ลูกเสือสยาม
เรียบเรียงโดย : โดม ไกรปกรณ์
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต
ลูกเสือสยาม
กิจการลูกเสือ (scout) เกิดขึ้นในอังกฤษโดยลอร์ดเบเดน พาเวลล์ (Lord Baden Powell) ได้ตั้งขึ้นเมื่อพ.ศ. 2450 ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อฝึกอบรมเด็กให้เป็นพลเมืองดีตามแบบสมัยใหม่[1] ในการฝึกอบรมลูกเสือนั้นเด็กจะได้เรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตกลางแจ้งตามป่าเขาและคุณสมบัติที่พลเมืองดีพึงมีได้แก่ ความกล้าหาญ ความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองของตน การช่วยเหลือผู้อื่น มีสุขภาพแข็งแรง มีความสามัคคีในหมู่คณะ รู้และปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อสังคม[2] ทั้งนี้เมื่อแรกตั้งกองลูกเสือขึ้นมา ประเทศต่างๆในยุโรปเห็นว่าการลูกเสือที่ลอร์ดเบเดน พาเวลล์ ตั้งขึ้นเป็นการเตรียมคนไว้เพื่อเป็นทหาร เนื่องด้วยในขณะนั้นอังกฤษยังไม่มีพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร ดังนั้นการต้องกองลูกเสือเพื่อเตรียมคนไว้เป็นทหารจึงเป็นการสมควร แต่ประเทศที่มีการเกณฑ์ทหารเห็นว่าการตั้งกองลูกเสือไม่ใช่เรื่องจำเป็น มีเพียงประเทศเล็กๆในยุโรปที่ตั้งกองลูกเสือตามอย่างอังกฤษ[3]
ต่อมาในพ.ศ. 2452 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ด ที่ 7 แห่งอังกฤษ ได้ทรงรับเป็นองค์อุปถัมภ์กองลูกเสือที่ลอร์ดเบเดน พาเวลล์ก่อตั้งขึ้น หลังจากนั้นอีกระยะหนึ่งกิจการลูกเสือได้แพร่หลายไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศในทวีปเอเชียยังไม่มีประเทศใดมีกิจการลูกเสือ[4]
กิจการลูกเสือในประเทศสยามก่อตั้งขึ้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาคณะลูกเสือและให้ข้อบังคับลักษณะการปกครองลูกเสือเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2454 โดยทรงพระราชทานคติพจน์แก่คณะลูกเสือแห่งชาติว่า “เสียชีพอย่าเสียสัตย์” พร้อมกันนี้พระองค์ยังทรงดำรงตำแหน่งสภานายกเป็นพระองค์แรกของสภากรรมการกลางจัดการลูกเสือแห่งชาติ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นผู้ตรวจการใหญ่และอุปนายกของสภากรรมการกลางจัดการลูกเสือแห่งขาติ นับว่าประเทศสยามเป็นประเทศแรกในทวีปเอเชียที่มีกิจการลูกเสือ[5]
ทั้งนี้ก่อนหน้าที่จะมีการตั้งกิจการลูกเสือขึ้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯให้ตั้งกองเสือป่า ซึ่งเป็นกองกำลังกึ่งทหารที่มาจากสมาชิกทั่วประเทศ มีหน้าที่หลักคือปกป้อง “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ให้พ้นจากการคุกคามของศัตรูทั้งภายในและภายนอกประเทศสยาม โดยสมาชิกส่วนใหญ่ของกองเสือป่าได้แก่ กลุ่มข้าราชการพลเรือนที่สมัครเป็นสมาชิก[6] การจัดตั้งกองเสือป่านี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มขึ้นตั้งแต่ครั้งยังทรงเป็นสยามมงกุฎราชกุมาร โดยเริ่มจากการระดมหมู่มหาดเล็กในพระองค์มาแบ่งออกเป็น 2 พวก แล้วซ้อมรบกันที่พระราชอุทยาน หลังจากที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯทรงเสวยพระกระยาหารค่ำเสร็จ ต่อมาเมื่อทรงขึ้นครองราชย์แล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้ขยายกิจการเสือป่าไปยังข้าราชการ โดยทรงสถาปนากองเสือป่าขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2454[7] ด้วยทรงมีพระราชปรารภว่าการตั้งกองเสือป่าเป็นการฝึกให้ข้าราชการพลเรือนและพลเรือนทั่วไปที่ไม่เคยฝึกเป็นทหารด้วยเหตุจำเป็นใดๆได้ฝึกหัดอย่างทหาร เมื่อมาเป็นสมาชิกเสือป่าจะได้มีร่างกายแข็งแรง มีความคิดที่เป็นประโยชน์ และมีระเบียบวินัยรู้จักเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดี เป็นผู้บังคับบัญชาที่ดี มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์[8]
