คณะปฏิวัติ
ผู้เรียบเรียง สุมาลี พันธุ์ยุรา
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
คณะปฏิวัติ
ความเป็นมา
การขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของจอมพลถนอม กิตติขจรต่อจาก นายพจน์ สารสิน ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2500 รัฐบาลจอมพลถนอมต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางการเมืองภายในประเทศหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความแตกแยกภายในพรรครัฐบาล การเผชิญหน้ากับการคัดค้านของสมาชิกพรรครัฐบาลเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลที่ได้ลดงบประมาณด้านการศึกษาแต่กลับเพิ่มงบประมาณด้านการทหาร การพ่ายแพ้ของฝ่ายรัฐบาลในการเลือกตั้งซ่อม ตลอดจนการเผชิญหน้ากับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากทั้งหนังสือพิมพ์ พรรคการเมืองฝ่ายค้าน รวมทั้งสมาชิกพรรครัฐบาลบางคนต่อนโยบายการขึ้นภาษีสินค้าของรัฐบาล รวมไปถึงปัญหาข้อพิพาทระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาเรื่องเขาพระวิหารซึ่งศาลโลกตัดสินให้เขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ส่งผลให้รัฐมนตรีหลายคนตัดสินใจลาออกจากรัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครัฐบาลหลายคนก็เตรียมการที่จะลาออก เป็นต้น รัฐบาลของจอมพลถนอมไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ จึงนำไปสู่การทำรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยการยินยอมของจอมพลถนอมเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2501 ซึ่งคณะทหารที่เป็นผู้ก่อการเรียกกลุ่มของตนเองว่า “คณะปฏิวัติ”
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หัวหน้าคณะปฏิวัติเห็นว่า สาเหตุที่ควรทำการปฏิวัติ อันเนื่องมาจากที่ผ่านมาประเทศไทยไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองเพราะนำเอาระบบการปกครองของต่างประเทศคือการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกเข้ามาใช้ทั้งดุ้น โดยไม่ได้มีการตระเตรียมอย่างรอบคอบและโดยเฉพาะอย่างยิ่งมิได้คำนึงถึงสภาวการณ์แวดล้อมที่เกิดขึ้นภายในประเทศไทยและลักษณะพิเศษเฉพาะของประเทศไทย[1] กล่าวได้ว่า สำหรับคณะปฏิวัติแล้ว การจัดระเบียบการเมืองการปกครองของชาติในประการที่สำคัญที่สุด คือ การเมืองจะต้องอาศัยหลักการของไทย โดยละทิ้งอุดมการณ์ของต่างชาติ ฟื้นฟูอุดมการณ์แบบไทย ๆ ให้เป็นอุดมการณ์หลักของชาติ และหลักการทางการเมืองของไทยที่แท้จริง คือ ความมีเสถียรภาพทางการเมือง ความสงบเรียบร้อย และความเป็นผู้นำในด้านการบริหารที่เข้มแข็งของรัฐบาลซึ่งจะทำหน้าที่แทนเจตนารมณ์ของประชาชนและการพัฒนาของชาติ
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์กล่าวถึงแผนการอันดับแรกของการปฏิวัติไว้ว่า “ท่านจะมองเห็นภาพอย่างแจ้งชัดว่าในระยะเวลานั้น เป็นความแตกแยกอย่างรุนแรง การกล่าวร้ายใส่โทษ ความต้องการที่จะเห็นแต่เรื่องยุ่งยาก ความคิดโน้มเอียงไปทางร้าย ความตั้งใจที่จะประหารทำลายซึ่งกันและกันได้แสดงตัวออกมาทุกวิถีทาง จนกระทั่งรัฐบาลในสมัยนั้น (รัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจร) ต้องยอมรับว่าไม่สามารถบริหารงานของประเทศชาติต่อไปได้และจำต้องลาออก ฉะนั้นแผนอันแรกของการปฎิวัติ คือ ต้องขจัดกวาดล้างพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเป็นเหตุแห่งความแตกร้าวและสร้างความสามัคคีในชาติขึ้นมาให้จงได้”[2]
กองบัญชาการของคณะปฏิวัติ
เมื่อคณะปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองแล้ว คณะปฏิวัติได้จัดตั้งกองบัญชาการคณะปฏิวัติขึ้น โดยประกอบด้วยสำนักงานฝ่ายบริหาร ซึ่งมีหน้าที่เป็นฝ่ายบริหารงานในด้านต่าง ๆ ตามคำสั่งของคณะปฏิวัติ โดยแบ่งออกเป็นกองเลขาธิการ กองการเงิน คณะที่ปรึกษาฝ่ายวางแผน คณะที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย คณะที่ปรึกษาฝ่ายการต่างประเทศ สำนักงานแถลงข่าว และ กองประมวลสารสนเทศ นอกจากนี้ยังประกอบด้วยกองอำนวยการฝ่ายพลเรือน โดยแบ่งออกเป็นแผนกเลขานุการ แผนกแผนงานปฏิวัติ แผนกกฎหมาย แผนกประชาสัมพันธ์ แผนกต่างประเทศ แผนกการปกครองภายใน และแผนกรักษาความสงบ[3]
ประกาศของคณะปฏิวัติ
ภายหลังการรัฐประหาร คณะปฏิวัติภายใต้การนำของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ปกครองประเทศโดยไม่มีรัฐธรรมนูญ โดยประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ. 2495 ยกเลิกองค์กรนิติบัญญัติ ยุบสภาผู้แทนราษฎร ยุบพรรคการเมือง ประกาศใช้กฎอัยการศึก แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาและวางแผนจับกุมบุคคลที่ต้องสงสัยหรือมีพฤติกรรมอันเป็นคอมมิวนิสต์ การปราบปรามอันธพาล เป็นต้น และใช้อำนาจของคณะปฏิวัติโดยถือว่าประกาศของคณะปฏิวัติคือกฎหมาย จึงเท่ากับว่าคณะปฏิวัติคือผู้มีอำนาจอธิปไตยสูงสุดเหนือประชาชนทั้งปวง ในช่วงเวลาประมาณ 3 เดือนแรก คือ ระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2501 ถึงวันที่ 28 มกราคม พ.ศ.2502 คณะปฏิวัติได้ใช้อำนาจออกประกาศของคณะปฏิวัติในกรณีต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 57 ฉบับ ดังนั้นในช่วงเวลานี้ประกาศของคณะปฏิวัติจึงกลายเป็นตัวบทกฎหมายทางการปกครองที่สำคัญที่สุด ดังปรากฏในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 3 มีข้อความว่า
