พรรคชาติพัฒนากล้า
ผู้เรียบเรียง : ฐิติกร สังข์แก้ว
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
บทนำ
พรรคชาติพัฒนากล้า หรือชื่อเดิม พรรคชาติพัฒนา ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “พรรคชาติพัฒนากล้า” ภายหลังจากที่ นายกรณ์ จาติกวณิช ได้ลาออกจากหัวหน้าและสมาชิกพรรคกล้า ไปเข้าร่วมกับพรรคชาติพัฒนา พร้อม ๆ กับทีมงานอีกกว่า 40 คน ในช่วงปลายปี 2565 เพื่อสู้ศึกการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะเกิดขึ้นในต้นปี 2566[1] ในปัจจุบันพรรคชาติพัฒนากล้า มีนายกรณ์ จาติกวณิช ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค และ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค ขณะที่สมาชิกพรรคกล้าจำนวนหนึ่งยังคงสังกัดพรรคเดิมและมีการเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ขึ้นแทนที่ชุดเก่า อย่างไรก็ตาม นายกรณ์ จาติกวณิช และกรรมการบริหารพรรคกล้าชุดเก่าถูกกระแสวิจารณ์ว่า “ทิ้งพรรค”[2] ทั้งที่เพิ่งย้ายมาร่วมก่อตั้งพรรคกล้าเมื่อประมาณกลางปี 2563 และยังมีกิจกรรมทางการเมืองในนามของพรรคกล้าหลังจากนั้นอย่างต่อเนื่อง
พรรคชาติพัฒนากล้า : ประวัติย่นย่อของการเปลี่ยนชื่อและควบรวมพรรค
พรรคชาติพัฒนากล้า มีประวัติการเปลี่ยนชื่อและยุบรวมพรรคหลายครั้งก่อนที่จะกลายมาเป็นชื่อ “พรรคชาติพัฒนากล้า” ในปัจจุบัน (กุมภาพันธ์ 2566) อันจุดเริ่มต้นจากการก่อตั้ง “พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา” ในปี 2550 โดยการเข้าร่วมของกลุ่มรวมใจไทย ที่นำโดย นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ พรรครวมใจไทยชาติพัฒนาลงเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2550 ได้ ส.ส. 17 คน (เขต 8 คน และสัดส่วน 9 คน)[3] จึงเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน ที่นำโดย นายสมัคร_สุนทรเวช (29 มกราคม 2551 - 9 กันยายน 2551) รัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ (18 กันยายน 2551 - 2 ธันวาคม 2551) และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (17 ธันวาคม 2551 - 5 สิงหาคม 2554) ต่อมาในปี 2553 ที่ประชุมใหญ่ของพรรครวมใจไทยชาติพัฒนาได้มีมติเปลี่ยนชื่อเป็น “พรรครวมชาติพัฒนา” หลังจากนั้นเพียงปีเดียวที่ประชุมใหญ่พรรคได้มีมติประกาศรวมตัวเข้ากับพรรคเพื่อแผ่นดิน ภายใต้ชื่อใหม่ว่า “พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน” ได้ที่นั่ง ส.ส. ในการเลือกตั้งปี 2554 ทั้งสิ้น 12 คน (เขต 5 คน และบัญชีรายชื่อ 7 คน)[4] โดยเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยที่นำโดย นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก่อนที่ที่ประชุมใหญ่พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน จะมีมติให้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น “พรรคชาติพัฒนา” (ซึ่งเป็นชื่อเดียวกันกับ “พรรคชาติพัฒนา” ซึ่งพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้า ภายหลังการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบเรียบแห่งชาติ ในปี 2535 อย่างไรก็ตาม ในปี 2547 พรรคชาติพัฒนาได้ยุบรวมเข้ากับพรรคไทยรักไทย) ครั้นมาถึงการเลือกตั้งปี 2562 พรรคชาติพัฒนา ได้รับเลือกตั้งเพียง 3 ที่นั่ง (เขต 1 คนและบัญชีรายชื่อ 2 คน)[5] แต่ก็ได้เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ เพื่อสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
ในอีกด้านหนึ่ง ภายหลังการเลือกตั้ง 2562 นายกรณ์ จาติกวณิช ได้ตัดสินใจลาออกจาก ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์[6] ก่อนที่จะประกาศเปิดตัว “พรรคกล้า” ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งมีนายกรณ์ จาติกวณิช นั่งเป็นหัวหน้าพรรค และนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เป็นเลขาธิการพรรค[7] ทั้งนี้สนามเลือกตั้งแรกที่พรรคกล้าส่งผู้มสมัครลงแข่งขัน ก็คือการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. นครศรีธรรมราช (7 มีนาคม 2564) ที่ทำคะแนนมาเป็นอันดับ 3 ด้วย 6,216 คะแนน ต่อมาในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. กทม. เขต 9 (30 มกราคม 2565) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ลงแข่งขันในนามพรรคกล้า แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับนายสุรชาติ เทียนทอง จากพรรคเพื่อไทย ไปด้วยคะแนน 29,416 ต่อ 20,047 คะแนน[8] ครั้นมาถึงสนามเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ และสมาชิกสภากรุงเทพฯ ซึ่งพรรคกล้าส่งผู้สมัครลงแข่งขันเฉพาะสมาชิกสภากรุงเทพฯ 12 เขตเท่านั้น แต่ก็ยังไม่สามารถชนะเลือกตั้งได้แม้แต่เขตเดียว[9] อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงวันที่ 2 กันยายน 2565 นายกรณ์ จาติกวณิช ได้ร่วมแถลงข่าวกับนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประกาศความร่วมมือกับพรรคชาติพัฒนา โดยนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ กล่าวตอนหนึ่งว่า “พรรคชาติพัฒนาอยากเรียนเชิญท่านกรณ์ มาจับมือกัน มารวมพลังกัน มาร่วมทำงานกับเรา มาแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของของประเทศในวันนี้...ไม่ใช่การรวมพรรค สถานะของสองพรรคก็ยังเหมือนเดิม” ขณะที่นายกรณ์ จาติกวณิช ยืนยันว่า “ผมกับพี่สุวัจน์ร่วมมือกัน 100%...วันนี้มาในนามนายกรณ์ จาติกวณิช”[10] เมื่อถึงวันที่ 26 กันยายน 2565 ที่ประชุมใหญ่พรรคชาติพัฒนาได้มีมติเปลี่ยนชื่ออีกครั้งหนึ่งเป็น “พรรคชาติพัฒนากล้า” โดยมีสมาชิกจากพรรคกล้าจำนวนหนึ่งเข้ามาสมทบเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในราวเดือนพฤษภาคม 2566[11]
นโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้าในการเลือกตั้งปี 2566
พรรคชาติพัฒนากล้า ประกอบด้วยแกนนำคนสำคัญ เช่น นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา นายเทวัญ ลิปตพัลลภ เลขาธิการพรรค นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรค และนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ประธานยุทธศาสตร์และนโยบายเศรษฐกิจ ได้จัดกิจกรรมเปิดตัวนโยบายโดยเน้นการปรับรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจและเสนอแนวทางการหารายได้เข้าประเทศ ตามหลักคิดของพรรคที่ว่า “งานดี มีเงิน ของไม่แพง” พรรคชาติพัฒนากล้า จึงนำเสนอ 12 นโยบาย ประกอบด้วย
1) หาเงินใหม่ให้ประเทศ 5 ล้านล้านบาท
2) ลดภาษีบุคคล เงินเดือน 40,000 บาทแรกไม่ต้องเสียภาษี
3) น้ำมัน แก๊ส ไฟฟ้า ต้องถูกลง รื้อโครงสร้างพลังงาน
4) ยกเลิกแบล็กลิสต์บูโร รื้อระบบสินเชื่อ
5) รื้อระบบราชการ โดยใช้ GOv-Tech ราชการมือถือรวดเร็ว ปลอดคอร์รัปชั่น
6) เกษตรสร้างชาติ เพิ่มมูลค่าด้วยเทคโนโลยี-อุตสาหกรรม
7) สร้างเด็กไทย 3 ภาษา
8) ทุนธุรกิจสร้างสรรค์ สูงสุดรายละ 1 ล้านบาท ไม่จำกัดวุฒิและวัย
9) สูงวัยไฟแรง งานใหม่ 5 แสนตำแหน่ง
10) อารยสถาปัตย์ ปรับเงินบ้าน 50,000 บาท ให้ผู้สูงวัยและผู้พิการ
11) มอร์เตอร์เวย์ทั่วไทย 4 ทิศ 2,000 กม.
