รัฐพิธี

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:56, 23 พฤศจิกายน 2558 โดย Suksan (คุย | ส่วนร่วม)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง : ดีณห์ โอเจริญ

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง



ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยให้ความสำคัญในเรื่องการเข้าร่วมพิธีต่างๆ ต้องปฏิบัติตนให้เหมาะสมแก่ฐานะตามสถานการณ์โดยถือปฏิบัติกันเป็นแบบแผนการวางตัวในการเข้าสังคมไว้อันเป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บุคคลแต่ละฐานะในสังคมล้วนมีวิธีปฏิบัติในแต่ละเหตุการณ์ที่แตกต่างกันไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในพระราชพิธี รัฐพิธี และในโอกาสต่างๆ โดยกำหนดไว้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติซึ่งผู้บริหารระดับสูงของประเทศ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงข้าราชการต้องให้ความสำคัญในการวางตัวและประพฤติตนตามแบบแผนเพื่อให้เป็นที่ยอมรับและเป็นที่ยกย่องของบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ ในหนึ่งปีจะมีการจัดพระราชพิธีและรัฐพิธีขึ้นอยู่เป็นประจำหลายงานซึ่งรัฐพิธีในแต่ละงานล้วนแล้วแต่มีความสำคัญแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์และวาระโอกาส อาทิเช่น รัฐพิธีถวายราชสักการะสมเด็จ พระนเรศวรมหาราช รัฐพิธีถวายบังคมพระบรมราชานุสรณ์ รัฐพิธีวันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีรัฐพิธีที่มีความสำคัญแต่ไม่ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ได้แก่ รัฐพิธีเสด็จพระราชดำเนินเปิดประชุมรัฐสภาหรือเรียกโดยย่อว่ารัฐพิธีเปิดประชุมสภาซึ่งจัดขึ้นหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและได้มีการนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานอัญเชิญเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดสมัยประชุมรัฐสภา


ความหมายของรัฐพิธี

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้นิยามคำว่า “รัฐ” หมายถึง “แคว้น เช่น รัฐปาหัง, บ้านเมือง เช่น กฎหมายสูงสุดของรัฐ, ประเทศ เช่น รัฐวาติกัน” “พิธี” หมายถึง “งานที่จัดขึ้นตามลัทธิหรือความเชื่อถือตามขนบธรรมเนียมประเพณีเพื่อความขลังหรือความเป็นสิริมงคล เช่น พระราชพิธี จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พิธีมงคลสมรส พิธีประสาทปริญญา แบบอย่าง ธรรมเนียม เช่น ทำให้ถูกพิธี การกำหนด เป็นต้น” “รัฐพิธี” หมายถึง “งานที่จัดขึ้นโดยรัฐเป็นธรรมเนียม”[1]

“รัฐ” (State) หมายถึง สังคมการเมืองขนาดใหญ่ซึ่งประกอบด้วยดินแดนหรืออาณาเขตอันแน่ชัดและราษฎรหรือสมาชิกของสังคมการเมืองนั้นๆ ตลอดจนอำนาจทางการเมืองการปกครอง ในอันที่จะรักษารัฐนั้นไว้ให้ดำรงต่อไปได้ มีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ ดินแดน ราษฎร อำนาจอธิปไตย รัฐบาล [2] รัฐในฐานะเป็นสังคมการเมือง หมายถึง ประเทศเอกราชที่มีประชากรจำนวนมากพอที่จะประกอบกันเป็นสังคมการเมือง มีดินแดนและเขตแดนที่แน่นอน มีอำนาจอธิปไตยและมีองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยปกครองราษฎรในเขตแดนนั้น ทั้งนี้ รัฐในฐานะแยกต่างหากจากราษฎรยังหมายถึงฝ่ายปกครองที่ประกอบด้วยองค์กรและเจ้าหน้าที่ของรัฐ[3]

“พิธี” (Ceremony) หมายถึง “งานที่ผู้ใดก็ตามจัดขึ้นตามลัทธิ ตลอดจนแบบอย่างธรรมเนียมประเพณี การปฏิบัติของในแต่ละสังคมและท้องถิ่น อาทิเช่น พิธีแต่งงาน พิธีศพ พิธีอุปสมบท อย่างไรก็ตามมีพิธีสำคัญของพระมหากษัตริย์หรือรัฐบาลแต่มิได้กำหนดเป็นพระราชพิธีหรือรัฐพิธี เช่น พิธีรับรองพระราชอาคันตุกะและพิธีรับรองผู้นำหรือประมุขของต่างประเทศที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล เป็นต้น”[4]

“รัฐพิธี” (The State Ceremony) หมายถึง งานหรือพิธีที่รัฐบาลกราบบังคมทูลขอพระมหากรุณาธิคุณเพื่อทรงรับไว้เป็นงานรัฐพิธี มีหมายกำหนดการซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นองค์ประธานในพิธี หรือจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้แทนพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานโดยมีคณะบุคคลเฝ้ารับเสด็จ[5]


ความเป็นมาของพระราชพิธีและรัฐพิธี

“พระราชพิธี” หมายถึง พิธีการที่พระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามที่เป็นแบบแผน ราชประเพณีสืบมาแต่โบราณหรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดขึ้น พระราชพิธีที่เป็น การประจำตามเทศกาลที่ได้ทำกันในสมัยรัตนโกสินทร์นับตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเป็นต้นมา[6]

โดยที่พระราชพิธีต่างๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัยจนกระทั่งเหตุการณ์ในปี พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการบริหารราชการบ้านเมือง มีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบ บรรดากิจการที่จะต้องทำเป็นงานพิธีที่รัฐบาลหรือกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานราชการอื่นๆ เป็นผู้ริเริ่มจัดขึ้นได้บัญญัติให้เรียกว่ารัฐพิธีหมายถึงงานของรัฐจัดขึ้นโดยมีคณะรัฐบาลหรือหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบในการจัดงาน โดยอาจกราบบังคมทูลขอพระราชทานเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จทรงเป็นประธานในรัฐพิธีหรืออาจเชิญบุคคลสำคัญมาเป็นประธานในงานรัฐพิธีตามแต่ ความเหมาะและความสำคัญของงานรัฐพิธีนั้น งานพระราชพิธีและรัฐพิธีที่กำหนดไว้ว่าต้องจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีจะระบุไว้ในปฏิทินหลวงซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สำนักพระราชวังจัดพิมพ์สำหรับพระราชทานสำหรับความสุขปีใหม่แก่ผู้ที่มาลงนามถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่

จากประวัติความเป็นมาในข้างต้นสามารถสรุปความแตกต่างของพระราชพิธีกับรัฐพิธีได้คือ พระราชพิธีมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้กำหนด ส่วนรัฐพิธีมีรัฐบาลเป็นฝ่ายกำหนดแล้วขอพระราชทานอัญเชิญพระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนิน

รัฐพิธีประจำปี

การจัดรัฐพิธีในหนึ่งปี[7] มีดังต่อไปนี้

มกราคม รัฐพิธีถวายราชสักการะสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (วันกองทัพไทย) ณ พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี วันที่ 25 มกราคม

มีนาคม รัฐพิธีวันที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระมหาเจษฎาราชเจ้า วันที่ 31 มีนาคม

เมษายน รัฐพิธีถวายบังคมพระบรมราชานุสรณ์ (วันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและวันที่ระลึกมหาจักรี) 6 เมษายน

ธันวาคม รัฐพิธีวันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วันที่ 28 ธันวาคม

รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา

รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา หมายความถึง สภาผู้แทนราษฎร สภาผู้แทน พฤฒสภา (สภาสูงหรือ สภาอวุโส ในรัฐสภาชุดที่ 6 ของประเทศไทย) สภาร่างรัฐธรรมนูญ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือสภาที่เรียกชื่ออื่นที่ทำหน้าที่ในฐานะรัฐสภาซึ่งมีชื่อแตกต่างกันไปตามรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ กล่าวคือ รัฐเป็นฝ่ายดำเนินการโดยมีพระมหากษัตริย์หรือพระรัชทายาทหรือผู้แทนพระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นองค์ประธานเพื่อเป็นการพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้แทนของปวงชนชาวไทยเข้าเฝ้าฯ อย่างเป็นทางการก่อนปฏิบัติหน้าที่

รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบต่อกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันซึ่งถือเป็นราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาโดยพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานให้แก่สมาชิกรัฐสภาถือเป็นสิ่งสำคัญที่สมาชิกรัฐสภาต้องยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนและประเทศชาติอย่างสูงสุด ในอดีตรัฐพิธีเปิดประชุมสภาเริ่มมีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2476 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต่อมา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2475 โดยอาศัยราชประเพณีที่ถือปฏิบัติมาใช้เพื่อการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรซึ่งขณะนั้นยังไม่มีบทบัญญัติที่ชัดเจนเกี่ยวกับรัฐพิธีเปิดประชุมสภา โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทาน กระแสรับสั่งให้เจ้าพระยามหิธรเสนาบดี กระทรวงมุรธาธรอัญเชิญไปอ่านเปิดการประชุม

รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาถือเป็นพิธีการที่สำคัญของรัฐสภาซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หลายฉบับในอดีตได้บัญญัติเกี่ยวกับรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาไว้คล้ายคลึงกันในเรื่ององค์ประธานผู้กระทำพิธี เปิดประชุมแต่สาระในการประกอบรัฐพิธีมีความแตกต่างกัน เช่น ไม่ได้บัญญัติว่าให้กระทำรัฐพิธีในการ เปิดประชุมสมัยใด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะอาศัยธรรมเนียมปฏิบัติโดยกระทำรัฐพิธีเปิดประชุมทุกครั้งที่เป็นการประชุมสมัยสามัญ อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 10 เป็นต้นมาได้มีการบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่าให้กระทำรัฐพิธีเปิดประชุมสมัยสามัญประจำปีครั้งแรกภายหลังจากที่ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไปในปัจจุบัน

รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาของประเทศไทยได้กระทำขึ้นรวมทั้งสิ้น 57 ครั้ง มีดังต่อไปนี้

- โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 1 ครั้ง

- โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล จำนวน 2 ครั้ง

- โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จำนวน 33 ครั้ง

- โดยคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือผู้สำเร็จราชการแทน จำนวน 18 ครั้ง

- โดยผู้แทนพระองค์ จำนวน 3 ครั้ง

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 [8] มาตรา 127 วรรคหนึ่งและมาตรา 128 ได้กำหนดเกี่ยวกับรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา ดังนี้

มาตรา 127 วรรคหนึ่ง “ภายในสามสิบวันนับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก...”

