ร่างทรงของมวลมหาประชาชน
ผู้เรียบเรียง ฐิติกร สังข์แก้ว และดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ ศาสตราจารย์ นรนิติ เศรษฐบุตร
ความหมาย
“ร่างทรงของมวลมหาประชาชน” เป็นคำที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ใช้อธิบายบทบาทและสถานภาพของตนเองในการเคลื่อนไหวของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ช่วงปลายปี 2556 ถึงกลางปี 2557 เพื่อต่อต้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นเรื่องที่มาสมาชิกวุฒิสภา ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 เรื่องการทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศ คดีทุจริตจำนำข้าว พระราชบัญญัติกู้เงิน 2 ล้านล้าน ไปจนถึงการขับไล่รัฐบาลรักษาการ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้มีรัฐบาลคนกลางและสภาประชาชน ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศก่อนจัดให้มีการเลือกตั้ง ทั้งนี้การตัดสินใจลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ (พร้อม ส.ส. คนอื่นรวมทั้งสิ้น 9 คน) ส่งผลให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เปลี่ยนสถานภาพจาก “เทพเทือก” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ไปสู่ “ลุงกำนัน” ในฐานะเลขาธิการ กปปส. ซึ่งมีบทบาทอย่างสูงในการปราศรัยระดมมวลชน นำมวลชนเข้าปิดล้อมสถานที่ราชการและหน่วยงานของรัฐ ถนนสายเศรษฐกิจในกรุงเทพฯ ตลอดจนขัดขวางการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป ซึ่งกำหนดให้มีขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 การดำเนินการทั้งหมดนี้ถูกอธิบายขยายความว่าไม่ใช่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ทั้งหมดเป็นเจตจำนงของ “มวลมหาประชาชน” ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งอดรนทนไม่ได้กับรัฐบาลที่อยู่ในอำนาจขณะนั้น จึงรวมตัวกันทวงคืนอำนาจอันเป็นของตน ดังนั้นบทบาททางการเมืองของ “ลุงกำนัน” เท่าที่ปรากฏผ่านสื่อมวลชนและผู้เข้าร่วมชุมนุม จึงเป็นเพียง “ร่างทรงของมวลมหาประชาชน” เท่านั้น
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับบทบาท “ร่างทรงของมวลมหาประชาชน”
- จบงานนี้ผมไม่เป็นนักการเมืองอีก เมื่อตัดสินใจออกมาสู้บนถนนก็ไม่คิดกลับไปสู้ในสภาอีก เพราะไม่ต้องการครหาว่า แพ้เขาในสภาแล้วไปตีหัวข้างนอก แล้วกลับไปสภาอีก คนอย่างกำนันสุเทพไม่ทำอย่างนั้น เมื่อตัดสินใจออกมาทำงานคราวนี้จะไม่ลงสมัคร ส.ส. และไม่กลับไปพรรคประชาธิปัตย์อีก ชัดเจนว่าไม่ใช่ทำเพื่อผลประโยชน์ของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะไม่ว่าใครในพรรคก็ไม่สามารถสั่งได้ เพราะผมฟังคำสั่งประชาชนเท่านั้น
สุเทพ เทือกสุบรรณ (ลุงกำนัน) [1]
ทันทีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ (พร้อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีก 8 คน) ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองเพื่อร่วมขับเคลื่อนขบวนการมวลชน กปปส. อันต้องการให้สังคมรับรู้ว่าตนเองตัดขาดจากสายสัมพันธ์ที่เคยมีกับพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมทั้งขึ้นปราศรัยบนเวทีหลายครั้งว่าเมื่อได้ยุติบทบาทการต่อสู้ในระบบรัฐสภาแล้วก็จะไม่หันกลับไปอีกต่อไป และจะไม่มีการเจรจาต่อรองประนีประนอมเพื่อที่จะให้ยุติการชุมนุม เพราะตนเองเป็นเพียง “ร่างทรงของมวลมหาประชาชน” อันเจตจำนงที่จะให้มีรัฐบาลคนกลางและสภาประชาชนขึ้นทำหน้าที่ปฏิรูปประเทศทุกระดับ ไม่สามารถต่อรองกับใครได้ ถ้อยคำและการกระทำที่ปรากฏออกมาเป็นเพียงสิ่งที่มวลมหาประชาชนต้องการเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรัฐบาลบิดเบือนเจตจำนงของเจ้าของอำนาจอธิปไตยจึงต้องคืนอำนาจให้แก่ประชาชน เมื่อนั้นประชาชนก็จะกลายเป็นรัฐาธิปัตย์ สามารถจัดตั้งรัฐบาลประชาชนและสภาประชาชนได้[2] ดังคำกล่าวว่า “จะมาเจรจาแบบว่า พวกมันไม่ต้องเข้าคุก ใครจะยอมได้ ไม่ต้องมาเจรจา สุเทพก็เป็นแค่ร่างทรงมวลมหาประชาชนเท่านั้น คนอื่นอย่าแหยม เราตัดสินแน่วแน่แล้ว แพ้เป็นแพ้ ชนะเป็นชนะ แพ้ก็ติดคุก ชนะลูกหลานก็มีอนาคต ดังนั้น เราไม่ต้องหวั่นไหว สู้ต่อไป จะกี่วันก็ให้รู้ไป” [3]
อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนจำนวนหนึ่งยังคงตั้งข้อสังเกตว่า การอธิบายบทบาทตนเองว่าเป็น "ร่างทรงของมวลมหาประชาชน" ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นั้น เป็นเพียงการกล่าวแก้เพื่อละเลี่ยงที่จะไม่เอ่ยถึงแหล่งที่มาของอำนาจแท้จริงอันเชิดชักอยู่เบื้องหลัง เพราะหากพิจารณาบริบทแวดล้อมทางการเมืองทั้งหมดก็จะพบว่ากลุ่มการเมืองทั้งที่เป็นแนวร่วมอย่างเปิดเผยและดำเนินการอย่างเป็นเอกเทศล้วนปฏิบัติการสอดประสานมุ่งหมายล้มล้างรัฐบาลรักษาการ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ว่าจะโดยการใช้กระบวนการในระบบรัฐสภาและองค์กรอิสระ เพื่อขัดจังหวะโครงการต่างๆ ของรัฐบาล หรือขบวนการมวลชนอื่นๆ เช่น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย องค์การพิทักษ์สยาม โดยกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่ม 40 ส.ว. กลุ่มวิชาชีพหมอ อธิการบดี ตุลาการ เป็นต้น จึงน่าสังเกตว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ใช่เป็นเพียง "ร่างทรงของมวลมหาประชาชน" เท่านั้น แต่ยังอาจเป็นร่างทรงของผู้มีอำนาจและอิทธิพลในการเมืองจำนวนมาก [4]
นัยยะสำคัญของคำและวลีทางการเมือง
การขับเคลื่อนการเมืองมวล นอกจากจะอาศัยยุทธวิธีในการเข้ายึดกุมพื้นที่ทางกายภาพ ในอันจะทำให้สามารถขยับขยายพื้นที่ยึดครองเพื่อแสดงออกถึงพลังมวลชนและสามารถเสนอข้อเรียกร้องให้ส่งไปถึงผู้มีอำนาจแล้ว ขบวนการมวลชน (โดยเฉพาะในกรณีระดับแกนนำ) จำเป็นที่จะต้องเข้ายึดครองพื้นที่ทางคิดโดยการผลิตสร้างคำทางการเมือง หรือ วลีทางการเมือง เพื่อเข้ายึดครองความคิดและจิตใจของผู้ร่วมชุมนุมประท้วงด้วย เพราะอย่างน้อยที่สุดเมื่อสามารถสร้างคำให้เป็นที่ยอมรับจนสามารถแผ่ขยายออกไปสู่สังคมในวงกว้างได้แล้ว คำหรือวลีทางการเมืองที่ถูกสร้างขึ้นจนกระทั่งกลายเป็นสิ่งที่ถูกใช้เพื่ออธิบายสรรพสิ่งหรือปรากฏการณ์ทางการเมืองก็จะสามารถเข้าควบคุมผู้คนให้มีทิศทางการกระทำไปในแนวทางเดียวกันมากขึ้น