สนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์
ผู้แต่ง : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
ในอาณาบริเวณพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 49 ไร่กว่าเกือบถึง 50 ไร่ อันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ นี้ มีสนามฟุตบอลขนาดมาตรฐานและลู่วิ่งรอบสนามฟุตบอล ตั้งอยู่ระหว่างตึกโดมซึ่งเป็นสำนักงานอธิการบดี กับหอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันนี้สนามฟุตบอลแห่งนี้มีขนาดเล็กลง เพราะที่หัวและท้ายสนามได้กันเอาไปทำที่จอดรถ และมหาวิทยาลัยเองก็ได้ไปมีศูนย์จัดการศึกษาใหญ่มากที่ทุ่งรังสิต โดยมีสนามกีฬาอย่างดีมาเป็นเวลาเกือบ 20 ปีแล้ว
สนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ท่าพระจันทร์ ได้เป็นสถานที่ซึ่งเกี่ยวพันอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เป็นโศกนาฏกรรมทางการเมือง ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 เพราะเป็นที่ที่นิสิตศึกษาได้จัดชุมนุมประท้วงทางการเมืองกันภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเช้ามืดวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2516 นี่เองที่มีกองกำลังเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีตำรวจด้วยได้ยิงปืนเข้าไปในบริเวณมหาวิทยาลัย และส่งกำลังบุกเข้าไปจับนิสิตนักศึกษาที่ชุมนุมประท้วงกันอยู่ที่บริเวณสนามฟุตบอล และต่อมาเราก็ได้เห็นภาพปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่รัฐที่บังคับให้นักศึกษานอนราบกับพื้นสนามฟุตบอลถอดเสื้อออก ก่อนที่จะต้อนนักศึกษา จับกุมคุมตัวไปขังไว้ยังสถานที่กักขังของทางราชการ
ดังนั้น สนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงเป็นสถานที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญ และเป็นเหตุการณ์ของความรุนแรงที่คนไทยฆ่ากันเอง โดยเจ้าหน้าที่รัฐบางรายได้ใช้อาวุธระดมยิงจนทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายคน มีบุคคลหลายคนสูญหายไปกับเหตุการณ์ครั้งนี้ บางกรณีเวลาผ่านไปหลายปีสังคมจึงได้รับรู้ถึงการเสียชีวิตของบุคคลที่ถูกฆ่าในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519
เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 เป็นเหตุการณ์ที่ฝ่ายนิสิตนักศึกษาเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ ต่างกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ที่ฝ่ายนิสิต นักศึกษา เป็นฝ่ายชนะ
การเมืองไทยหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 แล้วเป็นการเมืองที่ความสับสนวุ่นวาย อยู่มาก จากรัฐบาลชั่วคราวของนายกรัฐมนตรี นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ที่พยายามทำให้สถานการณ์บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติด้วยความยากลำบาก แต่ท่านก็ได้ผลักดันจนมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่เปิดทางให้บ้านเมืองได้สร้างประชาธิปไตยกันอีกครั้งหนึ่ง แต่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กับรัฐบาลของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เองก็ไม่มีเสถียรภาพนัก จนถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2519 รัฐบาลผสมซึ่งมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ ที่มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีก็เจอ “มรสุมการเมือง” ลูกใหญ่จากการที่จอมพล ถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เดินทางออกไปหลบภัยการเมืองหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ได้เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยอีกเป็นครั้งที่ 2
