ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เศรษฐกร (พ.ศ. 2498)"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Teeraphan (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 9: บรรทัดที่ 9:
'''ประวัติความเป็นมา'''
'''ประวัติความเป็นมา'''


พรรคเศรษฐกรจดทะเบียนตั้งพรรคเมื่อวันที่ 4 ตุลาตม 2498 โดยมีนายเทพ โชตินุชิต เป็นหัวหน้าพรรค นายทิม ภูริพัฒน์ เป็นรองหัวหน้าพรรค และนายแคล้ว นรปิติ เป็นเลขาธิการพรรค<ref>“ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการจดทะเบียนพรรคเศรษฐกร” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 72 ตอนที่ 86 วันที่ 8 พฤษจิกายน 2498 หน้า 2689-2694,</ref>   
พรรคเศรษฐกรจดทะเบียนตั้งพรรคเมื่อวันที่ 4 ตุลาตม 2498 โดยมีนายเทพ โชตินุชิต เป็น[[หัวหน้าพรรค]] นายทิม ภูริพัฒน์ เป็นรองหัวหน้าพรรค และนายแคล้ว นรปิติ เป็น[[เลขาธิการพรรค]]<ref>“ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการจดทะเบียนพรรคเศรษฐกร” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 72 ตอนที่ 86 วันที่ 8 พฤษจิกายน 2498 หน้า 2689-2694,</ref>   


พรรคเศรษฐกรเป็นพรรคที่สืบทอดแนวทางสังคมนิยมต่อจากพรรคสหชีพที่ถูกกวาดล้างอย่างรุนแรงภายหลังจอมพลป. พิบูลย์สงครามขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนเมษายน พ.ศ.2491อันเป็นเหตุการณ์สืบเนื่องจากการรัฐประหาร 2490 ที่นำโดยพล.โท.ผิณ ชุณหวัณ และ น.อ.หลวงกาจสงคราม ผู้ก่อตั้งพรรคคนสำคัญอย่างนายเทพ โชตินุชิตนั้นเคยดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาที่จังหวัดนครพนมและนครราชสีมา ซึ่งการที่เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในภาคอีสานเป็นเวลานานได้หล่อหลอมให้เขารู้สึกรู้สมเห็นใจในความเป็นอยู่ที่อัตคัตขัดสนของผู้คนในภาคนี้ ครั้นปี 2490 นายเทพก็ลาออกจากตำแหน่งราชการและลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ในนามพรรคประชาธิปัตย์แต่ก็มีความขัดแย้งกับนายควง อภัยวงศ์หัวหน้าพรรค ดังนั้นเมื่อจอมพลป. พิบูลย์สงครามจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในปี 2492 นายเทพจึงลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์และได้เข้าร่วมรัฐบาลมาเป็นรัฐมนตรีลอย แต่ต่อมาไม่นาน ด้วยการมีแนวคิดแบบสังคมนิยม นายเทพจึงถูกกลุ่มส.ส.ยื่นเรื่องสอบสวนว่าเป็นผู้ที่ฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ หลังจากการรัฐประหาร 2494 เขาจึงไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาล และเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ปี 2495 นายเทพได้รับเลือกกลับมาเป็นส.ส.อีกครั้งแต่หันมาอยู่ซีกฝ่ายค้านและก็พัฒนาไปสู่การริเริ่มการตั้งพรรคเศรษฐกรเมื่อปีพ.ศ.2498ในที่สุด
พรรคเศรษฐกรเป็นพรรคที่สืบทอดแนวทาง[[สังคมนิยม]]ต่อจากพรรคสหชีพที่ถูกกวาดล้างอย่างรุนแรงภายหลังจอมพล ป.พิบูลย์สงครามขึ้นดำรงตำแหน่ง[[นายกรัฐมนตรี]]ในเดือนเมษายน พ.ศ.2491อันเป็นเหตุการณ์สืบเนื่องจากการ[[รัฐประหาร]] 2490 ที่นำโดยพล.โท.ผิณ ชุณหวัณ และ น.อ.หลวงกาจสงคราม ผู้ก่อตั้งพรรคคนสำคัญอย่างนายเทพ โชตินุชิตนั้นเคยดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาที่จังหวัดนครพนมและนครราชสีมา ซึ่งการที่เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในภาคอีสานเป็นเวลานานได้หล่อหลอมให้เขารู้สึกรู้สมเห็นใจในความเป็นอยู่ที่อัตคัตขัดสนของผู้คนในภาคนี้ ครั้นปี 2490 นายเทพก็ลาออกจากตำแหน่งราชการและลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ในนามพรรคประชาธิปัตย์แต่ก็มีความขัดแย้งกับนายควง อภัยวงศ์หัวหน้าพรรค ดังนั้นเมื่อจอมพลป. พิบูลย์สงครามจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในปี 2492 นายเทพจึงลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์และได้เข้าร่วม[[รัฐบาล]]มาเป็นรัฐมนตรีลอย แต่ต่อมาไม่นาน ด้วยการมีแนวคิดแบบสังคมนิยม นายเทพจึงถูกกลุ่มส.ส.ยื่นเรื่องสอบสวนว่าเป็นผู้ที่ฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ หลังจากการรัฐประหาร 2494 เขาจึงไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาล และเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ปี 2495 นายเทพได้รับเลือกกลับมาเป็นส.ส.อีกครั้งแต่หันมาอยู่ซีกฝ่ายค้านและก็พัฒนาไปสู่การริเริ่มการตั้งพรรคเศรษฐกรเมื่อปีพ.ศ.2498ในที่สุด




'''แนวนโยบาย'''
'''แนวนโยบาย'''


สำหรับนโยบายด้านการเมืองการปกครองนั้น พรรคเศรษฐกรก็เขียนนโยบายที่เป็นทางการแบบเสรีนิยมไม่แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆ เช่น การรักษาและส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย การมุ่งกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ส่วนด้านการต่างประเทศนั้น พรรคเศรษฐกรอาจมีความแตกต่างจากพรรคอื่นๆอยู่บ้างตรงที่มุ่งเสริมสร้างสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศโดยไม่แบ่งแยกลัทธิการปกครอง
สำหรับนโยบายด้านการเมืองการปกครองนั้น พรรคเศรษฐกรก็เขียนนโยบายที่เป็นทางการแบบ[[เสรีนิยม]]ไม่แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆ เช่น การรักษาและส่งเสริมระบอบ[[ประชาธิปไตย]] การมุ่ง[[กระจายอำนาจ]]สู่ท้องถิ่น ส่วนด้านการต่างประเทศนั้น พรรคเศรษฐกรอาจมีความแตกต่างจากพรรคอื่นๆอยู่บ้างตรงที่มุ่งเสริมสร้างสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศโดยไม่แบ่งแยกลัทธิการปกครอง


แต่ด้วยการที่เป็นพรรคการเมืองที่ยึดถือแนวทางสังคมนิยมก็ทำให้พรรคเศรษฐกรให้ความสำคัญต่อนโยบายด้านเศรษฐกิจมาก จนถึงกับมีคำขวัญของพรรคที่ว่า “เศรษฐกิจเหนืออื่นใด”<ref>สุทธาชัย ยิ้มประเสริฐ, ประวัติศาสตร์ของพรรคแนวสังคมนิยม. </ref>  อีกทั้งนโยบายเศรษฐกิจของพรรคเศรษฐกรก็มีความแตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆในสมัยนั้นอย่างเห็นได้ชัด โดยจะมุ่งเน้นการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจเพื่อส่วนรวม พยายามลดช่องว่างทางชนชั้น เช่น นโยบายจัดระบบภาษีที่มุ่งกระจายรายได้เพื่อสร้างความเท่าเทียมในทางเศรษฐกิจให้มากยิ่งขึ้น มุ่งส่งเสริมระบบสหกรณ์และการจัดสรรที่ดินทำกินให้ทั่วถึงแก่ประชาชน มุ่งคุ้มครองสิทธิแรงงานและการกำหนดอัตราค่าจ้างที่เป็นธรรมต่อแรงงานยิ่งขึ้น ส่งเสริมการช่วยเหลือด้านความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในการเพิ่มผลผลิตแก่ชาวนา  
แต่ด้วยการที่เป็น[[พรรคการเมือง]]ที่ยึดถือแนวทาง[[สังคมนิยม]]ก็ทำให้พรรคเศรษฐกรให้ความสำคัญต่อนโยบายด้านเศรษฐกิจมาก จนถึงกับมีคำขวัญของพรรคที่ว่า “เศรษฐกิจเหนืออื่นใด”<ref>สุทธาชัย ยิ้มประเสริฐ, ประวัติศาสตร์ของพรรคแนวสังคมนิยม. </ref>  อีกทั้งนโยบายเศรษฐกิจของพรรคเศรษฐกรก็มีความแตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆในสมัยนั้นอย่างเห็นได้ชัด โดยจะมุ่งเน้นการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจเพื่อส่วนรวม พยายามลดช่องว่างทางชนชั้น เช่น นโยบายจัดระบบภาษีที่มุ่ง[[กระจายรายได้]]เพื่อสร้าง[[ความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ]]ให้มากยิ่งขึ้น มุ่งส่งเสริมระบบสหกรณ์และการจัดสรรที่ดินทำกินให้ทั่วถึงแก่ประชาชน มุ่งคุ้มครองสิทธิแรงงานและการกำหนดอัตราค่าจ้างที่เป็นธรรมต่อแรงงานยิ่งขึ้น ส่งเสริมการช่วยเหลือด้านความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในการเพิ่มผลผลิตแก่ชาวนา  