เมื่อทรงเห็นว่ากองเสือป่าตั้งหลักปักฐานได้แล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า เด็กผู้ชายก็ควรจะได้ฝึกฝนร่างกายและจิตใจในแนวทางเดียวกับเสือป่าเพื่อจะได้เติบโตขึ้นมาเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ ดังนั้นพระองค์จึงให้ตั้งกองลูกเสือขึ้นตามแนวทางของลอร์ดเบเดน พาเวลล์[9] อย่างไรก็ดีระเบียบการของกองลูกเสือที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้ตั้งขึ้นนี้มีความแตกต่างจากระเบียบการของกองลูกเสือที่ ลอร์ดเบเดน พาเวลล์ ตั้งขึ้น ไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว[10] หลังจากทรงสถาปนาคณะลูกเสือและตราข้อบังคับลักษณะปกครองลูกเสือเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 ต่อมาในเดือนกันยายน ศกเดียวกัน กองลูกเสือกองแรกของสยามได้เข้าพิธีประจำกองที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (ปัจจุบันคือโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย)[11] สำหรับลูกเสือสยามคนแรกได้แก่ นายชัพน์ บุนนาค ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นลูกเสือคนแรกเนื่องจาก นายชัพน์ เป็นคนแรกที่แต่งเครื่องแบบลูกเสือเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและกล่าวคำปฏิญาณของลูกเสือต่อหน้าพระพักตร์[12]
กิจการลูกเสือได้ขยายตัวออกไปยังภูมิภาคต่างๆของประเทศ ดังปรากฏว่าในพ.ศ. 2455 มีลูกเสือทั่วประเทศสยามจำนวน 9,960 คน[13] โดยการเติบโตของกิจการลูกเสือมีความสัมพันธ์กับกิจการเสือป่า ดังที่ พลเอก_เจ้าพระยารามราฆพ ข้าราชการผู้ถวายงานใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้กล่าวว่า ในพ.ศ. 2466 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่ากิจการลูกเสือเป็นปึกแผ่นแล้วสมควรจะให้มีผู้บังคับบัญชาที่มีความสามารถ จึงทรงตั้งโรงเรียนผู้กำกับลูกเสือขึ้นตามแบบอย่างโรงเรียนนายร้อย ต่อมาลูกเสือในโรงเรียนมหาดเล็กหลวงซึ่งเรียกกันว่า “ลูกเสือหลวง” ได้เปลี่ยนฐานะเป็นนักเรียนเสือป่าสืบต่อมาจนกิจการเสือป่าหมดไป[14]
ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้กิจการเสือป่า (และกิจการลูกเสือ) ในการปลูกฝังสำนึกชาตินิยมที่มีศูนย์กลางอยู่ที่พระมหากษัตริย์ให้แก่ราษฎรนั้น แม้ว่ากิจการเสือป่าจะช่วยให้มีราษฎรที่สนับสนุนพระมหากษัตริย์อย่างที่ระบบราชการทำไม่ได้[15] แต่อีกด้านหนึ่งกิจการเสือป่าก็เป็นหนึ่งในสาเหตุของความขัดแย้งระหว่างฝ่ายทหารกับราชสำนัก เนื่องจากทหารจำนวนไม่น้อยเกิดความไม่พอใจที่เสือป่าแทรกแซงกิจการและหน้าที่ของทหาร ทั้งยังเห็นว่าเสือป่าประพฤติตนข่มทหารและกิจการเสือป่าเป็นกิจการที่ทำให้ราชการเสียงบประมาณและทรัพยากรของแผ่นดิน ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ นำไปสู่การที่ทหารจำนวนหนึ่งคิดทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อขจัดปัญหาในการบริหารราชการแผ่นดิน อันเกิดจากพระราชนิยมของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในเรื่อง การเล่นโขน การตั้งเสือป่า[16] คือ เหตุการร์กบฏโดยคณะทหารสัญญาบัตรชั้นผู้น้อยที่เรียกว่า “คณะ_ร.ศ._130”