คราวนี้ จอมพล ถนอม กิตติขจร ไม่ได้เดินทางเข้ามาแบบคนธรรมดาหากได้บวชเป็นเณรเข้ามา แล้วก็ตรงไปบวชเป็นพระทันทีที่วัดบวรนิเวศน์ฯ การเดินทางกลับเข้ามาเมืองไทยของจอมพล ถนอม กิตติขจร ซึ่งเป็นผู้ที่นิสิตนักศึกษายังต่อต้านอยู่ จึงมีการประท้วงจากนิสิตนักศึกษาและประชาชนบางกลุ่มโดยทันที การประท้วงได้ยืดเยื้อต่อมา แต่รัฐบาลที่เป็นรัฐบาลผสมก็มีความขัดแย้งเกิดขึ้น เพราะพรรคร่วมรัฐบาลไม่เห็นด้วยที่จะทำตามที่กลุ่มประท้วงเรียกร้อง หากต้องผลักดัน จอมพล ถนอม กิตติขจร ให้เดินทางกลับออกไปนอกประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นในพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีเองก็มีความขัดแย้งกันมาก ถึงขนาดนายวีระ มุกสิกพงษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดพระนคร ของพรรคประชาธิปัตย์เอง ลุกขึ้นอภิปรายในสภาโจมตีรัฐบาลจนทำให้นายกรัฐมนตรีประกาศลาออกกลางสภา อันมีผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นตำแหน่ง แต่ทางพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังคงเสนอให้หัวหน้าพรรค คือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีเช่นเดิม และ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก็กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2519
การกลับเข้ามาเป็นหัวหน้ารัฐบาลใหม่ครั้งนี้ รัฐบาลจึงต้องแต่งตั้งรัฐมนตรีกันใหม่ทั้งคณะ เพราะชุดเดิมได้พ้นตำแหน่งไปพร้อมกับนายกรัฐมนตรี ดังนั้น ม.ร.ว.เสนีย์ จึงปรับเปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรคตนเองคือพรรคประชาธิปัตย์ นายสมัคร สุนทรเวช กับนายสมบุญ ศิริธร นั้นได้ถูกวางตัวเปลี่ยนจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยทั้งสองคน โดยจะให้ นายสมัคร สุนทรเวช ไปเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายสมบุญไปเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงยุติธรรม จึงทำให้อดีตรัฐมนตรีทั้งสองปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ทั้งนี้ทางรัฐบาลก็เตรียมแถลงนโยบายต่อรัฐสภาและขอรับความไว้วางใจ ในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2519 อย่างไรก็ตามการ ชุมนุมต่อต้านการกลับมาจอมพลถนอม กิตติขจร ก็มีต่อมาเป็นครั้งคราว โดยกลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งโดยให้จอมพล ถนอม กิตติขจร เดินทางออกนอกประเทศหรือดำเนินการทางกฎหมายกับจอมพล ถนอม กิตติขจร แต่รัฐบาลเองก็มีความขัดแย้งทั้งในพรรคและในรัฐบาลทั้งยังเป็นรัฐบาลรักษาการณ์อยู่ด้วย จึงยังไม่ทันได้แก้ปัญหาเรื่องจอมพลถนอม กิตติขจร ในทางใดทางหนึ่ง
ในวันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2519 กลุ่มผู้ประท้วงที่อดอาหารที่ทำเนียบ ซึ่งได้แก่กลุ่มวีรชน 14 ตุลาคม 2516 และญาติวีรชน ได้รับความร่วมมือจากนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ย้ายที่ชุมนุมประท้วงมาใช้ลานโพธิ์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นที่ชุมนุม ลานโพธิ์แห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของการชุมนุมล้มรัฐบาลจออมพล ถนอม กิตติขจร มาแล้วเมื่อ 3 ปีก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงคาดได้ว่าผู้คนอาจเข้ามาร่วมชุมนุมที่ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นจำนวนมาก และจะเป็นปัญหาและอุปสรรคในการจัดการสอบภาคแรกของมหาวิทยาลัยที่จะมีขึ้นในช่วงนั้นอย่างแน่นอน
วันรุ่งขึ้นวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ลานโพธิ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็กลายเป็นที่ชุมนุมของนิสิตและนักศึกษาของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ รวมกับนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประมาณได้สัก 500 คน และตอนกลางวันของวันนี้นั่นเองที่ชุมนุมนาฏศิลป์และการละครของนักศึกษาได้จัดแสดงเรื่องการฆ่าเจ้าหน้าที่ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาจังหวัดนครปฐม 2 คน ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้สักสองวัน ชายหนุ่มสองคนเป็นผู้ออกไปติดประกาศประท้วงจอมพลถนอม กิตติขจร และถูกคนจับแขวนคอฆ่าทิ้งไว้ในที่สาธารณะริมรั้วแห่งหนึ่ง นักศึกษาชายสองคนคือ นายอภินันท์ กับนายวิโรจน์ ได้แสดงเป็นผู้ตายสองคนที่ถูกฆ่าโดยการฆ่าแขวนคอ การชุมนุมที่เกิดขึ้นนี้ทางมหาวิทยาลัยก็มิได้สนับสนุนและหาทางให้ยุติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอธิการบดี ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เองก็ได้ไปห้ามให้เลิกการชุนนุม เพราะจะเป็นอุปสรรคต่อการสอบของนักศึกษา ดังมีภาพถ่ายอธิการบดีที่กำลังห้ามปราบนักศึกษาปรากฏต่อมาในภายหลังในหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ
ในขณะที่ทางมหาวิทยาลัยต้องการให้นักศึกษายุติการชุมนุมที่ลานโพธิ์ ปรากฏว่าในวันเดียวกันคือวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ทางศูนย์กลางนิสิต นักศึกษาฯ ได้จัดชุมนุมประท้วงที่สนามหลวง หลังจากหยุดพักมา 2 วัน เนื่องจากเป็นวันเสาร์และอาทิตย์ที่มีตลาดนัดที่สนามหลวง การชุมนุมประท้วงของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษานั้นก็มีเรื่องให้รัฐบาลจัดการกับจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นเรื่องแรก และเพิ่มเติมในเรื่องให้จับผู้ร้ายที่ฆ่าแขวนคอ เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าที่นครปฐมเป็นเรื่องที่สอง และการชุมนุมที่สนามหลวงที่ฝั่งตรงข้ามถนนกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทางด้านหอประชุมใหญ่นี่เองที่ผู้ชุมนุมได้เคลื่อนเข้ามาในมหาวิทยาลัย ในที่สุดประมาณสองทุ่มของคืนวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ผู้ชุมนุมก็ย้ายที่ชุมนุมบุกเข้ามาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทางด้านสนามหลวง ทั้งนี้เพราะมีฝนตก ทั้งประตูและรั้วทางด้านสนามหลวงของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็เป็นประตู และรั้วขนาดธรรมดาที่ไม่อาจทานการบุกเข้ามาได้ แม้ทางผู้บริหารมหาวิทยาลัยจะได้รีบแจ้งไปที่ตำรวจสถานีตำรวจชนะสงครามแต่ก็ไม่สามารถป้องกันไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้ามาชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้และผู้คนเหล่านี้ก็กระจายกันอยู่ในพื้นที่มหาวิทาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนมากก็อยู่กันที่สนามฟุตบอลเมื่อมีผู้ชุมนุมจำนวนมากในมหาวิทยาลัยเช่นนี้ทางมหาวิทยาลัยจึงสั่งปิดมหาวิทยาลัยทันที เพื่อไม่ให้นักศึกษา อาจารย์ และเจ้าหน้าที่ต้องเดือดร้อนและเสี่ยงอันตรายโดยไม่จำเป็น แต่การชุมนุมนี้ก็ยืดเยื้อต่อมา
วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ตั้งแต่ช่วงเช้ายังมีอาจารย์และเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยมาที่ทำงานในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะผู้บริหารระดับคณะกับเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยต้องมาดำเนินการขนของและสิ่งของที่จำเป็นออกไปใช้นอกพื้นที่มหาวิทยาลัย เพราะผู้บริหารมหาวิทยาลัยได้ย้ายสำนักงานไปอาศัยอยู่ที่สำนักงานการศึกษาแห่งชาติเป็นการชั่วคราว และเพียงเวลาที่มีอยู่ 9-10 ชั่วโมง ในวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2519 นั่นเองที่เจ้าหน้าที่ได้ขนของที่มีค่าและรถยนต์ของมหาวิทยาลัยจำนวนมากออกไปนอกพื้นที่มหาวิทยาลัยที่ท่าพระจันทร์ได้บ้าง
บรรยากาศทางการเมืองในประเทศในวันนั้นมีความน่ากลัวอยู่มาก หนังสือพิมพ์หลายฉบับทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้ลงรูปถ่ายการชุมนุม และการแสดงที่ใต้ต้นโพธิ์ ที่ลานโพธิ์ และมีการตีความและกล่าวหาว่าผู้แสดงกับผู้จัดแสดงมีเจตนาทำสิ่งไม่ดี การปลุกระดมโดยวิทยุ โดยสถานีวิทยุยานเกราะได้กล่าวหาทั้งผู้นำนักศึกษา และผู้บริหารเป็นคอมมิวนิสต์ และมีการยั่วยุให้จัดการกับนิสิตนักศึกษาและผู้ที่ร่วมชุมนุมอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พอตกเย็นของวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2519 พื้นที่มหาวิทยาลัยก็อยู่ในความดูแลของนิสิตนักศึกษาเป็นส่วนมาก เจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยที่ต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อดูแลอาคารและทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยก็พยายามอยู่ในตัวอาคารที่ตนต้องมีหน้าที่ดูแล ประตูเข้าและประตูออกมีนิสิตนักศึกษาจำนวนมากควบคุมดูแลอยู่