ในกรณีการชุมนุมประท้วงของกลุ่ม กปปส. ก็มีการประดิษฐ์ผลิตสร้างคำหรือวลีทางการเมืองขึ้นเช่นเดียวกัน (นอกเหนือจากการยอกย้ำคำที่ดำรงอยู่ก่อนแล้วอย่าง “ระบอบทักษิณ” เพื่อสร้างศัตรูทางการเมืองร่วมกันของผู้ชุมนุม) ไม่ว่าจะเป็น “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” “Shutdown กรุงเทพฯ” “กบฏ 56 ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ” “ลุงกำนัน” และ “ร่างทรงของมวลมหาประชาชน” เป็นต้น ในสองกรณีหลังนี้เกี่ยวข้องกับระดับนำของ กปปส. เป็นการเฉพาะ ไม่ใช่เพราะเป็นคำที่ใช้เรียกแทนและให้ภาพแทนเลขาธิการ กปปส. เท่านั้น แต่ยังมีความหมายทางการเมืองที่แสดงออกมาอย่างมีนัยยะสำคัญ
การเปลี่ยนย้ายความหมายของ “ร่างทรงของมวลมหาประชาชน”
“ร่างทรงของมวลมหาประชาชน” ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อ้างถึงบทบาทตนเองเสมอนั้น ชี้ให้เห็นว่าการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลของกลุ่ม กปปส. เป็นไปอย่างอิสระและไม่ได้ถูกชี้นำโดยนักการเมืองและพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือ “ลุงกำนัน” จึงไม่ใช่ “แกนนำ” ที่จะชักจูง และ/หรือ ชี้นำให้มวลชนผู้เข้าร่วมชุมนุมประท้วงทำตามเจตจำนงของใครคนใดได้ เพราะตามปกติแล้วการใช้คำว่า “ร่างทรง” ในทางการเมืองมักถูกให้ความหมายไปในเชิงลบ ไม่ว่าจะเป็น “ร่างทรงเผด็จการ” “รัฐบาลร่างทรง” และ “ร่างทรงราชการ” เป็นต้น[5] ในแง่ที่ว่าเป็นการกระทำไปโดยที่มีผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลัง อย่างไรก็ตามผู้มีอำนาจในความหมายนี้ก็คือ “ประชาชน” ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยนั่นเอง ดังนั้นการเป็นร่างทรงของมวลมหาประชาชนจึงมีความหมายไปในเชิงบวกเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่อำนาจอันแท้จริงเป็นของประชาชน ลุงกำนัน หรือ กำนันสุเทพ จึงเป็นเพียงพาหะที่จะนำพาถ้อยคำ ความคิด และการกระทำเพื่อสื่อสารให้บุคคล 3 (ทั้งบุคคลในรัฐบาล และประชาชนที่ยังคงนิ่งเฉยไม่เข้าร่วมกับ กปปส.) ได้รับรู้ ผู้เป็นร่างทรงในที่นี้จึงตัดสินใจแทนมวลมหาประชาชนไม่ได้ เพราะที่สุดแล้ว ผู้มีอำนาจแท้จริงในระบอบประชาธิปไตย ก็คือ ประชาชน
กระบวนการแปรสภาพสู่ “ร่างทรงทางการเมือง”
ภาพลักษณ์ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ สังคมจดจำในฐานะนักการเมืองอาชีพก่อนที่จะเปลี่ยนบทบาทตนเองมาเป็นเลขาธิการ กปปส. ยังคงมีภาพประทับของคดี สปก. อันอื้อฉาว ดังนั้นการลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาสู่ “ลุงกำนัน” อันเป็นเสมือน “ร่างทรงของมวลมหาประชาชน” ก็คือ กระบวนการชำระล้างกลายสภาพจากนักการเมืองอาชีพที่ฉ้อฉลมาสู่ “ร่างกายที่เปลือยเปล่า” อันถูกสิงสู่โดยเจตจำนงของมวลมหาประชาชน การกระทำใดๆ ในอดีตจึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับบทบาทของ “ลุงกำนัน” ในการเคลื่อนไหวของ กปปส. อีกต่อไป ดังคำกล่าวปราศรัยของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ณ เวทีราชดำเนิน เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2556 ที่ว่า “ในอดีตภาพพจน์ผมอาจไม่สวยสดงดงาม เป็นกรรมของผม แต่ผมเรียนว่า วันที่ผมมาสู้ ผมเหมือนฆราวาสมาบวช มาถือศีล และจะรักษาศีลไม่ให้ขาดแน่นอน ผมสู่สุดชีวิต ผมเทหมดหน้าตัก สู้เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน” [6] ในแง่นี้แม้ “ลุงกำนัน” จะเป็นร่างเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แต่ก็หาใช่ “นายสุเทพ แห่งพรรคประชาธิปัตย์” อีกต่อไป เพราะร่างทรง ก็คือ บุคคลซึ่งถูกควบคุมโดยวิญญาณหรือมีวิญญาณสิงสู่อยู่ในร่าง โดยคนในสังคมใช้เป็นสื่อกลางในการติดต่อกับอำนาจเหนือธรรมชาติ ภาวะการเข้าทรงจึงเป็นสภาพที่จิตใจและพฤติกรรมของบุคคลเปลี่ยนแปลงไปจนไม่อาจรับรู้/ทรงจำและสูญเสียความสามารถในควบคุมตนเองได้[7] อาการเข้าทรงทางการเมืองจึงเป็นภาวะที่เป็นไปตามการเชิดชัก กำกับ สั่งการ โดยมวลมหาประชาชน
บรรณานุกรม
กิเลน ประลองเชิง. "ร่างทรงองค์เทพ." ไทยรัฐ. (2 พฤษภาคม 2557), 3.
น.นพรัตน์. "พิสูจน์ฝีมือ ต่งชีหวา ผู้ว่าฮ่องกงร่างทรงจีน." Who's Who in Business & Finance. 3, 28 (กุมภาพันธ์ 2540), 98-103.
“บทบาท การเมือง ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะ ร่างทรง." ข่าวสด. (15 มีนาคม 2557), 6.
“บาทก้าว กปปส. การ ‘ทวงคืน’ อำนาจ มิใช่ ‘แย่งชิง’." มติชน. (22 กุมภาพันธ์ 2557), 3.
ปรเมษฐ์ ภู่โต. "สัมภาษณ์ ส.ศิวรักษ์ รับ 3 ปี รัฐประหาร รัฐบาลชวน ร่างทรง รสช.." เนชั่นสุดสัปดาห์. 2. 90 (25 กุมภาพันธ์-มีนาคม 2537), 9-11.
พิราบขาว. "เปิดหน้ากาก พรรคการเมืองร่างทรงเผด็จการ." วัฏจักรการเมือง. 2, 101 (20-26 พฤษภาคม 2537), 21.
รตพร ปัทมเจริญ. (2543). "กระบวนการเข้าสู่การเป็นร่างทรง: กรณีศึกษาร่างทรงในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม." (วิทยานิพนธ์ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาบัณฑิต (สังคมวิทยา) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์). “ร่างทรงไป-ตัวจริงมายี้เริงร่า-นาวาร้าว." มติชน. (13 ธันวาคม 2544), 1-2.
“สถานะ การเมือง สถานะ ‘รัฏฐาธิปัตย์’ นักรบป๊อปคอร์น." มติชน. (11 เมษายน 2557), 3.
สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม. (2557). บันทึกกบฏ. ชรินทร์ แช่มสาคร. (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์กรีน ปัญญาญาณ.
สุชาติ ศรีสุวรรณ. "2 ทาง "สุเทพ" ยังตีบตัน." มติชน. (11 พฤษภาคม 2557), 3.
““สุเทพ” ขอเป็นร่างทรงมวลมหาประชาชน เมินเลื่อนเลือกตั้ง 4 พ.ค.ย้ำประชาชนต้องปฏิรูปเท่านั้น." ผู้จัดการออนไลน์. (14 มกราคม 2557). เข้าถึงจาก <http://www.manager.co.th/Politics/ ViewNews.aspx?NewsID=9570000005073>. เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2558.
“สุเทพเมินข้อเสนอตั้งรัฐบาลแห่งชาติ." โพสต์ทูเดย์. (14 กุมภาพันธ์ 2557). เข้าถึงจาก <http://m.posttoday.com/article.php?id=278019&channel_id=1000>. เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2558.
