กลุ่มโดมแดง

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

เรียบเรียงโดย : นายอิทธิพล  โคตะมี

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต


กลุ่มโดมแดง

          กลุ่มโดมแดง คือกลุ่มกิจกรรมทางการเมืองที่มีวัตถุประสงค์ต่อต้านการรัฐประหารล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) สมาชิกของกลุ่มโดมแดงประกอบไปด้วยศิษย์เก่าและนักศึกษาระดับปริญญาตรีและโทของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ ที่เห็นพ้องต้องกันในการคัดค้านการรัฐประหาร โดยมีแนวทางไม่ให้ความร่วมมือ และไม่ร่วมสังฆกรรมกับคณะรัฐประหาร[1] กลุ่มโดมแดงจงใจเลือกใช้สัญลักษณ์โดมเป็นชื่อนำที่แทนความหมายชาวธรรมศาสตร์ และ สีแดง ที่สื่อความหมายตรงข้ามกับสีเหลือง ซึ่งหมายถึงขบวนการเคลื่อนไหวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ซึ่งสนับสนุนการยึดอำนาจของ คปค.[2]

          กลุ่มโดมแดงปรากฏตัวครั้งแรกหลังการรัฐประหารเพียง 1 วัน ร่วมกับนักศึกษาและนักกิจกรรมจำนวนประมาณ 70 คน[3] เพื่อออกแถลงการณ์เรื่อง "ขัดขืนภาคปฏิบัติ คัดค้านรัฐประหาร" และได้ร่วมกับหลายองค์กรที่ก่อตั้งมาเพื่อคัดค้านการรัฐประหาร เช่น กลุ่มพลเมืองภิวัฒน์ กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ฯลฯ ก่อตัวเป็น “เครือข่าย 19 กันยา ต้านรัฐประหาร” และได้ร่อนแถลงการณ์อย่างเป็นทางการตามมาในอีก 2 วันถัดมา โดยแสดงเจตจำนงต่อต้านคณะรัฐประหารอย่างสันติ และเรียกร้องให้ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ถอนตัวจากการร่วมร่างรัฐธรรมนูญและเข้าร่วมกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่คณะรัฐประหารแต่งตั้งขึ้น อันเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความชอบธรรมให้กับการยึดอำนาจ

          กล่าวได้ว่ากิจกรรมของกลุ่มโดมแดง ได้ดำเนินกิจกรรมร่วมไปกับองค์กรอื่นๆ ในนามเครือข่าย 19 กันยายน ต้านรัฐประหาร โดยมีรูปแบบเป็นการเคลื่อนไหวอย่างสันติ แต่ท้าทายคำสั่งคณะรัฐประหาร อาทิ การจัดปราศรัยย่อย การชุมนุมเกิน 5 คน การแจกเอกสาร ใบปลิว การจัดเสวนา ไปจนถึงการเดินขบวน  โดยเริ่มคัดค้านครั้งแรกที่ลานหน้าห้างสรรพสินค้าพารากอน ในวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2549 และจัดเวทีเสวนากลางแจ้งที่ลานหน้าตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ อีกครั้งในวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2549 ภายใต้ชื่อกิจกรรม “อารยะขัดขืนภาคปฏิบัติคัดค้านคณะรัฐประหาร” และยังทำกิจกรรมต้านรัฐประหารร่วมกับเครือข่ายอื่นๆ อย่างต่อเนื่องตลอด พ.ศ. 2549-2550

          แม้ว่าจะร่วมกิจกรรมต่อต้านการรัฐประหาร 2549 ทุกครั้ง แต่ประเด็นของกลุ่มโดมแดงก็ให้ความสำคัญไปที่การเรียกร้องให้บุคลากรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยุติการเข้าร่วมสังฆกรรมกับการรัฐประหารนอกจากเรียกร้องหลักการประชาธิปไตยโดยรวม โดยมีแถลงการณ์ที่สำคัญดังนี้

          - วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2549

          มีข้อเรียกร้องต่อคณบดีคณะรัฐศาสตร์ และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถอนตัวจากการเป็น 'สมาชิกร่างธรรมนูญการปกครอง' อันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างความชอบธรรมให้กับ "คณะรัฐประหาร" โดยมีข้อเรียกร้องดังนี้

          ประการแรก การเข้าร่วมสังฆกรรมในกระบวนการนี้ ย่อมเป็นการรับรองความชอบธรรมให้กับ 'การรัฐประหาร' ที่ปล้นชิงอำนาจจากมือประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

          ประการที่สอง ตำแหน่งคณบดีเป็นตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งของสมาชิกภายในชุมชนการเมือง การใช้อำนาจและการตัดสินใจใดๆ ที่ส่งผลต่อชุมชนโดยรวม จำต้องผ่านการมีส่วนร่วมอย่างมีเหตุมีผลและได้รับความยินยอมจากสมาชิกภายในชุมชน ในขณะเดียวกัน ตำแหน่งคณบดีนั้น ถือได้ว่า เป็นตำแหน่งในการบริหารงานวิชาการ ซึ่งมีหน้าที่ที่จะต้องเฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงและทำความเข้าใจสังคมการเมืองโดยรวม หาใช่การเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสร้างความชอบธรรมให้กับการเคลื่อนไหวทางการเมืองไร้ซึ่งความชอบธรรมตั้งแต่ต้นไม่

          ประการที่สาม พวกเราในฐานะศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันจำนวนหนึ่ง มีความห่วงใยต่อท่าทีทางการเมืองของคณบดี ในสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันซึ่งมีความหมิ่นเหม่ต่อระบอบและวัฒนธรรมทางการแบบประชาธิปไตย

          - วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2549

          กลุ่มโดมแดงออกจดหมายเปิดผนึกถึง ศ.ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง ขอเสนอและเรียกร้องให้ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือตำแหน่งอธิการบดีอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยมีรายละเอียดดังนี้

          1. แม้ว่าการได้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติของท่าน ไม่ได้รับการแต่งตั้งโดยอิงกับ ตำแหน่งอธิการบดี แต่ได้รับการแต่งตั้งในนามของ ศ.ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ ก็ตาม แต่พึงตระหนักว่า การรับรู้ของสาธารณชน อาจจะไม่สามารถแยกแยะหรือรับรู้ข้อมูลส่วนนี้ได้ เนื่องจากท่านยังดำรงตำแหน่งอธิการบดี ซึ่งตำแหน่งนี้ก็จะคงยังติดตัวท่านไปตลอดการทำหน้าที่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติอย่างเลี่ยงมิได้

          2. ตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีพันธกิจและความรับผิดชอบในด้านการบริหารตามที่ให้สัญญาไว้ตอนเสนอตัวเองต่อประชาคมมหาวิทยาลัยซึ่งมีมากพอสมควร ตามที่ท่านเคยให้สัมภาษณ์ไว้กรณีการปฏิเสธการถูกเสนอชื่อเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติของท่านย่อมมีผลกระทบต่อการบริหาร และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในประการสำคัญคือ

          2.1 กระทบต่อการบริหารงานของมหาวิทยาลัยตามที่ได้ให้สัญญาไว้

          2.2 การตัดสินใจรับตำแหน่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาตินั้น ซึ่งนำตำแหน่งอธิการบดีติดตัวไปด้วย ไม่ได้เป็นตามเจตจำนงค์และได้รับความยินยอมจากประชาคม แม้ว่าในประชาคมจะมีความเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นนี้ก็ตาม ดังนั้น เพื่อความโปร่งใสและแสดงความบริสุทธิ์ใจ ท่านควรที่จะเลือกรับตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งกรณีนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในส่วนของสื่อมวลชน

          2.3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีประวัติศาสตร์ เป็นพื้นที่ทางการเมืองและสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตย มาตั้งแต่สมัย ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การ การเข้าร่วมสังฆกรรมกับคณะรัฐประหารไม่ทางใดก็ทางหนึ่งของอธิการบดี ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกพิจารณาได้ว่า มีส่วนสนับสนุนและเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาอำนาจของคณะรัฐประหาร ไม่ว่าท่านจะอธิบายว่า "มันเกิดขึ้นแล้ว" ก็ตาม ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ ชื่อเสียง เกียรติภูมิ และความภาคภูมิใจของประชาคมมหาวิทยาลัย

          3. ดังนั้นในฐานะส่วนหนึ่งของประชาคมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย จึงขอเรียกร้องต่อท่านในฐานะอธิการบดีให้ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติอย่างไม่มีเงื่อนไข หากท่านเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า สิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง "สอดคล้องกับมโนสำนึก" ของท่าน ในฐานะ ศ.ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ เราขอเคารพในการตัดสินใจของท่านในฐานะปัจเจกบุคล แต่ขอเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งอธิการบดี เพื่อไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อรองรับต่อระบอบประชาธิปไตย[4]

          และเมื่อการต่อต้านรัฐบาลทหาร คมช. โดยประชาชนดำเนินไปอย่างเข้มข้นโดยเฉพาะในช่วงเวลาหลังจากการทำอัตวิบาตกรรมของนายนวมทอง ไพรวัลย์ คนขับแท็กซี่ซึ่งแขวนคอใต้สะพานลอยถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งขับรถแท็กซี่พุ่งชนรถถังของคณะรัฐประหารที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า นวมทอง เป็นพลเมืองไทยเพียงคนเดียวที่ประกาศตนต่อสาธารณชนว่า ได้พยายามกระทำอัตวินิบาตกรรม เพื่อประท้วงรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549[5]

          กลุ่มโดมแดงได้เข้าร่วมการเดินขบวนกับกลุ่มต้านรัฐประหารกลุ่มอื่นๆในหลายโอกาส อาทิ วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 เดินขบวนไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและกองทัพบก

          10 ธันวาคม พ.ศ. 2549 วันรัฐธรรมนูญ เดินขบวนไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

          21 มกราคม พ.ศ. 2550 เดินขบวนไปยังกองทัพบก

          18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 เดินขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล 18 มีนาคม พ.ศ. 2550 ครบรอบ 6 เดือนรัฐประหาร เดินขบวนไปยังบ้านสี่เสาเทเวศร์ ซึ่งเครือข่ายฯ ถือว่าเป็น “ศูนย์บัญชาการคณะรัฐประหาร”    

          29 เมษายน พ.ศ. 2550 เดินขบวนไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อนำผ้าดำไปคลุมพานรัฐธรรมนูญ และอ่าน “คำประกาศ 7 เดือนรัฐประหาร: ประชามติ ล้มรัฐธรรมนูญ เท่ากับล้มเผด็จการ ทวงคืนรัฐธรรมนูญ 2540 ยุติวงจรอุบาทว์การเมืองไทย”

          ขณะที่มีการรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะทำประชามติ ในเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2550 กลุ่มโดมแดงในนามเครือข่าย 19 กันยาฯ ได้รณรงค์ “โหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ” หรือ “โหวตโน” ดูเหมือนเป็นการปรับเปลี่ยนท่าทีต่อการรัฐประหารที่กลุ่มไม่รับการสังฆกรรมใดๆ กับ คมช. ทำให้ถูกวิจารณ์ว่ากลุ่มได้เข้าร่วมกระบวนการของ คมช. ในประเด็นนี้สมาชิกกลุ่มโดมแดง คือนายอุเชนทร์ เชียงเสน นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า

          “…หนึ่งเราวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการจัดประชามติที่ไม่ยุติธรรม มัดมือชกแบบนี้ไม่พร้อมกันด้วย สองเรายังเห็นว่ามันเป็นช่องที่ประชาชนจะแสดงเจตจำนงปฏิเสธรัฐประหารได้ ก่อนหน้านั้นช่วงที่เราทะเลาะกันไปพักหนึ่งแล้วกลับมาคิดงาน[6] เราพบข้อถกเถียงในเว็บ บางคนเสนอให้ฉีกบัตรทำลายบัตร ถ้าอธิบายแบบอาจารย์สมศักดิ์ เราก็คิดว่ามันตรงหลักการที่สุด[7] แต่ว่าเราไม่กล้ารณรงค์ให้คนทำอย่างนั้น เพราะมันอาจติดคุกและเกิดปัญหายุ่งเหยิงได้ นอกจากนั้นการทำอย่างนั้นก็ไม่ถูกนับคะแนน เป็นบัตรเสีย ถ้ามันแสดงว่าเขียนอะไรบ้างมันก็โอเค แต่ประเมินแล้วคงยาก

          เหมือนกันกับข้อเสนอสมศักดิ์ที่ไม่ให้ไปลงประชามติเลยมันก็ไม่ถูกนับเป็นคะแนนเช่นกัน อาจารย์สมศักดิ์มองว่าการณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแบบเราจะเจอปัญหา 2 ประเด็น คือ 1 คุณแพ้แน่ๆ 2.ถ้าคุณแพ้มันจะบีบให้คุณต้องยอมรับผลของการตัดสินนี้ นี่เป็นโจทย์ที่หนักมากๆ เป็นราคาที่ต้องจ่าย แต่เราไม่คิดแบบอาจารย์สมศักดิ์ว่ามันจะแพ้อย่างสิ้นเชิง คนอาจจะโหวตไม่รับด้วยเหตุผลหลายอย่าง เราขอให้เหตุผลของเราเป็นเหตุผลต้นๆ เหตุผลหนึ่งในการไม่รับ และคนทำรณรงค์มันต้องเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่เสียงที่ไม่รับจะชนะ ถ้าประชาชนไม่รับเท่ากับประชาชนปฏิเสธ คมช. ไปในตัวด้วย”[8]  

          หลังการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ_2550 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ภายใต้การประกาศกฎอัยการศึกใน 35 จังหวัดหรือเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศ ที่อยู่ภายใต้กฎอัยการศึกทั้งจังหวัด อีก 14 จังหวัด มีพื้นที่บางส่วนอยู่ใต้กฎอัยการศึก กลุ่มโดมแดงได้ยุติบทบาทไปพร้อมๆ กับกลุ่มต่อต้านรัฐประหารบางกลุ่มก่อนที่กลับมาปรากฏตัวอย่างเป็นเอกเทศอีกครั้งใน พ.ศ. 2551 โดยเป็นการออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้แนวทางอารยะขัดขืน ระหว่างวิกฤตการเผชิญหน้าระหว่างรัฐบาลพรรคพลังประชาชนกับขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยเห็นว่าความรุนแรงในการเผชิญหน้าจะนำไปสู่การทำลายหลักการและระบอบประชาธิปไตย มีความเห็นและข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้

          1. ต่อความขัดแย้งทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ความเห็นที่แตกต่างและความขัดแย้งทางการเมืองเป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย และสามารถที่จะแสดงออกได้ด้วยวิธีการต่างๆ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะผู้ที่มีส่วนในความขัดแย้งใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือ/วิธีการเพื่อบรรลุเป้าหมายของตน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความรุนแรงโดยตรงหรือสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมาย

          2. ต่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การแสดงออก การชุมนุมทางการเมืองเป็นสิทธิที่สามารถกระทำได้ แต่ต้องเป็นไปโดยสันติและปราศจากอาวุธเท่านั้น ดังนั้น หากพันธมิตรฯ มีความบริสุทธิ์ใจ ต้องปลดอาวุธกองกำลัง/ผู้เข้าร่วมชุมนุมของตนเอง หรืออนุญาตให้เจ้าหน้าที่รัฐทำการปลดอาวุธในกรณีที่ไม่สามารถควบคุมหรือจัดการเองได้

          นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลการชุมนุม ต้องปลดอาวุธของตนเอง และกลุ่มอื่นๆ ทุกกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้อาวุธมาห้ำหั่น/เข่นฆ่ากันอย่างที่เกิดขึ้น

          ทั้งนี้ เนื่องจากพันธมิตรฯ ระบุว่าการกระทำของตน ไม่ว่าจะเป็นการยึดทำเนียบรัฐบาลหรือสถานีโทรทัศน์ เป็นอารยะขัดขืน อันเป็นการกระทำทางการเมืองซึ่งมีลักษณะเป็นสาธารณะ (public) สันติวิธี (nonviolent) และมีมโนธรรมสำนึก (conscientious) ที่ขัดต่อกฎหมาย (contrary to law) ปกติเป็นสิ่งที่ทำโดยมุ่งให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในกฎหมาย (in the law) หรือนโยบายของรัฐบาล ซึ่ง ต้องยอมรับผลที่เกิดขึ้นจากการละเมิดกฎหมายนั้น ด้วย

          ดังนั้น เราขอเรียกร้องให้ผู้นำพันธมิตรฯ หยุดการใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือ เอาชีวิตและเลือดเนื้อของประชาชนเป็นตัวประกัน เพื่อโค่นล้มรัฐบาล ด้วยการแสดงความกล้าหาญและมีอารยะ ตามคำกล่าวอ้าง โดยการมอบตัวแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจตามหมายศาล เพื่อเผชิญหน้ากับกระบวนการยุติธรรมตามปกติ ตามหลัก กล้าทำ ต้องกล้ารับ ส่วนการชุมนุมประท้วงรัฐบาลยังคงดำเนินต่อไปได้ในที่อื่นที่เหมาะสมกับการแสดงออกตามสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ไม่เช่นนั้นการกระทำของพันธมิตรฯ ก็ไม่แตกต่างจากการกระทำของอันธพาลการเมืองที่วางอำนาจบาตรใหญ่อยู่เหนือกฎหมาย

          3. ต่อประชาชน  ข้อเรียกร้องให้รัฐบาลลาออกโดยไม่มีเงื่อนไข รวมทั้งการใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือ เอาชีวิตและเลือดเนื้อของประชาชนเป็นตัวประกัน ข่มขู่ กดดัน เพื่อโค่นล้มรัฐบาล ของพันธมิตรฯ และเครือข่ายไม่ว่าจะในนามใด เป็นข้อเรียกร้องและการกระทำที่ขาดความชอบธรรมและฉวยโอกาส แม้ว่าผู้คนอาจจะมีท่าทีต่อรัฐบาลที่แตกต่างกัน แต่การยินยอมให้พันธมิตรฯ ใช้ กฎหมู่ บีบบังคับรัฐบาล และผู้คนในสังคมให้ยอมรับข้อเรียกร้องของตน เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย เป็นการยึด ลิดรอน สิทธิ เสรีภาพ และอำนาจอธิปไตยที่เป็นของเราทุกคนไปพร้อมกันด้วย ดังนั้น  หากใครไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพันธมิตรฯ ควรร่วมกันแสดงออกอย่างสันติเพื่อคัดค้านการนำสังคมการเมืองไปสู่อนาอารยะของพันธมิตรฯ ทั้งหมดนี้ มิใช่เพื่อปกป้องรัฐบาลที่เราชอบหรือไม่ชอบ แต่เป็นไปเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้

          4. ต่อรัฐบาล รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องมีความอดทนและระมัดระวังในการดำเนินการหรือบังคับใช้กฎหมาย ป้องกัน ระงับไม่ให้เกิดความรุนแรง และยุติวิธีการใดๆ ที่อาจจะนำไปสู่ความรุนแรง เพราะรัฐมีหน้าที่ในการปกป้อง พิทักษ์ สิทธิ เสรีภาพ ชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือน ความรุนแรงจะทำให้รัฐบาลสูญเสียความชอบธรรม และถูกใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายต่อต้านในการล้มล้างรัฐบาล หรือถูกฉกฉวยโดยอำนาจอื่นในการใช้อำนาจนอกระบบมาแทรกแซงหรือทำลายระบอบประชาธิปไตยได้ ดังที่ปรากกฎมาก่อนหน้านี้

          สำหรับการริเริ่มของรัฐบาลในการเสนอให้มีการจัดทำประชามติเพื่อสอบถามความเห็นของประชาชนตามรัฐธรรมนูญในมาตรา 165 (1) นั้น ในทางหลักการ เป็นแนวคิดที่ดี แต่จะต้องมีการกำหนดประเด็นที่ชัดเจนและมีกระบวนการที่ยุติธรรม เปิดกว้างให้มีการรณรงค์แสดงความคิดเห็นทั้งสนับสนุนและคัดค้านอย่างกว้างขวางตามหลักสากล โดยมีระยะเวลาที่เพียงพอเหมาะสม ไม่ใช่ประชามติแบบมัดมือชก อย่างการประชามติรัฐธรรมนูญฉบับ คมช.

          5. ท้ายที่สุด เห็นว่า การใช้สันติวิธีของทุกฝ่ายในการรับมือกับความขัดแย้งแม้จะไม่สามารถการันตีผลลัพธ์ที่ต้องการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือยุติความขัดแย้งและความคิดเห็นที่แตกต่างทางการเมืองได้ แต่จะไม่พรากชีวิตของผู้ใดในการต่อสู้แข่งขันทางการเมืองอีก ทำให้เราอยู่กับความขัดแย้งอย่างมีอารยะ และธำรงไว้ได้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยได้[9]

บรรณานุกรม

ไทยรัฐ. 1 พ.ย. 2549.

แนวหน้า. 20 กันยายน 2549.

ประชาไทออนไลน์. 22 กันยายน 2549.

ประชาไทออนไลน์. 29 ธันวาคม 2549.

ฟ้าเดียวกัน. 2549.

มติชนออนไลน์. 5 กันยายน 2551.

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. “ปัญญาชน 14 ตุลา พันธมิตรฯ และแอ๊กติวิสต์ "2 ไม่เอา."” ใน วารสารฟ้าเดียวกัน ฉบับพิเศษ รัฐประหาร '19 กันยายน 2549. 2550.

หนังสือพิมพ์สนามหลวง ฉบับที่ 42 กรกฎาคม 2550.

อุบลพรรณ กระจ่างโพธิ์. การเคลื่อนไหวของขบวนการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2553.

อ้างอิง

          [1] 'กลุ่มโดมแดง' เรียกร้องคณบดีรัฐศาสตร์ มธ. ถอนตัวจากการร่วมร่างธรรมนูญฯ, ประชาไทออนไลน์ 22 กันยายน 2549.

          [2] ออกบัตรเชิญรัฐประหาร ฟ้าเดียวกัน. 2549.

          [3] แนวหน้า, 20 กันยายน 2549.

          [4] ศิษย์ มธ. ขอล้างครู ล่ารายชื่อเรียกร้อง ศ. สุรพล นิติไกรพจน์เลือกเอาจะเป็น สนช. หรือ อธิการบดี, ประชาไทออนไลน์, 29 ธันวาคม 2549.

          [5] คนขับแท็กซี่ชนรถถังผูกคอตาย ทิ้งจม. พลีชีพเพื่อประชาธิปไตย, ไทยรัฐ 1 พ.ย. 2549.

          [6] มีข้อถกเถียงกันเองภายในเครือข่าย 19 กันยายน ต่อต้านรัฐประหาร ในเรื่องการจัดวางท่าทีต่อกลุ่มต้านรัฐประหารที่มีที่มาจากกลุ่มคนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยในเครือข่ายเองแบ่งเป็น 2 ปีก คือ ปีกที่ปฏิเสธแนวทางการเคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่มที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับกลุ่มที่ไม่ปฏิเสธแนวทางดังกล่าว กล่าวสำหรับกลุ่มโดมแดงแล้วมีท่าทีปฏิเสธแนวทางดังกล่าว ดูเพิ่มเติมใน อุบลพรรณ กระจ่างโพธิ์. การเคลื่อนไหวของขบวนการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2553. หน้า 33-35.

          [7] สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาธรรมศาสตร์ เสนอให้ปฏิเสธกระบวนการทั้งหมดจากการรัฐประหาร โดยการรณรงค์ไม่ให้ไปลงประชามติแทนกับไปลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้เขายังเขียนวิพากษ์วิจารณ์ปัญญาชน นักวิชาการที่ปฏิเสธการรัฐประหารและปฏิเสธการปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งถูกยึดอำนาจว่า เป็นกลุ่ม “2 ไม่เอา” ดูเพิ่มเติมใน สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. “ปัญญาชน 14 ตุลา พันธมิตรฯ และแอ๊กติวิสต์ "2 ไม่เอา"” ใน วารสารฟ้าเดียวกัน ฉบับพิเศษ รัฐประหาร '19 กันยายน 2549, 2550.

          [8] หนังสือพิมพ์สนามหลวง ฉบับที่ 42 กรกฎาคม 2550.

          [9] กลุ่มโดมแดง มธ.แถลงกล้าทำ กล้ารับแนวอารยะขัดขืน, มติชนออนไลน์ 5 กันยายน 2551.