21 มิถุนายน พ.ศ. 2476

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2476 เป็นวันที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีคนที่สองของประเทศ ท่านคือ นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะทหารที่ยึดอำนาจในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ซึ่งคณะทหารได้เรียกร้องให้พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ลาออกจากตำแหน่งในวันเดียวกัน ในวันรุ่งขึ้นพระยาพหลฯ จึงเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ และเมื่อเป็นอยู่ระยะเวลาประมาณสิบกว่าวันท่านก็แสดงเจตจำนงที่จะขอลาออกจากตำแหน่ง โดยอ้างว่าจะขอเป็นเพียงรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารบก แต่ก็ไม่ไม่รับอนุญาต จึงได้เป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อมาประมาณ 5 ปี ได้เผชิญกับปัญหาและวิกฤติการณ์ทางการเมืองอยู่มาก

ที่จริงงานในการสร้างประชาธิปไตยของท่านก็ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดแรกโดยประชาชนเป็นครั้งแรกจำนวนครึ่งสภา แต่เป็นการเลือกตั้งทางอ้อมครั้งแรกและครั้งเดียวของไทย ที่ราษฎรต้องเลือกตั้งผู้แทนตำบล และผู้แทนตำบลไปเลือกตั้งผู้แทนราษฎรอีกครั้ง ในวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476

แต่ในช่วงเวลานั้นนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลก็เจอกับการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองที่สำคัญเรียกได้ว่าเป็น “สงครามกลางเมือง” คือกรณีกบฏบวรเดชที่เริ่มขึ้นในวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476 ที่พระองค์เจ้าบวรเดชได้นำทหารหัวเมืองจากโคราชบุกลงมาพระนคร จะยึดอำนาจล้มรัฐบาลของพระยาพหลฯ โดยยื่นคำขาดให้รัฐบาลลาออก แต่รัฐบาลกลับดำเนินการปราบปรามฝ่ายกบฏอย่างเข้มแข็ง ทำให้ทางฝ่ายกบฏแพ้ไปภายในเดือนตุลาคมปีนั้นเอง นายทหารคนสำคัญของฝ่ายกบฏที่เสียชีวิตคือพระยาศรีสิทธิสงคราม ส่วนหัวหน้ากบฏคือ พระองค์เจ้าบวรเดชนั้นได้ขึ้นเครื่องบินออกไปนอกประเทศและขอลี้ภัยในดินแดนอินโดจีน

การเป็นนายกรัฐมนตรียุคสร้างประชาธิปไตยสมัยแรกของพระยาพหลฯ ซึ่งแม้จะเป็นหัวหน้าคณะทหาร แต่ก็ถูกเล่นงานจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งอยู่บ่อยครั้ง และรัฐบาลของท่านเคยแพ้เสียงในสภาเกี่ยวกับการไปตกลงกำหนดโควตาค้ายางกับต่างประเทศ จนท่านต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่สภาผู้แทนฯ ก็ยังหาคนอื่นมาเป็นนายกฯ ไม่ได้จึงต้องเอาท่านมาเป็นอีก

ต่อมาท่านก็ถูกนายเลียง ไชยกาล อภิปรายเรื่องการซื้อขายที่ดินของพระคลังข้างที่ให้แก่นักการเมืองและรัฐมนตรี ซึ่งดูว่าจะเป็นราคาถูกเกินไป การอภิปรายครั้งนี้แม้นายกฯ จะไม่ได้ไปมีส่วนได้เสียด้วย หลังการอภิปรายท่านก็ลาออก และสภาผู้แทนฯ ก็ต้องไปขอให้ท่านกลับมาเป็นอีก

แต่เรื่องราวที่สำคัญในชีวิตการเป็นนายกฯ ของพระยาพหลฯ ก็คือการสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 ภายหลังที่ปรากฏว่ามีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันระหว่างพระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 กับทางรัฐบาลอยู่หลายเรื่อง และได้มีพระราชบันทึกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ถึงรัฐบาลในเวลานั้น แต่เมื่อทางรัฐบาลไม่ปฏิบัติตามพระราชบันทึก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ซึ่งในเวลานั้นประทับรักษาพระองค์ ณ ประเทศอังกฤษ จึงได้มีพระราชหัตถเลขา มายังรัฐบาลทรงสละราชสมบัติ ซึ่งก็ทำให้รัฐบาลต้องตกที่นั่งลำบาก อีกทั้งสภาผู้แทนฯ ได้มีบทบาทในการให้ความเห็นชอบอย่างเอกฉันท์ตามกฎมณเฑียรบาลต่อการสถาปนากษัตริย์องค์ใหม่ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เป็นพระประมุขของประเทศ

แต่คลื่นลมทางการเมืองในสภาเองที่มีต่อมาเป็นระยะ ๆ และท้ายที่สุดในเดือนกันยายน พ.ศ. 2481 นายถวิล อุดล สมาชิกสภาฯ จากจังหวัดร้อยเอ็ดได้เสนอญัตติขอแก้ไข ข้อบังคับการประชุมสภาฯ เกี่ยวกับวิธีการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ ที่ต้องการให้เสนอรายละเอียดทั้งรายรับและรายจ่าย แต่ทางรัฐบาลเห็นว่าจะทำไม่ได้ ดังนั้น ถ้าหากสภาฯ มีมติรับญัตตินี้ไว้พิจารณา รัฐบาลก็อยู่ต่อไปไม่ได้ และเมื่อมีการลงมติลับ ปรากฏว่าที่ประชุมมีมติรับ 45 ต่อ 31 คะแนน เป็นอันว่ารัฐบาลแพ้ พระยาพหลฯ จึงไปลาออกกับคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ทางคณะผู้สำเร็จราชการฯ เห็นว่าสถานการณ์ของโลกมีความปั่นป่วนจึงขอให้ยุบสภาฯ เพื่อรัฐบาลจะได้อยู่ดูงานด่วนในช่วงนั้นให้ลุล่วงไปก่อน

พระยาพหลฯ จึงเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่ดำเนินการยุบสภาในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2481 และมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 หลังเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ พระยาพหลฯ ก็ไม่ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเลย