การเรียกร้องดินแดนจากอินโดจีนฝรั่งเศส

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง ธิบดี บัวคำศรี


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


การเรียกร้องดินแดนจากอินโดจีนฝรั่งเศส

วันที่ 16 ธันวาคม 2481 นายพันเอกหลวงพิบูลสงครามขึ้นสู่อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรี นโยบายที่สำคัญประการหนึ่งของหลวงพิบูลสงครามคือการเรียกร้องดินแดนที่เสียไปเพื่อสร้างไทยให้เป็นมหาประเทศ[1] ทั้งนี้มีหลวงวิจิตรวาทการเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญในการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว

ดินแดนที่เสียไปนั้นหมายถึงดินแดนซึ่งเสียให้แก่ฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง หลวงวิจิตรวาทการนั้นเปรียบน้ำที่ไหลอยู่ในแม่น้ำโขงว่า “คือน้ำตาของเราชาวไทย พวกเราในฝั่งนี้เป็นอิสสระเสรี แต่พี่น้องเราทางฝั่งโน้นถูกกดขี่ข่มเหงอยู่ทุกวัน”[2] “พี่น้องเราทางฝั่งโน้น” ของหลวงวิจิตรวาทการไม่ใช่เฉพาะแต่ชาวลาว แต่หมายรวมถึงชาวเขมรด้วย การอธิบายว่าชาวลาวเป็นชาวไทยนั้นไม่ใช่เรื่องลำบากแต่จะยุ่งยากมากกว่าในกรณีชาวเขมร

คำอธิบายอย่างชัดเจนว่าชาวเขมรเป็นญาติร่วมสายโลหิตกับชาวไทยในประเทศไทยของหลวงวิจิตรวาทการเห็นได้อย่างช้าที่สุดตั้งแต่ พ.ศ. 2479 ในบทละครประวัติศาสตร์เรื่อง ราชมนู ในบทละครเรื่องนั้นหลวงวิจิตรวาทการให้พระราชมนู, ทหารเอกพระนเรศวร, กล่าวว่า “เขมรกับไทยก็รูปร่างหน้าตาเหมือนกัน.....ก็ใครที่ไหนกันเล่า ก็ไทยเราทั้งนั้น เผอิญมาตกอยู่ในถิ่นของขอมโบราณ ก็เลยมีชื่อว่า “เขมร” ไป ซึ่งเขมรเป็นชื่อสมมติแท้ๆ ที่จริงก็ไทยพี่น้องของเราทั้งนั้น”[3] “ขอม” ของหลวงวิจิตรวาทการจึงหมายถึง “เขมรแท้” ซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศกัมพูชาก่อนหน้าที่คนไทยจะเข้ามาในแหลมทอง ส่วนคำว่า “เขมร” นั้นเป็น “ชื่อสมมติ” ที่ใช้เรียกคนไทยที่เข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนของพวกขอม[4] และเมื่อหลวงวิจิตรวาทการแต่งบทละครประวัติศาสตร์เรื่อง พ่อขุนผาเมือง ขึ้นใน พ.ศ. 2483 ก็ให้นางสิขร, เจ้าหญิงเขมรซึ่งเป็นมเหสีของพ่อขุนผาเมือง, กล่าวว่า

  1. if:
{{#if:|
border: 1px solid #AAAAAA;

}}" class="cquote"

width="20" valign="top" style="color:#B2B7F2;font-size:{{#switch: 10px=20px 30px=60px 40px=80px 50px=100px 60px=120px

ควรจะเห็นว่าเขมรก็คือไทย เลือดขอมหมดไปเสียนานแล้ว

ขอมโบราณป่านนี้มีแต่ชื่อ เขมรคือไทยแท้ทั้งเชื้อแถว

เพราะไทยแตกแยกไปเป็นหลายแนว ทั้งญวนแกวและเขมรล้วนเป็นไทย

ดูซิ, หน้าตาและผิวพรรณ เราผิดแผกแปลกกันที่ตรงไหน

นับตั้งหลายหลายร้อยปีที่เลือดไทย เข้าอยู่ในเลือดเขมรเป็นชาติเดียว

อันที่จริงเขมรไทยชาติทั้งสอง ก็คือพี่คือน้องที่ข้องเกี่ยว

ควรผูกมิตรสนิทสนมให้กลมเกลียว เหมือนพี่น้องท้องเดียวกันโดยแท้ [5]

width="20" valign="bottom" style="color:#B2B7F2;font-size:{{#switch: 10px=20px 30px=60px 40px=80px 50px=100px 60px=120px
{{#if:|

—{{{4}}}{{#if:|, {{{5}}}}}

}}

}}

ตกมาถึงในงานเรื่อง Thailand’s Case ซึ่งตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2484 นั้น หลวงวิจิตรวาทการก็อธิบายขยายความโดยละเอียดว่า ชาวกัมพูชา (The Cambodians) นั้นไม่ใช่ ชาวเขมร (The Khmer) โดยอธิบายว่าชาวเขมรนั้นมีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่บริเวณชายฝั่งตะวันออกของอ่าวเบงกอล ชาวเขมรอพยพตามชาวอินเดีย (The Indians) ซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของอ่าวเบงกอลเข้ามาในบริเวณที่เป็นประเทศกัมพูชาในปัจจุบันเมื่อราว 2,000 ปีที่ผ่านมา คนทั้งสองกลุ่มนี้แต่งงานข้ามกันไปมานานนับหลายศตวรรษและกลายมาเป็นพวกที่มีอำนาจปกครองดินแดนที่เป็นประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน และนำวัฒนธรรมฮินดูเข้ามาเผยแพร่ในดินแดนแถบนี้ด้วย กระทั่งเมื่อ 1,500 ปีที่ผ่านมา ชาวไทย (The Thai) ก็อพยพจากทางใต้ของจีนลงมาในสุวรรณภูมิ (Suvarna Bhumi) หรือแหลมทอง (The Golden Peninsula) แต่นั้นมาเลือดไทยก็เริ่มแทรกเข้าไปในสายเลือดของชาวเขมรศตวรรษแล้วศตวรรษเล่า ชาวเขมรก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นชาวไทย ห้าศตวรรษผ่านไปชาวเขมรก็มีความละม้ายคล้ายชาวไทยทั้งรูปร่างหน้าตาและนิสัยใจคอ และ

  1. if:
{{#if:|
border: 1px solid #AAAAAA;

}}" class="cquote"

width="20" valign="top" style="color:#B2B7F2;font-size:{{#switch: 10px=20px 30px=60px 40px=80px 50px=100px 60px=120px ในศตวรรษที่ 16 แห่งพุทธศักราช, ประมาณเก้าร้อยปีมาแล้ว, ชื่อเรียกว่า “เขมร” ก็สูญไป คำเรียกขานใหม่ถูกสร้างขึ้นมานั่นคือ “กัมพูชา (Cambudju)” หมายความว่า “เกิดอยู่ในแผ่นดินทอง” การอุบัติขึ้นของนามใหม่ว่า “กัมพูชา” เป็นเครื่องกำหนดจุดสิ้นสุดของเชื้อชาติเขมรเดิม (The old Khmer Race) และเป็นการเกิดของคนกลุ่มใหม่ที่มีเลือดไทยอยู่ร้อยละ 90 [6] width="20" valign="bottom" style="color:#B2B7F2;font-size:{{#switch: 10px=20px 30px=60px 40px=80px 50px=100px 60px=120px
{{#if:|

—{{{4}}}{{#if:|, {{{5}}}}}

}}

}}

ชาวเขมรจึงคือชาวไทย กัมพูชาอันเป็นแดนดินถิ่นอาศัยของชาวเขมรจึงคือหนึ่งในผืนแผ่นดินไทยที่ฝรั่งเศสแย่งชิงไปโดยใช้วิธีอัน “ทารุณโหดร้าย กลับกลอก ตลบตะแลงปราศจากศีลสัตย์ ชั้นต้นก็พยายามฉ้อโกง แต่เมื่อฉ้อโกงไม่สำเร็จก็ปล้นเอาเฉยๆ”[7] การอธิบายอย่างนี้ใช้ได้กับดินแดนลาวและชาวลาวเช่นกัน

การอธิบายว่าชาวลาวและชาวเขมรคือชาวไทยซึ่งพบได้ในหลายวาระ หลายรูปแบบ นำไปสู่ความรู้สึกร่วมในหมู่ผู้ปกครองด้วยกันเองและในหมู่ประชาชนว่าคนทั้งหลายเหล่านั้นเป็นชาวไทยเช่นเดียวกับพวกตน การรวบรวมคนและดินแดนนั้นๆ เข้ามาอยู่ร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับประเทศไทยจึงเป็นเรื่องที่ควรแล้ว ความรู้สึกอย่างนี้ในหมู่ผู้คนจะทำให้รัฐบาลหลวงพิบูลสงครามได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางในการดำเนินการเรียกร้องดินแดน

เมื่อรัฐบาลฝรั่งเศสยื่นความประสงค์จะขอทำกติกาสัญญาไม่รุกรานมายังรัฐบาลไทยในเดือนสิงหาคม 2482 เพื่อเป็นการรับประกันว่าอินโดจีนฝรั่งเศสจะไม่ถูกรุกรานในช่วงเวลาที่ฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับภาวะสงครามที่เกิดขึ้นในยุโรปและการเรียกร้องดินแดนของไทยในอินโดจีน รัฐบาลหลวงพิบูลสงครามใช้โอกาสดังกล่าวในการขอเจรจาเพื่อปรับปรุงเส้นเขตแดน โดยเสนอให้ใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส

หลังจากการเจรจาผ่านไปหลายเดือน นายพลตรีหลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ก็ร่วมลงนามในกติกาสัญญาไม่รุกรานกันกับนายปอล เลปิสสิเอร์ (Paul Lepissier) อัครราชทูตฝรั่งเศส ณ กรุงเทพฯ ในวันที่ 12 มิถุนายน 2483 ซึ่งในกติกาสัญญาดังกล่าวมีหนังสือแลกเปลี่ยนแนบท้ายซึ่งเกี่ยวกับเรื่องเขตแดนอยู่ด้วย[8] หลังจากที่รัฐบาลฝรั่งเศสยอมแพ้ต่อกองทัพเยอรมนีในเดือนมิถุนายน 2483 รัฐบาลไทยก็เร่งให้รัฐบาลวิธีซึ่งเป็นรัฐบาลใหม่ของฝรั่งเศสส่งผู้แทนมาเจรจาเรื่องการปรับปรุงเขตแดน คำตอบของรัฐบาลวิชีคือขอให้กติกาสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างไทยกับฝรั่งเศสมีผลใช้บังคับโดยไม่ต้องให้สัตยาบัน[9]

11 กันยายน 2483 รัฐบาลไทยตอบข้อเสนอของรัฐบาลฝรั่งเศสที่ขอให้กติกาสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างไทยกับฝรั่งเศสมีผลใช้บังคับโดยไม่ต้องให้สัตยาบันว่า รัฐบาลไทยพร้อมจะทำตามความประสงค์ของรัฐบาลฝรั่งเศส ทั้งนี้มีเงื่อนไขว่า

1. ให้เส้นเขตแดนตามลำน้ำโขงเป็นไปตามหลักฎหมายระหว่างประเทศ โดยถือร่องน้ำลึกเป็นเกณฑ์

2. ปรับปรุงเส้นเขตแดนให้เป็นไปตามธรรมชาติ โดยถือแม่น้ำโขงเป็นเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับอินโดจีน ตั้งแต่ทิศเหนือมาจดทิศใต้ จนถึงเขตแดนกัมพูชา ให้ฝ่ายไทยได้รับดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงตรงข้ามหลวงพระบางและปากเซ และ

3. ในกรณีที่หากจะมีการเปลี่ยนแปลงอธิปไตยภายในอินโดจีน ฝ่ายฝรั่งเศสจะคืนอาณาเขตลาว และกัมพูชาให้แก่ไทย[10]

ผลก็คือรัฐบาลฝรั่งเศสไม่ยอมรับเงื่อนไขของรัฐบาลไทย

ตลอดทั้งเดือนตุลาคม รัฐบาลก็กระตุ้นและสนับสนุนให้ประชาชนและนิสิตนักศึกษาออกมาเดินขบวนเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองสำคัญ[11] ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ เล่าถึงบรรยากาศคราวนั้นไว้ว่า “ในกรณีอินโดจีน มีการเดินขบวนและมีการร้องเพลงปลุกใจของหลวงวิจิตรฯ ก็มีใครที่อยากจะแสดงว่าฉันรักชาติก็ไปเดินขบวนกันแล้วร้องเพลงของหลวงวิจิตรฯ” [12] เพลงปลุกใจของหลวงวิจิตรวาทการก็คือเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อใช้ในการแสดงละครประวัติศาสตร์ของหลวงวิจิตรวาทการนั้นเอง