ด้วยเหตุที่กิจการเสือป่าเป็นพระราชนิยมส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตในพ.ศ. 2468 กองเสือป่าจึงเลิกไปโดยปริยาย[17] แต่ในส่วนของกิจการลูกเสือนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์องค์ต่อมา ยังคงสานต่อกิจการส่วนนี้โดยในพ.ศ. 2470 ได้ทรงโปรดเกล้าฯให้มีการชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ณ บริเวณพระราชอุทยานสราญรมย์[18] ต่อมาในปี 2473 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้จัดการชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ 2 ขึ้น ณ ที่เดิม พร้อมกันนี้ยังทรงโปรดเกล้าฯให้ฟื้นฟูโรงเรียนผู้กำกับลูกเสือขึ้นที่พระราชวังรามราชนิเวศน์ (พระราชวังบ้านปืน) ในจังหวัดเพชรบุรี[19]
แม้เมื่อคณะราษฎรทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยในวันที่ 24_มิถุนายน_พ.ศ._2475 กิจการลูกเสือก็ยังคงอยู่ต่อมา ดังปรากฏว่าภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้เกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดช ที่ต่อต้านการปกครองของรัฐบาลคณะราษฎร ในการปราบกบฏโดยฝ่ายรัฐบาล กองลูกเสือได้ช่วยบำเพ็ญประโยชน์แก่ฝ่ายรัฐบาล จนเป็นที่พอใจของพันโทแปลก พิบูลสงคราม (ยศในขณะนั้น) ผู้บังคับการกองกำลังทหารปราบกบฏ ต่อมาเมื่อรัฐบาลตั้งหน่วยยุวชนทหารฝึกวิชาการทหารขึ้นโดยรับเด็กที่เป็นลูกเสือมาแล้วและกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 4 เข้ามาอยู่หน่วยยุวชนทหาร ส่วนนักเรียนที่ต่ำกว่าชั้นมัธยมปีที่ 4 ให้เรียนเป็นลูกเสือเช่นเดิม แต่ได้มีการปรับปรุงกิจการลูกเสือโดยตั้งกองลูกเสือเหล่าเสนาและลูกเสือสมุทรเสนา เพิ่มขึ้นแล้วให้ฝึกอบรมลูกเสือเหล่านี้คู่ไปกับยุวชนทหาร[20]
ทังนี้กิจการลูกเสือในช่วงพ.ศ. 2475-2482 ยังคงเรียกว่า “ลูกเสือสยาม” เช่นที่เคยเป็นมาในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่นับตั้งแต่พ.ศ. 2482 ซึ่งรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็น “ไทย” กิจกรรมลูกเสือจึงเปลี่ยนจาก “ลูกเสือสยาม” เป็น “ลูกเสือไทย”
บรรณานุกรม
จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช) (เรียบเรียง). เสือป่าและลูกเสือในประวัติศาสตร์รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอน 1. กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา, 2514.
ชานันท์ ยอดหงษ์. “นายใน” สมัยรัชกาลที่ 6 . กรุงเทพฯ: มติชน, 2556.
เทพ บุญตานนท์. การเมืองในทหารไทยสมัยรัชกาลที่ 6. กรุงเทพฯ: มติชน, 2559.
เบเดน-โพเอลล์ แห่งกิลเวลล์, ลอร์ด. การลูกเสือสำหรับเด็กชาย. แปลและเรียบเรียงโดย อภัย จันทวิมล. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา, 2545.
พิทยลาภพฤฒิยากร, พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่น. “คำขวัญ” . ใน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์. 50 ปีของลูกเสือไทย, หน้า 58-59. พระนคร:โรงพิมพ์รุ่งเรืองรัตน์, 2504.
รามราฆพ, พล.อ. เจ้าพระยา. “เรื่องของลูกเสือ” . ใน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์. 50 ปีของลูกเสือไทย, หน้า 65-70. พระนคร:โรงพิมพ์รุ่งเรืองรัตน์, 2504.