โดยที่คณะปฏิวัติเห็นสมควรที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเสียใหม่ ให้เป็นไปด้วยความเหมาะสม ฉะนั้นจึงให้
1. ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495
2. สภาผู้แทนราษฎร สมาชิกภาพแห่งสภาผู้แทนราษฎร และคณะรัฐมนตรีเป็นอันสิ้นสุดลง
3. ศาลทั้งหลายคงมีอำนาจดำเนินการพิจารณาและพิพากษาอรรถคดีให้เป็นไปตามกฎหมายเช่นเดิมทุกประการ
4. คณะปฏิวัติจะได้รับภาระบริหารประเทศ โดยมีกองบัญชาการปฏิวัติซึ่งมีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติในนามของปวงชนชาวไทย เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด รักษาการณ์ทั่วราชอาณาจักร ทั้งนี้จนกว่าจะได้ตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นใหม่
5. ให้ปลัดกระทรวงทุกกระทรวงรักษาการณ์ในหน้าที่ และบรรดาอำนาจที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ว่าเป็นอำนาจของรัฐมนตรีให้เป็นอำนาจของปลัดกระทรวง การปฏิบัติงานให้ขึ้นตรงต่อหัวหน้าปฏิวัติ ราชการใด ๆ เป็นงานปกติ ให้ปลัดกระทรวงสั่งทำไปตามระเบียบปฏิบัติที่เคยทำมา ส่วนเรื่องที่เป็นปัญหาและความผูกพัน ถ้าหากเป็นเรื่องด่วน ให้ปลัดกระทรวงเสนอขอวินิฉัยต่อหัวหน้าคณะปฏิวัติโดยผ่านทางหัวหน้ากองอำนวยการ ส่วนราชการทหารให้ผ่านทางหัวหน้ากองอำนวยการฝ่ายทหาร สำหรับข้าราชการพลเรือนให้ผ่านทางหัวหน้ากองอำนวยการฝ่ายพลเรือน
พร้อมกันนั้นคณะปฏิวัติได้ชี้แจงเหตุผลเกี่ยวกับการทำรัฐประหาร โดยกล่าวไว้ในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 4 คือ เหตุผลประการแรก การคุกคามของคอมมิวนิสต์เป็นภัยใหญ่หลวงภายในประเทศที่พยายามสร้างอิทธิพลเหนือจิตใจของประชาชน การแทรกแซงของตัวแทนลัทธิคอมมิวนิสต์มีอยู่ทุกกระแสในทางการเมือง เศรษกิจและสังคม โดยใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อและแผนการที่ชาญฉลาด ดำเนินการทั้งในทางลับและเปิดเผย ด้วยการพยายาม ทุกวิถีทางที่จะให้”เกิดความเสื่อมโทรมระส่ำระสายในประเทศ ขุดโค่นราชบัลลังก์ ล้มล้างพระพุทธศาสนา และทำลายสถาบันทุกอย่างที่ชาติไทยได้ผดุงรักษามา” เหตุผลประการที่สอง พรรคการเมืองหลายพรรคได้หลอกใช้รัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตยด้วยวิธีการอันเห็นแก่ตัวของพรรค การใช้อภิสิทธิ์และเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ไปในทางที่ผิดของพรรรคการเมืองเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อความเจริญก้าวหน้าของชาติ ได้สร้างความแตกแยกภายในชาติและทำให้ประชาชนเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน พฤติการณ์นี้จะนำไปสู่ความแตกแยกและความเสื่อมของชาติในที่สุด ความเลวร้ายต่าง ๆ ภายในชาติเหล่านี้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนตัวบุคคล หรือเพียงแต่แก้ระบบบางอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างนับเป็นความผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ซึ่งการปฏิวัติเป็นวิธีเดียวที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศชาติได้
นอกจากปัญหาต่าง ๆ ภายในประเทศแล้ว ยังมีสาเหตุมาจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศอีกด้วย เรื่องนี้คณะปฏิวัติหมายถึงสถานการณ์ที่ทรุดหนักลงในอินโดจีนและการเป็นปฏิปักษ์ขึ้นทุกทีระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาในกรณีเขาพระวิหาร เพื่อให้สามารถเผชิญหน้ากับการคุกคามเหล่านี้ คณะปฏิวัติเห็นว่าจะต้องหาหนทางใหม่เพื่อที่จะสร้างเสถียรภาพให้แก่ชาติที่อยู่บนหลักการประชาธิปไตยอย่างมั่นคง จัดระบบเศรษฐกิจและสังคมที่เหมาะสมกับการอยู่รอดของชาติและความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย นอกจากนี้ คณะปฏิวัติยังได้ประกาศยืนยันว่ามีหลักการที่สำคัญ 4 ประการที่คณะปฏิวัติจะส่งเสริม คือ จะเคารพสิทธิมนุษยชนตามปฏิญาณสากลที่ได้ทำขึ้นในสมัชชาแห่งสหประชาชาติ จะเชิดชูรักษาบูรณภาพของศาลสถิตยุติธรรม จะปฏิบัติตามพันธะกรณีระหว่างประเทศ และจะยึดมั่นอยู่เสมอว่าไม่สามารถแบ่งแยกพระมหากษัตริย์และชาติไทยออกจากกันได้
ส่วนแผนการดำเนินงานของคณะปฏิวัติที่คาดว่าจะจัดทำขึ้นต่อไป ได้กล่าวไว้ในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ว่า
1. เนื่องจากการกระทำครั้งนี้เป็นการปฏิวัติไม่ใช่เพียงรัฐประหารอย่างที่เคยกระทำกันมาในครั้งก่อน ๆ คณะรัฐบาลที่จะจัดตั้งขึ้นในชั้นต้นนี้ จึงจะมีรูปเป็นรัฐบาลปฎิวัติในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อแห่งการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลปฏิวัติจะประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมีจำนวนตามควรแก่กิจการที่จะต้องบริหาร ดังจะประกาศรายนามให้ทราบต่อไป
2. จะได้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ซึ่งรายชื่อสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจะได้ประกาศให้ทราบต่อไป
3. นอกจากหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญใหม่แล้ว จะได้ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่เป็นสภานิติบัญญัติในระยะเวลาปฏิวัติอีกด้วย การออกกฎหมายในระยะนี้ต้องผ่านสภานี้ นอกจากนั้น สภาร่างรัฐธรรมนูญยังมีอำนาจหน้าที่อย่างอื่นซึ่งจะได้บัญญัติไว้ในประกาศตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ
4. จัดการแก้ไขและปรับปรุงเศรษฐกิจแห่งชาติให้ดีขึ้นและเข้าสู่มาตรฐานที่พึงพอใจ โดยนำเอาหลักนิยมในระบอบประชาธิปไตยมาปรับปรุงให้เหมาะสมกับความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทยทั้งในทางกสิกรรมและอุตสาหกรรม สำหรับงานนี้จะได้ตั้งคณะกรรมการวางแผนการเศรษฐกิจแห่งชาติทั้งระยะสั้นและระยะยาวให้เป็นแผนการถาวร ซึ่งรัฐบาลที่ตั้งขึ้นภายหลังจะต้องยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติสืบเนื่องกัน ไม่ยกเลิกหรือเปลี่ยนใหม่ง่าย ๆ ตามอารมณ์ของผู้ที่เข้ามาเป็นรัฐบาล จะได้ประกาศชี้แจงให้ราษฎรทราบและเข้าใจแผนการและผลที่สำเร็จเป็นปี ๆ ไป
5. เพื่อให้ได้ผลดังกล่าวในข้อ 4 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อให้แผนการเศรษฐกิจเป็นแผนการถาวรที่รัฐบาลจะต้องปฏิบัติสืบเนื่องกันไป จะต้องให้มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดในระหว่างรัฐธรรมนูญกับแผนการเศรษฐกิจ และจะต้องเอาหลักการเศรษฐกิจเข้าบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญเท่าที่จะทำได้ และจะต้องประกาศแผนดำเนินการเศรษฐกิจไปพร้อมกับการประกาศใช้รัฐธรรมนูญหรือในเวลาใกล้ชิดกัน
6. แก้ไขปรับปรุงระเบียบการคลัง การปกครอง การศึกษา และอื่นๆ บรรดาที่อยู่ในลักษณะงานปฏิวัติ โดยออกเป็นกฎหมายผ่านสภาร่างรัฐธรรมนูญ
7. เมื่อได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ซึ่งสภาร่างรัฐธรรมนูญได้ร่างขึ้นแล้ว การบริหารประเทศก็จะได้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนั้น
เมื่อพิจารณาประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใหม่ให้เป็นไปตามความเหมาะสมของสังคมไทย เหตุผลเกี่ยวกับการปฏิวัติ และแผนการดำเนินงานของคณะปฏิวัติ ล้วนสะท้อนให้เห็นว่า จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หัวหน้าคณะปฏิวัติไม่นิยมรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก เพราะเห็นว่าระบบการบริหารประเทศดังกล่าวทำให้รัฐบาลชุดก่อน คือ รัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจรต้องประสบกับปัญหาความวุ่นวายต่าง ๆ ทางการเมืองจนเป็นอุปสรรคต่อการบริหารประเทศ ด้วยเหตุนี้ จอมพลสฤษดิ์จึงหันกลับมาสร้างระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยในรูปแบบใหม่ขึ้นมาทดแทน เพื่อใช้ในการปกครองประเทศไทยเป็นการเฉพาะ นั่นก็คือ การสร้าง “ระบอบประชาธิปไตยแบบไทย” ตามที่รัฐบาลคณะปฏิวัติได้กล่าวไว้ว่า “...การปฏิวัติ “20 ตุลาคม” นั้น ถึงแม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงภายในระบอบประชาธิปไตย และมิใช่เปลี่ยนแปลงจากระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบอื่นก็ตาม แต่เป็นการยกเลิกระบอบประชาธิปไตยตามแบบตะวันตก และสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับสภาวการณ์และลักษณะพิเศษของประเทศไทยขึ้นแทน” แต่อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังมีความจำเป็นสำหรับคณะปฏิวัติ สะท้อนให้เห็นได้จากการจัดทำแผนจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร กล่าวได้ว่า โดยเนื้อแท้แล้วคณะปฏิวัติมิได้ต่อต้านรัฐสภาหรือรัฐบาล แต่คณะปฏิวัติตระหนักดีว่ารัฐบาลและรัฐสภาได้พยายามอย่างที่สุดที่จะทำหน้าที่ภายในขอบเขตที่ประชาธิปไตยแบบตะวันตกได้กำหนดไว้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นระบบที่ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นก็คือ รูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก
คณะปฎิวัติได้ออกประกาศของคณะปฏิวัติอีกหลายฉบับตามมาเพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งถือว่าเป็นการปิดฉากระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกและเป็นการเริ่มต้นยุคเผด็จการอย่างแท้จริง เช่น ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 8 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติพรรคการเมืองพ.ศ.2498 และให้ยุบพรรคการเมืองทั้งหมด ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 13 ห้ามการชุมนุมทางการเมืองของประชาชนตั้งแต่ 5 คน ขึ้นไปเป็นอันขาด ประกาศของคณะปฏิวัติทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว ทำให้ประชาชนหมดโอกาสที่จะเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองซึ่งถือว่าถูกริดรอนเสรีภาพทางการเมือง