แนวโน้มของการใช้กำลังทหารเข้าจัดการปรับปรุงเส้นเขตแดนแทนที่การเจรจาก็เห็นได้ชัดเจนขึ้นในเดือนตุลาคมนี้เอง ดังเมื่อหลวงวิจิตรวาทการไปแสดงปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศสแก่ครูอาจารย์และนักเรียนกรมยุทธศึกษาทหารบกในวันที่ 17 ตุลาคม 2483 จึงกล่าวปลุกระดมเหล่าทหารว่า

ประวัติศาสตร์ของชาติไทยนั้น เป็นประวัติแห่งการนองเลือด การที่บรรพบุรุษของเราได้ก่อร่างสร้างประเทศเป็นมรดกตกทอดมาจนถึงพวกเราจนทุกวันนี้ ท่านไม่ได้อาบเหงื่อต่างน้ำ แต่อาบเลือดต่างน้ำ เราฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายมาด้วยเลือด เราดำรงอยู่เป็นไทยจนบัดนี้ได้ก็ด้วยเลือด จึงเป็นที่น่าเชื่อว่าถ้าเราต้องการจะก้าวหน้าเติบใหญ่ต่อไป หรือให้ชาติไทยคงเป็นไทยอยู่นั้น เราก็ต้องใช้เลือดเหมือนกัน ที่กล่าวนี้มิได้มุ่งหมายจะยืนยันว่าเราจะรบหรือเราจะต้องเข้าสงคราม.....แต่เพื่อประโยชน์ในทางเตรียมตัว ข้าพเจ้าใคร่จะขอเชิญชวนเพื่อร่วมชาติทั้งหลาย โดยฉะเพาะท่านที่นั่งฟังข้าพเจ้าอยู่ในที่นี้ ให้ทำใจเสียแต่บัดนี้ว่าเราต้องรบ [13]

ในการปาฐกถาครั้งนั้น หลวงวิจิตรวาทการไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจนลงไปว่า เพื่อนร่วมชาติของเขารวมถึงตัวเขาเองจะต้อง “พลีชีวิตและร่างกายของเราเพื่อชาติ”[14] ไปเพื่อให้ได้มาซึ่งดินแดนใดบ้าง แต่กล่าวไว้ในปาฐกถานั้นว่า “เมื่อจะต้องดำเนินการอย่างแตกหักกันแล้ว เราก็จะไม่พูดกันแต่เพียงเขตต์แดนแม่น้ำโขง เราจะไม่พูดกันเพียงแต่ดินแดนฝั่งขวาตรงหน้าหลวงพระบางและปากเซ เราจะต้องพูดกันถึงดินแดนทุกๆ ชิ้นที่เราเสียไปให้แก่ฝรั่งเศส”[15] ทั้งนี้เพื่อนำไทยไปสู่ความเป็นมหาประเทศ

เพราะว่าถ้าเราได้ดินแดนที่เสียไปนั้นคืนมาทั้งหมด นอกจากเราจะได้เนื้อที่เพิ่มขึ้นกว่าที่มีอยู่ในเวลานี้อีกเท่าตัว และได้จำนวนพลเมืองเพิ่มขึ้นอีกราว 4 ล้านคนแล้ว จะมีผลสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ เราจะสามารถมีดินแดนจดเข้าไปถึงถิ่นไทยอันกว้างขวาง ซึ่งตั้งอยู่เหนือสิบสองจุไทย ที่นั่นมีเลือดเนื้อเชื้อไทยเราอยู่ 24 ล้านคน ซึ่งยังถือตนเป็นไทย พูดภาษาไทย มีชีวิตจิตต์ใจเป็นไทย เราสามารถจะเปิดประตูรับพี่น้อง 24 ล้านคนของเราเข้ามาหาเรา ทั้งนี้มิได้หมายความว่าเราจะไปรุกรานดินแดนเหล่านั้น เราไม่ต้องการรุกรานใคร ที่ดินของเรามีถมไป เราต้องการแต่จะให้พี่น้องไทยของเราเข้ามาอยู่ร่วมรับความผาสุกด้วยกัน และเรื่องนี้ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่าเราทำสำเร็จ และไม่ช้าเราจะเป็นประเทศที่มีดินแดนราว 900,000 ตารางกิโลเมตร์ และมีพลเมืองไม่น้อยกว่า 40 ล้านคน เราเป็นมหาประเทศ[16]

นอกจากความพยายามระดมมติมหาชนในประเทศแล้ว รัฐบาลไทยยังพยายามขยายแนวร่วมออกไปนอกประเทศด้วยการชักชวนและเกลี้ยกล่อมให้ประชาชนในอินโดจีนฝรั่งเศสอพยพเข้ามาในประเทศไทย โดยในวันที่ 5 กันยายน 2483 กระทรวงมหาดไทยได้ออกกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมและการปฏิบัติตามระเบียบการเข้าเมืองแก่ผู้ที่พำนักอาศัยอยู่ในสิบสองจุไท หัวพัน หลวงพระบาง เวียงจัน สะหวันนะเขต จำปาสัก และกัมพูชา[17] กับทั้งความให้ช่วยเหลือแก่ผู้อพยพเหล่านั้น[18] และในวันที่ 20 ธันวาคม 2483 ก็มีคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 44/2483 ออกมาว่า

ดินแดนอันได้ชื่อว่าแคว้นสิบสองจุไทย หัวพันทั้งห้าทั้งหก แคว้นหลวงพระบาง เวียงจันทน์ ท่าแขก สุวรรณเขตต์ จำปาศักดิ์ และกัมพูชา เป็นราชอาณาจักรของไทยมาแต่เดิม โดยได้รวมเป็นอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวกับประเทศไทย และอยู่ภายใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์ไทยมาช้านานนับร้อยๆ ปี.....มีเลือดเนื้อเป็นชนชาติไทยและมีจิตใจรักอิสรเสรีอย่างพี่น้องของเขาในประเทศไทย.....กระทรวงมหาดไทยจึงถือว่า.....เป็นบุคคลเชื้อชาติไทยและสัญชาติไทยโดยบริบูรณ์ [19]

รัฐบาลไทยยังได้เปิดการกระจายเสียงวิทยุภาคภาษาเขมรและเวียดนามในเดือนพฤศจิกายน 2483 เพื่อออกอากาศเชิญชวนประชาชนในอินโดจีนฝรั่งเศสไม่ว่าจะเป็นชาวลาว เขมร และเวียดนามให้อพยพเข้ามาในประเทศไทย ไม่เช่นนั้นก็ให้ต่อต้านการปกครองของฝรั่งเศสในอินโดจีน[20] รัฐบาลยังเรียกร้องให้ประชาชนชาวไทยร่วมมือกันช่วยเหลือ “พี่น้องของเราฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและกรุงกัมพูชา”[21] โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยแล้ว

ตั้งแต่ปลาย พ.ศ. 2483 ก็เกิดการปะทะกันตามแนวชายแดนไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส กระทั่งในวันที่ 5 มกราคม 2484 กองทัพไทยก็ยกข้ามเส้นเขตแดนไทย–อินโดจีนฝรั่งเศสเข้าไปในกัมพูชาและลาว[22] และรัฐบาลไทยก็ประกาศสงครามกับอินโดจีนฝรั่งเศสในวันที่ 7 มกราคม [23]

ญี่ปุ่นเข้ามาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและมีการหยุดยิงในวันที่ 28 มกราคม 2484 ในเวลานั้น “กองทัพอีสาน กองพลอุบลยึดได้แคว้นนครจำปาศักดิ์ กองพลสุรินทร์ยึดได้สำโรง จงกัล ทางจังหวัดเสียมราฐ กองทัพบูรพา ยึดได้พื้นที่ตะวันตกศรีโสภณ ห่างจากศรีโสภณ 17 กิโลเมตร กองพลจันทบุรียึดได้บ้านกุมเรียงและบ้านห้วยเขมร ทิศตะวันตกบ่อไพลิน”[24] แต่กำลังเพลี่ยงพล้ำในแนวรบทางทะเลหลังจากที่เรือหลวงธนบุรีและเรือตอร์ปิโดของไทยเสียหายอย่างหนักในการรบที่รู้จักกันต่อมาในชื่อว่า ยุทธนาวีที่เกาะช้าง ซึ่งเกิดขึ้นในในวันที่ 17 มกราคม 2484[25]

การเจรจาสันติภาพระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เริ่มขึ้นในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2484[26] และพอถึงวันที่ 11 มีนาคม 2484 ผู้แทนของไทยกับฝรั่งเศสก็ลงนามย่อในแผนการไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่น สาระสำคัญของแผนดังกล่าวคือไทยได้ดินแดนคืนจากฝรั่งเศสดังนี้

1. ดินแดนซึ่งได้เสียไปโดยสนธิสัญญาปีพุทธศักราช 2446 ได้คืนมาทั้งหมด กล่าวคือดินแดนหลวงพระบางฝั่งขวาและดินแดนจำปาศักดิ์ตรงข้ามกับปากเซ กับทั้งดินแดนกัมพูชาที่ได้เสียไปโดยสนธิสัญญานั้นด้วย

2. มณฑลบูรพาซึ่งได้เสียไปโดยสนธิสัญญาปีพุทธศักราช 2449 นั้น ได้คืนจังหวัด ศรีโสภณและพระตะบอง จดฝั่งทะเลสาบ แต่เสียมราฐและนครวัดนั้นยังคงเป็นของฝรั่งเศสอยู่

3. ได้มาซึ่งดินแดนในกัมพูชา หรือเส้นขีดโค้งวงจากเวิ้งนครวัดลงไปถึงแม่น้ำโขงตอนใต้สตึงเตรง และ

4. ถือร่องน้ำลึกเป็นเส้นเขตแดนในลำแม่น้ำโขง เกาะคอนซึ่งอยู่ทางขวาของร่องน้ำลึกได้มาเป็นของไทยทั้งหมด[27]

การได้ดินแดนนำความชื่นชมโสมนัสมาสู่ชาวไทย และนายพลตรีหลวงพิบูลสงครามกลายมาขวัญใจชาวไทยทั้งผอง เมื่อเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ให้เลื่อนยศพลตรีหลวงพิบูลสงครามเป็นพลเอก พลเรือเอก และพลอากาศเอก ก็มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นจอมพล

หลังจากความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยก็ต้องคืนดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสตามที่ตกลงกันในอนุสัญญากรุงวอชิงตันซึ่งลงนามกันเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 1946[28]

อ้างอิง

  1. หลวงวิจิตรวาทการ, ปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส แสดงแก่ครูอาจารย์และนักเรียนกรมยุทธศึกษาทหารบก วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม 2483 (พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, 2483), หน้า 40-41. และดู Eiji Murashima, “Opposing French colonialism: Thailand and the independence movements in Indo–China in the early 1940s,” South East Asia Research 13, 3 (2005): 335. และ E. Bruce Reynolds, “Phibun Songkram and Thai Nationalism in the Fascist Era,” EJEAS 3.1 (2004): 99-134.
  2. หลวงวิจิตรวาทการ, ปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส, หน้า 27.
  3. หลวงวิจิตรวาทการ, “ราชมนู,” เลือดสุพรรณ ราชมนู พระเจ้ากรุงธน ศึกถลาง, อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ คุณหญิงจัน เทพประชุน ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส, 17 ตุลาคม 2480 (พระนคร: ม.ป.ท., 2480), หน้า 71. อ้างถึงใน ประอรรัตน์ บูรณมาตร์, หลวงวิจิตรวาทการกับบทละครประวัติศาสตร์ (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์, 2528), หน้า 88.
  4. “Bot lakhon rueang rachamanu” [Rachamanu: A Play], in Wichit wannakhadi [The literary works of Luang Wichit Wathakarn] (Cremation volume for Lady Prapaphan Wichitwathakan) (Bangkok: 1993), pp. 26-27. Cited in Søren Ivarsson, Creating Laos: The Making of a Lao Space between Indochina and Siam, 1860-1945 (Malaysia: Nordic Institute of Asian Studies Press, 2008), p. 79.
  5. หลวงวิจิตรวาทการ, “พ่อขุนผาเมือง,” หน้า 24. (ฉบับอัดสำเนา). อ้างถึงใน ประอรรัตน์ บูรณมาตร์, หลวงวิจิตรวาทการกับบทละครประวัติศาสตร์, หน้า 89. จัดย่อหน้าใหม่โดยผู้เขียน.
  6. Laung Vichitr Vadakarn, Thailand’s Case (Bangkok: The University of Moral and Political Sciences Printing Press, 1941), pp. 129-130.
  7. หลวงวิจิตรวาทการ, ปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส, หน้า 18-19.
  8. ดิเรก ชัยนาม, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง, พิมพ์ครั้งที่ 4 (นนทบุรี: ศรีปัญญา, 2549), หน้า 106.
  9. ดิเรก ชัยนาม, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง, หน้า 79. และ กนตธีร์ ศุภมงคล, การวิเทโศบายของไทย (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2527), หน้า 15.
  10. กนตธีร์ ศุภมงคล, การวิเทโศบายของไทย, หน้า 15-16. และดู ดิเรก ชัยนาม, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง, หน้า 85.
  11. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ประวัติการเมืองไทย (กรุงเทพฯ: ดอกหญ้า, 2538), หน้า 221. และ Søren Ivarsson, Creating Laos, p. 83.
  12. สัมภาษณ์ ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ, 10 กรกฎาคม 2523. อ้างถึงใน ประอรรัตน์ บูรณมาตร์, หลวงวิจิตร-วาทการกับบทละครประวัติศาสตร์, หน้า 89.
  13. หลวงวิจิตรวาทการ, ปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส, หน้า 46-47.
  14. หลวงวิจิตรวาทการ, ปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส, หน้า 47.
  15. หลวงวิจิตรวาทการ, ปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส, หน้า 38.
  16. หลวงวิจิตรวาทการ, ปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส, หน้า 40-41. การเน้นเป็นของผู้เขียน.
  17. Sathian Lailak, compiled 1941, Prachum Kotmai Prachamsok, Vol 53, Bangkok, pp.374–375. Cited in Eiji Murashima, “Opposing French colonialism,”: fn.7, p. 339. ดินแดนทั้งหมดที่กล่าวถึงในกฎกระทรวง ยกเว้น เวียงจันและสะหวันนะเขด เป็นดินแดนที่ไทยเสียให้แก่ฝรั่งเศส
  18. ดู Khao Khosanakan, 1940, p.1669. Cited in Eiji Murashima, “Opposing French colonialism,”: 343.
  19. เออิชิ มูราชิมา, “การเปรียบเทียบข้อมูลไทย-ญี่ปุ่น: กรณีการส่งทหารไทยเข้ารัฐฉาน (สหรัฐไทยใหญ่) ใน พ.ศ.2485,” วารสารธรรมศาสตร์ 25, 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2542): 92. อ้างถึงใน สายชล สัตยานุรักษ์, ความเปลี่ยนแปลงในการสร้างชาติไทยและความเป็นไทยโดยหลวงวิจิตรวาทการ, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2545), หน้า 134-135.
  20. Eiji Murashima, “Opposing French colonialism,”: 338–339.
  21. คำว่า “พี่น้องของเราฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและกรุงกัมพูชา” เป็นของหลวงวิจิตรวาทการ (ประอรรัตน์ บูรณมาตร์, หลวงวิจิตรวาทการกับบทละครประวัติศาสตร์ (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2528), หน้า 40.)
  22. Eiji Murashima, “Opposing French Colonialism,”: 337.
  23. กนตธีร์ ศุภมงคล, การวิเทโศบายของไทย, หน้า 21.
  24. ดิเรก ชัยนาม, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง, หน้า 120.
  25. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ประวัติการเมืองไทย, หน้า 224.
  26. กนตธีร์ ศุภมงคล, การวิเทโศบายของไทย, หน้า 22.
  27. ดิเรก ชัยนาม, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง, หน้า 114.
  28. ดิเรก ชัยนาม, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง, หน้า 713-715.