ผู้ว่า CEO

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:36, 8 กันยายน 2558 โดย Suksan (คุย | ส่วนร่วม) (หน้าที่ถูกสร้างด้วย ''''เรียบเรียงโดย..'''อาจารย์บุญเกียรติ การะเวกพันธุ์...')
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

เรียบเรียงโดย..อาจารย์บุญเกียรติ การะเวกพันธุ์ และคณะ

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ..รศ.ดร.ปธาน สุวรรณมงคล



ผู้ว่า CEO หมายถึงผู้ว่าราชการจังหวัดที่ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูงของจังหวัด (Chief Executive Officer: CEO) สามารถบังคับบัญชา สั่งการหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ภายในจังหวัดได้อย่างเบ็ดเสร็จโดยตรง เพื่อให้การดำเนินงานภายในจังหวัดเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ตรงตามนโยบายของรัฐบาล และสามารถตอบสนองต่อความต้องการและข้อเท็จจริงของแต่ละจังหวัดได้โดยตรง

ผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องมีคุณลักษณะที่เปรียบเสมือนผู้บริหารสูงสุดขององค์กร สามารถใช้อำนาจตามกฎหมายและระเบียบต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมกับภาระหน้าที่ที่มีอยู่ ควบคู่ไปกับการใช้ภาวะผู้นำในการบริหารการพัฒนาจังหวัด เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น

กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ มอบอำนาจการบริหารงานโดยเฉพาะการบริหารงบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการวินิจฉัยสั่งการในเรื่องต่างๆ ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดในการแก้ไขปัญหาของประชาชนในจังหวัดได้เบ็ดเสร็จในระดับพื้นที่


ความสำคัญของผู้ว่า CEO

1.เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดจากการบริหารจัดการของรัฐตามความในมาตรา 3/1 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่5) พ.ศ. 2545 ที่กำหนดให้การบริหารราชการต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ ความมีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าในเชิงภารกิจแห่งรัฐ การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน การลดภารกิจและยุบเลิกหน่วยงานที่ไม่จำเป็น การกระจายภารกิจและทรัพยากรให้แก่ท้องถิ่น การกระจายอำนาจ การตัดสินใจ การอำนวยความสะดวก และตอบสนองความต้องการของประชาชน ทั้งนี้ โดยมีผู้รับผิดชอบต่อผลงาน

2.เพื่อให้มีผู้รับผิดชอบต่อผลของงานในการบริหารการพัฒนาการป้องกันและการแก้ไขปัญหาในเขตพื้นที่จังหวัดอย่างชัดเจน


แนวคิดและหลักการที่เกี่ยวข้อง

การบริหารราชการจังหวัดแบบบูรณาการเพื่อการพัฒนา เป็นแนวคิดที่รัฐบาลมุ่งหวังที่จะให้จังหวัดนำระบบการบริหารเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Management) มาใช้ในการบริหารงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบงาน ในการแก้ไขให้เสร็จสิ้นในระดับจังหวัด โดยมีการปฏิบัติ ดังนี้ [1]

1) สร้างกระบวนการทำงานสำหรับการระดมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์ (Strategic Formulation) เพื่อนำนโยบายของ รัฐบาลไปปฏิบัติในระดับจังหวัดในลักษณะที่สอดคล้องกับสภาพปัญหา ข้อเท็จจริงของพื้นที่ ตลอดจนมีการสร้างระบบฐานข้อมูลเพื่อใช้ในการวิเคราะห์และติดตามผล

2) มีกระบวนการแปลงยุทธศาสตร์ดังกล่าว เป็นแผนยุทธศาสตร์ (Strategic Planning) ที่เป็นรูปธรรมที่สามารถบูรณาการงาน/งบประมาณ ทั้งนี้ เป็นส่วนของภาครัฐ และส่วนที่เกิดจากความคิดริเริ่มของจังหวัดเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ

3) สร้างระบบบริหารจัดการเพื่อนำแผนยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ (Strategic Implementation) โดยนำหลักบริหารสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ อาทิ การทำงานเป็นทีม (Teamwork) การทำงานในลักษณะเครือข่ายความร่วมมือ (Networking) และแบบหุ้นส่วนการทำงาน

4) สร้างระบบติดตามประเมินผลการนำแผนยุทธศาสตร์ไปปฏิบัติ (Strategic Monitoring and Evaluation) ทั้งในรูปแบบของการรายงานผลของหน่วยปฏิบัติ และการตรวจติดตามผลในพื้นที่เพื่อรับทราบความก้าวหน้า ตลอดจนปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง

ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นเสมือนผู้ช่วยของนายกรัฐมนตรีประจำจังหวัด ทุกอย่างต้องมีความเบ็ดเสร็จอยู่ที่ CEO ในจังหวัดนั้นๆ และให้มีการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง จึงมีบทบาทและหน้าที่ที่พอประมวลได้ดังนี้[2]

1. เป็นเจ้าภาพในการบริหารงานของจังหวัด แนวความคิด การบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ คือ ต้องการหา”เจ้าภาพ” ให้ได้สักคนในการบริหารจัดการในทุกเรื่อง เพราะภารกิจในการแก้ไขปัญหาของสังคมและของชาติ เป็นภารกิจที่ไม่มีวันสิ้นสุด (Endless Job) มีแต่ต้องการพัฒนาให้ดีขึ้น เพราะองค์กรไม่มีคำว่าสิ้นสลาย ไม่มีวันจบสิ้น ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงต้องเป็นนักบริหาร เป็นมืออาชีพเป็นเจ้าภาพต้องมองทุกตารางนิ้วในจังหวัด เป็นภารกิจหน้าที่ที่จะต้องดูแลจัดการแก้ไข

2. ทำหน้าที่ประธานคณะผู้บริหาร การเป็นเจ้าภาพไม่จำเป็นต้องทำงานคนเดียว (One Man Show) คำว่า CEO คือ Chief Executive Officer แปลว่าเป็นประธานคณะผู้บริหาร แสดงว่ามีผู้บริหารหลายคนอยู่ร่วมกัน แล้วมีบุคคลหนึ่งเป็นประธาน นั่นคือ การเอาหัวหน้าส่วนราชการทุกส่วนราชการเป็นคณะผู้บริหาร ผู้ว่าราชการจังหวัดคือตัวประธานของจังหวัด เพื่อประชุมหารือกันในลักษณะของคณะผู้บริหารเสมือนเป็นคณะรัฐมนตรีของจังหวัด และควรมีการประชุมทุกสัปดาห์ด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องรู้จักการCoaching สอนแนะทีมงานที่กระตุ้นให้ทุกฝ่ายได้ร่วมกันคิด ช่วยกันทำ เอายุทธศาสตร์มาวางรวมกัน เอาภารกิจเป็นตัวตั้ง ให้ทุกส่วนคิดร่วมกัน มีความรู้สึกว่า เราร่วมรับผิดชอบจังหวัดนี้ด้วย

3. ต้องมีภาวะผู้นำ ภาวะผู้นำ (Leadership) ของผู้ว่าฯ CEO นั้นสำคัญมาก ต้องกล้าใช้ภาวะผู้นำในจังหวัดที่รับผิดชอบ กล้าคิด กล้าทำ กล้าเปลี่ยน ต้องรับรู้สภาพปัญหาของพื้นที่ และเข้าใจแก้ไขไม่หนีความจริง แต่ให้สู้กับข้อเท็จจริงที่มีอยู่ ถ้าไม่ยอมรับ เราก็แก้ไขปัญหาไม่ได้

4. เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ต้องมีลักษณะของความสามารถในการปรับตัวสูง ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ไม่เฉพาะโครงสร้าง ต้องสำนึกและเชื่อมั่นต่อการเปลี่ยนแปลง ต้องเปลี่ยนวัฒนธรรม ค่านิยม ทัศนคติให้ทันการปฏิรูปทั้งหลายด้วย ต้องเปลี่ยนทัศนคติของคนที่เกี่ยวข้องด้วย มิฉะนั้น การปฏิรูปจะไม่มีความหมาย เมื่อทัศนคติดี การแก้ไขเรื่องอื่นๆ ก็จะเป็นเรื่องง่ายมาก

5. ต้องทำงานเชิงรุก ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องไม่ตั้งรับ ต้องรุก เพราะเป็นเจ้าภาพแล้ว ต้องรุก มีรองผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ช่วย ต้องคอยพิจารณาปัญหาและผสมผสานให้กลมกลืนกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ เมื่อใดที่องค์กรไหน มีการเคลื่อนตัวช้ากว่าองค์กรอื่นๆ ในระนาบเดียวกัน โอกาสไปถึงที่ไหนก็ไม่มี ยิ่งเหนือมากยิ่งมีโอกาสสำเร็จมาก นายกรัฐมนตรีต้องดูทั้งประเทศ จะให้มาดูลงลึกทุกจังหวัดคงไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีใครรับผิดชอบตรงจุดนั้นเลย จะแก้ปัญหาได้อย่างไร จึงต้องมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรีอยู่ในจังหวัดนั้น นายกรัฐมนตรีจะดูแลประเทศ ถ้ามีความเอาใจใส่ก็มีประสิทธิภาพได้ ถ้าไม่มีความเอาใจใส่ ก็จะไม่มีประสิทธิภาพ

6. เปลี่ยนจากการปกครองเป็นการบริหารจัดการ เมื่อก่อนนั้น มีลักษณะเป็นการปกครองแบบมองจากภายใน (Inside out Approach) เอาองค์กรเป็นตัวตั้ง ในปัจจุบันการเมืองเปลี่ยน บ้านเมืองเปลี่ยน สถานการณ์โลกเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยนการปกครองเป็นการบริหารจัดการ (Management) มองจากประชาชนเป็นตัวตั้ง นักบริหารจะแก้ปัญหาได้ตรงจุด คือเป็นทั้ง Leader Coacher และ Manager พร้อมกันในตัว การบริหารต้องเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จทั้งหมด ระบบราชการต้องลดการมองแบบแยกส่วนเฉพาะของตนเองออกไป เพื่อนำไปสู่การบริหารคือ การจัดการองค์การ จัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ นำคนที่มีอยู่มาทำงานร่วมกัน ก็คือทำงานให้ได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดที่สุด การบริหารยุคใหม่ต้องปรับกระบวนทัศน์เสียใหม่ ไม่คิดเป็นแท่งเป็นชิ้น แต่ต้องเป็นเครือข่ายการทำงานร่วมกันเชิงแนวราบ มีการรายงานหลายทิศทาง การรายงานให้เป็น Matrix Reporting System จะต้องส่งรายงานหลายทิศทาง เช่นส่งให้สำนักนายกรัฐมนตรี 1 ฉบับ ส่งให้กระทรวงมหาดไทยอีก 1 ฉบับ ส่งหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องอีกฉบับให้รับทราบพร้อมกัน Formality ไม่มีความสำคัญ เรื่องของความสำเร็จของงานสำคัญที่สุด การรายงานทุกอย่างจะมีคอมพิวเตอร์เชื่อมโยงกันแล้ว มีการวิเคราะห์ปัญหาในภาพรวม จะต้องเข้าใจถึงจุลภาคและมหภาค ตลอดเวลานายกรัฐมนตรีจะทำงานในระดับมหภาค ส่วนผู้ว่าราชการจังหวัดจะทำงานในระดับจุลภาคของประเทศ

7. ต้องมีทัศนะว่าสามารถทำได้ สิ่งที่พูดนี้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงในชั่วเวลาข้ามคืน แต่ต้องมีทัศนะว่าสามารถทำได้ (Can do Attitude) ถ้าสามารถมองเห็นความเป็นไปได้เกินกว่า 60% ลงมือทำให้รู้ว่าอีก 40% ที่เป็นจุดอ่อนนั้น คืออะไร แล้วค่อยปรับแก้ไข เมื่อลงมือทำ ระหว่างทำ มิฉะนั้นจะไม่ได้เดิน