นอกจากนี้ คณะฏิวัติยังดำเนินแผนการอันดับแรกอย่างแข็งขันตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ การขจัดกวาดล้างพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเป็นเหตุแห่งความแตกแยกภายในประเทศ โดยออกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับต่าง ๆ ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความสามัคคีและความสงบเรียบร้อยขึ้นภายในประเทศ เช่น ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 17 มีสาระสำคัญเกี่ยวกับภาระหน้าที่ของหนังสือพิมพ์ โดยให้เปลี่ยนแปลงการเสนอข่าวสารทางการเมืองต่อประชาชนเสียใหม่ ซึ่งห้ามมิให้มีข้อความละเมิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ หรือกล่าวร้ายเสียดสี หมิ่นประมาท ดูหมิ่นเหยียดหยามพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือกล่าวร้าย เสียดสี เหยียดหยามประเทศชาติ ปวงชนชาวไทย และรัฐบาลไทย หรือส่งเสริมให้เกิดความนิยมในลัทธิคอมมิวนิสต์ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 19 มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการยกเลิก พ.ร.บ.แรงงาน พ.ศ.2499 เพราะคณะปฏิวัติเห็นว่าเป็นที่มาของความร้าวฉานระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวแทนคอมมิวนิสต์อาศัยบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นเครื่องมือยุยงให้ลูกจ้างกระทำการอันไม่ชอบ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 21 มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการปราบปรามอันธพาล ซึ่งระบุว่าบุคคลใดประพฤติตนเป็นอันธพาล ถือว่าเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนพลเมืองโดยทั่วไป สมควรอย่างยิ่งที่เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองและตำรวจจะได้จัดการปราบปราม และประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 37 ได้ประกาศยกเลิกการสูบฝิ่น ยกเลิกร้านจำหน่ายฝิ่น และยกเลิกการซื้อขายฝิ่นทั่วประเทศ โดยถือว่าการขายและสูบฝิ่นเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง และฝิ่นเป็นภัยที่คุกคามต่อประเทศชาติ
นอกจากนี้ แผนการหนึ่งที่คณะปฏิวัติรีบนำออกมาใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่คณะปฏิวัติและเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน คือ แผนการที่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างฉับพลัน เช่น การสั่งลดอัตราค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ค่าโดยสารรถไฟ และราคาข้าวสาร ให้การช่วยเหลือประชาชนที่อยู่ในบริเวณที่ขาดแคลนแหล่งน้ำบริโภค ให้การรักษาพยาบาลฟรีสำหรับครอบครัวที่ยากจน เปิดตลาดนัดวันอาทิตย์ในเขตต่าง ๆ เพื่อจำหน่ายสินค้าราคาถูกให้กับประชาชน ลดราคากาแฟเย็น น้ำตาล และถ่าน เพิ่มจำนวนการสงวนอาชีพสำหรับคนไทยจาก 13 อาชีพ เพิ่มขึ้นเป็น 24 อาชีพ ออกคำสั่งให้ราชนาวีหามะพร้าวราคาถูกมาจำหน่ายแก่ประชาชน เป็นต้น การกระทำในลักษณะนี้ ได้ส่งผลให้ประชาชนต่างรู้สึกนิยมชมชอบในตัวจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2501 จอมพลสฤษดิ์จึงกลายเป็นที่ยอมรับในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว
ภายในช่วงเวลาสองเดือน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ก็สามารถจัดวางแนวทาง การปกครองของตนขึ้นได้ นั่นก็คือ จอมพลสฤษดิ์จัดการกับความต้องการอันรีบด่วนของประชาชนให้สำเร็จลุล่วงไปได้โดยไม่คำนึงถึงว่าจะสิ้นเปลืองงบประมาณเท่าใด ควบคู่ไปกับการจับกุมบุคคลต่าง ๆ ที่ส่งสัยว่ามีพฤติกรรมอันเป็นคอมมิวนิสต์ การปิดร้านหนังสือ การห้ามมิให้มีพรรคการเมือง การใช้วิธีรุนแรงกับสหภาพแรงงาน การกระทำขั้นเด็ดขาดกับผู้วางเพลิง และการจับกุมอันธพาล ซึ่งดำเนินการไปพร้อม ๆ กับการลดราคาสินค้าและการกระทำสิ่งอื่น ๆ ซึ่งเป็นการปกครองที่มีลักษณะเป็นความเด็ดขาดแบบปรานี โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะแสดงให้ประชาชนเห็นว่า รัฐบาลใหม่เป็นรัฐบาลที่ปฏิวัติจริง ๆ และสิ่งต่าง ๆ จะต้องก้าวหน้าขึ้นไป
การกำจัดศัตรูทางการเมือง
ในขณะเดียวกัน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ก็ได้ใช้อำนาจในฐานะหัวหน้า คณะปฏิวัติกำจัดศัตรูทางการเมืองหรือพวกที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล โดยกล่าวหาหรือสงสัยว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งเห็นว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นภัยคุกคามอย่างยิ่งต่อพระมหากษัตริย์และพุทธศาสนา คณะปฏิวัติได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง คือ คณะกรรมการพิจารณาและวางแผนจับกุมบุคคลที่ต้องสงสัยหรือมีพฤติกรรมเป็นคอมมิวนิสต์ กรรมการชุดนี้ได้เริ่มปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.2501 โดยที่ตำรวจสันติบาลจำนวนร้อยกว่าคนได้ออกตรวจค้นและจับกุมบุคคลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง อดีตรัฐมนตรี นักหนังสือพิมพ์หรือนักเขียน ทนายความ ครูอาจารย์ นิสิตนักศึกษา ปัญญาชน พระสงฆ์ ข้าราชการพลเรือน นักธุรกิจ ชาวนา พ่อค้าชาวจีนและกรรมการสมาคม รวมทั้งกรรมการสหภาพแรงงานต่าง ๆ
