ไทยเฉย

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง ฐิติกร สังข์แก้ว และดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ ศาสตราจารย์ นรนิติ เศรษฐบุตร


ความหมาย

“ไทยเฉย” เป็นคำที่ปรากฏในช่วงการชุมนุมของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่ออกมาเดินขบวนชุมนุมประท้วงรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยคำว่า “ไทยเฉย” ถูกหมายความถึงคนไทยส่วนมากที่ยังไม่ออกมาร่วมการชุมนุมประท้วงรัฐบาล แต่กลับดำเนินชีวิตตามปกติเหมือนว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทำตัวเป็นพวกทองไม่รู้ร้อน โดยอาจมองว่าการเมืองเป็นเรื่องไกลตัวและไม่ใช่ธุระของตนที่จะเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือหากจะตระหนักว่ามีปัญหาเกิดขึ้นก็ไม่คิดว่าจะกระทบกระเทือนต่อวิถีการดำเนินชีวิตของตนเอง อย่างไรก็ตาม มีข้อโต้แย้งจากฝั่งนักการเมือง นักวิชาการและกลุ่มคนที่ถูกปรามาสว่าเป็นพวก “ไทยเฉย” ว่าพวกตนก็เป็นกลุ่มคนที่สนใจเหตุการณ์บ้านเมือง หากแต่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ประท้วงรัฐบาลข้างต้น และสนับสนุนแนวทางของรัฐบาลที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 อีกทั้งยังได้นิยามใหม่ว่าพวกตนคือ “ไทยอดทน

“ไทยเฉย” กับจุดยืนทางการเมืองภายใต้ความขัดแย้ง

ภายหลังจากที่สภาผู้แทนราษฎร ลงมติให้ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ ผ่านการพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 เมื่อเวลา 04.25 น.ของวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 ได้นำมาสู่เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ประชาชนจำนวนมากออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ และยกระดับไปสู่การชุมนุมขับไล่รัฐบาล ต่อเนื่องไปจนถึงการขจัด “ระบอบทักษิณ” การชุมนุมดังกล่าวมี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำสำคัญในการชุมนุม และได้จัดตั้งเป็นคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ประกอบด้วย ตัวแทนกลุ่มองค์กรประชาชนในสาขาอาชีพต่างๆ เช่น กลุ่มนักวิชาการ, เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.), กลุ่มประชาคมนักธุรกิจสีลม, เครือข่ายนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย, กองทัพธรรม, กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.), สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) โดยที่มีสุเทพเป็นเลขาธิการ [1]

แม้ว่าการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. จะมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมากและประกอบด้วยผู้คนจากหลากหลายวงการทั้งนักการเมือง นักวิชาการ นักธุรกิจ ภาคประชาสังคม ศิลปินดารา ที่ออกมาร่วมเคลื่อนไหวในนามของ “มวลมหาประชาชน” แต่กระนั้นการชุมนุมก็ยังคงยืดเยื้อโดยที่รัฐบาลไม่ได้ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อให้เกิดความพอใจแต่อย่างใด อีกทั้งรัฐบาลยังได้ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ในการป้องกัน ระงับ และปราบปรามดังเหตุการณ์ปะทะกันที่เกิดขึ้นหลายครั้ง นอกจากนี้ยังได้มีการจัดชุมนุมของทางฝ่ายประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับกลุ่ม กปปส. ที่สำคัญคือขบวนการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวสนับสนุนรัฐบาล ขณะเดียวกันก็ยังมีประชาชนอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นคนส่วนมากในสังคมที่ยังคงไม่ออกมาร่วมในขบวนการเคลื่อนไหวกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด โดยที่ผ่านมาคนกลุ่มนี้มักถูกเรียกว่าเป็น “พลังเงียบ” ซึ่งฝ่ายการเมืองหรือขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชนมักต้องการดึงเอาคนกลุ่มนี้มาเป็นแนวร่วม เนื่องเพราะจำนวนของ“พลังเงียบ” เหล่านี้ย่อมส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการกำหนดชัยชนะในการต่อสู้ทางการเมือง

