ริมถนนพหลโยธินเลยแยกเกษตรไปทางเหนือ

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้แต่ง : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


ณ บริเวณริมถนนพหลโยธินเลยสามแยกมหาวิทยาลัยเกษตรไปไม่มากที่มีคำบอกเล่าว่าประมาณกิโลเมตรที่ 11 ถึงกิโลเมตรที่ 13 เมื่อย้อนวันไปถึงคืนวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2492 ซึ่งเป็นเวลาของคืนวันหนึ่งในฤดูร้อนของกรุงเทพ ตอนนั้นถนนพหลโยธินที่เปลี่ยนชื่อมาจากถนนประชาธิปัตย์เป็นถนนที่วิ่งออกจากกรุงเทพขึ้นมาทางเหนือ เป็นถนนขนาดธรรมดาที่มีทางวิ่งออกจากกรุงและเข้ากรุงเทพด้านละช่องทางวิ่งเท่านั้น กลางคืนหากไกลจากสะพานควายมาแล้วก็ค่อนข้างเปลี่ยว สองข้างถนนเป็นคูข้างทางมีหญ้าขึ้นรก ริมทางมีต้นก้ามปูปลูกไว้ทั้งสองข้างทาง มีสีขาวทาที่ลำต้นไว้เป็นเครื่องหมาย ที่บริเวณดังกล่านี่เองเป็นที่เกิดฆาตกรรมทางการเมือง ที่มีการบันทึกเล่ากันไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

วันนั้นคือคืนวันที่ 3 มีนาคม แต่ดึกมากกว่าครึ่งคืนไปแล้ว ถึงเวลาตีหนึ่งโดยประมาณ ซึ่งถือว่าเข้าวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2492 อันเป็นวันเกิดเหตุ ทางตำรวจได้มีการย้ายผู้ต้องหาทางการเมืองที่สำคัญ 4 คน จากหน่วยงานของกรมตำรวจและโรงพัก พาไปขึ้นรถของตำรวจ มีรถคุ้มกัน ผู้ต้องหาที่ว่าสำคัญ 4 คนนี้ประกอบด้วย

1. นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ท่านผู้นี้เป็นนักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งมาจากจังหวัดอุบลราชธานี ตั้งแต่การเลือกตั้งในครั้งแรก พ.ศ. 2476 เคยเป็นทั้งเลขาธิการและหัวหน้าพรรคสหชีพอันเป็นพรรคการเมือง แนวซ้าย เคยทำให้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีควง อภัยวงศ์ ล้มมาแล้ว ท่านเป็นผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติให้ติดป้ายราคาสินค้า เมื่อ พ.ศ. 2489 ที่รัฐบาลบอกว่าทำไม่ได้ แต่เมื่อสภารับหลักการร่างกฎหมายนี้ นายควง อภัยวงศ์ จึงลาออกจากนายกรัฐมนตรี

2. นายถวิล อุดล ที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ดมาก่อน เคยเป็นทั้งหัวหน้า เสรีไทยที่จังหวัดร้อยเอ็ด และเป็นอดีตรัฐมนตรีลอย คือไม่ได้ว่าการกระทรวงใด สมัยที่นายทวี บุณยเกตุ เป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่พระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี นายถวิล อุดล ได้เคยเสนอว่าในร่าง งบประมาณที่รัฐเสนอต้องมีรายละเอียดด้วย ทางรัฐบาลแพ้เสียงในสภาในเรื่องนี้จนนายกรัฐมนตรีขอลาออก แต่ประธานคณะผู้สำเร็จราชการได้ขอให้ยุบสภาเรื่องเกิดเมื่อ พ.ศ. 2481

3. นายจำลอง ดาวเรือง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดมหาสารคาม เคยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลของหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์

4. นายทองเปลว ชลภูมิ ที่มักเรียกกันว่า “ดร.ทองเปลว” เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปราจีนบุรี และเคยเป็นรัฐมนตรีลอยในรัฐบาลที่มีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เป็นนายกรัฐมนตรีและเคยเป็นเลขาธิการสภา

ตอนนั้นท่านทั้ง 4 นี้มิได้ลงเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2491 ที่มีขึ้นหลังการ รัฐประหาร พ.ศ. 2490