8. การคิดนอกกรอบ วันนี้จะต้องคิดนอกกรอบเดิม (Think out of the box) อย่าคิดตามกรอบเดิม อย่าทำวิธีเดิม เราจะเดินไปเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยกัน มาช่วยบ้านเมืองด้วยกัน ช่วยราษฎรด้วยกัน จึงจะสามารถภูมิใจได้ ฉะนั้น ต้องอย่าถูกจองจำด้วยความคิดเดิมๆ (Prisoner of History) เขาจึงบอกว่า “ถ้าอยากทำงานให้สำเร็จ ในสิ่งที่ไม่เคยสำเร็จมาก่อน อย่าใช้วิธีการเดิม” ความภูมิใจเกิดได้เมื่อได้แสดงฝีมือให้สัมฤทธิ์ผล และสามารถสืบทอดให้เห็นได้ ต้องกล้าคิดออกนอกกรอบเดิม อย่าให้การเปลี่ยน แปลงนั้นถูกธรรมชาติบังคับให้คนที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ คือ คนที่กล้าเปลี่ยนแปลงก่อน เหตุการณ์บังคับให้เปลี่ยนคนที่เปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติบังคับ ไม่เคยมีความสำเร็จในชีวิต

9. ต้องรู้ปัญหาและระดมสรรพกำลัง CEO อาจจะไม่ต้องรู้ทุกเรื่อง แต่จะต้องพยายามเข้าใจทุกเรื่อง ไม่ต้องรู้เองทุกเรื่องเพราะว่ามีผู้ที่รู้ทุกเรื่องในจังหวัดอยู่แล้ว แต่จะจับเอาคนเหล่านั้นมารวมกันแล้วต่อภาพให้ได้ คือ ศิลปะของการเป็นผู้นำ นำมาหลอมรวมกัน หาทิศทางเดินร่วมกัน ขับเคลื่อนไปในเป้าหมายเดียวกัน ฉะนั้นถ้าร่วมกันคิด ร่วมกันทำ และในที่สุดก็ก้าวไปสู่การใช้ทรัพยากรร่วมกัน ความสามัคคีจะเกิดขึ้นในหมู่ส่วนราชการ และนำไปสู่ความสามัคคีของคนในจังหวัด

10. ต้องมีเครื่องชี้วัดการทำงาน ต้องยกระดับและต้องมีเครื่องชี้วัดการพัฒนา เช่น เครื่องวัดทางเศรษฐกิจ ต้องรู้ว่า GPP ของจังหวัดมีเท่าไร GPP Growth เป็นอย่างไร เครื่องวัดทางสังคม เช่น อาชญากรรม ยาเสพติด การเจ็บป่วย สาธารณสุข เป็นต้น และเครื่องวัดความพึงพอใจในการบริการประชาชน ต้องหมั่นตรวจตราและติดตามประเมินผลการปฏิบัติ และสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการประเมินผลผู้ว่าราชการจังหวัดด้วย


ความเป็นมาของผู้ว่า CEO

วันที่ 4 – 5 สิงหาคม พ.ศ. 2544 มีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการปรับบทบาทภารกิจและโครงสร้างส่วนราชการ ณ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ได้มีข้อสรุปว่าควรกระจายอำนาจให้จังหวัดมีการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการปรับบทบาทของจังหวัดให้มีสถานะเหมือนหน่วยธุรกิจเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Business Unit : SBU) ที่สามารถวินิจฉัยข้อมูล ปัญหาอุปสรรค กำหนดแนวทางการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาภายในจังหวัดให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้อย่างครบวงจร รวมทั้งการปรับบทบาทและอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดให้เป็นผู้บริหารระดับสูงของจังหวัด (Chief Executive Officer : CEO) สามารถบังคับบัญชา สั่งการหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ภายในจังหวัดได้อย่างเบ็ดเสร็จโดยตรง เพื่อให้การดำเนินงานภายในจังหวัดเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ตรงตามนโยบายของผู้บริหารระดับสูงสุด และสามารถตอบสนองต่อความต้องการและข้อเท็จจริงของแต่ละจังหวัดได้โดยตรง มีความคาดหมายว่าหากดำเนินการทุกจังหวัดอย่างได้ผลก็จะสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศโดยรวมได้ทางหนึ่ง[3]