เมื่อการชุมนุมยืดเยื้อนานวันเข้าและยังไม่มีทีท่าว่าทางฝ่ายรัฐบาลจะยอมรับตามข้อเสนอของฝ่ายผู้ชุมนุม กปปส. แกนนำผู้ชุมนุมและบรรดาสื่อสารมวลชนที่ต่อต้านรัฐบาลจึงพยายามระดมประชาชนให้ออกมาร่วมเคลื่อนไหวกับมวลมหาประชาชนให้มากที่สุด โดยมุ่งไปที่การดึงประชาชนที่ยังคงดำเนินวิถีชีวิตตามปกติให้เข้ามาร่วมในขบวนการ จึงได้เกิดวาทกรรม “ไทยเฉย” ขึ้น อันเป็นคำที่มุ่งเสียดสีเหน็บแนมผู้ที่ทำตัวเป็นพวกที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังวิกฤติ เฉยชากับการมีนักการเมืองที่ทุจริตคอรัปชั่น หรือเป็นพวกที่คิดว่าการเมืองเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ใช่ธุระของตนที่จะเข้าไปเกี่ยวข้อง ดังความหมายที่ ธีรยุทธ บุญมี กล่าวไว้ว่า


...ที่ประเทศไทยปฏิรูปไม่สำเร็จเพราะมีไทยเฉยเยอะ 5 กลุ่ม คือ 1.ชาวบ้านในเมืองและรากหญ้าในชนบท ไม่ใช่เพราะโง่หรือขาดการศึกษา แต่เพราะต้องดิ้นรนทำกิน แต่ปัจจุบันตื่นตัวในเรื่องของข้อมูลข่าวสารและสิทธิของตัวเองมากขึ้น 2.ชนชั้นกลางเฉย เพราะต้องตั้งเนื้อตั้งตัว แต่ก็ดีขึ้น 3.ผู้ดี ราชครูปุโรหิตทำหน้าที่สรรเสริญพระเจ้าอยู่หัวเฉยๆ ไม่นำพาต่อการโกงบ้านกินเมืองกลับเสวยสุขกับนักการเมืองที่โกงกินทั้งหลาย 4.ข้าราชการ เสนาอำมาตย์เฉยไม่นำพาต่อการโกงบ้านกินเมือง และ 5.เจ้าสัวเฉย ไม่ยอมลงทุนเพื่อสร้างสรรค์การเมือง แต่ลงทุนเฉพาะธุรกิจเพื่อให้ครอบครัวร่ำรวย [2]

อย่างไรก็ตาม สำหรับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของกลุ่ม กปปส. ก็ได้มีการออกมาตอบโต้ด้วยการแสดงท่าทีไม่ยอมรับต่อคำเรียก “ไทยเฉย” ที่พวกตนถูกยัดเยียดให้เป็น พร้อมกันนี้ก็ได้มีการสร้างคำนิยามใหม่ขึ้น ดังที่วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ กล่าวว่า


พวกเราคนไทยจำนวนมาก ไม่ใช่ 'ไทยเฉย' แต่เราเป็น 'ไทยอดทน'พวกเราบางคน อาจชอบรัฐบาล บางคนอาจผิดหวังกับรัฐบาล ไม่ถูกใจคุณยิ่งลักษณ์ หรือ ไม่ชอบหน้าคุณทักษิณ แต่พวกเราเลือกออกไปทำงานปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ จ่ายภาษีตามปกติหรือเลือกอยู่บ้าน ไม่ได้ออกไปชุมนุมพวกเราอยากบอกว่า พวกเราไม่ใช่ 'ไทยเฉย' เหมือนที่ถูกปรามาส แต่พวกเราเป็น 'ไทยอดทน' คือ เป็นคนไทยที่อดทนที่จะใช้ปัญญาและเหตุผล เพื่อหาทางอยู่ร่วมกันภายใต้กติกา แม้พรรคที่เราชอบ คนที่เราเลือก อาจจะแพ้การเลือกตั้ง และแม้รัฐบาลจะมีปัญหา หรือทำให้บ้านเมืองเสียหาย แต่เราก็อดทนจะใช้อำนาจของเราปกครองบ้านเมืองไปตามกติกาที่เรายอมรับร่วมกัน และใช้เวลาแก้ปัญหาไปทีละจุด ให้ฝ่ายตรวจสอบทำหน้าที่ไปตามระบบ โดยพวกเราจะไม่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลที่จะเรียกร้องทุกอย่างได้ตามใจ … [3]