กลุ่มนักการเมือง เป็นกลุ่มแรกที่ถูกจับกุม คือ กลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายและนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับกลุ่มจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย เช่น นายเทพ โชตินุชิต หัวหน้าพรรคเศรษฐกรและประธานพรรคแนวร่วมสังคมนิยมแห่งประเทศไทย นายแคล้ว นรปกติ เลขาธิการพรรคเศรษฐกร ร้อยตำรวจเอกเฉียบ (ชัยสงค์) อัมพุนันท์ หัวหน้าพรรคศรีอารยะเมตไตรย์ นายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร อดีตหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ร้อยตำรวจเอกสมศักดิ์ พัวเวล นายตำรวจคนสนิทของนายปรีดี พนมยงค์ นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม ได้แก่ นายพรชัย แสงชัชจ์ นายสุธี ภูวพันธ์ นายเจริญ สืบแสง และนายทวีศักดิ์ ตรีพลี เป็นต้น
กลุ่มนักหนังสือพิมพ์ เป็นเป้าหมายอีกกลุ่มหนึ่งที่คณะปฏิวัติต้องการกำจัด ผู้ที่ถูกจับกุม ได้แก่ ชวน ชุนสุวรรณ จากหนังสือพิมพ์ตงง้วน ฮะส่วน แซ่โง้ว จากหนังสือพิมพ์ กงหอป่อ นายพินิจ อังกินันท์ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์หลักเมือง นายสวัสดิ์ ตัณฑสุธิ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์เดลิเมล์รายวัน นายสนิท เอกชัย หัวหน้ากองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ เดลิเมล์รายวัน นายเชลง กัทลีระดะพันธ์ ผู้ช่วยบรรณาธิการหนังสือพิมพ์เดลิเมล์รายวัน นายอิศรา อมันตกุล หัวหน้ากองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์บางกองเดลิเมล์ นายอุทรณ์ พลกุลจากหนังสือพิมพ์ข่าวภาพและดำรงตำแหน่งนายกสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นายทนง ศรัทธาทิพย์ จากหนังสือพิมพ์เอกราชรายสัปดาห์ นายสังข์ พัฒโนทัย บรรณาธิการหนังสือพิมพ์เสถียรภาพ นายล้วน ปั้นน้อย บรรณาธิการหนังสือพิมพ์เศรษฐกร และนายอุดม สีสุวรรณ จากหนังสือพิมพ์เศรษฐสาร เป็นต้น นอกจากการจับกุมกลุ่มนักหนังสือพิมพ์แล้ว จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ยังได้สั่งปิดหนังสือพิมพ์ เช่น ข่าวภาพรายวัน (ไทยรัฐ) เสถียรภาพ เสียงไทย เดลิเมล์ บางกอกเดลิเมล์ ตงง้วน กงหอป่อ เศรษฐสาร ปิตุภูมิ สายธาร หลักเมือง เอกราชรายสัปดาห์ คียกเชียป่อ เป็นต้น และสั่งปิดสำนักพิมพ์และโรงพิมพ์ เช่น รามินการพิมพ์ โรงพิมพ์แสงนคร เป็นต้น
กลุ่มครูอาจารย์และนิสิตนักศึกษา เป็นกลุ่มบุคคลที่ถูกมองว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ หลายคนจึงถูกจับกุมโดยคณะปฏิวัติ เช่น นายประวุฒิ ศรีมันตะ อาจารย์โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา นายจิตร ภูมิศักดิ์ นิสิตปริญญาโทจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและเป็นอาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยศิลปากร ร้อยตรีธรรมนูญ ตันเตมีย์ อดีตนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายขจร วัฒนศิลา เลขาธิการสหภาพครูโรงเรียนราษฎร เป็นต้น ในเดือนมกราคม พ.ศ.2502 ตำรวจได้จับกุมครั้งใหญ่ มีจำนวนผู้ถูกจับกุมทั้งสิ้น 47 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครูจากจังหวัดศรีสะเกษ ในข้อหาการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์
คณะปฏิวัติเชื่อว่ากลุ่มคนที่มีความใกล้ชิดกับพวกคอมมิวนิสต์มากที่สุด คือ กลุ่มกรรมกร พ่อค้าคนจีน กรรมการสมาคมต่าง ๆ ของคนจีน และชาวจีน บุคคลที่ถูกจับกุม ได้แก่ แปะเม่งคุณ ประธานมูลนิธิปอเต็กตึ๊ง ชุนฮิวเม้ง เจ้าของร้านตังตั๊กเชียงที่เยาวราช อักต่วน แซ่หว่อง และจิ้นปั๊ก แซ่ตั้ง พ่อค้าจีน ตั๊ก ก๊วยน้ำ นายกสมาคมโพยก๊วนคอมปะโด ธนาคารศรีอยุธยา และนายประกอบ โตลักษณ์ล้ำ รองเลขาธิการสมาคมกรรมกรไทย เป็นต้น
กลุ่มสหภาพแรงงาน เป็นบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งที่คณะปฏิวัติถือว่าเป็นศัตรูสำคัญ กรรมกรสหภาพแรงงานที่ถูกจับกุม ได้แก่ นายวีระ ถนอมเลี้ยง เลขาธิการสหภาพกรรมกรรถไฟบางซื่อ นายประภาส สุคนธ์ เลขาธิการสหภาพกรรมกรโรงงานแก้ว และนายเจริญ สืบแสง ประธานองค์การสันติภาพแห่งประเทศไทย
ผู้ที่ถูกจับกุมโดยคณะปฏิวัติ ทั้งหมดได้ถูกขังลืมอย่างน้อย 3 ถึง 5 ปีเศษ บางคนเสียชีวิตในคุกโดยไม่มีการพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม เช่น นายสวัสดิ์ ตัณฑสุทธิ และนายเฉลิม คล้ายนาค บรรณาธิการและนักข่าวหนังสือพิมพ์เดลิเมล์รายวัน เป็นต้น กล่าวได้ว่า ภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2501 คณะปฏิวัติได้ใช้อำนาจเผด็จการจับกุมประชาชนจำนวนมากและทำการลงโทษโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมของศาล
การประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502
การใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จในการปกครองประเทศของคณะปฏิวัติ ซึ่งเริ่มตั้งแต่การทำรัฐประหารในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2501 จนกระทั่งถึงวันที่ 28 มกราคม พ.ศ.2502 เป็นระยะเวลา 3 เดือน 20 วัน ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว คือ ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ โดยมีบทบัญญัติเพียง 20 มาตราเท่านั้น การประกาศใช้ธรรมนูญฉบับนี้ เป็นการจัดทำขึ้นเพื่อให้มีแม่บทกฎหมายเป็นหลักในการปกครองประเทศจนกว่าจะมีรัฐธรรมนูญฉบับถาวร