วันที่ 7 สิงหาคม 2544 คณะรัฐมนตรีได้มีมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการนำร่องการปรับปรุงการบริหารงานจังหวัด ซึ่งมีจังหวัดตามโครงการจังหวัดทดลองแบบบูรณาการเพื่อการพัฒนารวม 5 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง ศรีสะเกษ ชัยนาท ภูเก็ต และนราธิวาส โดยให้ดําเนินการแต่งตั้งวันที่ 1 ตุลาคม 2544 ซึ่งพบว่าในภาพรวมการบริหารงานได้รับความสําเร็จเป็นอย่างสูง ดังนั้นจากการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 28 เมษายน 2546 จึงเห็นสมควรให้ทุกจังหวัดใช้การบริหารงานแบบบูรณาการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 เป็นต้นไป โดยขอให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และหน่วยงานอนที่เกี่ยวข้องรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกัน

วันที่ 22 กรกฎาคม 2546 คณะรัฐมนตรีได้มีมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแนวทางการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการทั้ง 4 แนวทาง คือ การสรรหา และแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการการมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัด หลักการบริหารงานแบบบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ของกลุ่มจังหวัด กรอบแนวทางในการกำกับการปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาคดังนี้

1. การพัฒนาระบบในภาพรวม : สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ

2. การมอบอํานาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัด: สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ

3. การบริหารงบประมาณ : สำนักงบประมาณเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ

4. การบริหารราชการในระดับจังหวัด : กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ[4]


หลักการของการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ[5]

(1) มีการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ชาติ ยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัด และยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด

(2) กําหนดให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนในจังหวัดเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาอย่างยั่งยืน สร้างศักยภาพในการแข่งขันการป้องกันและการแก้ไขปัญหาตาม (1) เพื่อลดความซ้ำซ้อน ความล่าช้า และความสิ้นเปลือง

(3) ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในส่วนกลาง และในพื้นที่ตองจัดองค์กรและระบบการสนับสนุนด้านบุคลากร งบประมาณ ข้อมูลสารสนเทศ รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับอย่างเพียงพอเพื่อสนับสนุนการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ

(4) เป็นระบบการบริหารที่สนับสนุนนโยบาย การกระจายอํานาจสู่ท้องถิ่นด้วยการทําให้เกิดการยอมรับต่อเป้าหมายการทํางานร่วมกันจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากกว่ามุ่งเน้นการกํากับดูแลแต่เพียงอย่างเดียว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสูดแก่ประชาชนและมีความโปร่งใสมากขึ้น

(5) ส่งเสริมการกระจายอํานาจการตัดสินใจลงไปสู้ผู้ปฏิบัติในส่วนภูมิภาคและมีศูนย์รวมข้อมูลสารสนเทศเป็นฐานข้อมูลในการบริหารและติดตามประเมินผล

(6) รัฐจะกําหนดเป้าหมาย และตัวชี้วัดความสำเร็จของการทํางานไว้ในระดับชาติ โดยให้คณะผู้บริหารจังหวดแบบบูรณาการสามารถกําหนดรายละเอียดการปฏิบัติและตัวชี้วัดในจังหวัด

อ้างอิง

  1. ดำรง วัฒนาและคณะ, “การประเมินประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดแบบบูรณาการ” , รายงานวิจัย, (กรุงเทพมหานคร : ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2548), หน้า 2 – 3.
  2. เพิ่งอ้าง, หน้า 7 – 10.
  3. เพิ่งอ้าง, หน้า 1 – 2.
  4. คณะกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา, “กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบายของรัฐบาล ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 76 : กรณีศึกษา การบริหารจังหวัดแบบบูรณาการ (CEO)” , รายงานการวิจัย (กรุงเทพมหานคร: วุฒิสภา, 2548), หน้า 11.
  5. ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยระบบการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ พ.ศ. 2546,ข้อที่ 6.


หนังสืออ่านประกอบ

พิศิษฐ์ หิรัญกิจ, “ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ”, รายงานวิจัย, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2549)

ประมวล รุจนเสรี, ผู้ว่า ซี.อี.โอ. ในทักษิโณมิกส์ , (กรุงเทพมหานคร : รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1977), 2546.)

วิรัช วิรัชนิภาวรรณ, ผู้บริหารสูงสุดระดับจังหวัด : ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดซีอีโอ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (กรุงเทพฯ : Forepace Publishing House, 2546)