อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

เรียบเรียงโดย : ดร. ชาติชาย มุกสง

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต


อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา

          หลังจากเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวของนักศึกษาและประชาชนเดือนตุลาคม 2516 สิ้นสุดลง ความยิ่งใหญ่ของเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดข้อเสนอว่าควรจะสร้างอนุสาวรีย์วีรชนขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์และผู้เสียชีวิตในครั้งนั้น โดยในเบื้องต้นมีขบวนการนักศึกษาในสมัยนั้นเป็นแกนสำคัญในการผลักดัน และต่อมาคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลนายสัญญา_ธรรมศักดิ์ ก็ขานรับกระแสเรียกร้อง ด้วยการมีมติเห็นชอบให้สร้างอนุสาวรีย์วีรชน 14 ตุลา ขึ้นในเดือนธันวาคม 2517[1] และมอบหมายให้ทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐเป็นผู้ประสานงาน  กล่าวคือในด้านหลักการ รัฐบาลก็เห็นพ้องกับศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) ว่าเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งเป็น “เจ้าของ” ดังนั้น การสร้างอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา 16 จึงควรเป็นเรื่องของรัฐร่วมกับประชาชน และสถานที่ตั้งของอนุสรณ์สถานก็ควรจะอยู่ในบริเวณถนนราชดำเนินอันเป็นสถานที่เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516

การวางศิลาฤกษ์เพื่อสร้างอนุสาวรีย์วีรชน

      ความคืบหน้าของการสร้างอนุสรณ์สถานได้เริ่มขึ้นในปี 2518 อันเป็นช่วงของรัฐบาล ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช โดยในเดือนกรกฎาคม ได้มีการประชุมร่วมระหว่างรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐ ปลัดทบวง ผู้แทนสำนักงบประมาณ และผู้แทนศูนย์นิสิตฯ  ซึ่งเห็นพ้องต้องกันว่าควรให้ใช้สถานที่บริเวณสี่แยกคอกวัว อันเป็นบริเวณอาคารคณะกรรมการการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติราชการ (กตป.) เก่า เป็นสถานที่ก่อสร้างอนุสาวรีย์ โดยศูนย์นิสิตฯ เสนอแนวคิดเพิ่มเติมว่า สิ่งก่อสร้างนี้ไม่ควรมีหน้าที่แค่ใช้รำลึกเหตุการณ์ในอดีตเท่านั้น แต่ควรจะเป็นอาคารอนุสรณ์สถานที่มีประโยชน์ใช้สอยด้วย[2]

       ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการการพิจารณาเรื่องการสร้างอนุสาวรีย์วีรชน โดยจะก่อสร้างตามแบบของเทอดเกียรติ ศักดิ์คำดวง ที่ชนะเลิศจากการประกวดการออกแบบอนุสาวรีย์วีรชน (ซึ่งก็คือแบบของอนุสรณ์ในปัจจุบัน) ในเดือนตุลาคม 2518 ในโอกาสครบรอบ 2 ปีของเหตุการณ์ได้มีการจัดงานรำลึกอย่างยิ่งใหญ่ ในวันที่ 14 ตุลาคม 2518 หลังจากมีทำบุญตักบาตรในตอนเช้าที่ถนนราชดำเนิน จากนั้นนักศึกษาประชาชนได้จัดขบวนเฉลิมฉลองเดินจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปยังสี่แยกคอกวันเพื่อวางพวงมาลาไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิต ถัดจากนั้นสมเด็จพระสังฆราชเสด็จมาเป็นประธานในพิธีการวางศิลาฤกษ์อนุสาวรีย์ 14 ตุลา ณ บริเวณที่ดินที่เคยเป็นอาคารคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติราชการ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้กล่าวรายงาน ดังนั้น งานจึงมีความยิ่งใหญ่ไม่น้อย[3]

       ถัดมาในปี 2519 การผลักดันในการสร้างอนุสาวรีย์ยังคงมีอยู่ต่อไป แม้ว่าความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองสองขั้วของสังคมไทยระหว่าง “ซ้าย” กับ “ขวา” จะรุนแรงขึ้นก็ตาม โดยในเดือนเมษายน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังในสมัยรัฐบาล ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เห็นชอบที่จะให้กรมธนารักษ์ขอซื้อที่ดินบริเวณสี่แยกคอกวัว ตรงจุดที่วางศิลาฤกษ์ไปแล้วในปี 2518 จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ในส่วนของการก่อสร้างอนุสาวรีย์ เห็นว่าควรให้ประชาชนเป็นผู้ร่วมบริจาคค่าก่อสร้างด้วย โดยรัฐบาลจะรับภาระหากเงินที่บริจาคยังไม่เพียงพอ แต่ก่อนหน้าที่จะได้จัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย ก็มีอันต้องเปลี่ยนรัฐบาลเป็นชุดของ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช  จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เสียก่อน