วัยอาจ, เดวิด เค. ประวัติศาสตร์ไทยฉบับสังเขป. แปลโดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และคณะ. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2556.
วิโรจน์ แก้วเรือง. พระบิดาแห่งลูกเสือไทย “พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว”, กรุงเทพฯ: บ้านแปลน, 2546.
ศิริ โพธิ์ทอง. ราชสำนักพระมงกุฎเกล้าฯและขบวนการลูกเสือแห่งประเทศไทย. กรุงเทพฯ: เทพพิทักษ์การพิมพ์, 2519.
อัจฉราพร กมุทพิสมัย. กบฏ ร.ศ. 130 กบฏเพื่อประชาธิปไตย: แนวคิดทหารใหม่. กรุงเทพฯ: อมรินทร์วิชาการ, 2540.
[1] วิโรจน์ แก้วเรือง, พระบิดาแห่งลูกเสือไทย “พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว”, กรุงเทพฯ: บ้านแปลน, 2546, หน้า 13.
[2] ลอร์ดเบเดน-โพเอลล์ แห่งกิลเวลล์, การลูกเสือสำหรับเด็กชาย, แปลและเรียบเรียงโดย อภัย จันทวิมล, พิมพ์ครั้งที่ 5, กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา, 2545.
[3] ศิริ โพธิ์ทอง, ราชสำนักพระมงกุฎเกล้าฯและขบวนการลูกเสือแห่งประเทศไทย, กรุงเทพฯ: เทพพิทักษ์การพิมพ์, 2519, หน้า 299.
[4] เรื่องเดียวกัน.
[5] วิโรจน์ แก้วเรือง, พระบิดาแห่งลูกเสือไทย “พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว”, หน้า 13.
[6] เดวิด เค. วัยอาจ, ประวัติศาสตร์ไทยฉบับสังเขป, แปลโดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และคณะ, กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2556, หน้า 396-397.
[7] อัจฉราพร กมุทพิสมัย, กบฏ ร.ศ. 130 กบฏเพื่อประชาธิปไตย: แนวคิดทหารใหม่, กรุงเทพฯ: อมรินทร์วิชาการ, 2540, หน้า 127-129; เทพ บุญตานนท์, การเมืองในทหารไทยสมัยรัชกาลที่ 6, กรุงเทพฯ: มติชน, 2559, หน้า 87-88.
[8] จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช) (เรียบเรียง), เสือป่าและลูกเสือในประวัติศาสตร์รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอน 1, กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา, 2514, หน้า 67-68.
[9] เรื่องเดียวกัน, หน้า 214-216.
[10] พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร, “คำขวัญ,” ใน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์, 50 ปีของลูกเสือไทย, พระนคร:โรงพิมพ์รุ่งเรืองรัตน์,2504, หน้า 59.
[11] [[|ศิริ โพธิ์ทอง, ราชสำนักพระมงกุฎเกล้าฯและขบวนการลูกเสือแห่งประเทศไทย, ]]หน้า 301.
[12] วิโรจน์ แก้วเรือง, พระบิดาแห่งลูกเสือไทย “พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว”, หน้า 13.
[13] เรื่องเดียวกัน, หน้า 18.
[14] พล.อ. เจ้าพระยารามราฆพ, “เรื่องของลูกเสือ,” ใน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์, 50 ปีของลูกเสือไทย, หน้า 68.
[15] เดวิด เค. วัยอาจ, ประวัติศาสตร์ไทยฉบับสังเขป, หน้า 396-397.
[16] อัจฉราพร กมุทพิสมัย, กบฏ ร.ศ. 130 กบฏเพื่อประชาธิปไตย: แนวคิดทหารใหม่, 148-157.
[17] ชานันท์ ยอดหงษ์, “นายใน” สมัยรัชกาลที่ 6 , กรุงเทพฯ: มติชน, 2556, หน้า 109.
[18] ศิริ โพธิ์ทอง, ราชสำนักพระมงกุฎเกล้าฯและขบวนการลูกเสือแห่งประเทศไทย, หน้า 301.
[19] เรื่องเดียวกัน, หน้า 302.
[20] เรื่องเดียวกัน.