ในคืนวันอังคารที่ 5 ตุลาคม แต่เป็นช่วงเช้ามืดของวันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ที่เหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่เป็นการฆ่ากันทางการเมืองเกิดขึ้น ขอนำบันทึกที่เกี่ยวกับการปฏิบัติการตอนนี้ ที่ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในช่วงเวลาเกิดเหตุ ท่านระบุว่า
“การบุกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยตำรวจ ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นการกระทำของรัฐบาลโดยเอกเทศ มิได้มีการหารือกับอธิการบดีเลย แม้ว่าในตอนดึกของวันอังคารที่ 5 ตุลาคมอธิการบดี จะได้พูดโทรศัพท์กับ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีก็ตาม นายกรัฐมนตรีมิได้แจ้งให้อธิการทราบว่ารัฐบาลจะเรียกตัวหัวหน้านิสิตนักศึกษาหรือนายอภินันท์มาสอบสวน ถ้านายกรัฐมนตรีประสงค์เช่นนั้น ก็มีวิธีที่จะเรียกตัวได้ให้มาสอบสวนโดยสันติไม่ต้องใช้กำลังรุนแรงจนควบคุมมิได้ และจนเกินกว่าเหตุ
การโจมตีนักศึกษาประชาชนที่ธรรมศาสตร์ ซึ่งเริ่มตั้งแต่เที่ยงคืนโดยมีการยิงเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ใช้กำลังตำรวจล้อมมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ 03.00 น. และได้เริ่มยิงเข้าไปอย่างรุนแรงโดยตำรวจตั้งแต่เวลา 05.00 น. ผู้ที่อยู่ในธรรมศาสตร์ขอให้ตำรวจหยุดชั่วคราว เพื่อให้ผู้หญิงที่อยู่ในมหาวิทยาลัยได้มีโอกาสออกไป ตำรวจก็ไม่ฟัง”
แต่ตัวเลขของคนเสียชีวิต และบาดเจ็บในวันนี้ก็มีผู้ระบุต่อมาในภายหลังในหลายแห่ง และจากคำบอกเล่าแห่งหนึ่งที่ระบุว่า
“มีผู้เสียชีวิต 42 บาดเจ็บ 150 ถูกจับกุม 3,094 คน ถูกดำเนินคดี 19 คน”
ตอนสายวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 รัฐบาลรักษาการณ์ยังตกลงกันไม่ได้ในเรื่องจะประกาศภาวะฉุกเฉินหรือไม่ และรัฐบาลจะต้องออกแถลงการณ์อีกด้วย ในจดหมายของพระสุรินทร์ มาศดิตถ์ อดีตรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเขียนเป็นจดหมายเปิดผนึกขณะกำลังบวชอยู่มีความว่า
“ตอนบ่าย ประชุมคณะรัฐมนตรี มีการพิจารณาแถลงการณ์ได้มีการแถลงการณ์บางตอนไม่ตรงตามความจริง อาตมาเป็นผู้คัดค้านไม่ให้ออกแถลงการณ์เท็จ ต่อมา พล.ต.ชาติชาย รัฐมนตรีอุตสาหกรรมออกไปนอกห้องประชุมแล้วพูดว่า ลูกเสือชาวบ้านที่ชุมนุม ณ ลานพระบรมรูปทรงม้าเริ่มอึดอัดแล้ว เพราะไม่ได้รับคำตอบจากรัฐบาล”
ตกเย็นวันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ประชาชนก็ได้ฟังแถลงการณ์ ที่ไม่ใช่ของรัฐบาล หากเป็นของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน
“ขณะนี้คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินได้เข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศ ตั้งแต่เวลา 18.00 น. วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 เป็นต้นไป สถานการณ์ทั้งหลายตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะปฏิรูป การปกครองแผ่นดินโดยทั่วไปแล้ว
บัดนี้คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินได้ประจักษ์ถึงภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในขณะนี้ กล่าวคือ มีกลุ่มบุคคลซึ่งประกอบด้วยนิสิต นักศึกษาบางกลุ่มได้กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อันเป็นการเหยียบย่ำจิตใจของคนไทยทั้งชาติ มีเจตนาทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของคอมมิวนิสต์ ซึ่งจะเข้ายึดครองประเทศไทย เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุม ก็ได้ต่อสู้ด้วยอาวุธร้ายแรง โดยร่วมมือกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ชาวเวียดนาม...”