ขณะที่ถูกจับกุมตัว และเกิดเหตุเป็นเวลาของรัฐบาลที่มีจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี โดยจอมพล ป.พิบูลสงครามกลับมามีอำนาจเพราะคณะรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490

4 อดีตรัฐมนตรี ดังกล่าวล้วนแต่เคยเป็นรัฐมนตรีที่ไม่ได้อยู่กับฝ่ายนายกรัฐมนตรี จอมพล ป.พิบูลสงครามมาก่อน หรือแม้แต่กับรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ และนักการเมืองเรืองนามทั้ง 4 คนนี้ ถูกตำรวจจับกุมตัวล่าสุดหลังเกิดความพยายามยึดอำนาจแต่ไม่สำเร็จ ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 แล้ว

ที่จริงทางรัฐบาลและตำรวจที่มี พล.ต.ต. เผ่า ศรียานนท์ เป็นรองอธิบดีผู้มีอำนาจจริงได้ส่งตำรวจที่ตอนนั้นมีหลายคนเป็นฝ่ายการเมืองเข้าไปจับกุมผู้ที่ถูกสงสัยว่าจะอยู่ตรงกันข้ามกับรัฐบาล จนมีการจับตายบ้าง หรือจับไปฆ่าเงียบ ๆ บ้างหลายกรณีในภายหลัง

แต่สำหรับ 4 อดีตรัฐมนตรีนี้มีคนเดียวที่หนีออกนอกประเทศไทยไปอยู่ที่เกาะปีนังได้แล้ว หากถูกตำรวจโทรเลขไปหลอกให้เดินทางกลับมา และถูกจับกุมตัว จนเหมือนกับว่าท่านเป็นเป้าหมายสำคัญมากกว่าใคร ท่านคือ ดร.ทองเปลว ชลภูมิ

ส่วนอีก 3 คน นั้นหลบซ่อนตัวในเมืองได้ไม่นานก็ปรากฏตัวในที่สาธารณะ ตำรวจจึงจับตัวได้โดยง่าย กรณีคุณถวิล อุดล ที่เป็นนักกฎหมายนั้นเดินทางไปหาตำรวจเองเพราะไปยื่นประกันเพื่อนรายอื่นจึงถูกจับ แต่อีก 2 คน คือ คุณทองอินทร์ ภูริพัฒน์ กับคุณจำลอง ดาวเรือง ถูกจับที่เนติบัณฑิตยสภา เพราะมารับประทานอาหาร

ก่อนที่จะถูกคุมตัวเพื่อย้ายที่คุมขังตามที่อ้างกันนั้น ทั้ง 4 คนถูกขังแยกกันอยู่ 4 แห่ง

คุณทองเปลว ชลภูมิ ถูกคุมขังอยู่ที่สันติบาล คือที่ปทุมวัน

คุณทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ถูกคุมขังอยู่ที่สถานีตำรวจสามเสน

คุณจำลอง ดาวเรือง ถูกคุมขังที่สถานีตำรวจยานนาวา

คุณถวิล อุดล ถูกคุมขังที่สถานีตำรวจนางเลิ้ง

ทั้งหมดถูกใส่กุญแจมือขณะที่มีการย้ายผู้ต้องหา

โดยการสั่งการที่ดูจะเป็นเรื่องร้ายแรงทีเดียว ในคืนวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2492 พ.ต.อ.หลวงพิชิตธุรการ นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เป็นถึงรองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ผู้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนพิเศษเกี่ยวกับคดีกบฏ ได้ให้เบิกตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 คน จากที่คุมขังทั้ง 4 แห่ง พาออกจากกลางพระนครอ้างว่าจะพาไปโรงพักบางเขนที่ถนนพหลโยธินใกล้กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

นายตำรวจระดับนายร้อยที่ไปด้วยและอยู่ในเหตุการณ์ได้มาเขียนเล่าภายหลังคือ พ.ต.อ.พุฒ บูรณสมภพ (ยศขณะเขียน) ท่านเขียนไว้ตอนหนึ่งใน “13 ปีกับบุรุษเหล็กแห่งเอเชีย” ว่า