นิยามใหม่ว่า “ไทยอดทน” ของวีรพัฒน์ ได้แพร่หลายผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนที่เห็นด้วยส่งไปรษณียบัตรเพื่อแสดงจุดยืนทางการเมืองของตนและให้กำลังใจการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ[4] นิยาม “ไทยอดทน” นี้ได้รับการขานรับจากสังคมอยู่พอสมควร ดังเช่นที่ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ นักการเมืองและหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวชี้แจงถึงจุดยืนของตนเองโดยระบุว่า


จุดยืนของผมชัดเจน เพราะไม่มีแม้แต่ครั้งเดียว ที่ผมจะแสดงว่าเข้าข้างฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ผมอยู่ตรงนี้และทำหน้าที่ของผม การที่ผมไม่แสดงตัวว่าอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าผมไม่มีจุดยืน เพียงแต่ผมเบื่อที่จะต้องมาทะเลาะ และขัดแย้งกันอยู่ร่ำไป... ผมเป็นพวก “ไทยอดทน” ไม่ใช่ “ไทยเฉย” ผมรับฟังทั้งสองฝ่ายมามาก อดทนกับความขัดแย้งนี้มานาน และถ้าปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายผลัดกันขึ้นผลัดกันลงแบบนี้ มันจะเป็นแบบที่คุณเห็น ไม่จบไม่สิ้น ผมอดทนเงียบและฟัง เป็นเพราะว่าเสียงของผมมันน้อยนิด ที่สำคัญผมไม่ชอบเล่นนอกกติกา...[5]

“ไทยเฉย” ผู้ (ไม่) สนใจปัญหาบ้านเมือง

กล่าวได้ว่าการเป็น “ไทยเฉย” นั้น ขึ้นอยู่กับมุมมองและจุดยืนทางการเมืองของแต่ละคน หากมองในแง่ที่ประชาชนควรเป็นผู้มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อชุมชนทางการเมืองที่ตนอยู่ร่วมแล้ว การเป็นพลเมืองที่ตื่นตัว (active citizen) ย่อมมีความสำคัญ นั่นเพราะไม่ว่ารัฐบาลที่รับมอบอำนาจจากประชาชน เจ้าหน้าที่รัฐ หรือใครก็ตามกระทำการใดๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อสังคมส่วนรวมและส่งผลกระทบกลับมาสู่ทุกผู้คนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประชาชนจึงควรต้องมีหน้าที่ในการติดตาม เฝ้าระวังและคอยตรวจสอบควบคุมการทำงานของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐให้มีความสุจริตโปร่งใส และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนและถูกต้องตามหลักกฎหมาย ดังนั้น หากว่ารัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการอันละเมิดต่อกฎหมายและเจตนารมณ์ของประชาชน และกลไกในการควบคุม ตรวจสอบ หรือเอาผิดกับผู้ใช้อำนาจไม่สามารถดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพได้ตามครรลองปกติ ย่อมนำมาสู่เงื่อนไขที่ยากจะหลีกเลี่ยง นั่นคือการที่ประชาชนลุกฮือขึ้นเพื่อล้มล้างรัฐบาล ซึ่งหากกล่าวตามแนวคิดของฌ็อง-ฌ้ากส์ รุสโซ (Jean-Jacques Rousseau) แล้ว นี่ก็คือความเสื่อมของรัฐบาลอันเกิดมาจากการบิดเบือนเจตจำนงทั่วไปของประชาชนด้วยเจตจำนงเฉพาะของตน [6] และนำมาสู่เงื่อนไขที่สอดคล้องกับความคิดของจอห์น ล็อก (John Locke) ที่เห็นว่าประชาชนย่อมมีสิทธิธรรมตามธรรมชาติที่จะขจัดรัฐบาลที่ใช้อำนาจอันส่งผลเสียแก่ผลประโยชน์ของประชาชน[7]