ส่วนนโยบายในด้านการศึกษาและความเป็นอยู่ของพรรคเศรษฐกรนั้นก็จะเห็นได้ถึงกลิ่นไอแบบสังคมนิยมด้วย เช่น การส่งเสริมการกระจายฐานการศึกษาให้ครอบคลุมประชาชนวงกว้างและเปิดโอกาสให้เอกชนสามารถจัดการศึกษาเองได้ มุ่งกล่อมเกลาเยาวชนให้มีสำนึกเสียสละเพื่อส่วนรวม มุ่งส่งเสริมการจัดสรรที่อยู่และการสร้างเคหะให้เพียงพอกับประชาชน ส่งเสริมระบบการรักษาพยาบาลแบบให้เปล่า ส่งเสริมระบบรองรับทางสังคมต่อคนว่างงาน คนชรา เด็ก สตรีไร้ที่อาศัย และผู้ทุพพลภาพ
ส่วนนโยบายในด้านการศึกษาและความเป็นอยู่ของพรรคเศรษฐกรนั้นก็จะเห็นได้ถึงกลิ่นไอแบบสังคมนิยมด้วย เช่น การส่งเสริมการกระจายฐานการศึกษาให้ครอบคลุมประชาชนวงกว้างและเปิดโอกาสให้เอกชนสามารถจัดการศึกษาเองได้ มุ่งกล่อมเกลาเยาวชนให้มีสำนึกเสียสละเพื่อส่วนรวม มุ่งส่งเสริมการจัดสรรที่อยู่และการสร้างเคหะให้เพียงพอกับประชาชน ส่งเสริมระบบการรักษาพยาบาลแบบให้เปล่า ส่งเสริมระบบรองรับทางสังคมต่อคนว่างงาน คนชรา เด็ก สตรีไร้ที่อาศัย และผู้ทุพพลภาพ


ครั้นพอพรรคเศรษฐกรรวมกับพรรคหัวคิดสังคมนิยมอื่นๆอีก 3 พรรค คือ พรรคขบวนการไฮด์ปาร์ค พรรคสังคมประชาธิปไตย และพรรคเสรีประชาธิปไตย มารวมกันเป็น “แนวร่วมสังคมนิยม” ในเดือนกันยายน พ.ศ.2498 แนวนโยบายที่เป็นทางการของทั้ง 4 พรรคร่วมนี้ก็ถูกเขียนขึ้นอย่างกว้างๆหลวมๆ คือ 1) เสริมสร้างเอกราชให้สมบูรณ์ 2) กำจัดลัทธิอาณานิคมทุกรูปแบบ 3) ให้ประชาชนได้มีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง 4) มุ่งให้เกิดสันติภาพถาวร 5) ส่งเสริมมาตรฐานการครองชีพให้ดีขึ้น แต่ในการเคลื่อนไหวในสภานั้น กลุ่มแนวร่วมสังคมนิยมนี้มักมุ่งโจมตีนโยบายของรัฐบาลในขณะนั้น เช่น ประนามวิธีการแต่งตั้งสมาชิกประเภทที่ 2 ว่าเป็นการขัดขวางไม่ให้ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนมีเสียงในกิจการบ้านเมืองอย่างเต็มที่ นอกจากนี้กลุ่มแนวร่วมสังคมนิยมก็ยังประนามบทบาทของสหรัฐฯที่มีต่อประเทศไทย โดยเฉพาะการที่สหรัฐฯประกาศให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ประเทศไทย และการขัดขวางไม่ให้ไทยฟื้นฟูสัมพันไมตรีกับรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์
ครั้นพอพรรคเศรษฐกรรวมกับพรรคหัวคิดสังคมนิยมอื่นๆอีก 3 พรรค คือ พรรคขบวนการไฮด์ปาร์ค พรรคสังคมประชาธิปไตย และพรรคเสรีประชาธิปไตย มารวมกันเป็น “แนวร่วมสังคมนิยม” ในเดือนกันยายน พ.ศ.2498 แนวนโยบายที่เป็นทางการของทั้ง 4 พรรคร่วมนี้ก็ถูกเขียนขึ้นอย่างกว้างๆหลวมๆ คือ 1) เสริมสร้าง[[เอกราช]]ให้สมบูรณ์ 2) กำจัด[[ลัทธิอาณานิคม]]ทุกรูปแบบ 3) ให้ประชาชนได้มีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง 4) มุ่งให้เกิด[[สันติภาพ]]ถาวร 5) ส่งเสริมมาตรฐานการครองชีพให้ดีขึ้น แต่ในการเคลื่อนไหวในสภานั้น กลุ่มแนวร่วมสังคมนิยมนี้มักมุ่งโจมตีนโยบายของรัฐบาลในขณะนั้น เช่น ประนามวิธีการแต่งตั้งสมาชิกประเภทที่ 2 ว่าเป็นการขัดขวางไม่ให้ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนมีเสียงในกิจการบ้านเมืองอย่างเต็มที่ นอกจากนี้กลุ่มแนวร่วมสังคมนิยมก็ยังประนามบทบาทของสหรัฐฯที่มีต่อประเทศไทย โดยเฉพาะการที่สหรัฐฯประกาศให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ประเทศไทย และการขัดขวางไม่ให้ไทยฟื้นฟูสัมพันไมตรีกับรัฐบาลจีน[[คอมมิวนิสต์]]




บรรทัดที่ 29: บรรทัดที่ 29:
พรรคเศรษฐกรเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยผนึกกำลังกับพรรคอื่นๆที่มีแนวคิดแบบสังคมนิยมอย่างพรรคสังคมประชาธิปไตยของนายสุเทพ สัจจกุล พรรคสังคมนิยมของนายวิศิษฐ์ ศรีภัทรา พรรคขบวนการไฮด์ปาร์คของนายทวีศักดิ์ ตรีพลี ซึ่งทั้ง 4 พรรคนี้ก็รวมตัวกันเป็น “แนวร่วมสังคมนิยม” เพื่อส่งสมาชิกลงรับสมัครเลือกตั้ง ซึ่งนอกจาก 4 พรรคนี้แล้วก็ยังมีพรรคศรีอาริยเมตไตรที่มีแนวทางสังคมนิยมด้วย แต่จะเน้นการต่อต้านศักดินาเป็นพิเศษ
พรรคเศรษฐกรเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยผนึกกำลังกับพรรคอื่นๆที่มีแนวคิดแบบสังคมนิยมอย่างพรรคสังคมประชาธิปไตยของนายสุเทพ สัจจกุล พรรคสังคมนิยมของนายวิศิษฐ์ ศรีภัทรา พรรคขบวนการไฮด์ปาร์คของนายทวีศักดิ์ ตรีพลี ซึ่งทั้ง 4 พรรคนี้ก็รวมตัวกันเป็น “แนวร่วมสังคมนิยม” เพื่อส่งสมาชิกลงรับสมัครเลือกตั้ง ซึ่งนอกจาก 4 พรรคนี้แล้วก็ยังมีพรรคศรีอาริยเมตไตรที่มีแนวทางสังคมนิยมด้วย แต่จะเน้นการต่อต้านศักดินาเป็นพิเศษ


ผลการเลือกตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2500 ปรากฏว่าส.ส.กลุ่มแนวร่วมสังคมนิยมได้รับเลือกเข้าสภาฯ 11 ที่นั่งจากทั้งหมด 160 ที่นั่ง ซึ่งมากเป็นอันดับที่ 3 ในสภาฯรองจากพรรคเสรีมนังคศิลาที่เป็นรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้าน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในช่วงเวลาดังกล่าว พรรคที่มีแนวทางแบบสังคมนิยมถือว่าได้รับความนิยมจากพลเมืองไทยผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยทีเดียว ในจำนวนส.ส.ของแนวร่วมสังคมนิยม 11 คนนี้ พรรคเศรษฐกรได้รับเลือกเข้ามา 9 คนด้วยกัน ประกอบด้วยนายเทพ โชตินุชิต และนายตรีเพชร ศรแก้ว (ศรีสะเกษ) นายแคล้ว นรปติ นายเจริญ ปราบณศักดิ์ นายสว่าง ตราชู และนายอินทร์ ประจันตเสน (ขอนแก่น) นายทิม ภูริพัฒน์ นายเจียม โชติรัษฎ์ (อุบลราชธานี) และนายบุญคง บุญเพชร (มหาสารคม)  
ผล[[การเลือกตั้ง]]เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2500 ปรากฏว่าส.ส.กลุ่มแนวร่วมสังคมนิยมได้รับเลือกเข้าสภาฯ 11 ที่นั่งจากทั้งหมด 160 ที่นั่ง ซึ่งมากเป็นอันดับที่ 3 ในสภาฯรองจากพรรคเสรีมนังคศิลาที่เป็น[[รัฐบาล]]และพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็น[[ฝ่ายค้าน]] ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในช่วงเวลาดังกล่าว พรรคที่มีแนวทางแบบสังคมนิยมถือว่าได้รับความนิยมจากพลเมืองไทยผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยทีเดียว ในจำนวนส.ส.ของแนวร่วมสังคมนิยม 11 คนนี้ พรรคเศรษฐกรได้รับเลือกเข้ามา 9 คนด้วยกัน ประกอบด้วยนายเทพ โชตินุชิต และนายตรีเพชร ศรแก้ว (ศรีสะเกษ) นายแคล้ว นรปติ นายเจริญ ปราบณศักดิ์ นายสว่าง ตราชู และนายอินทร์ ประจันตเสน (ขอนแก่น) นายทิม ภูริพัฒน์ นายเจียม โชติรัษฎ์ (อุบลราชธานี) และนายบุญคง บุญเพชร (มหาสารคาม)  


แต่ในปีเดียวกันนั้นเอง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ก็ทำการรัฐประหารยึดอำนาจและจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นใหม่ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2500 แต่กลุ่มพรรคแนวร่วมสังคมนิยมก็ยังได้รับเลือกมาใหม่ 7 ที่นั่ง ประกอบด้วยนายเทพ โชตินุชิต นายพรชัย แสงชัชช์ (ศรีษะเกษ) นายแคล้ว นรปติ นายเจริญ ปราบนศักดิ์ นายสว่าง ตราชู นายทวีศักดิ์ ตรีพลี(ขอนแก่น) และนายครอง จันดาวงษ์ (สกลนคร)  
แต่ในปีเดียวกันนั้นเอง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ก็ทำการ[[รัฐประหาร]]ยึดอำนาจและจัดให้มี[[การเลือกตั้ง]]ขึ้นใหม่ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2500 แต่กลุ่มพรรคแนวร่วมสังคมนิยมก็ยังได้รับเลือกมาใหม่ 7 ที่นั่ง ประกอบด้วยนายเทพ โชตินุชิต นายพรชัย แสงชัชช์ (ศรีษะเกษ) นายแคล้ว นรปติ นายเจริญ ปราบนศักดิ์ นายสว่าง ตราชู นายทวีศักดิ์ ตรีพลี(ขอนแก่น) และนายครอง จันดาวงษ์ (สกลนคร)  




'''การล่มสลายของพรรค'''
'''การล่มสลายของพรรค'''


ความตกต่ำของพรรคเศรษฐกรดำเนินมาถึงเมื่อจอมพลสฤษดิ์ทำการรัฐประหารครั้งที่ 2 ในปีพ.ศ.2501 ภายใต้ชื่อกลุ่มคณะปฏิวัติ ซึ่งได้ทำการปกครองประเทศแบบเผด็จการเต็มรูปแบบ ครั้งนี้นักการเมืองหัวคิดสังคมนิยมก็ตกเป็นเป้าของการกวาดล้างอย่างรุนแรงอีกครั้ง โดยนายเทพ โชตินุชิต นายแคล้ว นรปติ นายทวีศักดิ์ ตรีพลี นายพรชัย แสงชัชช์ และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองแนวทางสังคมนิยมอื่นๆต่างก็ถูกจับขังคุกโดยไม่มีความผิดเป็นเวลาหลายปี ส่วนนายครอง จันดาวงษ์ก็ถูกจอมพลสฤษดิ์ใช้อำนาจสมบูรณายาสิทธิ์สั่งประหารในปีเดียวกัน ซึ่งเมื่อรัฐบาลเผด็จการทำการกวาดล้างกลุ่มคนที่ยึดถือแนวทางสังคมนิยมอย่างรุนแรงก็ทำให้การสนับสนุนแนวทางสังคมนิยมลดน้อยถอยลง จนกระทั่งปีพ.ศ.2511 จอมพลถนอม กิตติขจรเปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้ง นายเทพ โชตินุชิต และนายแคล้ว นรปติก็ได้ฟื้นฟูพรรคขึ้นใหม่ในชื่อว่า “พรรคแนวร่วมเศรษฐกร” เพื่อส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ก็ได้รับเลือกมาเป็นส.ส.เพืยง 4 คน คือนายแคล้ว นรปติ นายมีเดช วรสีหะ นายสนั่น ธีระศิริโชติ และนายสว่าง ตราชู จากขอนแก่นทั้งหมด ส่วนนายเทพ โชตินุชิต กลับแพ้การเลือกตั้งที่ศรีษะเกษเป็นครั้งแรก และต่อมาเมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2514 จอมพลถนอม กิตติขจรได้ทำการยึดอำนาจตนเอง พรรคการเมืองต่างๆซึ่งรวมถึงพรรคแนวร่วมเศรษฐกรก็ต้องยุติบทบาทไปโดยปริยาย
ความตกต่ำของพรรคเศรษฐกรดำเนินมาถึงเมื่อจอมพลสฤษดิ์ทำการรัฐประหารครั้งที่ 2 ในปีพ.ศ.2501 ภายใต้ชื่อกลุ่ม[[คณะปฏิวัติ]] ซึ่งได้ทำการปกครองประเทศแบบเผด็จการเต็มรูปแบบ ครั้งนี้นักการเมืองหัวคิดสังคมนิยมก็ตกเป็นเป้าของการกวาดล้างอย่างรุนแรงอีกครั้ง โดยนายเทพ โชตินุชิต นายแคล้ว นรปติ นายทวีศักดิ์ ตรีพลี นายพรชัย แสงชัชช์ และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองแนวทางสังคมนิยมอื่นๆต่างก็ถูกจับขังคุกโดยไม่มีความผิดเป็นเวลาหลายปี ส่วนนายครอง จันดาวงษ์ก็ถูกจอมพลสฤษดิ์ใช้อำนาจสมบูรณายาสิทธิ์สั่งประหารในปีเดียวกัน ซึ่งเมื่อรัฐบาลเผด็จการทำการกวาดล้างกลุ่มคนที่ยึดถือแนวทางสังคมนิยมอย่างรุนแรงก็ทำให้การสนับสนุนแนวทางสังคมนิยมลดน้อยถอยลง จนกระทั่งปีพ.ศ.2511 จอมพลถนอม กิตติขจรเปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้ง นายเทพ โชตินุชิต และนายแคล้ว นรปติก็ได้ฟื้นฟูพรรคขึ้นใหม่ในชื่อว่า “พรรคแนวร่วมเศรษฐกร” เพื่อส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ก็ได้รับเลือกมาเป็นส.ส.เพืยง 4 คน คือนายแคล้ว นรปติ นายมีเดช วรสีหะ นายสนั่น ธีระศิริโชติ และนายสว่าง ตราชู จากขอนแก่นทั้งหมด ส่วนนายเทพ โชตินุชิต กลับแพ้[[การเลือกตั้ง]]ที่ศรีษะเกษเป็นครั้งแรก และต่อมาเมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2514 จอมพลถนอม กิตติขจรได้ทำการ[[ยึดอำนาจ]]ตนเอง พรรคการเมืองต่างๆซึ่งรวมถึงพรรคแนวร่วมเศรษฐกรก็ต้องยุติบทบาทไปโดยปริยาย





รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 21:33, 11 กรกฎาคม 2553

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต



พรรคเศรษฐกร


ประวัติความเป็นมา

พรรคเศรษฐกรจดทะเบียนตั้งพรรคเมื่อวันที่ 4 ตุลาตม 2498 โดยมีนายเทพ โชตินุชิต เป็นหัวหน้าพรรค นายทิม ภูริพัฒน์ เป็นรองหัวหน้าพรรค และนายแคล้ว นรปิติ เป็นเลขาธิการพรรค[1]

พรรคเศรษฐกรเป็นพรรคที่สืบทอดแนวทางสังคมนิยมต่อจากพรรคสหชีพที่ถูกกวาดล้างอย่างรุนแรงภายหลังจอมพล ป.พิบูลย์สงครามขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนเมษายน พ.ศ.2491อันเป็นเหตุการณ์สืบเนื่องจากการรัฐประหาร 2490 ที่นำโดยพล.โท.ผิณ ชุณหวัณ และ น.อ.หลวงกาจสงคราม ผู้ก่อตั้งพรรคคนสำคัญอย่างนายเทพ โชตินุชิตนั้นเคยดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาที่จังหวัดนครพนมและนครราชสีมา ซึ่งการที่เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในภาคอีสานเป็นเวลานานได้หล่อหลอมให้เขารู้สึกรู้สมเห็นใจในความเป็นอยู่ที่อัตคัตขัดสนของผู้คนในภาคนี้ ครั้นปี 2490 นายเทพก็ลาออกจากตำแหน่งราชการและลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ในนามพรรคประชาธิปัตย์แต่ก็มีความขัดแย้งกับนายควง อภัยวงศ์หัวหน้าพรรค ดังนั้นเมื่อจอมพลป. พิบูลย์สงครามจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในปี 2492 นายเทพจึงลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์และได้เข้าร่วมรัฐบาลมาเป็นรัฐมนตรีลอย แต่ต่อมาไม่นาน ด้วยการมีแนวคิดแบบสังคมนิยม นายเทพจึงถูกกลุ่มส.ส.ยื่นเรื่องสอบสวนว่าเป็นผู้ที่ฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ หลังจากการรัฐประหาร 2494 เขาจึงไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาล และเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ปี 2495 นายเทพได้รับเลือกกลับมาเป็นส.ส.อีกครั้งแต่หันมาอยู่ซีกฝ่ายค้านและก็พัฒนาไปสู่การริเริ่มการตั้งพรรคเศรษฐกรเมื่อปีพ.ศ.2498ในที่สุด


แนวนโยบาย

สำหรับนโยบายด้านการเมืองการปกครองนั้น พรรคเศรษฐกรก็เขียนนโยบายที่เป็นทางการแบบเสรีนิยมไม่แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆ เช่น การรักษาและส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย การมุ่งกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ส่วนด้านการต่างประเทศนั้น พรรคเศรษฐกรอาจมีความแตกต่างจากพรรคอื่นๆอยู่บ้างตรงที่มุ่งเสริมสร้างสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศโดยไม่แบ่งแยกลัทธิการปกครอง