“คืนนั้นผมได้ถูกเรียกตัวจากที่เตรียมพร้อมจากสวนอัมพรตอนประมาณ 3 ทุ่มเศษ ๆ ตามคำสั่งของผู้อำนวยการรักษาความสงบในขณะนั้นคือ พล.ต.ต.หลวงวิจิตรธุรการ (ซึ่งคงหมายถึง พ.ต.อ.หลวงพิชิตธุรการ) เรียกให้ไปพบที่ลานพระรูป และให้นำกำลังตำรวจไปด้วยจำนวน 1 หมู่ อาวุธครบมือและรถบรรทุกเปล่า 1 คัน เพื่อบรรทุกผู้ต้องหา…”

คณะตำรวจที่ไปมีทั้งกำลังและอาวุธที่ค่อนข้างพร้อม

“ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าผมจะทำอะไร ผมได้นำกำลังไปพบกับคุณหลวงวิจิตรา (หลวงพิชิตฯ ผู้เขียน) ซึ่งนั่งรถจิ๊บรออยู่ก่อนแล้วกับนายตำรวจอีกสองนาย คือ ร.ต.อ. ทม จิตรนิบล (จิตรวิมล – ผู้เขียน) และ ร.ต.อ.พาด ตุงคสมิท...”

คืนนั้นเองได้มีการสังหารโหดเกิดขึ้นบนถนนพหลโยธิน ประมาณกิโลเมตรที่ 11-13 ที่บอกเล่ากันว่าไม่ไกลจาก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ในหนังสือ รัฐสภาไทยในรอบ 42 ปี ของ ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ เขียนไว้ว่า

“วันที่ 3 มีนาคม ศกเดียวกัน เวลากลางคืนทางตำรวจได้สั่งย้ายผู้หา ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีทั้ง 4 คน เพื่อจะนำฝากขัง ณ สถานีตำรวจบางเขน การย้ายครั้งนี้ได้กระทำในเวลาค่ำคืนโดยรถยนต์ของตำรวจ มีนายตำรวจชั้นนายพลเป็นหัวหน้าควบคุม เมื่อนำผู้ต้องหาไประหว่างทางถนนพหลโยธินประมาณกิโลเมตร 13 ใกล้ถึงสถานีตำรวจบางเขน ผู้ต้องหาทั้ง 4 คนได้ถูกปืนถึงแก่อนิจกรรม ในการนี้ทางตำรวจแถลงว่า มีโจรมลายูแย่งผู้ตองหาได้มีการต่อสู้กันขึ้น ผู้ต้องหาจึงถูกอาวุธปืนถึงแก่อนิจกรรม”

การ “ถูกปืนถึงแก่อนิจกรรม” จึงเป็นข่าวใหญ่ในวันต่อมา ผู้คนหลายคนเชื่อว่าเป็นการสังหารโหด น่าสังเวชใจที่มีการเอาตัวผู้ต้องหาไปให้ถูกฆ่ากันง่าย ๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าโจรมลายูที่อยู่ทางภาคใต้ได้ดั้นด้นจากใต้ขึ้นมาทำการชิงตัวผู้ต้องหาจากตำรวจ โดยไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใด เพราะผู้ต้องหาที่ถูกฆ่าทิ้งทั้ง 4 ท่านไม่มีใครเป็นนักการเมืองของภาคใต้เลย 3 คนเป็นผู้แทนราษฎรจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอีกหนึ่งคนเป็นผู้แทนราษฎรจากภาคกลางนี่เอง

ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีโจรมลายู ที่ถูกอ้างว่าเป็นผู้บุกเข้ามาชิงผู้ต้องหาบาดเจ็บ หรือล้มตาย หรือถูกจับได้เลยสักคนเดียว ฝ่ายตำรวจที่คุมผู้ต้องหาไปก็เหมือนไม่โดนยิงเลย

แต่ผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ถูกใส่กุญแจมือ และถูกคุมตัวมาตายหมด

กรณีสังหารอดีตรัฐมนตรี 4 คน ที่ทางการชี้แจงว่ามีโจรมลายูมาปฏิบัติการแย่งตัวผู้ต้องหานี้เป็นข่าวที่หนังสือพิมพ์ไทยกล้าเสนอข่าวอยู่เพียง 2-3 วัน เรื่องก็เงียบไปใน พ.ศ. 2492