เสรี กลิ่นจันทร์. "รำลึกพฤษภาทมิฬ รัฐบาลร่างทรงพรรคราชการ แปลกแยก-แตกต่างกับประชาธิปไตยจอมปลอม!." วัฏจักรการเมือง. 2, 100 (13-19 พฤษภาคม 2537), 19-20.
อ้างอิง
- ↑ สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม, บันทึกกบฏ, ชรินทร์ แช่มสาคร (บรรณาธิการ) (กรุงเทพฯ: กรีน ปัญญาญาณ, 2557), หน้า 86.
- ↑ "“สุเทพ” ขอเป็นร่างทรงมวลมหาประชาชน เมินเลื่อนเลือกตั้ง 4 พ.ค.ย้ำประชาชนต้องปฏิรูปเท่านั้น," ผู้จัดการออนไลน์, (14 มกราคม 2557), เข้าถึงจาก <http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9570000005073>. เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2558.
- ↑ "สุเทพเมินข้อเสนอตั้งรัฐบาลแห่งชาติ," โพสต์ทูเดย์, (14 กุมภาพันธ์ 2557), เข้าถึงจาก <http://m.posttoday.com/article.php?id=278019&channel_id=1000>. เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2558.
- ↑ "บาทก้าว กปปส. การ ‘ทวงคืน’ อำนาจ มิใช่ ‘แย่งชิง’," มติชน, (22 กุมภาพันธ์ 2557), 3. "บทบาท การเมือง ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะ ร่างทรง," ข่าวสด, (15 มีนาคม 2557), 6. "สถานะ การเมือง สถานะ ‘รัฏฐาธิปัตย์’ นักรบป๊อปคอร์น," มติชน, (11 เมษายน 2557), 3. กิเลน ประลองเชิง, "ร่างทรงองค์เทพ," ไทยรัฐ, (2 พฤษภาคม 2557), 3. สุชาติ ศรีสุวรรณ, "2 ทาง "สุเทพ" ยังตีบตัน," มติชน, (11 พฤษภาคม 2557), 3.
- ↑ โปรดดูการใช้คำว่า “ร่างทรง...” ในชื่อบทความต่างๆ เพื่อใช้อธิบายสถานการณ์ทางการเมืองที่แสดงออกถึงการปกปิดซ่อนเร้น ไม่โปร่งใส่ และไม่เป็นตัวของตัวเอง ได้ใน ปรเมษฐ์ ภู่โต, "สัมภาษณ์ ส.ศิวรักษ์ รับ 3 ปี รัฐประหาร รัฐบาลชวน ร่างทรง รสช.," เนชั่นสุดสัปดาห์, 2, 90 (25 กุมภาพันธ์-มีนาคม 2537), 9-11. เสรี กลิ่นจันทร์, "รำลึกพฤษภาทมิฬ รัฐบาลร่างทรงพรรคราชการ แปลกแยก-แตกต่างกับประชาธิปไตยจอมปลอม!," วัฏจักรการเมือง, 2, 100 (13-19 พฤษภาคม 2537), 19-20. พิราบขาว, "เปิดหน้ากาก พรรคการเมืองร่างทรงเผด็จการ," วัฏจักรการเมือง, 2, 101 (20-26 พฤษภาคม 2537), 21. น.นพรัตน์, "พิสูจน์ฝีมือ ต่งชีหวา ผู้ว่าฮ่องกงร่างทรงจีน," Who's Who in Business & Finance, 3, 28 (กุมภาพันธ์ 2540), 98-103. "ร่างทรงไป-ตัวจริงมายี้เริงร่า-นาวาร้าว," มติชน, (13 ธันวาคม 2544), 1-2.
- ↑ สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม, บันทึกกบฏ, หน้า 81.
- ↑ โปรดดูรายละเอียดงานศึกษา "คนทรงเจ้า" ในทางสังคมวิทยา ได้ใน รตพร ปัทมเจริญ, "กระบวนการเข้าสู่การเป็นร่างทรง: กรณีศึกษาร่างทรงในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม," (วิทยานิพนธ์ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาบัณฑิต (สังคมวิทยา) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2543).