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในภาพรวมจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์จะไม่เห็นด้วยกับรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกเลยก็ตาม แต่ในส่วนของรัฐธรรมนูญ จอมพลสฤษดิ์กลับเล็งเห็นและยอมรับถึงความสำคัญของการมีรัฐธรรมนูญแบบไทย เพราะ จอมพลสฤษดิ์เห็นว่ารัฐธรรมนูญตามเนื้อหาแบบตะวันตกมักจะให้อำนาจแก่ฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนมากเกินไปซึ่งไม่เหมาะสมกับประเทศไทย เพราะเชื่อว่าระบบพรรคการเมืองและการเลือกตั้งเป็นสาเหตุทำให้นักการเมืองสามารถใช้ช่องว่างเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ โดยมิได้ทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ให้แก่ประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง และส่งผลให้รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพและขาดประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ
ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 ที่ประกาศใช้ก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับถาวรนั้น ได้กำหนดให้ฝ่ายบริหารคณะรัฐมนตรีประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีจำนวน 1 คน และรัฐมนตรีให้มีจำนวนตามสมควร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะเป็นสมาชิกสภามิได้ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตีมีสิทธิเข้าร่วมประชุมชี้แจงแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมสภา แต่ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน (มาตรา 14) ภายหลังจากธรรมนูญฉบับนี้บังคับใช้แล้ว หากยังไม่มีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี หัวหน้าคณะปฏิวัติจะเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนคณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี (มาตรา 16) ซึ่งการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองตามมาตรา 16 นี้ ทำให้ฐานะของจอมพลสฤษดิ์เป็นนายกรัฐมนตรีโดยนิตินัย
ในส่วนของอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีนั้น ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 ได้ให้อำนาจอธิปไตยสูงสุดแก่นายกรัฐมนตรี โดยระบุไว้ในมาตรา 17 ว่า “ในระหว่างที่ใช้ธรรมนูญนี้ ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีเห็นสมควร เพื่อประโยชน์ในการระงับหรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักรหรือราชบัลลังก์ หรือการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลาย ก่อกวนหรือคุกคามความสงบที่เกิดขึ้นภายในหรือมาจากภายนอกราชอาณาจักร ให้นายกรัฐมนตรี โดยมติของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งการหรือกระทำการใด ๆ ได้ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำเช่นว่านั้น เป็นคำสั่งหรือการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการหรือกระทำการใดไปตามความในวรรคก่อนแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีแจ้งให้สภาทราบ”
การประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 โดยเฉพาะอำนาจตามมาตรา 17 นี้ ทำให้ระบบการปกครองของไทยเป็นระบบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ โดยการถ่ายโอนอำนาจในการบริหารประเทศทั้งหมดจากคณะปฏิวัติมาสู่รัฐบาลเผด็จการโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยรวมอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการไว้ที่นายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว นายกรัฐมนตรีจึงมีอำนาจกระทำการใด ๆ ก็ได้ ทำให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยสูงสุดแต่ผู้เดียว ซึ่งเท่ากับว่าธรรมนูญการปกครองได้ให้อำนาจสูงสุดในการบริหารอย่างเต็มที่แก่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยปริยาย
นอกจากนี้ ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรพ.ศ.2502 ยังกำหนดพระราชสถานะของพระมหากษัตริย์ไว้ดังนี้คือ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขและดำรงตำแหน่ง จอมทัพไทย องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ (มาตรา 2 และมาตรา 3) พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งหรือถอดถอนองคมนตรีได้ตามพระราชอัธยาศัย (มาตรา 4) และทรงแต่งตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ รองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรี และทรงไว้ซึ่ง พระราชอำนาจที่จะให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง (มาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 14 และมาตรา 15)
ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 สะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่เคารพสักการะและทรงอยู่เหนือกฎหมาย กล่าวได้ว่าแม้จอมพลสฤษดิ์ หัวหน้าคณะปฏิวัติจะพยายามเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองเดิม คือ ระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก แต่สิ่งหนึ่งที่จอมพลสฤษดิ์ยังคงรักษาไว้ คือ ประเทศไทยจะต้องมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งแม้ว่าพระมหากษัตริย์จะทรงไม่มีพระราชอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินเหมือนเช่นในอดีต แต่พระมหากษัตริย์ทรงมีฐานะเป็นตัวแทนอธิปไตยและเป็นตัวแทนของความรุ่งเรืองของชาติไทย ซึ่งพระองค์ยังคงเป็นที่เคารพนับถือและยังคงเป็นสัญญลักษณ์แห่งจิตใจของประชาชน ดังที่ จอมพลสฤษดิ์ได้ทูลเกล้าถวายสาส์นแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งมีใจความว่า “ในการปฏิวัติครั้งนี้ ถึงหากจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงสถาบันแห่งชาติในทางหนึ่งทางใด แต่สิ่งหนึ่งซึ่งคณะปฏิวัติจะไม่ยอมให้มีการเปลี่ยนแปลง คือ ระบอบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ คณะปฏิวัติจะยืนหยัดดำรงรักษาระบอบนี้ต่อไป คณะปฏิวัติได้ให้คำมั่นสัญญาในเรื่องนี้แก่ประชาชนในการประกาศหลายแห่งหลายตอนที่ได้ประกาศไปแล้ว และขอถวายคำมั่นสัญญานี้เป็นส่วนของพระองค์ครั้งหนึ่ง รัฐธรรมนูญที่จะจัดทำขึ้นใหม่ก็คงจะรักษาระบอบนี้ไว้อย่างมั่นคงอีก”
การจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ
สืบเนื่องจากการรัฐประหารในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2501 คณะปฏิวัติได้ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ.2475 แก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ.2495 พร้อมทั้งกำหนดแผนงานไว้ในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ว่าจะให้มีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อร่างรัฐธรรมนูญให้เหมาะสมกับสถานการณ์ภายในประเทศไทยนั้น จึงได้ปรากฏต่อมาว่าในธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 กำหนดให้มีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้น โดยระบุว่าสภาร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 240 คน โดยได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ (มาตรา 7) สภาร่างรัฐธรรมนูญมีหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญและให้มีฐานะเป็นสภานิติบัญญัติด้วย (มาตรา 6 ) สภาร่างรัฐธรรมนูญมีอำนาจตามข้อบังคับการประชุมของสภาเกี่ยวกับการเสนอร่างพระราชบัญญัติ การเสนอญัตติการประชุม การปรึกษาและกิจการอื่น ๆ เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ (มาตรา 9) เมื่อร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าจะนำขึ้นทูลเกล้าฯถวาย เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยให้ประกาศใช้หรือไม่ ซึ่งการพิจารณานี้สภาจะแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญแต่ประการใดมิได้ และที่ประชุมต้องมีสมาชิกสภาไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด (มาตรา 10) และหากสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งไม่เห็นชอบในการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระมหากษัตริย์เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ (มาตรา 11) นอกจากนี้ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญยังได้รับความคุ้มครองเอกสิทธิ์ในการกล่าวถ้อยคำใด ๆ ในการแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นหรือออกเสียงลงคะแนนต่อสภาร่างรัฐธรรมนูญ โดยบุคคลภายนอกไม่สามารถฟ้องร้องเอาความกับสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญผู้นั้นได้ (มาตรา 12) และในกรณีที่สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญคนใดถูกคุมขังหรือควบคุม หรือถูกฟ้องร้องในคดีอาญา ประธานสภาผู้แทนราษฎรสามารถร้องขอให้สั่งปล่อยหรืองดการพิจาณาคดีได้ (มาตรา 13)
ต่อมาได้มีการแต่งตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2502 ซึ่งประกอบด้วยบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายฝ่ายทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชการ นักการเมือง และนักหนังสือพิมพ์ เป็นต้น มีจำนวนทั้งสิ้น 240 คน โดยมีพลเอกสุทธิ์ สุทธิสารรณกร รองผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้นเป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ และมีรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2 คน คือ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ และนายทวี บุณยเกตุ
หลังจากการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 การตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ และการแต่งตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเรียบร้อยแล้ว สภาร่างรัฐธรรมนูญในฐานะรัฐสภาได้มีมติสนับสนุนให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ จอมพลสฤษดิ์ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ภุมภาพันธ์ พ.ศ.2502 พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี จำนวน 13 คน ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2502 ซึ่งจะเห็นได้ว่า การจัดตั้งรัฐบาลตามธรรมนูญการปกครอง พ.ศ.2502 ทำให้สถานะ การใช้อำนาจของจอมพลสฤษดิ์มีความมั่นคงและมีความชอบธรรมมากขึ้นเพราะมีกฎหมายรองรับ