มาตรา 128 บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงเรียกประชุมรัฐสภา ทรงเปิดและทรงปิดประชุม

พระมหากษัตริย์จะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงทำรัฐพิธีเปิดประชุมสมัยประชุมสามัญทั่วไปครั้งแรกตามมาตรา 127 วรรคหนึ่ง ด้วยพระองค์เอง หรือจะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระรัชทายาทซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว หรือผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้แทนพระองค์ มาทำรัฐพิธีก็ได้...”

เมื่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสร็จสิ้นลงภายใน 30 วันนับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะมีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรกซึ่งถือได้ว่าเป็นพิธีการอันทรงเกียรติที่สำคัญซึ่งถือปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณของประเทศไทยที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เนื่องด้วยพระมหากษัตริย์จะเสด็จพระราชดำเนินมา ทรงประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไปครั้งแรกด้วยพระองค์เอง หรือจะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระรัชทายาทซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วหรือผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้แทนพระองค์มาประกอบรัฐพิธีก็ได้

การเตรียมงานรัฐพิธีในสถานการณ์ปกติซึ่งมีรัฐสภาอันประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ภายหลังจากมีการเลือกตั้งทั่วไปแล้วในส่วนของรัฐสภามีสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเป็นแม่งานร่วมกับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและสำนักราชเลขาธิการในการรับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับรัฐพิธีร่วมกันโดยที่มีวุฒิสภาช่วยสนับสนุนและรับผิดชอบในส่วนของสมาชิกวุฒิสภา ในส่วนของการเตรียมงานรัฐพิธีในสถานการณ์ที่มีเพียงสภาเดียวกล่าวคือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือสภาที่มีชื่อเรียกอย่างอื่น โดยทั่วไปแล้วหน่วยงานธุรการของสภานั้นจะเป็นผู้รับผิดชอบเป็นแม่งานร่วมกับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยประสานงานกับสำนักราชเลขาธิการในการเตรียมงาน


หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ

กรมการปกครอง. คู่มือการจัดงานพระราชพิธี รัฐพิธี และงานพิธีของข้าราชการฝ่ายปกครอง. กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย: กรุงเทพฯ, 2554.

พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5. พระราชพิธีสิบสองเดือน. สำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร: กรุงเทพฯ, 2551.


อ้างอิง

  1. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, 2546. หน้า 788, 941.
  2. ศาสตราจารย์ ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์. กฎหมายปกครอง. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์วิญญูชน, 2552. หน้า 59.
  3. พรชัย รัศมีแพทย์. หลักกฎหมายการปกครองท้องถิ่นไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2541. หน้า 11.
  4. สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี. ข้อพึงปฏิบัติในการเข้าเฝ้าทูลละอองทุลีพระบาท. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา, 2543.
  5. สุเทพ เอี่ยมคง. “รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา” วารสารวิชาการด้านสังคม. ปีที่ 3 ฉบับที่ 6 (ม.ค.-มี.ค. 2548).
  6. พระราชพิธีและรัฐพิธีประจำปี. สารานุกรมในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา : http://www.haii.or.th/wiki84/ index.php/พระราชพิธี
  7. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รัฐสภาไทยใต้ร่มพระบารมี ๖๐ ปี ทรงครองราชย์. กรุงเทพฯ: สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2549.
  8. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร: กรุงเทพฯ, 2554.

บรรณานุกรม

คณะกรรมการจัดงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี. ศิลปวัฒนธรรม เล่มที่ 3 “ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมกรุงรัตนโกสินทร์”. กรมศิลปากร: กรุงเทพฯ, 2525. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 91, ตอนที่ 169. 7 ตุลาคม 2517.

สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา. คู่มือเสริมสร้างความรู้และเตรียมความพร้อม เรื่อง “ควรปฏิบัติตนอย่างไร…ให้การเข้าเฝ้าฯ ถูกต้อง เรียบร้อยและงดงาม. สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร: กรุงเทพฯ, 2555.

กลุ่มงานพิพิธภัณฑ์และจดหมายเหตุ สำนักวิชาการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. เกร็ดความรู้. ออนไลน์ http://library2.parliament.go.th/museum/know.html

รัฐสภาไทย. รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา. ออนไลน์. http://www.parliament.go.th/ratpiti/ rattapite.htm

สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม. คำแนะนำในการเข้าเฝ้าฯ ในงานพระราชพิธี รัฐพิธี. ออนไลน์ http://www.thailaws.com/aboutthailaw/knowing_law_014.htm