12) ท่องเที่ยวนำไทย เพิ่มนักท่องเที่ยว 2 เท่า[12]
กล่าวได้ว่านโยบายหลักของพรรคชาติพัฒนากล้า คือ นโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งเน้นด้านการเงินการคลังสาธารณะ ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของประชาชน ส่งเสริมธุรกิจสร้างสรรค์แก้โจทย์สังคมสูงวัยและคนรุ่นใหม่ในอนาคต เป็นต้น โดยพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง
นัยสำคัญต่อการเมืองไทย
การปรากฎขึ้นของพรรคชาติพัฒนากล้า ในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนชื่อพรรคและปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของพรรคใหม่ (rebranding) เท่านั้น หากยังสะท้อนการเมืองการเลือกตั้ง (electoral politics) และการเมืองโดยพรรคการเมือง (party politics) ของไทยใน 2 มิติสำคัญ ได้แก่
มิติแรก การเปลี่ยนแปลงระบบเลือกตั้งจากระบบจัดสรรปั่นส่วนผสม (mixed-member apportionment: MMA) ที่ใช้บัตรใบเดียวลงคะแนนให้ทั้งผู้สมัคร ส.ส. เขต 350 คน และนำคะแนนนั้นไปจัดสรรให้กับ ส.ส. สัดส่วนอีก 150 คน มาเป็นระบบคู่ขนาน หรือ ระบบผสมเสียงข้างมาก (parallel or mixed-member majoritarian system) ที่ใช้บัตรเลือกตั้งสองใบแยกกันระหว่าง การเลือกตั้งในระบบแบ่งเขต 400 คน กับระบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ส่งผลให้คะแนนเสียงมีแนวโน้มที่จะกระจุกตัวอยู่กับพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ในทางกลับกัน พรรคการเมืองขนาดเล็กและพรรคการเมืองเกิดใหม่มีแนวโน้มเสียเปรียบพรรคขนาดใหญ่ เพราะพรรคขนาดใหญ่สามารถส่งผู้สมัครลงแข่งขันได้ทุกเขตทั่วประเทศ จึงเท่ากับเป็นการรณรงค์หาเสียงให้กับพรรคในระบบบัญชีรายชื่อไปในเวลาเดียวกัน และเพราะว่าการส่งผู้สมัครในระบบแบ่งเขตทั่วประเทศต้องใช้งบประมาณในการหาเสียงจำนวนมาก สำหรับพรรคขนาดเล็กและพรรคเกิดใหม่ที่มีฐานเสียงจำกัด จึงมักเลือกส่งผู้สมัครแต่เฉพาะในเขตที่มีโอกาสชนะเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้โอกาสที่จะอาศัยผู้สมัคร ส.ส. เขตหาเสียงให้พรรคไปพร้อมกันจึงลดลงตามไปด้วย ผลก็คือ พรรคขนาดเล็กและพรรคเกิดใหม่มีโอกาสที่จะชนะเลือกตั้งในระบบแบ่งเขตน้อยเช่นเดียวกันกับการเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ นักการเมืองชื่อดังที่เคยแตกตัวออกจากพรรคใหญ่ไปตั้งพรรคใหม่หลังการเลือกตั้งปี 2562 (เช่น พรรคกล้า พรรคสร้างอนาคตไทย พรรคเศรษฐกิจไทย) จึงเริ่มทยอยย้ายกลับเข้าพรรคใหญ่หรือพรรคซึ่งเป็นที่รู้จักของประชาชนมากกว่า ภายหลังการเปลี่ยนกลับมาใช้ระบบเลือกตั้งแบบคู่ขนาน