กล่าวได้ว่า คณะปฏิวัติภายใต้การนำของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์พยายามพัฒนาหนทางเท่าที่จะทำได้เพื่อไปสู่แนวโน้มทางการเมืองที่วางไว้หลัง พ.ศ.2475 ทั้งนี้เพราะ จอมพลสฤษดิ์เชื่อว่าการที่หวนกลับมาใช้คติการปกครองแบบเก่า ซึ่งก็คือการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ๆ เป็นหนทางที่จะสร้างประเทศให้ทันสมัย ในขณะเดียวกัน จอมพลสฤษดิ์ไม่เคยละเว้นที่จะชี้ให้เห็นว่าการขึ้นมามีอำนาจของตนเมื่อพ.ศ.2501 ไม่ใช่รัฐประหาร หากแต่เป็นการปฏิวัติ จอมพลสฤษดิ์กล่าวว่าหากตนเพียงแต่ต้องการจะเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องยึดอำนาจ เพราะจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นได้ลาออกจากตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว และตนก็สามารถที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้โดยไม่ต้องใช้กำลังรุนแรง แต่สาเหตุที่จอมพลสฤษดิ์ทำการปฏิวัติ (เรียกการกระทำของกลุ่มตนเอง)นั้น ก็เพื่อจะได้เปลี่ยนแปลงระบบการปกครองแบบเดิม (ประชาธิปไตยแบบตะวันตก) และเห็นว่าบ้านเมืองจะมีสภาพดีได้ก็ด้วยการพยายามยืนอยู่บนขาของตัวเอง และการอุทิศแรงกายและกำลังใจทั้งหมดเพื่อการพัฒนา แม้กระนั้นก็ประจักษ์แก่จอมพลสฤษดิ์ว่าก่อนที่จะทำประเทศให้ทันสมัยนั้น ประเทศที่กำลังพัฒนาจะต้องตระหนักถึงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งจะต้องสร้างหลักเกณฑ์การอยู่รอดของชาติ และทำให้กฎเกณฑ์เหล่านี้เป็นพันธะหน้าที่ที่พึงปฏิบัติของรัฐบาล
ที่มา
กองทัพบก. ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพฯพณฯจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์. กรุงเทพฯ: บริษัท ธนะการพิมพ์ จำกัด, 2507.
ทักษ์ เฉลิมเตียรณ. การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548.
ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 ใน ราชกิจจานุเบกษา (ฉบับพิเศษ) 2502, เล่ม 76 ตอนที่ 17.
ประจวบ อัมพะเศวต. พลิกแผ่นดินประวัติการเมืองไทย 24 มิถุนายน 2475 - 14 ตุลาคม 2516. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2543.
ประมวลประกาศและคำสั่งของคณะปฏิวัติที่ใช้เป็นกฎหมาย พร้อมทั้งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร และพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ.2502. พระนคร: สำนักพิมพ์ก้าวหน้า, 2503.
ประมวลสุนทรพจน์ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในระยะ 3 ปี แห่งการบริหารของคณะรัฐมนตรี 10 กุมภาพันธ์ 2502 ถึง 9 กุมภาพันธ์ 2505. พระนคร: โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, 2505.
สมบัติ ธำรงธัญวงศ์. การเมืองการปกครองไทย: ยุคเผด็จการ-ยุคปฏิรูป. พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เสมาธรรม, 2549.
สิริรัตน์ เรืองวงษ์วาร. ประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 จนถึงปัจจุบัน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชวนพิมพ์, 2536.
หนังสือแนะนำ
1. ทักษ์ เฉลิมเตียรณ. การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548.
2. ประมวลประกาศและคำสั่งของคณะปฏิวัติที่ใช้เป็นกฎหมาย พร้อมทั้งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร และพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ.2502. พระนคร: สำนักพิมพ์ก้าวหน้า, 2503.
หนังสือเรื่องการเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการของทักษ์ เฉลิมเตียรณ ได้อธิบายและวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่คณะปฏิวัติทำการยึดอำนาจในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2501 ตลอดจนเป้าหมายและความคิดทางการเมืองที่อยู่เบื้องหลังของคณะปฏิวัติ
หนังสือเรื่องประมวลประกาศและคำสั่งของคณะปฏิวัติที่ใช้เป็นกฎหมาย พร้อมทั้งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร และพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ.2502 ได้ประมวลประกาศของคณะปฏิวัติทั้ง 57 ฉบับ ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 รายชื่อสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ.2502 ตลอดจนประกาศและคำสั่งต่าง ๆ ซึ่งทำให้ทราบถึงเป้าหมายและแผนการของคณะปฏิวัติ
อ้างอิง
- ↑ The Bangkok Post, March 10, 1959 อ้างถึงใน ทักษ์ เฉลิมเตียรณ, การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548), หน้า 191.
- ↑ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์, “คำปราศรัยในวันชาติ 24 มิถุนายน 2502,” ในประมวลสุนทรพจน์ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในระยะ 3 ปี แห่งการบริหารของคณะรัฐมนตรี 10 กุมภาพันธ์ 2502 ถึง 9 กุมภาพันธ์ 2505 (พระนคร: โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, 2505), หน้า 20-21.
- ↑ กองทัพบก, ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพฯพณฯจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (กรุงเทพฯ: บริษัท ธนะการพิมพ์ จำกัด, 2507), หน้า 126-129.