แต่หากมอง “ไทยเฉย” ภายใต้วิกฤติความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำเนินต่อเนื่องมาในรอบหลายปีนี้แล้ว ก็คงไม่สามารถที่จะกล่าวอย่างเหมารวมได้ว่า “ไทยเฉย” เป็นพวกที่ไม่สนใจต่อเหตุการณ์บ้านเมืองตลอดถึงความเป็นไปของสังคม สนใจแต่เพียงเรื่องปากท้องและการทำมาหากินของตนเองเท่านั้น หากแต่คนกลุ่มนี้ต่างก็มีความคิด ความเชื่อทางการเมืองที่แตกต่างกันไป ดังที่ปาริชาด สุวรรณบุบผา นักวิชาการด้านสันติวิธี ได้เคยแสดงความคิดเห็นถึงเรื่องดังกล่าวว่า “คนที่ไม่อยากยุ่งกับการเมืองก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไทยเฉยไปเสียหมด แต่ตามปกติทั่วๆ ไปของคนไทยมีวิธีคิด มีวิธีมองกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่าเงื่อนไขปัจจัยอาจจะยังไม่เอื้อ ตอนนี้เรามุ่งแต่จะเอาชนะกัน ถ้าเรามีพื้นที่ปลอดภัยขึ้นมาเพื่อตั้งสติเสียหน่อย มาคุยกันว่าคุณก็รักประเทศไทย ฉันก็รักประเทศไทย ...” [8] และยังมิได้รวมถึงนิยามในเรื่องผลประโยชน์ของประชาชนที่ยังเป็นที่ถกเถียงอย่างกว้างขวางว่าหมายถึงผลประโยชน์ของใครหรือคนกลุ่มใด หลายคนอาจเป็นพวกที่นิยมรัฐบาล ในขณะที่อีกหลายคนแม้จะไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาลในหลายเรื่อง แต่พวกเขาก็ไม่สนับสนุนวิธีการของมวลมหาประชาชนที่ออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลดังที่ปรากฏ และ “ไทยเฉย” หลายคนยังสนับสนุนตามแนวทางของรัฐบาลที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. 2557 โดยเห็นว่าจะนำสู่ทางออกจากวิกฤติ มากกว่าที่จะเชื่อมั่นตามแนวทาง “การปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” หรือกระทั่ง “การปฏิวัติประชาชน” ของกลุ่ม กปปส. ดังนั้นแล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลให้ “ไทยเฉย” จำนวนมากเลือกที่จะไม่ออกไปร่วมการชุมนุมกับขบวนการของมวลมหาประชาชน มิใช่ว่าพวกเขาทำตัวเป็นพวกทองไม่รู้ร้อนแต่ประการใด

บรรณานุกรม

“ธีรยุทธ หนุนประชาภิวัฒน์แนะดึงทุกภาคส่วนปฏิรูปการเมือง." กรุงเทพธุรกิจ. (11 ธันวาคม 2556), 2.

“ผุดวาทกรรมใหม่ไทยอดทน." ผู้จัดการรายวัน. (3 ธันวาคม 2556), 15-16.