หลัง 6 ตุลา : อนุสาวรีย์ที่ยังไม่มีโอกาสได้สร้าง

           เมื่อถึงเดือนมิถุนายน 2519 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของรัฐบาล ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ประสงค์จะเร่งรัดโครงการเห็นว่าไม่จำเป็นต้องรอให้ประชาชนบริจาคค่าก่อสร้าง พร้อมทั้งมีหนังสือขอซื้อที่ดินบริเวณสี่แยกคอกวัวจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ยังมิทันได้รับคำตอบใดๆ ก็เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ขึ้นเสียก่อน รัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร จึงได้มีมติให้ยกเลิกโครงการก่อสร้าง และในปีถัดมา ก็ได้มีมติให้ยึดเงินที่ประชาชนบริจาคเพื่อการก่อสร้างอนุสรณ์สถาน

         แม้ว่าการรัฐประหารในปี 2520 จะทำให้สภาพการเมืองเปิดกว้างขึ้นเมื่อเทียบกับยุคก่อนหน้า แต่โครงการสร้างอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา 16 ก็ยังไม่ได้รับความสนใจแต่อย่างใด ในปี 2525 นักศึกษาได้เริ่มเรียกร้องถึงเรื่องดังกล่าวจากรัฐบาล พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ อีกครั้ง แม้จะยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดก็ตาม

         เสียงเรียกร้องเหล่านี้ ยิ่งดังขึ้นอีกในช่วงต้นทศวรรษ 2530 อันเป็นช่วงรัฐบาล พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ เนื่องจากในเดือนมิถุนายน 2532 มีข่าวว่ารัฐบาลจะคืนทรัพย์สินให้จอมพล ถนอม กิตติขจร เป็นเหตุให้สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยออกมาคัดค้านถึงขั้นอดข้าวประท้วง จนรัฐบาลต้องล้มเลิกแนวคิดนั้นไป เหตุการณ์นี้ทำให้กรณี “14 ตุลา” ถูกกล่าวถึงอีกครั้ง และประเด็นเรื่องการสร้างอนุสรณ์สถานยิ่งเข้มข้นขึ้น ในวันที่ 20 ตุลาคม ปีเดียวกัน ได้มีการรวมตัวกันของนักศึกษา นักวิชาการ และตัวแทนองค์กรเอกชนจัดตั้งขึ้นเป็น “คณะกรรมการติดตามการสร้างอนุสรณ์สถานวีรชน 14 ตุลา” ขึ้น โดยมีศาสตราจารย์ระพี สาคริก เป็นประธาน และส่งตัวแทนเข้าพบนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้คืนเงินบริจาคของประชาชนแก่ทบวงมหาวิทยาลัย เพื่อนำไปใช้ในการสร้างอนุสรณ์สถาน โดยปรึกษาประสานงานกับนิสิตนักศึกษาต่อไป[4]

          อย่างไรก็ดี การสร้างอนุสรณ์สถานก็ยังมิได้รุดหน้าไปมากเท่าที่คาดหวังไว้ เหตุผลสำคัญก็เพราะไม่สามารถขอเช่าที่ดินบริเวณสี่แยกคอกวัวจากสำนักงานทรัพย์สินได้ จึงพยายามแก้ไขด้วยการยกระดับของ “คณะกรรมการการติดตามฯ” จากที่ตั้งกันเองให้เป็นการตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี โดยในชั้นแรก ยังให้ศาสตราจารย์ระพี สาคริก เป็นประธานเช่นเดิม และต่อมาจึงให้รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยเป็นประธานกรรมการแทน เพื่อให้เป็นทางการมากขึ้น