มิติที่สอง พรรคการเมืองของไทยส่วนใหญ่มักตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนผู้นำทางการเมือง หรือ กลุ่มการเมืองบางกลุ่มเพื่อเอาชนะการเลือกตั้ง ความเป็นพรรคจึงเกิดขึ้นโดยการจดทะเบียนจัดตั้งกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งแตกต่างตรงกันข้ามกับพรรคการเมืองมวลชน (mass-based party) ที่ฐานเสียงและความต้องการของประชาชนเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการก่อตั้งองค์กรพรรคการเมืองขึ้นเพื่อสะท้อนและส่งเสริมผลประโยชน์ของผู้เลือกตั้งที่มีอุดมการณ์คล้ายคลึงกัน ด้วยเหตุนี้พรรคการเมืองของไทยจำนวนไม่น้อย (รวมถึงพรรคกล้า) จึงตั้งขึ้นเป็นองค์กรตามกฎหมายก่อนที่จะแสวงหาการสนับสนุนและระดมมวลชนเป็นฐานคะแนนให้กับพรรค หรือกล่าวได้ว่าพรรคการเมืองในฐานะองค์กรเกิดขึ้นก่อน แต่ฐานเสียงสนับสนุนเกิดขึ้นภายหลัง ทั้งนี้เมื่อผู้นำทางการเมือง หรือ กลุ่มการเมืองสำคัญของพรรคย้ายไปสังกัดพรรคอื่นเพื่อแสวงหาโอกาสทางการเมืองที่สูงกว่า พรรคการเมืองที่เพิ่งเริ่มก่อร่างสร้างฐานมวลชนจึงมีสภาพประหนึ่งถูกทิ้งร้าง แม้ว่าสถานภาพความเป็นพรรคตามกฎหมายจะยังคงดำรงอยู่ก็ตาม นี่จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดที่พรรคการเมืองไทยจำนวนมากจะไม่ส่งแม้แต่ผู้สมัครลงแข่งขันเลือกตั้ง
บรรณานุกรม
“กรณ์ จาติกวณิช ประกาศลาออกจากประชาธิปัตย์ ผ่านเฟซบุ๊ก.” BBC (15 มกราคม 2563). เข้าถึงจาก <https://www.bbc.com/thai/thailand-51116235>. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565.
“‘กรณ์' เปิดตัวพรรค 'กล้า' ย้ำกล้าตัดสินใจ กล้าเป็นผู้นำคนรุ่นใหม่.” กรุงเทพธุรกิจ (14 กุมภาพันธ์ 2563). เข้าถึงจาก <https://www.bangkokbiznews.com/politics/866286>. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565.
“กรณ์-สุวัจน์ ประกาศจับมือการเมือง สู้ศึกเลือกตั้ง 66 ในนามพรรคชาติพัฒนา.” BBC (2 กันยายน 2565). เข้าถึงจาก <https://www.bbc.com/thai/articles/c3g430dyvq8o>. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565.
“ชัด! “กรณ์-สุวัจน์” ผนึกกำลัง ผุด “ชาติพัฒนากล้า” สู้ศึกเลือกตั้งใหญ่.” ไทยรัฐออนไลน์ (26 กันยายน 2565). เข้าถึงจาก <https://www.thairath.co.th/news/politic/2510237>. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565.
“‘ชาติพัฒนากล้า’ คือชื่อพรรคใหม่ หลังสุวัจน์-กรณ์ จับมือทำงานการเมือง ขนทีมกว่า 40 คนเข้าสมัครสมาชิก.” The Standard (26 กันยายน 2565). เข้าถึงจาก <https://thestandard.co/chard-phatthana-kla-party/>. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566.
“เช็คผลเลือกตั้ง ส.ก. “เพื่อไทย” ได้ 20 ที่นั่ง ตรวจรายชื่อผู้ชนะทุกเขตที่นี่.” กรุงเทพธุรกิจ (23 พฤษภาคม 2565). เข้าถึงจาก <https://www.bangkokbiznews.com/politics/1005836>. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565.