แต่ด้วยการที่เป็นพรรคการเมืองที่ยึดถือแนวทางสังคมนิยมก็ทำให้พรรคเศรษฐกรให้ความสำคัญต่อนโยบายด้านเศรษฐกิจมาก จนถึงกับมีคำขวัญของพรรคที่ว่า “เศรษฐกิจเหนืออื่นใด”[2] อีกทั้งนโยบายเศรษฐกิจของพรรคเศรษฐกรก็มีความแตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆในสมัยนั้นอย่างเห็นได้ชัด โดยจะมุ่งเน้นการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจเพื่อส่วนรวม พยายามลดช่องว่างทางชนชั้น เช่น นโยบายจัดระบบภาษีที่มุ่งกระจายรายได้เพื่อสร้างความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจให้มากยิ่งขึ้น มุ่งส่งเสริมระบบสหกรณ์และการจัดสรรที่ดินทำกินให้ทั่วถึงแก่ประชาชน มุ่งคุ้มครองสิทธิแรงงานและการกำหนดอัตราค่าจ้างที่เป็นธรรมต่อแรงงานยิ่งขึ้น ส่งเสริมการช่วยเหลือด้านความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในการเพิ่มผลผลิตแก่ชาวนา

ส่วนนโยบายในด้านการศึกษาและความเป็นอยู่ของพรรคเศรษฐกรนั้นก็จะเห็นได้ถึงกลิ่นไอแบบสังคมนิยมด้วย เช่น การส่งเสริมการกระจายฐานการศึกษาให้ครอบคลุมประชาชนวงกว้างและเปิดโอกาสให้เอกชนสามารถจัดการศึกษาเองได้ มุ่งกล่อมเกลาเยาวชนให้มีสำนึกเสียสละเพื่อส่วนรวม มุ่งส่งเสริมการจัดสรรที่อยู่และการสร้างเคหะให้เพียงพอกับประชาชน ส่งเสริมระบบการรักษาพยาบาลแบบให้เปล่า ส่งเสริมระบบรองรับทางสังคมต่อคนว่างงาน คนชรา เด็ก สตรีไร้ที่อาศัย และผู้ทุพพลภาพ

ครั้นพอพรรคเศรษฐกรรวมกับพรรคหัวคิดสังคมนิยมอื่นๆอีก 3 พรรค คือ พรรคขบวนการไฮด์ปาร์ค พรรคสังคมประชาธิปไตย และพรรคเสรีประชาธิปไตย มารวมกันเป็น “แนวร่วมสังคมนิยม” ในเดือนกันยายน พ.ศ.2498 แนวนโยบายที่เป็นทางการของทั้ง 4 พรรคร่วมนี้ก็ถูกเขียนขึ้นอย่างกว้างๆหลวมๆ คือ 1) เสริมสร้างเอกราชให้สมบูรณ์ 2) กำจัดลัทธิอาณานิคมทุกรูปแบบ 3) ให้ประชาชนได้มีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง 4) มุ่งให้เกิดสันติภาพถาวร 5) ส่งเสริมมาตรฐานการครองชีพให้ดีขึ้น แต่ในการเคลื่อนไหวในสภานั้น กลุ่มแนวร่วมสังคมนิยมนี้มักมุ่งโจมตีนโยบายของรัฐบาลในขณะนั้น เช่น ประนามวิธีการแต่งตั้งสมาชิกประเภทที่ 2 ว่าเป็นการขัดขวางไม่ให้ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนมีเสียงในกิจการบ้านเมืองอย่างเต็มที่ นอกจากนี้กลุ่มแนวร่วมสังคมนิยมก็ยังประนามบทบาทของสหรัฐฯที่มีต่อประเทศไทย โดยเฉพาะการที่สหรัฐฯประกาศให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ประเทศไทย และการขัดขวางไม่ให้ไทยฟื้นฟูสัมพันไมตรีกับรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์


การลงเลือกตั้งและความเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรค

พรรคเศรษฐกรเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยผนึกกำลังกับพรรคอื่นๆที่มีแนวคิดแบบสังคมนิยมอย่างพรรคสังคมประชาธิปไตยของนายสุเทพ สัจจกุล พรรคสังคมนิยมของนายวิศิษฐ์ ศรีภัทรา พรรคขบวนการไฮด์ปาร์คของนายทวีศักดิ์ ตรีพลี ซึ่งทั้ง 4 พรรคนี้ก็รวมตัวกันเป็น “แนวร่วมสังคมนิยม” เพื่อส่งสมาชิกลงรับสมัครเลือกตั้ง ซึ่งนอกจาก 4 พรรคนี้แล้วก็ยังมีพรรคศรีอาริยเมตไตรที่มีแนวทางสังคมนิยมด้วย แต่จะเน้นการต่อต้านศักดินาเป็นพิเศษ

ผลการเลือกตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2500 ปรากฏว่าส.ส.กลุ่มแนวร่วมสังคมนิยมได้รับเลือกเข้าสภาฯ 11 ที่นั่งจากทั้งหมด 160 ที่นั่ง ซึ่งมากเป็นอันดับที่ 3 ในสภาฯรองจากพรรคเสรีมนังคศิลาที่เป็นรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้าน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในช่วงเวลาดังกล่าว พรรคที่มีแนวทางแบบสังคมนิยมถือว่าได้รับความนิยมจากพลเมืองไทยผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยทีเดียว ในจำนวนส.ส.ของแนวร่วมสังคมนิยม 11 คนนี้ พรรคเศรษฐกรได้รับเลือกเข้ามา 9 คนด้วยกัน ประกอบด้วยนายเทพ โชตินุชิต และนายตรีเพชร ศรแก้ว (ศรีสะเกษ) นายแคล้ว นรปติ นายเจริญ ปราบณศักดิ์ นายสว่าง ตราชู และนายอินทร์ ประจันตเสน (ขอนแก่น) นายทิม ภูริพัฒน์ นายเจียม โชติรัษฎ์ (อุบลราชธานี) และนายบุญคง บุญเพชร (มหาสารคาม)

แต่ในปีเดียวกันนั้นเอง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ก็ทำการรัฐประหารยึดอำนาจและจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นใหม่ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2500 แต่กลุ่มพรรคแนวร่วมสังคมนิยมก็ยังได้รับเลือกมาใหม่ 7 ที่นั่ง ประกอบด้วยนายเทพ โชตินุชิต นายพรชัย แสงชัชช์ (ศรีษะเกษ) นายแคล้ว นรปติ นายเจริญ ปราบนศักดิ์ นายสว่าง ตราชู นายทวีศักดิ์ ตรีพลี(ขอนแก่น) และนายครอง จันดาวงษ์ (สกลนคร)


การล่มสลายของพรรค

ความตกต่ำของพรรคเศรษฐกรดำเนินมาถึงเมื่อจอมพลสฤษดิ์ทำการรัฐประหารครั้งที่ 2 ในปีพ.ศ.2501 ภายใต้ชื่อกลุ่มคณะปฏิวัติ ซึ่งได้ทำการปกครองประเทศแบบเผด็จการเต็มรูปแบบ ครั้งนี้นักการเมืองหัวคิดสังคมนิยมก็ตกเป็นเป้าของการกวาดล้างอย่างรุนแรงอีกครั้ง โดยนายเทพ โชตินุชิต นายแคล้ว นรปติ นายทวีศักดิ์ ตรีพลี นายพรชัย แสงชัชช์ และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองแนวทางสังคมนิยมอื่นๆต่างก็ถูกจับขังคุกโดยไม่มีความผิดเป็นเวลาหลายปี ส่วนนายครอง จันดาวงษ์ก็ถูกจอมพลสฤษดิ์ใช้อำนาจสมบูรณายาสิทธิ์สั่งประหารในปีเดียวกัน ซึ่งเมื่อรัฐบาลเผด็จการทำการกวาดล้างกลุ่มคนที่ยึดถือแนวทางสังคมนิยมอย่างรุนแรงก็ทำให้การสนับสนุนแนวทางสังคมนิยมลดน้อยถอยลง จนกระทั่งปีพ.ศ.2511 จอมพลถนอม กิตติขจรเปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้ง นายเทพ โชตินุชิต และนายแคล้ว นรปติก็ได้ฟื้นฟูพรรคขึ้นใหม่ในชื่อว่า “พรรคแนวร่วมเศรษฐกร” เพื่อส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ก็ได้รับเลือกมาเป็นส.ส.เพืยง 4 คน คือนายแคล้ว นรปติ นายมีเดช วรสีหะ นายสนั่น ธีระศิริโชติ และนายสว่าง ตราชู จากขอนแก่นทั้งหมด ส่วนนายเทพ โชตินุชิต กลับแพ้การเลือกตั้งที่ศรีษะเกษเป็นครั้งแรก และต่อมาเมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2514 จอมพลถนอม กิตติขจรได้ทำการยึดอำนาจตนเอง พรรคการเมืองต่างๆซึ่งรวมถึงพรรคแนวร่วมเศรษฐกรก็ต้องยุติบทบาทไปโดยปริยาย


ที่มา

สุทธาชัย ยิ้มประเสริฐ, ประวัติศาสตร์ของพรรคแนวสังคมนิยม.

ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ, พรรคการเมืองและปัญหาพรรคการเมืองไทย พร้อมด้วยพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2524. , กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2524.

ชัช สวามิส, พรรคการเมืองของประเทศไทย.(วิทยานพนธ์วิทยาลัยการทัพบก)2512.

อ้างอิง

  1. “ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการจดทะเบียนพรรคเศรษฐกร” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 72 ตอนที่ 86 วันที่ 8 พฤษจิกายน 2498 หน้า 2689-2694,
  2. สุทธาชัย ยิ้มประเสริฐ, ประวัติศาสตร์ของพรรคแนวสังคมนิยม.