กำเนิดมูลนิธิ 14 ตุลา

            จากความล่าช้าในระบบราชการ แม้ว่าจะมีการยกระดับ “คณะกรรมการติดตามฯ” ขึ้นแล้วก็ยังมิอาจแก้ได้ ในปี 2533 จึงได้เริ่มมีแนวคิดในการแก้ปัญหาด้วยการจัดตั้งเป็นมูลนิธิ 14 ตุลา ขึ้น โดยให้มูลนิธิดังกล่าวมีหน้าที่เกี่ยวกับการก่อสร้างอนุสรณ์สถานและรับโอนเงินบริจาคจากประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มาดำเนินการ โดยได้มี “ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องให้อำนาจจัดตั้ง “มูลนิธิ 14 ตุลา” เป็นนิติบุคคลในวันที่ 31 มกราคม 2534  โดยมีวัตถุประสงค์ประการแรกคือ ร่วมดำเนินการจัดสร้างอนุสรณ์สถาน 14 ตุลาคม 2516 และร่วมในการดำเนินกิจการของอนุสรณ์สถานฯ[5]        

          แม้มูลนิธิ 14 ตุลา จะถือกำเนิดขึ้นเพื่อผลักดันเรื่องนี้โดยเฉพาะ แต่ปัญหาหลักคือเรื่องของ “สถานที่” ก็ยังคงค้างคาอยู่ โดยความพยายามขอเช่าที่ดินจากสำนักงานทรัพย์สินฯ ยังคงไม่ประสบผล เพราะสำนักงานทรัพย์สินฯ เสนอว่า ให้ทบวงมหาวิทยาลัยเจรจากับผู้เช่าเดิมก่อน ถ้าตกลงกันได้แล้ว สำนักงานทรัพย์สินฯ ก็ยินดีให้เช่าที่ดิน เนื่องจากยังเจรจากับผู้เช่าเดิมไม่ได้ ปัญหาจึงยังค้างคาอยู่

28 ปีกับการสิ้นสุดการรอคอย

           ในปี 2541 อันเป็นช่วงรำลึกครบรอบ 25 ปี 14 ตุลา โครงการสร้างอนุสรณ์สถานได้รุดหน้าขึ้นไปอีกขั้น จากการที่นายธีรยุทธ บุญมี ประธานกรรมการจัดงาน 25 ปี 14 ตุลา และกรรมการบางคน เช่น นายประสาร มฤคพิทักษ์ และนายธีรพล นิยม ได้ติดต่อกับนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการติดต่อขอเช่าที่ดินบริเวณสี่แยกคอกวัวจากสำนักงานทรัพย์สินฯ ซึ่งก็ได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดี

            ทว่า นอกจากเรื่องขอเช่าที่ดินแล้ว อุปสรรคสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การย้ายผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลออกจากบริเวณที่จะใช้ก่อสร้าง ซึ่งก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย เช่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ในฐานะประธานคณะทำงานย้ายผู้ค้าสลากกินแบ่งฯ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลรวมถึงความร่วมมือจากกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายพิจิตต รัตตกุล และเลขานุการผู้ว่าฯ  นายสมคาด สืบตระกูล ตลอดจนบุคคลอื่นอีกหลายคน ทำให้การย้ายผู้ค้าสลากกินแบ่งออกจากพื้นที่ประสบความสำเร็จในช่วงเดือนตุลาคม 2542 จนสามารถเริ่มเดินหน้าก่อสร้างอนุสรณ์สถานได้อย่างต่อเนื่อง

                    ในที่สุด วันที่ 14 ตุลาคม 2544 หรือ 28 ปีหลังเหตุการณ์ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา 16 ที่ใช้แบบที่ชนะเลิศจากการประกวดออกแบบเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ก็ได้สร้างสำเร็จและมีพิธีสมโภชขึ้น พร้อมทั้งมีพิธีทางศาสนาเพื่อรำลึกถึงผู้ล่วงลับ ไปแล้ว อนุสรณ์สถานที่ขบวนการนักศึกษาเคยผลักดันมาตั้งแต่ช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา ก็กลายเป็นความจริงขึ้นมา

หลักการและความหมายของอนุสรณ์สถาน

                  ก่อนที่จะมีการก่อสร้างอนุสรณ์สถานนี้ขึ้น ได้เริ่มพูดถึงหลักการและหน้าที่ของอนุสรณ์สถาน โดยคณะกรรมการอำนวยการสร้างอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา 16 ภายใต้สังกัดมูลนิธิ 14 ตุลา ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากทางกรุงเทพมหานคร ญาติวีรชน และองค์กรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว เป็นประธาน ได้มอบหมายให้ผู้ชนะการประกวดคนเดิมเป็นผู้พัฒนาแบบให้เหมาะกับยุคสมัย ด้วยแนวคิด 2 ประการ คือต้องเคารพความจริงของประวัติศาสตร์ และให้ประชาชนกลุ่มต่างๆ ได้มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง

               จากแนวคิดดังกล่าว สถาปนิกได้นำไปพัฒนาอนุสรณ์สถานฯ ให้เป็นอนุสรณ์สถานที่เน้นความสงบนิ่ง โล่งกว้าง และเรียบง่าย เพื่อรำลึกและคารวะต่อวีรชน มีประติมากรรมรำลึกอยู่ตรงจุดใจกลาง (ภายหลังจึงเรียกว่า สถูปวีรชน) อาคารประกอบด้วยสวนหย่อม ลานกิจกรรมสำหรับการอภิปราย ฟังเพลง และการแสดงกลางแจ้ง มีส่วนที่เป็นห้องประชุม ห้องสมุด (ภายหลังเรียกว่า ห้องหนังสือ) และมีโครงการที่จะพัฒนาเป็นพิพิธภัณฑ์ต่อไปในอนาคต

              สำหรับประติมากรรมรำลึกหรือสถูปวีรชนนั้น ประกอบด้วยฐานทรงสี่เหลี่ยมสูง 5 เมตร ช่วงกลางปลายสอบเข้ายาว 7 เมตร และยอดแหลมทรงสถูปสีทองสูง 2 เมตร รวมความสูงทั้งสิ้น 14 เมตร ปลายแหลมของยอดสถูปแสดงถึงจิตวิญญาณสูงส่งของมวลมนุษย์ ส่วนปลายยอดสถูปมีรอยหยักคล้ายสร้างไม่สำเร็จ เพื่อสื่อความหมายว่าภารกิจการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยยังไม่สิ้นสุด ยอดปลายสถูปทำด้วยวัสดุโปร่งแสดงเพื่อให้เห็นแสงไฟที่ส่องออกมาจากภายในตัวสถูป แฝงนัยถึงไฟแห่งประชาธิปไตยที่เป็นอมตะ

             สำหรับฐานสถูปทั้งสี่ด้านบุด้วยกระเบื้องดินเผาที่แข็งแกร่งสลักรายชื่อวีรชน 14 ตุลา และรายล้อมด้วยแผ่นอิฐสลักบทกวีที่เกี่ยวเนื่องกับสิทธิเสรีภาพ ความเสียสละ เด็กและผู้หญิง กรรมกรและชาวนา นอกจากนั้นยังจัดทำแผ่นอิฐแกะลายจากแบบถ่ายหรือภาพศิลปะจากการสร้างสรรค์ของศิลปิน เพื่อสื่อถึงการเจริญเติบโตงอกงามของสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย

บรรณานุกรม

สมิทธ์ ถนอมศาสนะ (บรรณาธิการ). ว่าด้วย 14 ตุลารำลึก. กรุงเทพฯ: มูลนิธิ 14 ตุลา, 2552, หน้า 58.

สมิทธ์ ถนอมศาสนะ (บรรณาธิการ) การเมืองวัฒนธรรมยุคเดือนตุลา. กรุงเทพฯ มูลนิธิ 14 ตุลา, 2552.

ราชกิจจานุเบกษา, เล่ม 108 ตอนที่ 15 วันที่ 31 มกราคม 2534. หน้า 1107.

อ้างอิง

[1] สมิทธ์ ถนอมศาสนะ. “วีรชน 14 ตุลา” ในสายตารัฐ: ว่าด้วยงานพระราชทานเพลิงศพ 14 ตุลาคม 2517. ใน ว่าด้วย 14 ตุลารำลึก. กรุงเทพฯ: มูลนิธิ 14 ตุลา, 2552, หน้า 58.

[2] ภาคผนวก: อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา 16และมูลนิธิ 14 ตุลา. ใน สมิทธ์ ถนอมศาสนะ (บรรณาธิการ) การเมืองวัฒนธรรมยุคเดือนตุลา. กรุงเทพฯ มูลนิธิ 14 ตุลา, 2552. หน้า 119.

[3] สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ. ย้อนรำลึกการฉลอง14 ตุลาคมเมื่อ พ.ศ. 2518. ใน  ว่าด้วย 14 ตุลารำลึก, หน้า 58.

[4] ภาคผนวก: อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา 16 และมูลนิธิ 14 ตุลา,  หน้า 122.

[5] ราชกิจจานุเบกษา, เล่ม 108 ตอนที่ 15 วันที่ 31 มกราคม 2534. หน้า 1107.