รัฐบาลรักษาการณ์ของนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช จึงถูกยึดอำนาจโดยคณะปฏิรูปการปกครอง ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของรัฐบาล ซึ่งได้แก่ พลเรือเอก สงัด ชลออยู่นั่นเองเป็นหัวหน้าคณะ
วันที่ 6 ตุลาคม 2519 วันเดียวกันนั่นเอง มีการประชุมสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นอกสถานที่ในตอนสาย ๆ ที่สภาการศึกษา หลังการประชุม อธิการบดี ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้ขอลาออกจากตำแหน่งอธิการบดีที่ท่านเป็นมาได้ยังไม่ถึงครึ่งวาระ คือ 2 ปี ท่านอ้างว่า
“...จะอยู่เป็นอธิการบดีต่อไปไม่ได้ เพราะนักศึกษาและตำรวจได้ถูกทำร้ายถึงแก่ความตายมาก สภามหาวิทยาลัยก็แสดงความห่วงใยในความปลอดภัยส่วนตัวของอธิการบดี”
นอกจากลาออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ก็เตรียมเดินทางออกจากประเทศไทยดังที่ท่านเล่าเอาไว้
“...เพราะยานเกราะก็ดี ใบปลิวก็ดีได้ยุยงให้มีการลงประชาทัณฑ์อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในฐานะที่เป็นผู้ยุยงส่งเสริมนักศึกษา ให้ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ผู้เขียนเห็นว่าอยู่ไปก็ไม่เป็นประโยชน์ ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ระวังกระสุน จึงตัดสินใจว่าจะไปอยู่กัวลาลัมเปอร์ ดูเหตุการณ์สักพักหนึ่งเพราะขณะนั้นยังไม่มีการรัฐประหาร”
การตัดสินใจเดินทางออกนอกประเทศของท่านเพราะเหตุการณ์บ้านเมืองที่เกิดเหตุการยิงและฆ่ากันอย่างรุนแรงในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้นน่าจะแสดงว่าความปลอดภัยเป็นสิ่งที่อาจหาได้ยาก ท่านจึงเดินทางไปสนามบินดอนเมือง และตั้งใจจะบินไปที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซีย ขณะที่ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ นั่งรอเวลาเครื่องบินออกอยู่ที่ห้องผู้โดยสารขาออก ได้มีคนเห็นท่านจึงบอกไปยังวิทยุยานเกราะ ทางวิทยุได้ยุลูกเสือชาวบ้านให้ไปที่ดอนเมืองไปขัดขวางไม่ให้ท่านเดินทางออกนอกประเทศ และท่านก็โดนนายตำรวจผู้หนึ่งตบที่หูโทรศัพท์ขณะที่ท่านกำลังพูดโทรศัพท์
“เวลาประมาณ 18.15 น. ได้มีตำรวจชั้นนายพันโท ตรงเข้ามาจับผู้เขียน โดยที่กำลังพูดโทรศัพท์อยู่ ได้ใช้กิริยาหยาบคาย ตบหูโทรศัพท์ร่วงไปแล้วบริภาษผู้เขียนต่าง ๆ นานา บอกว่าจะจับไปหาอธิบดีกรมตำรวจ ผู้เขียนก็ไม่ได้ตอบโต้ประการใด เดินตามนายตำรวจนั้นออกมา”
ตำรวจได้คุมตัว ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อยู่จนเวลา 2 ทุ่มจึงได้รับการติดต่อให้ ปล่อยตัวท่านและให้เจ้าหน้าที่จัดหาที่นั่งเครื่องบินให้ท่านเดินทางออกไปต่างประเทศ เมื่อเวลาล่วงเวลามาดึกจึงเหลือเพียงเครื่องบินที่จะไปญี่ปุ่นหรือยุโรป ซึ่งท่านก็เลือกเดินทางออกไปยุโรป
เหตุการณ์รุนแรงทางการเมือง เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 นั้น มีนักการเมืองที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นซ้ายเป็นพวกคอมมิวนิสต์ต้องหลบลี้หนีหายไปซ่อนตัวกันอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยที่ไม่เล่นการเมือง ไม่ตั้งพรรค ไม่ได้ลงเลือกตั้งแข่งขันกับใครในวงการเมืองและเคยปฏิเสธตำแหน่งรัฐมนตรีที่เป็นตำแหน่งทางการเมืองมาแล้ว ก็ถูกการเมืองเล่นงาน จนต้องเดินทางออกนอกประเทศ