที่ 107ง หน้า 145
  5. สรุปความจากราชกิจจานุเบกษา เล่ม 123 ตอนที่ 87ง หน้า 30-51