“ลำดับเหตุการณ์ชุมนุม จากสามเสน ถึงปิดกรุงเทพฯ." ไทยพีบีเอสออนไลน์. (13 มกราคม 2557). เข้าถึงจาก <http://news.thaipbs.or.th/content/ลำดับเหตุการณ์ชุมนุม-จากสามเสน-ถึงปิดกรุงเทพฯ>. เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2558.

ลีโอ สเตร๊าส์ และ โจเซ็ฟ คร็อปซีย์. บรรณาธิการ. (2552). ประวัติปรัชญาการเมือง (เล่มที่สอง). แปลโดย สมบัติ จันทรวงศ์. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: คบไฟ.

วรุณรัตน์ คัทมาตย์. "กำเนิดใหม่ ไทย(ไม่)เฉย." กรุงเทพธุรกิจ. (11 ธันวาคม 2556), จ1.

วีรพัฒน์ ปริยวงศ์. "ไปรษณียบัตรเปิดผนึก : เราไม่ใช่ ‘ไทยเฉย’ แต่เราเป็น ‘ไทยอดทน’." ประชาไท. (2 ธันวาคม 2556). เข้าถึงจาก <http://www.prachatai.com/journal/2013/12/50143>. เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2558.

“‘สนธิ' เเนะ 'ปชป.-พท.' ตั้งรบ.ผสม—'ชูวิท' ปัด 'ไทยเฉย' ชี้เห็นต่างไม่ใช่ศัตรู." คมชัดลึกออนไลน์. (8 ธันวาคม 2556). เข้าถึงจาก <http://www.komchadluek.net/detail/20131208/174446.html>. เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2558.

อ้างอิง

  1. "ลำดับเหตุการณ์ชุมนุม จากสามเสน ถึงปิดกรุงเทพฯ," ไทยพีบีเอสออนไลน์. (13 มกราคม 2557). เข้าถึงจาก <http://news.thaipbs.or.th/content/ลำดับเหตุการณ์ชุมนุม-จากสามเสน-ถึงปิดกรุงเทพฯ>. เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2558.
  2. "ธีรยุทธ หนุนประชาภิวัฒน์แนะดึงทุกภาคส่วนปฏิรูปการเมือง," กรุงเทพธุรกิจ, (11 ธันวาคม 2556), 2.
  3. "ผุดวาทกรรมใหม่ไทยอดทน," ผู้จัดการรายวัน, (3 ธันวาคม 2556), 15-16.
  4. วีรพัฒน์ ปริยวงศ์, "ไปรษณียบัตรเปิดผนึก : เราไม่ใช่ ‘ไทยเฉย’ แต่เราเป็น ‘ไทยอดทน’," ประชาไท, (2 ธันวาคม 2556). เข้าถึงจาก <http://www.prachatai.com/journal/2013/12/50143>. เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2558.
  5. "'สนธิ'เเนะ'ปชป.-พท.'ตั้งรบ.ผสม--'ชูวิท' ปัด 'ไทยเฉย' ชี้เห็นต่างไม่ใช่ศัตรู," คมชัดลึกออนไลน์, (8 ธันวาคม 2556). เข้าถึงจาก <http://www.komchadluek.net/detail/20131208/174446.html>. เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2558.
  6. ลีโอ สเตร๊าส์ และ โจเซ็ฟ คร็อปซีย์, (บรรณาธิการ), ประวัติปรัชญาการเมือง (เล่มที่สอง), แปลโดย สมบัติ จันทรวงศ์, พิมพ์ครั้งที่ 3, (กรุงเทพฯ: คบไฟ, 2552), หน้า 428-432.
  7. ลีโอ สเตร๊าส์ และ โจเซ็ฟ คร็อปซีย์, (บรรณาธิการ), ประวัติปรัชญาการเมือง (เล่มที่สอง), หน้า 322-328.
  8. วรุณรัตน์ คัทมาตย์, "กำเนิดใหม่ ไทย(ไม่)เฉย," กรุงเทพธุรกิจ, (11 ธันวาคม 2556), จ1.