แต่การยิงทิ้งทางการเมืองแบบนี้เรื่องยังไม่จบ

มาอ่านคำบอกเล่าทางครอบครัวของผู้ที่ถูกฆ่าทิ้งบ้าง นายแพทย์ สิริศักดิ์ ภูริพัฒน์ บุตรชายของนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ซึ่งตอนที่เกิดเหตุยังเป็นนักเรียนอยู่โรงเรียนสวนกุหลาบได้เล่าไว้ใน “จุดเปลี่ยนในชีวิตของ น.พ.สิริศักดิ์ ภูริพัฒน์”

“...พ่อผมก็เป็นหนึ่งใน 4 อดีตรัฐมนตรีที่ถูกโจรมลายูยิงตายทั้ง 4 คน ถูกเอาไปฆ่าที่บางเขน เลยสามแยกเกษตรตอนนี้ไปหน่อย..”

ทางครอบครัวผู้เสียชีวิตรู้เรื่องตั้งแต่เช้าวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2492

“พอตื่นเช้า คุณบุญทัน เราเรียกอาทัน ร้องห่มร้องไห้มาหา ปรากฏว่าเอาข้าวไปส่งแล้วคุณถวิลไม่อยู่ พวกเด็ก ๆ บอกเขาเอาไปฆ่าแล้วละ ก็ตกอกตกใจวิ่งร้องไห้มา”

ภริยาของผู้เสียชีวิตนั้นนอกจากคุณบุญทัน อุดล ก็มีคุณสิริบังอร ภูริพัฒน์ ภริยาคุณทองอินทร์ คุณนิ่มนวล ชลภูมิ ภริยา ดร.ทองเปลว และคุณทองคำ ดาวเรือง ภริยาคุณจำลอง เมื่อ น.พ.สิริศักดิ์ ภูริพัฒน์ ได้ฟังเรื่องที่คุณบุญทันบอกก็เชื่อ เพราะเพิ่งฝันว่าพ่อมาหาในคืนนั้น

“พออาทันบอก ผมก็โอ้...คงใช่แล้ว เมื่อคืนพ่อมาหาแล้วนี่ ก็ไปวังปารุสก็คอยตั้งแต่เช้าจนเที่ยง เขาก็ไม่บอกว่าที่ไหน ตอนนั้นญาติทั้ง 4 คนไปหาก็ไม่เจอแล้วนี่ ก็ต้องมาถามสันติบาลว่าไปไหน...” ดังนั้น “กว่าจะไปพบศพก็บ่ายสองโมงที่โรงพยาบาลวชิระ” และท่านก็สรุปว่า “พวกเราก็ช๊อคกัน”

แต่การยิงทิ้งทางการเมืองแบบนี้เรื่องยังไม่จบสิ้นปีนั้น ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 ผู้มีอำนาจในวงการตำรวจตอนนั้นหมดอำนาจ ต้องเดินทางไปลี้ภัยต่างประเทศ จึงได้มีการรื้อฟื้นคดีการยิงทิ้ง 4 อดีตรัฐมนตรีขึ้นมา และศาลอาญาได้พิจารณาคดีนี้ในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2502 โดยมีพนักงานอัยการเป็นโจทย์ มี พล.ต.จ. ผาด ตุงคสมิตร เป็นจำเลยที่ 1 พล.ต.จ. ทม จิตรวิมล เป็นจำเลยที่ 2 ร.ต.ท. จำรัส ยิ้มละมัย เป็นจำเลยที่ 3 ร.ต.ท.ธนู พุกใจดี เป็นจำเลยที่ 4 กับ ส.ต.อ. แนบ นิ่มรัตน์ เป็นจำเลยที่ 5

คดีนี้ได้ผ่านการพิจารณากันถึง 3 ศาล และที่สุดศาลฎีกาได้มีคำพิพากษา ในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2504 ให้จำคุกนายพลตำรวจ 2 นาย กับสิบตำรวจเอก 1 นายไว้ตลอดชีวิต

คดีสิ้นสุดแต่รอยเลือดในการเมืองก็ยังติดอยู่