“เปิด 12 นโยบาย “ชาติพัฒนากล้า” ยกเลิกแบล็กลิสต์บูโร-รื้อระบบราชการ.” คมชัดลึก (24 มกราคม 2566). เข้าถึงจาก <https://www.komchadluek.net/news/politics/541588>. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565.
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (2551). ข้อมูลสถิติ และผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2550. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง.
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง. (2555) ข้อมูลสถิติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2554. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง.
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง. (2563). ข้อมูลสถิติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง.
““อรรถวิชช์” ลั่น “พี่กรณ์” ไม่ได้ทิ้ง ลาออกพรรคกล้าร่วมชาติพัฒนา.” ThaiPBS (5 กันยายน 2565). เข้าถึงจาก <https://www.thaipbs.or.th/news/content/319117>. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566.
อ้างอิง
[1] “‘ชาติพัฒนากล้า’ คือชื่อพรรคใหม่ หลังสุวัจน์-กรณ์ จับมือทำงานการเมือง ขนทีมกว่า 40 คนเข้าสมัครสมาชิก,” The Standard (26 กันยายน 2565). เข้าถึงจาก <https://thestandard.co/chard-phatthana-kla-party/>. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566.
[2] ““อรรถวิชช์” ลั่น “พี่กรณ์” ไม่ได้ทิ้ง ลาออกพรรคกล้าร่วมชาติพัฒนา,” ThaiPBS (5 กันยายน 2565). เข้าถึงจาก <https://www.thaipbs.or.th/news/content/319117>. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566.
[3] สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, ข้อมูลสถิติ และผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2550 (กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, 2551)
[4] สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, ข้อมูลสถิติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2554 (กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, 2555)
[5] สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, ข้อมูลสถิติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 (กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, 2563)
[6] “กรณ์ จาติกวณิช ประกาศลาออกจากประชาธิปัตย์ ผ่านเฟซบุ๊ก,” BBC (15 มกราคม 2563). เข้าถึงจาก <https://www.bbc.com/thai/thailand-51116235>. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565.
[7] “'กรณ์' เปิดตัวพรรค 'กล้า' ย้ำกล้าตัดสินใจ กล้าเป็นผู้นำคนรุ่นใหม่,” กรุงเทพธุรกิจ (14 กุมภาพันธ์ 2563). เข้าถึงจาก <https://www.bangkokbiznews.com/politics/866286>. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565.
[8] “กรณ์-สุวัจน์ ประกาศจับมือการเมือง สู้ศึกเลือกตั้ง 66 ในนามพรรคชาติพัฒนา,” BBC (2 กันยายน 2565). เข้าถึงจาก <https://www.bbc.com/thai/articles/c3g430dyvq8o>. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565.
[9] “เช็คผลเลือกตั้ง ส.ก. “เพื่อไทย” ได้ 20 ที่นั่ง ตรวจรายชื่อผู้ชนะทุกเขตที่นี่,” กรุงเทพธุรกิจ (23 พฤษภาคม 2565). เข้าถึงจาก <https://www.bangkokbiznews.com/politics/1005836>. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565.
[10] “กรณ์-สุวัจน์ ประกาศจับมือการเมือง สู้ศึกเลือกตั้ง 66 ในนามพรรคชาติพัฒนา,” BBC (2 กันยายน 2565). เข้าถึงจาก <https://www.bbc.com/thai/articles/c3g430dyvq8o>. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565.
[11] “ชัด! “กรณ์-สุวัจน์” ผนึกกำลัง ผุด “ชาติพัฒนากล้า” สู้ศึกเลือกตั้งใหญ่,” ไทยรัฐออนไลน์ (26 กันยายน 2565). เข้าถึงจาก <https://www.thairath.co.th/news/politic/2510237>. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565.
[12] “เปิด 12 นโยบาย “ชาติพัฒนากล้า” ยกเลิกแบล็กลิสต์บูโร-รื้อระบบราชการ,” คมชัดลึก (24 มกราคม 2566). เข้าถึงจาก <https://www.komchadluek.net/news/politics/541588>. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565.